ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( seventeen ) forever young | sf / os ❀

    ลำดับตอนที่ #5 : that boy | mingyu x wonwoo

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 58
















    เคยมั้ย

     

    ที่อยู่ๆก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมา

    ความทรงจำที่เป็นภาพสีอ่อนๆอยู่ในหัว

    บางครั้งผมก็คิดว่ามันคือเรื่องจริง

     

    แต่พอคิดไปคิดมาอีกทีทั้งหมดนั่นอาจเป็นเพียงแค่จินตนาการอยู่ในหัว

     

     

    ทั้งเด็กคนนั้นที่ชอบนั่งก่อกองทรายอยู่คนเดียวที่มุมเงียบ

    ทั้งรอยยิ้มหวานใสกับตาที่ปิดลงอย่างน่ารักนั่น

    ทั้งเสียงหัวเราะหวานที่ยังดังก้องดังอยู่ในหู

     

    รวมทั้งนั่น จูบแรก ที่บางทีอาจเป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเองก็ได้

     

     

     

     

    เอ... หรือมันเกิดขึ้นจริงๆกันนะ?

     

     

     

     

     

     

     

                แสงแดดของยามเช้าสาดส่องลงมา เหล่าเด็กๆในโรงเรียนอนุบาลขนาดเล็กแห่งนี้กำลังเล่นสนุกอยู่ในสนามกว้างของโรงเรียน กลิ่นของฤดูใบไม้ผลิช่างสดใสยิ่งนัก หญ้าสีเขียวชะอุ่มปกคลุมอยู่ทุกตารางนิ้วของสวนแห่งนี้เว้นก็แต่เพียงบ่อทรายที่อยู่ตรงริมสุดของสนาม หญิงสาวท่าทางใจดีมองเด็กๆเล่นกันด้วยสายตาอ่อนโยน จำนวนนักเรียนที่มีเพียงแค่ยี่สิบกว่าคนรวมทั้งสามชั้นปีในวันนี้ทำให้เพียงแค่สนามกว้างแห่งนี้ก็รองรับเด็กๆในโรงเรียนได้หมด คุณครูสาวที่ดูแลนักเรียนมาตั้งแต่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมีความสุขยิ่งนักที่ได้เห็นเด็กในวัยที่เหมือนกับผ้าขาวแบบนี้เล่นเสริมเติมแต่งโลกในจินตนาการอย่างสุขสันต์ ตัวเธอเองมีหน้าที่เพียงแค่ดูแลให้พวกเขาไม่ก้าวเดินออกนอกเส้นไปเท่านั้นเอง

     

                แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เธอเป็นห่วงเป็นพิเศษ เขาคือเด็กชายที่มักจะนั่งอยู่คนเดียวที่หลังห้อง ไม่สนิทกับเด็กคนไหนเลย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเก็บกดเหมือนเด็กมีปัญหา หรือเรียกร้องความสนใจชนิดที่น่ากังวล เป็นแค่เพียงเด็กชายธรรมดาๆที่ดูเหมือนกับว่าจะชอบอยู่ในโลกจินตนาการของตนเองมากกว่าที่จะอยู่บนโลกนี้กับคนอื่นๆ

     

                จอน วอนอู เด็กชายหน้านิ่งคนนั้น

     

     

     

     

                มาโรงเรียนแต่เช้าตรู่ มักจะเดินเข้าสู่รั้วไม้สีขาวของโรงเรียนตั้งแต่หกโมงกว่าพร้อมกับกระเป๋าสีฟ้าคู่ใจและหมวกไหมพรมสีสดใบเดิมเสมอ ทุกๆเช้าวอนอูจะนั่งลงกินข้าวเช้าที๋โต๊ะพลาสติกสีเขียวขณะรอเพื่อนๆคนอื่นๆให้มาถึงโรงเรียน และวันทั้งวันก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น วาดเขียนอะไรไปเรื่อย บางทีก็แอบมองคนอื่นเล่นกันแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ทีแรกเธอคิดว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นเด็กขี้อาย แต่เมื่อลองพูดคุยหรือให้ออกมาพูดหน้าชั้นแล้วกลับพบว่าเด็กคนนี้กล้าแสดงออกและมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากทีเดียว

     

                ยิ่งมองดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เธอเจอเด็กมาหลายรูปแบบแล้วก็เถอนะ แต่วอนอูนีแหละที่ทำเอาเธองงจริงๆ

     

     

     

                ก็ได้แค่หวังว่าคงจะมีเด็กซักคนชวนเด็กหลังห้องคนนี้ออกไปเล่นบ้างก็แค่นั้นเอง

     

                แต่จะว่าไปเด็กที่เอาแต่มองวอนอูก็มีอยู่คนนึงนี่นา

     

     

     

     

     

     

     

                เด็กตัวโตคนนั้นชื่อคิมมินกยู เป็นเด็กที่แตกต่างจากวอนอูโดยสิ้นเชิง เด็กชายผิวคล้ำที่สูงและดูโตกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่กลับมีนิสัยที่แสนซน เขาเป็นเด็กไฮเปอร์ที่อยู่นิ่งไม่ได้ และเรียกว่าจะสนิทกับเด็กทุกคน ชอบแกล้งเด็กที่ตัวเล็กกว่าแต่พอโดนครูดุเข้าให้ก็ร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ วันทั้งวันมินกยูจะวิ่งวุ่นไปทั่วโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้ เป็นรอยยิ้มให้กับทุกๆคนเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่มุมๆหนึ่งของห้องทุกวันโดยไม่ตั้งใจ

     

                หลายครั้งหลายหนตอนที่วอนอูเผลอ เด็กตัวโตมักจะแอบมองเพื่อนร่วมโรงเรียนคนนี้อยู่เสมอๆ ผิวขาวใสกับใบหน้าที่น่ารักนั่นทำให้เขานึกอยากจะลองหยิกแก้มแรงๆดูซักครั้งเพราะเจ้าตัวเล็กนั่นเหมือนตุ๊กตาเสียเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะชอบทำหน้านิ่งๆด้วยล่ะมั้ง มินกยูก็เลยปักใจเชื่อว่าเจ้านั่นต้องเป็นโรบอทแน่นอน! เป็นหุ่นยนต์แอนดรอยด์จากต่างดาวที่คิดจะครองโลกอะไรแบบนั้นก็ได้!!!! เขามั่นใจว่าวอนอูจะต้องมีพลังพิเศษแน่ๆ เพราะทุกครั้งที่เขามองเด็กหน้านิ่งนั่นใจของเขาจะเต้นแรงผิดปกติ เหมือนกับเวลากำลังดูการ์ตูนแอคชั่น แล้วใบหน้าของเขาก็จะขึ้นสีแดงอย่างไม่มีสาเหตุ

     

                แต่ก็ได้แต่คิดนั่นแหละนะ ไม่มีซักครั้งที่มินกยูจะกล้าเข้าไปดึงแก้มวอนอูแรงๆอย่างที่นึกเพราะเขาเองก็กลัวว่าเจ้าของหน้านิ่งนั่นอาจจะยิงปืนเลเซอร์ทะลุคอเขาก็เป็นได้!!! อันที่จริงแค่กลัวว่าเจ้าตัวเล็กนั่นจะร้องไห้งอแงเพราะเจ็บนั่นแหละ ถึงชอบทำหน้านิ่งแบบนั้นแต่มินกยูก็ไม่อยากเห็นใบหน้าสวยๆแบบนั้นมีน้ำตาหรอกนะ เวลาวอนอูยิ้มน่ะน่ารักจะตายไป

     

                อ๊ะ! ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้แอบดูวอนอูซะหน่อย ก็แค่เผลอไปมองแค่นั้นแหละ เวลาที่เด็กคนนั้นก้มลงไปวาดรูปแล้วยิ้มให้กับผลงานคนเดียว หรือตอนที่นั่งกินฮ็อตเค้กซอสราสเบอร์รี่กับนมที่มุมห้อง สีหน้าของวอนอูตอนที่กัดเจ้าเบอร์รี่รสเปรี้ยวลูกเล็กนั่นน่ารักจนทำให้ใจเขาเต้นแรงกว่าเดิมอีก....

     

     

     

                มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาอยากจะลองคุยกับวอนอูดูจริงๆซักครั้ง ก็อุตส่าห์นั่งคิดแผนการตั้งหลายวัน สุดท้ายวันนั้นเลยเดินเอานมกล้วยในแก้วสีฟ้าของเขาไปให้กับคนตัวเล็กกว่านั่น กระแอมตั้งนานกว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นมามองกัน มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปอยู่ไม่ยอมสนใจทำเอามินกยูเสียความมั่นใจไปตั้งเยอะ สุดท้ายวอนอูก็มองหน้าไม่พูดอะไร เขาก็ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่วางแก้วนมไว้ที่โต๊ะมุมห้องก่อนจะวิ่งเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เจ้าของที่นั่งได้แต่กะพริบตามองเขาปริบๆด้วยความสงสัย

     

               

                มีอีกวันหนึ่ง เขาได้หนังสือนิทานมาเล่มหนึ่ง แต่ว่าเขาอ่านหนังสือไม่ออกหรอก เคยเห็นวอนอูนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวก็เลยนึกได้ว่าเด็กคนนั้นน่าจะอ่านออกก็เลยกล้าๆกลัวๆพาตัวเองไปอยู่ที่มุมนั้นอีกครั้ง แล้วก็ของขวัญวันเกิดที่หม่ามี๊ของเขาให้มาให้เด็กหน้ามึนคนนั้น แต่ที่ได้กลัวมาก็คือสายตาสงสัย สุดท้ายก็กลัวสายตาของวอนอูอยู่ดี ครั้งนั้นเขาก็เลยหนีมาอีกตามเคย แถมยังทิ้งหนังสือไว้กับวอนอู กลับบ้านไปเลยโดนแม่ตีข้อหาไปวางของไว้สุ่มสี่สุ่มห้าเลย

     

     

     

                วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาได้แต่มองวอนอูอยู่ห่างๆ กลัวว่าถ้าจะมีแผนการไปพูดคุยอะไรแล้วจะต้องหน้าแตกอีกตามเคยก็เลยได้แต่มองเด็กคนนั้นไกลๆจากตรงนี้ เขากำลังเล่นปีนป่ายอยู่บนส่วนที่สูงที่สุดของสนามเด็กเล่น บวกกับที่ว่าเป็นเด็กตัวสูงอยู่แล้วตอนนี้เขาจึงมองเห็นทิวทัศน์ของบริเวณโรงเรียนได้อย่างชัดเจน ทัศนียภาพโดยรอบช่างงดงาม แต่ก็ไม่น่ามองไปกว่าเจ้าของร่างเล็กหน้ามึนที่กำลังนั่งก่อปราสาททรายอย่างตั้งใจ

     

                ปราสาททรายอันน้อยถูกประดับตกแต่งด้วยเปลือกหอยที่เด็กชายอุตส่าห์ขนมาเองจากบ้านดูดีกว่าปราสาททรายที่มินกยูเคยพยายามสร้างเยอะแยะ ปกติแค่เขาปั้นให้เป็นเนินๆได้ก็ดีใจแล้ว แต่นี่วอนอูกลับทำให้มันเหมือนปราสาทได้ด้วยอุปกรณ์มากมายพวกนั้นช่างดูน่าประหลาดใจเสียจริง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่เด็กคนนั้นยอมออกมาเล่นข้างนอกแล้วตะหาก ปกติเวลาแปดโมงครึ่งถึงสิบโมงครึ่งที่เป็นเวลาพักวอนอูจะนั่งเก็บตัวอยู่ในห้องเรียนคนเดียวเงียบๆที่มุมโต๊ะ เขายังเคยคิดเลยว่าวอนอูน่ะขาวเกินไปแล้วเพราะไม่ยอมออกมาโดนแดดบ้าง แต่พอไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ของเขาก็บอกว่าบางทีวอนอูอาจจะไม่แข็งแรงทำให้ออกมาเล่นกับเพื่อนๆไม่ได้นั่นก็ทำเอาเขาสงสารวอนอูจับใจ ก็ไม่เคยไปถามตรงๆหรอกนะ แต่ก็ทึกทักสรุปไปเองว่าคงป่วยแบบนั้นจริงๆกิเลยงงเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เคยคิดว่าป่วยออกมาเล่นข้างนอกแบบนี้เป็นครั้งแรก

     

                สงสัยจะไม่ได้ป่วยจริงๆแหะ...

     

     

                ก็ไม่กล้าถามอยู่ดี

     

     

     

     

     

     

                ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ปราสาททรายสวยดีนะเสียงดังขึ้นจากข้างหลัง วอนอูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย เด็กชายหันไปมองช้าๆ เอียงคอสงสัยอย่างน่ารักทำเอาเจ้าคนที่ทักหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเป็นใครเด็กหน้ามึนจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย มาอีกแล้ว คราวนี้จะมาไม้ไหนกันนะ

     

                คิก. ขอบคุณนะนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงหวานเป็นครั้งแรก มินกยูยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้รับการตอบรับจากเจ้าเด็กที่เขาเคยปักใจเชื่อว่าไม่เป็นหุ่นยนต์ก็ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว บางทีอาจจะเป็นแค่ยอดมนุษย์ก็ได้ ถ้าน่ารักขนาดนี้ล่ะก็... แต่ยังไงก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าเป็นคนธรรมดา ทำให้เขารู้สึกแปลกๆแบบนี้จะต้องเป็นเอ็กซ์เมนแน่ เห็นแบบนี้แต่คิมมินกยูก็มีเซนส์นะ !

     

                “อ่า... อื้อ.....ได้แต่เกาหัวเขินๆ พอเห็นเจ้าเด็กนี่ยิ้มแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้จะวางไม้วางมือที่ไหน จะพูดอะไรต่อก็ยังนึกไม่ออก ทำไมกันนะ ไม่เข้าใจเอาเสียเลย ใบหน้าเล็กๆก็รู้สึกร้อนผ่าวแบบแปลกๆ เจ้าเด็กผิวแทนหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอีกครั้งเพราะเหมือนว่าจะคิดบทสนทนาต่อไม่ได้แล้ว

     

                เอ้อ เราไปก่อนนะพูดเบาๆแล้วเม้มปาก ก่อนจะวิ่งหนีหายไปเฉย เด็กแก่กว่าที่นั่งอยู่คนเดียวได้แต่หัวเราะน้อยๆ ตลกดีนะ ที่มีคนแบบนี้อยู่ด้วย ทำไมวอนอูจะไม่รู้ล่ะว่ามีเด็กคนนึงแอบดูเขาอยู่ตลอดเวลา ก็แค่ทำเป็นเหม่อลอย ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไปแบบนั้นแหละ ดูสิว่าอีกคนจะทำอะไรต่อไป แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน

     

                เพราะเป็นคนเฉยๆล่ะมั้ง เขาเป็นเด็กคนแรกๆที่เรียนอนุบาลแห่งนี้ เพราะไม่แบ่งแยกชั้นปีมินกยูก็เลยไม่อาจรู้ได้ว่าเข้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว การที่จะมีนิสัยโตกว่าเด็กคนอื่นแล้วก็อ่านหนังสือออกไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ปีนี้เขาห้าขวบแล้วนี่นา เพราะว่าเข้าโรงเรียนเร็ว และเป็นพวกไม่ชอบเสียงโวยวายก็เลยอยู่ที่มุมนี้มาตลอดหลายปี ไม่มีเด็กคนไหนจะกล้าเดินเข้ามาใกล้แบบมินกยูเลย พวกเด็กคนอื่นๆนั่นเด็กกว่าเขาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นจีฮุนที่ปีนี้สี่ขวบ หมิงหมิงลูกครึ่งจีนที่น่าจะอายุพอๆกับเด็กคนนั้น แล้วก็ยังมีซึงกวาน กับซอกมิน แล้วก็ฮันโซลที่ยังแค่สามขวบ เพราะแก่กว่าคนอื่นแบบนี้ก็เลยไม่คิดจะไปคุกคลีเด็กๆพวกนั้นแบบนี้ล่ะมั้ง... ไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหาอะไรอย่างที่พวกผู้ปกครองคนอื่นคิดหรอก

     

                หมดฤดูร้อนนี้เขาก็จะต้องเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว เรื่องนั้นไม่มีใครจะสนใจหรอก เป็นเด็กเงียบๆแบบนี้จะอยู่หรือไม่อยู่ค่าก็คงจะเท่ากัน ที่บ้านเขาก็เหมือนกัน มีแค่คุณแม่ที่ไม่แข็งแรงกับพี่เลี้ยงอยู่เท่านั้น พ่อเขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่มีเวลาไปรับไปส่งแล้วมาวิพากวิจารณ์ลูกชาวบ้านเหมือนพ่อแม่หลายๆคนหรอก บ้านเขาก็อยู่แค่สองบล็อกถัดไป ไปเรียนกลับบ้านเองได้ คุณครูที่นี่รู้ดีว่าพี่เลี้ยงของเขายุ่งวุ่นวายแค่ไหน และบ้านก็อยู่ในละแวกนี้จึงไม่ได้เข้มงวดเรื่องการกลับบ้านเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ

     

                ส่วนเด็กคนนั้น มักจะมีพี่ชายตัวโตมาส่งเสมอ เขาสังเกตหมดแหละ แอบเฝ้าสังเกตและจดจำทุกคนอยู่ห่างๆเสมอ เหมือนกับบ้านนั้นจะตัวโตกันทั้งบ้าน เด็กคนที่มาส่งนั่นก็ไม่น่าจะแก่เกินกว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของเขาเกินสามปีหรอก สีผิวกับใบหน้าที่ถอดแบบกันมาเป๊ะทำให้ฟันธงได้เลยว่าคงจะเป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดแล้วก็ตลกดี อีกไม่นานเขาก็จะกลายเป็นนักเรียนประถมเหมือนกับพี่ชายของเด็กคนนั้นแล้ว

     

     

                เหลือเวลาแค่อีกไม่นานสินะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แสงแดดยามเย็นสาดส่องลงบนบาทวิถีที่หน้าโรงเรียน เด็กชายผิวคล้ำนั่งอยู่ลำพังหน้าโรงเรียน ดูเหมือนว่าเพื่อนๆของเขาจะกลับกันหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่เพียงเขาคนเดียว ทำไมพี่ชายยังไม่มารับกันนะ แล้วโรงเรียนจะปิดกี่โมง ความกังวลใจมากมายเข้ามาในหัว บางทีพี่จงอินอาจจะลืมมารับเขา แล้วป๊าแล้วม๊าล่ะ เมื่อคิดไปเรื่อยเปื่อยเด็กน้อยก็เริ่มที่จะเบะปากออก น้ำตาพานจะไหลดื้อๆ เด็กชายเงยหน้าขึ้นฟ้าเพราะพ่อเคยสอนไว้ว่าลูกผู้ชายที่ดีต้องไม่ร้องไห้ให้น้ำตาตกดิน แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นเอง ใครบางคนก็สะกิดที่หลังเขาเบาๆ

     

                ยังไม่กลับบ้านอีกหรอเสียงหวานที่เคยได้ยินเพียงแค่ครั้งเดียวทำให้เด็กชายตกใจไม่น้อยที่ได้ยิน รอยยิ้มของจอนวอนอูปรากฎขึ้นอีกครั้ง ร่างเล็กนั่งลงข้างๆเขา เด็กชายแปลกใจเล็กน้อยทีได้เห็นคนน่ารักในเวลาที่น่าจะกลับบ้านไปแล้วแบบนี้

     

                เมื่อกี้ฉันเผลอหลับไปตอนวาดรูปอยู่น่ะพูดตอบคำถามที่สงสัยอยู่ในหัวพอดิบพอดี คนเด็กกว่าพยักหน้ารับเล็กน้อย

     

                ยังไม่มีใครมารับเลย เด็กชายพูดแล้วเบะ คนแก่กว่าหัวเราะเล็กน้อย วอนอูยิ้มจนตาปิดแล้วดึงแก้มมินกยูด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ค่อยจางลง มินกยูมองด้วยความสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย วอนอูนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

     

     

               

                นี่มินกยูเสียงหวานเอ่ยเบาๆ เด็กชายตัวโตกะพริบตาปริบๆมองอีกฝ่ายอย่างงๆ

     

                ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่มาที่นี่แล้วนายอย่าเสียใจนะ

     

     

     

     

     

                แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ร่างเล็กขยับเข้าใกล้เขาอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กยืดตัวขึ้นเอาริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูใสเหมือนกับลูกอมรสสตรอเบอร์รี่นั่นทาบไปที่ปากของเขาเบาๆ สัมผัสที่นุ่มนิ่มเหมือนกับมาร์ชเมลโล่วเพียงแค่เสี้ยววินาทีกลับทำให้หน้าของเขาแดงก่ำอย่างไม่มีเหตุผล หัวใจที่เต้นถี่รัว แค่เพียงกะพริบตาอีกทีอีกฝ่ายก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้วทิ้งให้เด็กที่พ่อแม่ยังไม่มารับนั่งอยู่ลำพังท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายของฤดูร้อนนี้ด้วยความสงสัย

     

    จนถึงตอนนี้สัมผัสในวันนั้นก็ยังคงอยู่

    ความรู้สึกบางเบาเหมือนขนนก

    นุ่มละมุนเหมือนสัมผัสของขนมหวาน

    เหมือนกับกลิ่นอายของฤดูร้อนจางๆในวันนั้น...

     

     

     

                จากวันนั้น เด็กผู้ชายที่ชื่อจอนวอนอูก็ไม่ได้ไปเรียนอีกเลย ไม่มีเด็กที่นั่งเพียงลำพังที่มุมห้องอ่านหนังสืออย่างเงียบๆคนเดียว มินกยูได้ไปถามคุณครูจึงได้รู้ว่าเด็กคนนั้นได้ลาออกไปจากที่นี่แล้ว เร็วกว่ากำหนดปิดเทอมเพราะโรงเรียนประถมที่เด็กคนนั้นเรียนเปิดเทอมเร็วกว่าที่อื่นอยู่หลายเดือน แต่พอถามว่าไปเรียนที่ไหนครูสาวก็ไม่อาจให้คำตอบกับเขาได้เช่นกัน

     

                ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาแล้วจะหน้าตาเป็นอย่างไร

                ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

                เรียกว่าแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลยจริงๆ

     

     

     

                แต่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่คือรสสัมผัสอันเบาบาง

                จากเด็กผู้ชายที่ไม่อาจเข้าใจได้คนนั้น

     

     

     

               

     

     

                บางทีก็อยากถามว่าทำไมวอนอูถึงได้ทำแบบนั้น ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นแค่เด็กอนุบาลตัวเล็กๆแท้ อยากรู้ว่าตอนนั้นวอนอูคิดอะไรอยู่บ้าง สีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจได้ แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายของการบอกลาที่ว้าเว่ น่าแปลกที่เขากลับจำมันได้ดี จนบางทีเขาก็แอบนึกว่าความทรงจำพวกนั้นเป็นจินตนาที่เขาปรุงแต่งขึ้นเองเมื่อโตขึ้น จนตอนนี้เขาก็ไม่อาจแน่ใจได้

     

                ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า คนที่ได้จูบแรกของเราไปนั้นจะถูกผูกพันด้วยโชคชะตา

     

     

     

     

                เขาเชื่อนะ

     

                ว่าบางทีทั้งสองอาจจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ที่ไหนซักแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ตอนนั้นเขาอาจกลายเป็นคุณลุงอายุสี่สิบ หรืออาจจะกำลังเป็นนักเรียนมหาลัยหน้าตาดี วันนั้นเขาอาจกำลังเป็นดาราหนุ่มไฟแรง หรืออาจเป็นแค่เพียงพนักงานบริษัทธรรมดาๆ ไม่มีใครอาจรู้ได้เลยเพราะมันคืออนาคต

     

    ก็ยังหวังแค่ซักวัน โชคชะตาที่ผูกพันเขาไว้กับความทรงจำของเด็กหน้ามึนนั่นจะพาเขาไปพบกับคนคนนั้นอีกซักครั้ง

     

    แค่นั้นก็พอแล้ว

     

     

     

     











     


    (c)              Chess theme
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×