คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : neverland | seokmin x seungkwan - 1/2
หลับตาลงสิ. จับมือของฉันไว้
ท่ามกลางหมู่ดาวที่ทอประกายอยู่ในค่ำคืนมืดมิดนี้
ปล่อยหัวใจให้ล่องลอยไป มีเพียงแค่สองเรา
โบยบินไปด้วยกัน สู่ที่ไกลแสนไกล
ปล่อยให้จินตนาการของเรานำพาไป
รอยยิ้มของเธอ และดวงใจของฉัน
ข้ามผ่านประตูสู่ความฝัน
แค่เราสองคน กับโลกใบใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก
ที่นั่นจะมีเพียงแค่เธอกับฉัน และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป..
ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งความฝัน
ที่ๆทุกๆอย่างกลายมาเป็นความจริง
สถานที่แห่งเยาว์วัย
Neverland.
.
.
“แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่นะออมม่า..” เสียงของเด็กชายวัยสิบสองปีออดอ้อนคนเป็นแม่อย่างดื้อรั้น ปากบางเบ้เหมือนกับเด็กๆที่โดนแย่งของเล่น หญิงสาวยื่นมือเรียวไปขยี้กลุ่มผมดำของลูกชายเบาๆ ปีนี้ลูกชายของเธอก็จะเข้าเรียนชั้นมัธยมอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ว่าเป็นลูกคนเดียวจึงติดนิสัยเหมือนเด็กๆแบบนี้ เธอส่ายหัวเล็กน้อยและส่งยิ้มหวานอย่างอ่อนโยนไปให้เด็กชาย
“ไม่ได้หรอกนะซึงกวาน ที่เราย้ายมาที่โซลนี่ก็เพื่อให้ลูกได้เรียนที่โรงเรียนดีๆในโซลเลยนะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างนิ่มๆ เพราะเธอเป็นคุณครูชั้นประถมที่คอยดูและเด็กๆแบบนี้ล่ะมั้ง จึงทำให้เธอติดนิสัยโอ๋เด็กมากเกินไปจนเลี้ยงลูกชายที่สมควรจะโตออกมาเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าการศึกษาในเกาหลีใต้จะค่อนข้างทั่วถึงและเท่าเทียม แต่เพราะว่าเธออยากให้ลูกชายคนนี้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดครอบครัว ‘บู’ จึงต้องย้ายรกรากจากเชจูมาอยู่ที่โซลอย่างช่วยไม่ได้ นี่แค่เธอได้งานในโรงเรียนประถมขนาดเล็ก และสามีของเธอได้ย้ายงานจากสาขาเชจูมาที่โซลก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่เจ้าตัวเล็กของเธอนี่แหละที่จะงอแง ปกติสมัยที่อยู่เชจูกว่าจะยอมแยกห้องนอนได้ก็ตั้งนาน เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่จะชินกับสถานที่ได้ง่ายๆ การให้นอนคนเดียวในห้องนอนที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกแบบนี้ดูจะเป็นเรื่องยากแสนยาก เด็กหน้ากลมคนนี้กลัวผีจะตาย ต่อให้จะพยายามตกแต่งห้องให้ดูน่ารักอย่างที่เจ้าตัวชอบเจ้าเด็กหน้ากลมก็ดูจะไม่ยอมไปนอนคนเดียวอยู่ดี
“ผมอยากกลับเชจู....” แต่ปัญหาจริงๆแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ไม่อยากนอนคนเดียว เป็นเพราะเจ้าตัวเล็กอยากกลับบ้านเสียมากกว่า บูซึงกวานเป็นเด็กที่มีนิสัยเด็กกว่าอายุจริง เด็กหน้ากลมเบะปากงอแงพร้อมกับกอดเจ้าตุ๊กตาหมีในมือแน่น เวลาอยู่โรงเรียนก็ทำเป็นกวนทำเป็นกล้าไปงั้นแหละ แต่พออยู่กับพ่อแม่ทีไรนิสัยแบบนี้ก็ออกมาทุกที เอาเถอะ ตอนนี้เขาไม่อยากจะมาที่โซลนี่เท่าไหร่ เพื่อนสนิททุกคนก็อยู่ที่เชจู ที่นู่นมีคุณปู่คุณย่าแล้วก็มีบ้านที่เขาโตมามีสวนที่ค่อนข้างกว้าง จะให้เด็กน้อยตระกูลบูมาอยู่ในตึกสี่เหลี่ยมแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ
“แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าลูกจะต้องทน พอโรงเรียนเปิดลูกก็จะได้เจอเพื่อนใหม่เหมือนกับที่เชจูนั่นแหละ โรงเรียนที่โซลนี่ดีกว่าที่เชจูมากนะลูก แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ซึงกวานก็จะขึ้นมอต้นแล้วนะ เราต้องโตได้แล้วนะ” หญิงสาวพูด หยิกจมูกของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว คนโดนหยิกได้แต่มองแม่ที่เดินกลับไปยังห้องนอนแล้วทำแก้มป่องด้วยความน้อยใจ โคมไฟที่ฉายรูปดวงดาวไปตามพนังห้องนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กชายรู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อย บูซึงกวานถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกระซิบพูดกับตัวเองเบาๆ
“แต่ผมไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่นี่นา”
ยามกลางคืนของมหานครใหญ่อย่างโซลนั้นไม่ได้มืดมิดเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวอย่างเชจู จากตึกแถวที่เขาอยู่นั้นไม่สามารถมองเห็นดาวได้ คืนนี้เป้นคืนเดือนมืดดังนั้นดวงจันทร์จึงไม่ได้โผล่ขึ้นมาทักทายเหมือนเช่นเคย มีก็เพียแค่แสงไฟจากบ้านเรือนของผู้คนและดาวเหนือที่ส่องสว่างอยู่ในความมืดมิด เมื่อก่อนซึงกวานเคยเป็นเด็กที่กลัวความมิด แม่ของเขารู้เรื่องนั้นดี โคมไฟที่ถูกดีไซน์ให้ส่องเป็นรูปดวงดาวได้เหมือนกับห้องของเด็กๆจึงได้ถูกนำมาตั้งในห้องแห่งนี้ แสงของมันกำลังส่องไปทั้งบนเพดานสีขาวและกำแพงสีน้ำเงินเข้มไปทั่วแลดูนวลตา เตียงของเขาเป็นขนาดสำหรับเด็ก ไม่ได้ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป เรียกว่ากำลังดีสำหรับนอนคนเดียว มันเป้นเตียงไม้ที่มีดีไซน์อย่างเก่า ผ้าปูที่นอนสีเหลืองอ่อนอันเดียวกับที่เคยใช้สมัยอยู่ที่เชจูนั้นถูกนำมาใช้ที่นี่
แต่ถึงยังไงกลิ่นอายของที่นี่ก็ไม่เหมือนกับที่ห้องของเขาที่เชจูอยู่ดี แม้ว่าจะมีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่ใช้มาแต่เด็ก รองเท้าแตะใส่ในบ้านนุ่มนิ่มลายหมีพูห์นั่นวางอยู่ข้างเตียง โปสเตอร์การ์ตูนเรื่องนีโม่ที่เขาเอามาแปะไว้เอง หรือแม้กระทั่งชุดนอนปิกะจูที่เขาใส่อยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนสมัยที่เขาอยู่ที่เชจู กลิ่นของที่นี่ดูเก่า แม้ว่าจะไม่ได้แลดูโบราณเหมือนจะมีพลังงานบางอย่างโผล่ออกมาเหมือนในหนังฝรั่งแต่ก็ดูเหมือนว่าตึกขนาดห้าชั้นแห่งนี้จะถูกสร้างมาไม่ต่ำกว่าสามสิบปีแล้ว
โมเดลเครื่องบินที่เขาเคยต่อสมัยอยู่ปอสี่ถูกแขวนห้อยลงมาจากเพดาน เด็กชายมองมันด้วยสายตาเศร้าศร้อยเมื่อนึกถึงวันที่เขายังอยู่ที่เชจู ซึงกวานเป็นเด็กที่ติดคุณปู่คุณย่าใช้ได้เลยล่ะ เพราะพ่อแม่ของเขาต้องทำงานดังนั้นปู่กับย่าจึงเป็คนเลี้ยงซึงกวานมาตั้งแต่เด็ก การจะให้เด็กขี้แยอย่างซึงกวานอยู่ห่างจากพวกท่านจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ปากบางเบะเล็กน้อย แต่ท่าทีที่เหมือนกับจะร้องไห้นั่นก็อัตรธานหายไปทันทีเมื่อเห็นเครื่องบินนั่นขยับเคลื่อน.
หรือว่าแผ่นดินไหว?
ความคิดแรกแวบเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่ม ซึงกวานจ้องมันอย่างสงสัย แต่หน้าต่างก็ไม่ได้เปิดอยู่ กระสกใสยังสะท้อนภาพของผ้าม่านสีครีมที่ถูกพับไว้อย่างดีให้เห็นได้ ดังนั้นลมจากข้างนอกไม่สามารถพัดเข้ามาทำให้เครื่องบินนั่นขยับได้หรอก.. ชั้นวางหนังสือก็ยังคงนิ่งไม่ขยับเขยื่อน รวมถึงน้ำในแก้วน้ำที่เขาวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานพลาสติกสีขาวนั่นตั้งแต่เมื่อบ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าจะมีอากัปกริยาจากการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย... หรือว่าจะเป็นพลังงานบางอย่างที่เขาไม่อยากพูดถึงกันนะ!?
บูซึงกวานปิดตาลงแน่นด้วยความกลัว มือเล็กจิกผ้าห่มกำมะหยี่สีเดียวกับวอลเปเปอร์แน่น ส่วนมืออีกข้างก็กอดน้องหมียักษ์ไว้เหมือนกับเด็กเล็กๆ ใจของเขาเต้นแรงด้วยความตื่นกลัวกับสิ่งเร้นลับที่อยู่ในบ้านหลังนี้ มิน่าล่ะ บ้านเก่าๆทำเลดีในโซลแบบนี้ถึงได้ถูกขายด้วยราคาถูกๆ.. เด็กชายรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ย่างกรายเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่าเข้าที่แก้มเขา..
เดี๋ยวนะ ….. ลมหายใจงั้นหรอ?
ผีไม่มีลมหายใจไม่ใช่หรอ???
“คึ.... กลัวจนตัวสั่นเลยน่ะ คนหน้าเกี๊ยว” เสียงเล็กๆของเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันดังขึ้นจากข้างๆเตียง บูซึงกวานเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะพบกับเด็กวัยประมาณสิบขวบที่แต่งตัวอยู่ในชุดนอนลายกล้วยหอมจอมซนยืนขำจนปวดท้องอยู่ ไอ้เด็กบ้าที่หน้าตาดูจะแก่กว่าวัย(?)แต่เด็กขำจนน้ำตาเล็ด แม้ว่าเด็กแปลกหน้านี่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะไม่ใช่วิญญาณที่ตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อนอะไรประมาณนั้นได้ ถึงเด็กสมัยนี้เค้าจะไม่ดูกล้วยหอมจอมซนกันแล้วก็เหอะนะ ...
“ย๊า ! ไอ้เด็กบ้า ลุกขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะเฟร้ย!!! เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!? แล้วพ่อแม่นายอยู่ไหน!! มาแบบนี้เกิดฉันหัวใจวายตายขึ้นมาทำยังไง!!!!!!!!!!!!!!” บูซึงกวานตะหวาดแล้วตบแก้มไอ้เด็กหน้าแก่ด้วยความหมั่นไส้ คนถูกตบหันขึ้นมามองคนหน้าบานที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แบบสุดยอด
“โอ้ย ป้า. อย่าดุนักสิ ผมเจ็บนะเฟร้ยยยยย!!” เด็กหน้าแก่ลุกขึ้นยืนพูดกลับบ้าง จะว่าไป ไอ้เด็กนี่มันสูงกว่าซึงกวานซะอีก ให้ตายสิ แถมยังสูงกว่าตั้งสองสามเซนต์ บ้าจริง บูซึงกวานไม่ได้เตี้ยนะ.... พี่จีฮุน เพื่อนข้างบ้านที่เชจูยังเตี้ยกว่าเขาตั้งหลายเซนต์เลย...
“นายเรียกใครว่าป้า ห๊า!!!! ฉันอายุแค่สิบสองเองนะเฟร้ย แล้วหน้านายก็นำฉันไปตั้งหลายปีแล้วด้วย...” บูซึงกวานยู่หน้า ก่อนจะกอดอกทำแก้มป่องด้วยความเคยชิน ฝ่ายคนมองก็ได้แต่พยายามกลั้นหัวเราะ กลัวว่าคนตัวกลมจะหันมาแหวใส่เขาอีก
“คร้าบๆๆ ผมชื่ออี ซอกมินนะ ปีนี้สิบขวบ ยินดีทีได้รู้จัก” เด็กหน้าแก่พูดขึ้น ซึงกวานพยักหน้าน้อยๆเป็นอันรับรู้ว่าคนโตกว่าได้รับรู้ข้อมูลที่ว่าแล้ว เด็กกว่าจริงๆด้วย. คนหน้ากลมมองคนหน้ายาวตัวสูงที่มองเขาด้วยแววตาสดใสนั่น พลันความสงสัยก็แล่นเข้ามาในหัวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังอยู่ในห้องนอนของเขา แถมตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วย เด็กประถมอย่างซอกมินมาทำอะไรที่นี่กัน..
“แล้วนายเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ดึกดื่นขนาดนี้เนี่ย” คนหน้าแอบหวานพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สีหน้ามึนๆของซึงกวานก็ไม่ต่างไปจากหน้าของซอกมินที่ตอนนี้ก็ดูมึนไม่ต่างกัน คนตัวโตกว่าเบะปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน..” พูดอย่างจ๋อยๆ คนเด็กกว่าหลบสายตาของเจ้าหนุ่มเกี๊ยว มองไปยังเครื่องบินไม้ที่แขวนลงมาจากเพดานด้วยท่าทีสนอกสนใจ
“ห๊ะ ? ไม่รู้แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไงกัน???” ซึงกวานถามอย่างมึนกว่าเดิม เด็กชายเดินไปลากเก้าอี้ไม้ที่โต๊ะพลาสติกมาวางข้างๆเตียงให้ผู้มาเยือนได้นั่งก่อนจะเมื่อยตายไปซะก่อน ว่าแล้วเขาก็นั่งลงบนเตียงนุ่มแล้วคว้าเจ้าตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มากอดไว้เหมือนเมื่อครู่
“ก็ตอนแรกจะไปกินนม พอเดินกลับมาที่ห้อง เงยหน้าอีกทีก็โผล่มาที่นี่เฉยเลย” เด็กหนุ่มตัวยาวพูดแล้วชูแก้วพลาสติกลายกล้วยหอมจอมซนโบกไปโบกมา ซึงกวานเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าไอ้เด็กหน้าแก่ถือเจ้าสิ่งนี้อยู่ในมือก็ตอนนี้แหละ แก้วใบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยจะเป็นอย่างที่เด็กนี่ว่าจริงๆ เพราะคนปกติที่ไหนจะถือแก้วนมแอบลอบเข้าห้องนอนชาวบ้านถ้าไม่ใช่คนโรคจิต เอ๊ะ เดี๋ยวนะ หรือไอ้หมอนี่จะเป็นพวกโรคจิตกัน...
“ตลกละ... อ่านนิยายแฟนตาซีมากไปรึเปล่า” ซึงกวานทำหน้านอยๆก่อนจะลูบหัวไอ้เด็กตัวโตตรงหน้าพลางส่ายหน้าน้อยๆ ซอกมินเบะปากแล้วเขกหัวคนโตกว่าอย่างไม่พอใจ
“ฮยองจะว่าผมโกหกหรอ!! ใครจะบ้าบุกบ้านคนอื่นดึกๆดื่นๆแบบนี้กัน” คนเด็กกว่างอแง ซึงกวานพยักหน้ารับ ดูๆไปแล้วไอ้เด็กนี่ก็ไม่น่าจะใช่พวกโรคจิตนักหรอก ท่าทางก็ดูน่าจะมีตังค์ ที่บ้านก็น่าจะเลี้ยงมาดี ยกเว้นมารยาทน่ะนะ.. สงสัยจะลืมอบรม...
ซอกมินมองไปรอบๆห้องด้วยท่าทีสนอกสนใจ ห้องของพี่ชายตัวกลมตรงหน้าดูเหมือนกับห้องนอนของเขามาก เพียงแต่จะดูเก่ากว่าห้องที่เคยเห็นอยู่ทุกวันก็เท่านั้น ทั้งวอลเปเปอร์สีน้ำเงินที่เขาเป็นคนเลือก เพดานสีขาว พรมที่เท้าสีเหลืองอ่อน ทุกๆอย่างล้วนเหมือนกับห้องของเขา เตียงนี้ก็เช่นกัน แต่เฟอร์นิเจอร์และโปสเตอร์ที่ได้ถูกเพิ่มเข้ามานั้นทำให้มันดูเปลี่ยนไปจากที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มเริ่มเดินสำรวจรอบๆ ตรงจุดที่เป็นชั้นหนังสือเก่าๆที่เต็มไปด้วยนิยายของแม่กลายเป็นโต๊ะพลาสติกสีขาวแลดูแปลกตาไม่เหมือนกับโต๊ะที่บ้านเขาชอบใช้กันเท่าไหร่ โคมไฟที่ตั้งอยู่บนนั้นกับหนังสือเรียนเลขยากๆก็คงเป็นของซึงกวานอย่างไม่ต้องสงสัย ตู้เสื้อผ้าอันใหม่ที่มีดีไซน์แบบโมเดิร์นไม่เหมือนกับตู้เสื้อผ้าของเขาที่เหมือนหลุดมาจากนาร์เนีย ไหนจะที่โล่งๆตรงมุมห้องตรงจุดที่เขาใช้ปลูกต้นไม้ หลายๆอย่างที่แตกต่างกันกระจัดกระจายอยู่ทั่วเต็มห้อง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กชายรู้สึกว่าที่นี่เหมือนกับห้องของเขาก็คือกลิ่นอายของมัน ห้องนี้ที่มีกลิ่นของเขาและภาพความทรงจำมากมายลอยอยู่ทั่ว
เด็กชายเดินไปรอบๆมองทุกอย่างด้วยความสนใจ พลางคิดสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่คิดเท่าไรก็มีแต่จะทำให้หนักหัวเปล่าๆ สำหรับเด็กชายวัยสิบขวบแล้วเหตุการณ์ตรงหน้านี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสนามเด็กเล่น น่าสนุกและน่าตื่นเต้น สำหรับเขาตอนนี้แล้วไม่รู้สึกกังวลใจแม้แต่น้อยว่าจะอยู่ที่ไหน บางทีเขาอาจจะข้ามผ่านประตูมิติออกไปยังโลกคู่ขนานเหมือนในนาร์เนียก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ
คนตัวสูงหยุดลงตรงปฏิทินที่แขวนไว้ข้างตู้เสื้อผ้า ปฏิทินที่บอกวันเวลาที่ต้องทำให้เด็กหนุ่มประหลาดใจ ตาที่ไม่โตนักกลับเบิกกว้างเมื่อเห็นมัน เขาอ้าปากค้างราวกับว่ามันได้ไขข้อข้องใจที่ติดอยู่ในหัวตอนนี้จนหมดสิ้น
1 กุมภาพันธ์ 2010
“ปีสองพันสิบ....?” เด็กหนุ่มหน้าแก่ทวนเวลาที่เห็นในปฏิทิน เจ้าของห้องมองคนเด็กกว่าก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย หรือเด็กนี่มันบ้าจริงๆ ทำหน้าตาเหมือนกับไม่เคยเห็นปฏิทินมาก่อนแบบนั้น ซึงกวานไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเสียเท่าไหร่จึงกรอกเสียงกลับไปขณะที่เปิดอัลบั้มของอาฟเตอร์สคูลที่เพื่อนสนิทของเขาเพิ่งซื้อให้เมื่อวันเกิดที่ผ่านมาดูเป็นครั้งที่ร้อยแปดสิบ
“อื้อ ทำไมหรอ” ฝ่ายคนที่ได้ยินคำตอบวิ่งรี่เข้ามาหาคนแก่กว่าด้วยสีหน้าตื่นเต้นแบบสุดขีด เด็กตัวสูงกระโดดลงบนเตียงเล็กแรงเสียจนซีดีอาฟเตอร์สคูลสุดหวงหลุดจากมือของเด็กหน้ากลม ซึงกวานเบิกตามองไอ้เด็กตัวโตก่อนจะฟาดเข้าเต็มๆที่กลางหัว
“ย๊า! ไอ้เด็กบ้าทำอะไรของนาย อาฟเตอร์สคูลนูน่าของฉันหลุดมือหมดแล้วเห็นมั้ยย!!!!” ซอกมินยื่นซีดีที่เขารับไว้ทันให้เด็กหน้าเกี๊ยว
“... แต่ปีนี้ของผมมันคือปี1992....” เด็กชายพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น ซึงกวานมองไอ้เด็กตรงหน้าด้วยสีหน้ากึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ บูซึงกวานเป็นคนเชื่อคนง่ายก็จริง แต่ไอ้สิ่งที่เด็กคนนี้พูดมามันดูจะเกินขอบเขตของความเป็นจริงเสียจนเขาต้องลังเล อันที่จริงก็ควรจะลังเลตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ.
“จะบ้าหรอ ปี1992 ชาติที่แล้วฉันยังไม่ตายเลยมั้งน่ะ!” บูซึงกวานสวนกลับไปด้วยสีหน้าไม่เชื่อแบบสุดๆ เขาควรจะเตะไอ้เด็กบ้านี่ออกไปจากห้องสินะ... ดูท่าว่าอาจจะไม่เต็ม มันอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับคนหน้าตาดีแบบเขาซักเท่าไหร่
“ฮยองเชื่อผมสิ! ผมเข้าใจแล้วว่ามาที่นี่ได้ยังไง” เด็กน้อยพูดด้วยความตื่นเต้น ซอกมินยืนขึ้นกระโดดบนเตียงอย่างลืมตัวว่าไซส์ของเตียงนั้นมันเล็ก แถมตัวของเขาเองก็ใช่ย่อย เด็กตัวโตจึงพลาดท่าสะดุดขาของอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงหล่นลงมาทับคนแก่กว่าอย่างช่วยไม่ได้ ซึงกวานถอนหายใจเบาๆกับท่าทางเซ่อๆของไอ้เด็กทะลุมิติ เอาวะ ฟังมันหน่อยก็คงจะไม่เสียหายอะไรวะ
“ที่นี่คือห้องของผม เราเชื่อมกันด้วยที่นี่.... และตอนนี้ผมก็กำลังทะลุเข้ามาในอนาคต....?” ซอกมินทวนทุกอย่างออกมาทางคำพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น เด็กชายเกาหัวเบาๆ ซึงกวานมองเด็กอีกคนอย่างไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไหร่ เอาเถอะ คนปกติที่ไหนอยากจะเชื่ออะไรแบบนี้กัน เด็กชายเบ้หน้าเล็กน้อย แล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเท่านั้นเองเด็กหน้าเกี๊ยวก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
เพราะตอนนี้นาฬิกาดิจิตอลของเขากำลังหยุดอยู่นิ่งที่เวลา 25:00:00
ความคิดเห็น