คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : the silent admirer | mingming x junhui
ความรักน่ะ .. ต่อให้มันจะบิดเบี้ยวแค่ไหนแต่ก็ยังเป็นความรักไม่ใช่หรือ?
ใครบางคนเคยให้คำนิยามคำว่ารักกับผมมาตั้งมากมาย
แต่กับผมคนที่อยู่เหมือนไร้หัวใจมาตลอดสิบกว่ามีมันกลับไม่เคยเข้าใจ
จนกระทั่งผมได้มาพบคุณ
ฤดูใบไม้ผลิตอนอายุสิบห้า นั่นคือตอนที่ผมได้เห็นคุณเป็นครั้งแรก วันนั้นเป็นวันที่ดอกไม้ทุกดอกพร้อมกันเบ่งบาน ราวกับว่ารู้ว่าวันนั้นจะเป็นวันแรกที่ผมได้พบคุณซึ่งเป็นคนพิเศษของผม ต้นไม้ที่เต็มไปด้วยสีชมพูของดอกไม้ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของผมในฐานะนักเรียนมัธยมต้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าในโรงเรียนการเต้นของเรานั้นมีคนดังแบบคุณเรียนอยู่ด้วย วันแรกที่รู้จักคุณ ก็เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ในฐานะเพื่อนร่วมโรงเรียนของคุณเสียแล้ว อาจเป็นเพราะว่าคุณเป็นคนดังและต้องเดินทางไปทำงานบ่อยๆจนไม่ค่อยได้เข้าเรียน ผมจึงไม่เคยเห็นคุณ
ในวันนั้นคุณเป็นคนขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์จบการศึกษา แสงแฟลชนับร้อยสาดส่องไปที่คุณที่มีใบหน้าที่งดงามสมเป็นดาราชื่อดัง เพราะเป็นคนไม่ค่อยดูละคร ไม่ค่อยเสพสื่ออะไรเสียเท่าไหร่ ผมจึงไม่เคยรู้ว่าที่โรงเรียนแห่งนี้มีซูเปอร์สตาร์ของจีนเรียนอยู่ด้วย อย่างคุณ ‘เหวิน จวิ้นฮุย’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะนักแสดง เพราะแบบนี้สินะ วันจบการศึกษาของเราจึงมีนักข่าวและเหล่าแฟนคลับเต็มไปหมดทุกที่ แม้จะมีผู้คนมากมายแต่จากจุดที่ผมอยู่ตรงนั้นมองเห็นคุณชัดเจน คุณในวันนั้นยังเด่นชัดในความทรงจำของผม คำพูดทุกคำยังตราตรึงในใจ แววตาของคุณที่จ้องมาที่ผมเพียงชั่ววินาทีทำให้คนที่อยู่ด้านล่างแทบหัวใจหยุดเต้น..
นั่นคงจะเป็นรักแรกพบเป็นแน่
นั่นคือความคิดแรกของผมที่มีต่อคุณ และยิ่งนานวันเข้าผมก็มั่นใจว่านั่นคือความรัก เพราะไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้ นั่นทำให้ผมยิ่งอยากเข้าใกล้คุณ หลังจากวันนั้น ผมใช้เวลาเป็นเดือนดูหนังที่คุณแสดงตั้งแต่อายุยังไม่ถึงห้าขวบดี ละครทุกตอนหนังทุกเรื่อง แม้แต่โฆษณาทุกชิ้นล้วนผ่านตาของผมมาหมด ราวกับได้เข้าใกล้คุณทีละนิด ทุกๆวันที่ผมได้สัมผัสความหอมหวานของน้ำเสียงนั้น รอยยิ้ม และแววตาที่คุณมองมาผ่านจอแก้วราวกับจะสะกดผมให้หยุดอยู่เพียงแค่คุณ
เหมือนกับว่าคุณอยู่ตรงนี้จริงๆ
ทุกๆคืนผมจะนอนกอดหมอนข้างและจินตนาการว่ามันเป็นคุณ นึกถึงไออุ่นที่ออกมาจากร่างบางนั้น กลิ่นแชมพูที่ออกมาจากกลุ่มผมดำนั่น ผมเฝ้านึกถึงมัน คร่ำคิดว่าตัวคุณจริงๆแล้วจะเป็นอย่างไรกันนะ นับวันความอยากรู้นั่นก็เพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความปรารถนาที่ผมไม่อาจควบคุม ผมอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้ อยากเข้าใกล้คุณ และตัวตนของคุณที่เคยมีอยู่เพียงแค่ในจินตนาการก็ไม่อาจเติมเต็มความต้องการในใจของผมได้อีกต่อไป
ผมก้าวเดินเข้าใกล้คุณขึ้นเรื่อยๆ
ผมเริ่มออกตามหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคุณ
กลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ เสื้อผ้าที่คุณใส่
อาหารที่คุณชอบกิน ไซส์เสื้อ ไซส์รองเท้า
สิ่งเหล่านั้นที่พบเจอได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ตทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ ผมไม่อยากเป็นแค่แฟนคลับของคุณ ไม่อยากเป็นแค่คนที่คุณไม่เคยเห็นในสายตา ไม่ต้องการเป็นคนไร้ค่าที่ได้แต่รอวันที่ดอกฟ้าอย่างคุณจะหันลงมามองผม ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มใช้การที่เราเคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันขึ้นมาให้เป็นประโยชน์ ผมสืบเสาะข้อมูลต่างๆที่ไม่มีแฟนคลับคนใดรู้ผ่านเพื่อนร่วมชั้นของพวกเราได้อย่างไม่ยาก
ไม่นานผมก็ได้รู้จักคุณมากขึ้นอย่างที่ใจต้องการ
ผมรู้เบอร์โทรศัพท์ของคุณ
ผมรู้ที่อยู่ของคุณ
ผมรู้ทั้งอีเมล เว่ยป๋อ และทุกๆอย่างที่คุณมี
เหมือนกับรสหอมหวานของขนมชั้นเลิศ เรื่องราวของคุณนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจสามารถต้านทานได้เลย เมื่อผมได้ลิ้มรสสัมผัสอันนุ่มนวลของมันแล้วก็มิอาจจะวางมันลงจากมือ มีเพียงแต่กิเลสที่อยากจะทานมันจนหมดสิ้น เหมือนกับของโปรดที่ต่อให้ผมทานมันจนหมดทั้งโลกก็ยังไม่เพียงพอ
สำหรับผม คุณก็เป็นเหมือนดังขนมเช่นนั้น ผมอยากจะกลืนกินคุณเข้าไปทั้งตัว อยากที่จะโอบกอดคุณไว้ไม่ให้ใครบนโลกนี้ได้มายลความงามของคุณ ยิ่งได้รู้จักคุณมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งปรารถนาที่จะเข้าใกล้คุณมากขึ้นเท่านั้น คุณที่เหมือนกับแสงไฟสว่างจ้าที่ล่อให้แมลงเม่าอย่างผมบินเข้าใส่ทั้งที่รู้ไม่มีวันที่จะได้ครอบครอง แต่นั่นหาได้หยุดผมจากสิ่งที่กระทำอยู่ไม่ นับวันผมยิ่งเดินเข้าใกล้คุณเรื่อยๆและเหมือนกับว่าคุณก็เดินหนีจากผมไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามือทั้งสองข้างของผมนี้ไม่อาจจะเอื้อมถึง ผมจึงวิ่งต่อไปจนสุดกำลังที่คนอย่างผมจะทำได้
ครั้งแรกที่ผมแอบไปรอคุณที่หน้าบ้านเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ผมถือร่มสีดำยืนอยู่อีกฝากของถนนในขณะที่คุณไขกุญแจเข้าไปในบ้านแฝดหลังนั้น ผมมองคุณที่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยเดินเข้าไปพบกับน้องชายตัวเล็กที่ออกมาต้อนรับและกอดเด็กคนนั้น ผมอิจฉาเหลือเกิน กับการทีเด็กคนนั้นได้อยู่ใกล้คุณ มือของผมกำร่มสีดำแน่น เสียงฝนที่ตกรอบกายเหมือนกับฟืนที่สุมไฟในใจของผมให้เดือดขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ผมเริ่มตามคุณไปในทุกที่ที่คุณไป ตั้งแต่จบมอต้นผมก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหน หลีกหนีจากระบบการศึกษาวุ่นวาย ได้ยินมาว่าแม่สมัครที่เรียนให้ผม แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะผมไม่ได้เรียนที่เดียวกับคุณอีกแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกับการที่จะไปเรียนต่อ เป็นเพราะผมเป็นคนไม่เอาไหนมาตั้งแต่ไรแล้ว พ่อแม่ของผมจึงไม่ค่อยจะมาสนใจดูแลอะไรนัก นั่นเป็นเรื่องที่ผมรู้ดี และรู้ว่าต่อให้ไม่ไปเรียนมอปลายนั้นพวกท่านก็คงจะไม่มาบ่นให้เสียเวลาหรอก
ทุกๆวันผมจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของคุณแต่เช้า เฝ้ามองคุณจนออกไปเรียน และก็ไม่ปล่อยให้คุณคลาดสายตาจนกระทั่งคุณเช้านอน หลังจากนั้นผมก็จะท่องอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตเฝ้าตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ขอบตาของผมเริ่มช้ำ และผิวของผมก็เริ่มซีดขึ้น เพราะทานอะไรน้อยลงน้ำหนักของผมก็ลดอย่างรวดเร็ว แต่การดูแลตัวเองนั่นไม่จำเป็นกับผมอีกแล้ว เพียงแค่ได้เห็นหน้าคุณเพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกอิ่มยิ่งกว่าทานอาหารที่รสเลิศที่สุดบนโลกใบนี้เสียอีก
บางวันที่ผมคิดถึงคุณมากเกินไป ผมก็กดเบอร์โทรศัพท์ไปยังเบอร์ของคุณที่ผมจำได้ขึ้นใจมากกว่าชื่อของผมเสียอีก เพียงแต่คุณนั้นไม่เคยรับสายของผมเลย นั่นทำให้ผมร้อนรนใจจนต้องกดโทรซ้ำๆจนถึงรุ่งสาง แต่คุณก็ยังไม่เคยตอบรับมัน เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมเกลียดเกี่ยวกับคุณ การที่คุณไม่สนใจผมมันทำให้ผมทรมาณ เหมือนกับคุณได้กรีดรอยแผลที่มองไม่เห็นบนดวงใจที่บอบบางของผม มันทำให้ผมทนไม่ได้ และต้องการจะลงโทษคุณ
ผมเขียนจดหมายถึงคุณเวลาที่ผมรู้สึกไม่พอใจ จดหมายที่เขียนเอาความรู้สึกของผมลงไปอย่างละเอียด ความยาวประมาณสามถึงสี่หน้ากระดาษมันไม่อาจเอาความรู้สึกทั้งหมดเขียนลงไปได้ แต่มันคือความยาวมากที่สุดเท่าที่ผมจะทนเขียนได้โดยไม่ได้เห็นหน้าคุณ หมึกสีดำสนิทนั่นก็เหมือนกับตาที่มืดบอดของผม และเมื่อไรที่มันเปลี่ยนเป็นสีแดงก็หมายถึงหัวใจของผมที่ชุ่มไปด้วยเลือดจากบาดแผลแห่งความรักที่คุณเป็นคนสร้างขึ้น และบางครั้ง ผมก็ส่งใบมีดที่ใช้กรีดเลือดสีแดงฉานนั่นส่งไปให้คุณด้วย เพื่อที่ว่าคุณจะได้สัมผัสสิ่งที่เป็นตัวผมมากขึ้น
ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะได้อ่านมันหรือไม่ และผมก็ไม่สนใจว่าคุณจะอ่านมันหรือไม่ด้วย ผมเพียงแค่อยากระบายความรู้สึกที่แข็งกร้าวพวกนั้นออกไปเพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่เอามันไปใช้กับคุณผู้แสนบอบบาง ผมอยากจะปกป้องคุณ ดูแลคุณ ซ่อนคุณเอาไว้ไม่ให้ใครพบเจอ นั่นคือความปรารถนาสูงสูงสุดของผม...
มือของผมกวาดผ่านโปสเตอร์รูปคุณที่แปะอยู่เต็มห้องนอนอย่างแผ่วเบา ผมมองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาโหยหาเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้มันต่างออกไปตรงที่วันนี้ผมจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ ผมหลงใหลในตัวคุณเหลือเกิน เหวินจวิ้นฮุย ผมอยากจะสัมผัสกลืนกินคุณไปทั้งตัว ผมอยากจะอยู่ในสายตาคู่นั้น วันนี้เป็นวันเศษของคุณ เพราะอย่างนั้นผมจึงได้เตรียมสิ่งพิเศษสุดไว้ให้คุณ
ผมเก็บยานอนหลับอย่างดีชนิดที่ผมมั่นใจว่าจะไม่เป็นอันตรายไว้ในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับผ้าสีขาวสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อ ผมต้องการตัวคุณ ไม่ใช่ต้องการทำร้ายคุณ ผมอยากจะพาตัวคุณมาด้วยความปลอดภัย ไม่ใช่สร้างความเสียหายแม้แต่น้อยให้กับร่างที่งดงามนั่น ผมคิดแล้วคิดอีก วางแผนซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวิธีที่จะทำให้ผมได้ครบอครองคุณ และในวันนี้ซึ่งเป็นวันเปิดตัวภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ที่คุณจะแสดงนั่นเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับผม
แจ็กเก็ตราคาแพงเพียงตัวเดียวที่ผมมีถูกสวมใส่ มันเป็นเสื้อเพียงตัวเดียวที่ผมมั่นใจ แม้ว่าผมคนนี้จะไม่ได้เป็นคนหน้าตาดีอะไรแต่ผมเองก็อยากจะดูดีที่สุดในวันนี้ที่คุณจะได้มองมาที่ผมเสียที ผมใส่แว่นกันแดดสีเข้มบดบังหน้าไว้ พร้อมกับหมวกสีดำใบเก่งคลุมทับด้วยฮู้ดของแจ็กเก็ตตัวนั้น มาสก์ปิดปากถูกใส่ไว้ และเท่านี้ ผมก็พร้อมแล้วที่จะทำตามแผนที่ได้วางไว้
และผมมั่นใจ ว่าต่อให้มันผิดไปจากแผนนั้น ผมจะไม่เสียใจในภายหลัง
“แกๆ เห็นข่าวเรื่องซาแซงแฟนของพี่จวิ้นฮุยหรือเปล่า” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดกับเพื่อนสนิท ในมือเรียวกำลังถืออุปกรณ์สื่อสารที่เปิดหน้าข่าวที่ไม่น่าดูค้างไว้อยู่ ฝ่ายถูกถามไม่ได้หันขึ้นมามองเพื่อนรักแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มหน้ากลมก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไปโดยไม่คิดที่จะหันขึ้นมามอง ก็อ่านแล้วข่าวที่ว่านั่น และก็รู้ดีว่าภาพข่าวนั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเสียเท่าไหร่
“เห็นแล้ว...” ซึงกวานพูด เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวกับอะไรพวกนี้ แค่นึกถึงภาพนั้นก็ทำให้เขาเกือบจะน้ำตาซึมออกมาแล้ว แต่ฮันโซลผู้เป็นเพื่อนสนิทดูจะไม่ได้นึกถึงนิสัยนี้ของผู้เป็นเพื่อนเสียเท่าไหร่ ดันยกเจ้าเครื่องมือสื่อสารหรูนั่นขึ้นชู
“โหดเนอะแก ไม่คิดว่าการ์ดจะทำถึงขนาดนี้” ฮันโซลพูด ซึงกวานไม่ได้พูดอะไร ก็การ์ดที่ว่านั่นเป็นญาติของเขาเองนี่นา แล้วหากจะมีใครรู้เรื่องข่าวนี้ดี ก็คงจะเป็นเขาที่เป็นญาติเชวซึงชอล บอดี้การ์ดสุดโหดนี่แหละ ภาพวันนั้นยังติดตาอยู่เลย หากรู้อย่างนั้นเขาคงจะไม่ไปตั้งแต่แรก ซึงกวานรู้สึกผิดอยู่นิดๆ เขาเป็นคนบอกพี่โดยูน แฟนคลับตัวแม่ของจวิ้นฮุยเรื่องที่ว่าเขาเห็นบุคคลน่าสงสัยจนโดยูนนึกได้ว่าเหมือนกับซาแซงแฟนโรคจิตคนที่กำลังตามจวิ้นฮุยอย่างบ้าคลั่ง จนโทรเรียกซึงชอลผู้เป็นแฟนหนุ่มของโดยูนมาจัดการ
ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนบ้าพลัง ยิ่งอะไรที่โดยูนช่วยยุ ซึงชอลยิ่งทำเสียเต็มที่ และเมื่ออีกฝ่ายมีทีท่าจะขัดขืน ซึงชอลก็คงเผลอมือไปหน่อย แต่เพราะเป็นการป้องกันตัว และผู้คนหมู่มากก็กำลังมุงดู ญาติคนพี่ของเขาจึงไม่โดนต้องหาคดีใดๆแม้จะทำร้ายอีกฝ่ายจนเกิดเหตุการน่าสยดสยองนั่นก็ตาม...
เขาเองก็นึกสงสารผู้ชายคนนั้นที่ใครๆก็ต่างประนาม แม้กระทั่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ก็ไม่มีใครที่จะนึกสงสารเด็กหนุ่มคนนั้นซักคน ได้ยินมาว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับจวิ้นฮุย ถ้าอย่างนั้นก็คงห่างกับเขาแค่เพียงไม่กี่ปี แม้แต่พ่อแม่ของเด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะมาเยี่ยมแม้แต่น้อย คงจะอับอายที่มีลูกชายเป็นแบบนี้ ไม่มีใครมาสนใจเด็กหนุ่มคนนั้นซักคน แค่เพียงเพราะเขารักคนคนนึงมากเกินไปงั้นเหรอ? จริงๆแล้วซึงกวานก็ไม่เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มคนนั้นเท่าไหร่หรอก หากแต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว หากไม่ใช่ความรักแล้วเด็กคนนั้นจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร ยอมยืนตากฝน ไม่หลับไม่นอนทุกคืน ทุกๆอย่างก็เพราะความรักไม่ใช่หรือ หลังจากเหตุการณ์นั้น ดาราหนุ่มจวิ้นฮุยได้เรียกผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์อย่างพวกเขาเข้าไปหาและได้นำสิ่งหนึ่งออกมาให้พวกเขาดู
ของขวัญมากมายที่ดาราดังได้รับจากแฟนคลับที่มีเพียงแค่ตัวอักษร ‘Y.M’ สลักอยู่ โมเดลรูปบ้านหลังเล็กที่มีตุ๊กตาเด็กผู้ชายสองตัวยืนอยู่บนนั้นด้วยรอยยิ้ม เสื้อไหมพรมตัวใหญ่ที่ดูถักขึ้นมาอย่างบรรจง ไปจนอัลบั้มรวมรูปตั้งแต่จวิ้นฮุยยังเด็กจนโต นอกจากนี้ยังมีรูปของเค้ก และขนมแฮนเมดมากมาย รวมทั้งจดหมายหลายร้อยใบที่หน้าตาดูไม่แตกต่างไปจากจดหมายของแฟนคลับคนอื่น จดหมายทุกใบมาพร้อมกับรูปโพลารอยด์ บางครั้งเป็นรูปรอยยิ้มของดาราดัง บางรูปเป็นเพียงรูปทิวทัศน์ และบางรูปเป็นรูปของเจ้าของจดหมายนั้นที่สามารถมองเห็นได้เพียงครึ่งตัวเท่านั้น ทุกๆอย่างที่กองอยู่ตรงหน้านั้นทำให้เขาได้รู้สึกถึงความอบอุ่นของความรักที่เด็กหนุ่มคนนั้นมีต่อจวิ้นฮุย
‘ทำไมเราจะไม่รู้จักล่ะ... เด็กคนนั้นน่ะ’ จวิ้นฮุยพูด ซึงกวานแอบเห็นขอบตาของดาราหนุ่มนั้นแดงๆคล้ายกับคนที่เพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก
‘คงจะไม่รู้ตัวหรอก ว่าเรามองเขามานานแค่ไหน แล้วก็คงจะไม่รู้หรอก ว่าเราก็รู้มาตลอดว่าเป็นเขาน่ะ’ กัดปากไปพูดไปราวกับพยายามจะกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา เด็กหนุ่มหน้ากลมมองใบหน้าสวยที่ฉายแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัดนั่นด้วยความเป็นห่วง ซึงชอลกับโดยูนที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา ในใบหน้าของคนอายุมากกว่าทั้งสองไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรให้คนเด็กกว่าอย่างเขาได้เห็น
‘ถึงบางทีมันจะเกินเส้นที่ขีดไว้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก.... พวกคุณไม่เห็นหรอว่าในแววตาคู่นั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายแค่ไหน’
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ดาราหนุ่มทิ้งไว้ก่อนเดินออกไปจากห้อง..
จวิ้นฮุยไม่คิดจะเอาผิด ทั้งเด็กหนุ่มซาแซงคนนั้นที่ติดตามเขาจนน่ากลัว และไม่คิดจะเอาความอะไรกับเชวซึงชอลคนนั้นที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ รวมทั้งไม่ได้ออกมาแถลงอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย ดาราหนุ่มนิ่งเงียบกับเรื่องที่เกิดขึ้น และค่อยๆเงียบหายไปสื่อมวลชนช้าๆ ทิ้งให้เหล่าแฟนๆพูดวิจารณ์ไปต่างๆนานากับเหตุการณ์ในวันนั้น
ซึงกวานเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จะมีซักกี่คนกันนะที่ได้เห็นอีกมุมของเด็กหนุ่มคนนั้นที่สังคมเอาแต่ประนาม แม้ความรักของเด็กหนุ่มคนนั้นจะบิดเบี้ยวผิดไปจากที่ควรจะเป็น แต่มันก็ยิ่งใหญ่และอบอุ่นเกินกว่าที่แฟนคนไหนๆมีให้กับดาราหนุ่มไม่ใช่หรือ? ทั้งๆที่ตอนนี้เด็กคนนั้นไม่สามารถแม้แต่จะขยับกายเองได้ด้วยซ้ำแต่ก็ไม่มีใครที่คิดสงสารเลยแม้แต่น้อย มีแต่ซ้ำเติมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บางทีการไม่ต้องฟื้นกลับขึ้นมาของเด็กคนนั้นอาจจะดีแล้วก็ได้ ดีกว่าการที่ต้องตื่นมาทนรับกับสภาพของโลกนี้ที่มองเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยามและเหยียบย่ำเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บนี่ซ้ำลงลึกอีก..
มือบางไล้ผ่านผ้าพันแพลที่ถูกพันไว้ทั่วตัวจนไม่อาจเห็นเนื้อหนังที่แท้จริงของร่างตรงหน้าอย่างเบามือ เจ้าของใบหน้างดงามถอนหายใจเบาๆอย่างอ่อนใจกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เขานึกย้อนไปถึงสมัยตอนที่ทั้งสองยังเป็นนักเรียน ดาราหนุ่มยังจำได้ถึงรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ไม่ได้เป็นคนที่เด่นดังอะไรนัก แต่ในสายตาของเขาแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นกลับโดดเด่นกว่าเพื่อนคนไหนๆ ตลอดสามปีในโรงเรียนมัธยมแห่งนั้น เขาไม่เคยได้อยู่ห้องเดียวกับคนคนนั้นซักปี ได้แต่แอบมองอยู่เพียงแค่ไกลๆเท่านั้น
เพราะต้องเรียนด้วย ทำงานไปด้วย จวิ้นฮุยเลยไม่สามารถหาช่วงเวลาเหมาะๆที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเจ้าของรอยยิ้มที่สดใสและเต็มไปด้วยความจริงใจเหมือนกับรอยยิ้มของสติ๊ทช์นั่นเลยซักครั้ง เขาได้แต่เฝ้าอธิษฐานให้ซักวันหนึ่งคนคนนั้นมองมาที่เขาบ้าง แต่ดูเหมือนกับว่าโชคชะตาดันเล่นตลก ตอบรับคำอธิษฐานของเขามาจากเกินควร และในวันนี้ การที่เขากับคนคนนั้นจะได้พูดกันจริงๆเหมือนที่เคยคิดวาดฝันเอาไว้มากมายก็คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว..
จวิ้นฮุยมองร่างที่แทบไม่เหลือเค้าเดิมพ่อแม่ของเด็กคนนี้ไม่คิดจะมาสนใจด้วยซ้ำ คนที่ออกปากให้รักษาดูแลเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนไม่มีทางรอดนี่คือเขาเอง และเงินทุกอย่างที่ได้มาจากการแสดงก็ถูกนำมารักษาเด็กคนนี้เสียหมด เป็นครั้งแรกในชีวิตสิบเจ็ดปีของเหวิน จวิ้นฮุยที่รู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดการแสดง และเกลียดโลกใบกว้างนี้ที่ตัดสินคนแต่เพียงเท่าที่เห็นภายนอก และแม้แต่เขาเองที่ยืนอยู่ ณ จุดนี้ ก็ยังไม่สามารถช่วยอะไรคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
อาจเป็นเพราะแท้ที่จริงแล้วเขาก็รักคนคนนี้ตลอดมาเช่นกัน... เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะวางมือจากวงการมายา และเลือกที่จะกลับมาเป็นเพียงคนธรรมดาๆเท่านั้นโดยไม่สนใจเสียงรอบข้างเลยแม้แต่น้อย มันอาจดูบ้ามากที่เขาตัดสินใจทำอะไรโง่ๆแบบนี้ แต่คิดกลับกันแล้ว ตอนนั้นเด็กคนนี้เองก็บ้ามากเหมือนกันที่ยอมมอบทั้งชีวิตของตนเองให้กับเขาที่อยู่ไกลสุดจะเอื้อมในวันนั้น
คนโง่...
น้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย ในหัวยังคงมีแต่รายงานของแพทย์ประจำที่ทำให้เขาหนักใจอยู่อย่างนี้ กระดูกซี่โครงหักสามซี่จากการต่อสู้ กระดูกแขนที่แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงมหาศาล และบอบช้ำที่ภายใน นั่นคือฝีมือของบอดี้การ์ดบ้าพลัง ที่เลวร้ายนั่นคือการที่เด็กหนุ่มตกลงไปในเขตการซ่อมถนนไม่ไกลนัก เหล็กแหลมเสียบเข้าที่ต้นขา ซึ่งคงทำให้เขากลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว จวิ้นฮุยยังจำการเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี ยังรู้สึกใจหาย เมื่อนึกได้ว่าคงจะไม่ได้เห็นภาพนั้นอีกแล้ว ที่แย่ไปกว่านั้น เพราะการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เหล็กจากรถเครนที่คนขับยังไม่สร้างเมายังได้หล่นลงมากระแทกร่างที่ไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าที่เคยหล่อเหลานั่นบิดเบี้ยวจนแทบแหลกเหลวตอนที่ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล แต่ต้องขอบคุณการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าของจีนที่ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้สิ้นใจไปอย่างที่หลายๆคนคิด เพียงแค่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างแรงในส่วนของซีรีบรัมเพียงเท่านั้น...
เพียงแค่ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไปเท่านั้น..
นั่นคือคำพูดของหมอหนุ่มที่ถูกส่งมาพร้อมกับสายตาแปลกๆที่มองเขาราวกับเป็นคนบ้าที่มาช่วยคนที่ถูกตราหน้าว่าโรคจิต จวิ้นฮุยไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เพียงแค่ขอให้ดูแลเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไปเพียงเท่านั้น แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ตื่นมาอีกแล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บชีวิตของเด็กคนนี้ไว้ แม้เพียงแค่ได้มองอย่างไร้ความหวังเท่านั้นเอง
บางทีนี่อาจเหมือนกับความรู้สึกตอนนั้น ตอนที่เด็กคนนั้นมองเขาจากที่ไกลๆก็ได้
มองอย่างสิ้นหวัง เหมือนกับว่าไม่มีวันที่การรอคอยนั้นจะเป็นจริงได้
เพราะรักมากเกินไป เพราะอย่างนั้นใช่มั้ย สุดท้ายทุกอย่างจึงจบลงแบบนี้?
หลายครั้งเขาก็แอบสงสัย ว่าในความฝันของเจ้าชายนิทราคนนั้นจะมีเขาอยู่บ้างไหม?
หรือบางที เด็กคนนี้อาจจะเกลียดเขาไปเลยหลังจากเรื่องทุกอย่างก็เป็นได้
แต่จากรอยยิ้มที่มองผ่านผ้าพันแผลแล้วนั่นทำให้เขามั่นใจว่าในความมืดมิดนั้น เด็กหนุ่มคงต้องกำลังฝันดีอยู่เป็นแน่ จวิ้นฮุยยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่มีวันรู้ว่าใครบางคนกำลังรอเขาอยู่ในโลกความเป็นจริง ไม่รู้ว่ามีมือหนึ่งที่กำลังโอบกอดเขาด้วยความรักความอบอุ่นที่ไม่ต่างกัน...
เอาเถอะ.. หลับให้สบายนะ
ฉันจะเฝ้ามองดูนายอยู่จากตรงนี้แหละ...
หวังว่าซักวันเราจะได้พบกันจริงๆเสียทีนะ..
เหยา หมิงหมิง...
ความคิดเห็น