คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : neverland | seokmin x seungkwan - 2/2
หลังจากวันนั้น ทุกๆคืนเมื่อเลขบนนาฬิกาดิจิตอลหยุดอยู่ที่เวลายี่สิบห้านาฬิกา ซอกมินก็จะมาปรากฎตัวที่ห้องของซึงกวานทุกวันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกๆคืนเด็กทั้งสองจะคุยเล่นกันด้วยรอยยิ้มจนพล็อยหลับกันไปทั้งคู่ และเมื่อเด็กหน้ากลมตื่นขึ้นมาก็จะไม่พบร่างของเด็กหน้าแก่ตัวสูง ทุกๆอย่างดำเนินอย่างนั้นไปวันแล้ววันเล่า จากเด็กที่ไม่รู้จักกกันตอนนี้กลับกลายเป็นเพื่อนสนิท และทั้งสองก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยให้เวลากลางคืนมาถึงเพื่อที่จะได้พบกับอีกฝ่าย
และในวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย ซอกมินมาที่นี่เมื่อนาฬิกาบอกเวลายี่สิบห้านาฬิกา ทั้งสองคนนั่งเล่นรถโมเดลกันเหมือนที่คนโตกว่าได้สัญญาไว้เมื่อวานก่อน แต่ว่าเด็กชายที่หน้าแก่เกินกว่าวัยนั้นกลับดูไม่ร่าเริงเช่นเคย แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามยิ้มและพูดคุยให้เหมือนปกติ แต่มีหรือที่คนแก่กว่าจะไม่เห็นอาการที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ของอีกคน ซึงกวานมองเด็กชายข้างๆเขาแล้วลูบหัวของคนตัวสูงเบาๆ
“เป็นอะไร....” เด็กหนุ่มหน้ากลมถามเด็กหนุ่มหน้ายาวที่กำลังจดจ่ออยู่กับของเล่นอยู่เบาๆ ซอกมินหันมามองคนแก่กว่าและส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อซึงกวานเห็นดังนั้นจึงวางหนังสือในมือที่ตนอ่านทบทวนก่อนสอบกลางภาคลงมามองอีกฝ่าย ท่าทีแบบนั้นมันซึมกว่าทุกทีเห็นๆ ปกติไอ้เด็กหน้าแก่นี่ลามปามแถมยังซนจะตาย วันนี้เป็นหมาซึมแบบนี้แปลว่าต้องเกิดเรื่องอะไรซักอย่างขึ้นเป็นแน่ และกับเขาที่มีซอกมินเป็นเพื่อนคนแรกในโซล เด็กชายคนนี้เป็นคนที่สำคัญมากเกินกว่าที่เด็กเกี๊ยวจะสามารถทำเป็นไม่สนใจได้
“บอกมาเถอะน่า มีอะไรก็อย่าเก็บไว้คนเดียวสิ หืมมม” มือเล็กบีบแก้มที่ไม่ค่อยจะมีของเด็กชายอย่างหมั่นไส้ คนเด็กกว่ามองท่าทีเป็นห่วงแบบนั้นของคนแก่กว่าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นที่มุมปากของเด็กร่างสูง มือยาวเอื้อมไปดึงคนโตกว่าดึงรั้งเข้ามากอดไว้แน่น ใบหน้าหล่อเหลาซุกลงกับไหล่บางของคนตัวกลม คนเป็นเจ้าของห้องรู้สึกได้ถึงร่างใหญ่ที่กำลังสั่นเทา เสียงสะอื้นเบาๆดังแผ่วมาจากหัวทุยๆของคนตัวโต
“เป็นอะไรไป หืมมม อีซอกมิน” ซึงกวานถาม ลูบหลังเบาๆด้วยความเป็นห่วง เด็กชายผละออกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั่นก่อนจะปาดน้ำตาออกเพราะเพิ่งนึกได้ว่ามันจะไม่แลดูแมนสมชายต่อหน้าเกี๊ยวน้อยสุดน่ารักของเขา
“ผมกำลังจะย้ายออกจากที่นี่....” เด็กชายพูดเสียงสั่น ทั้งๆที่เจ้าตัวพยายามที่จะไม่ทำเสียงให้อีกฝ่ายจับได้ถึงความอ่อนแอ แต่เด็กสิบขวบก็คือเด็กสิบขวบ แม้ว่าจะพยายามแต่ไอ้ความกลัวข้างในใจที่ว่าอาจจะไม่ได้พบกับอีกคนที่เขาผูกพันด้วยแบบนี้อีกก็ทำให้เขาต้องใจหายเสียจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ตามต้องการ
“แม่บอกว่าจะส่งผมเรียนที่อเมริกา บอกว่าผมโตแล้ว อยากให้ไปเรียนที่โรงเรียนดีๆที่โน่น” ซอกมินเล่า ปากที่เคยมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอสั่นเทาด้วยอารมณ์เศร้าของคนเป็นเด็ก ข่าวร้ายที่เขาเพิ่งทราบเมื่อเช้าแต่กลับเป็นข่าวเร่งด่วนจนน่าตกใจ คงเพราะคนเป็นมารดารู้ดีว่าเจ้าลูกชายยังไงก็คงงอแง จะบอกช้าหรือเร็วไม่ว่ายังไงเจ้าตัวดื้อนี่ก็ต้องบอกว่าไม่อยากไปอยู่ดี ยิ่งบอกช้าเท่าไหร่ เด็กซนคนนี้ก็คงจะมีโอกาสคิดแผนการหนีจากการจับส่งเมืองนอกครั้งนี้น้อยลง ที่ทำไปก็เพราะรักหรอกนะ คุณนายอีจึงจำใจต้องส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปอยู่กับคุณพ่อที่อเมริกานั่นน่ะ ที่นู่นมีโรงเรียนดีๆหลายแห่ง แถมในรัฐบอสตันที่คุณตาของเด็กชายอยู่ยังเต็มไปด้วยมหาลัยดีๆสำหรับอนาคตของเจ้าเด็กหน้าแก่เอง
“น...นายจะไปเมื่อไหร่” เมื่อได้ฟังคำพูดที่ไม่คาดคิดจากคนเด็กกว่า ซึงกวานก็เบะน้อยๆ คนแก่กว่ามองร่างใหญ่ตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ ถ้าซอกมินหายไปแล้วเขาจะอยู่ยังไงกัน ก็ทุกวันที่เขาอยู่ก็เพื่อรอคนเด็กกว่าคนนี้อย่างเดียวเลยนะ กับบ้านที่โซลและเพื่อนๆที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอยากจะตื่นขึ้นมาเรียนในวันต่อไปเสียเท่าไหร่ ก็มีเพียงแค่การได้พบกับเด็กคนนี้ในตอนกลางคืนเท่านั้นแหละ ที่เป็นแรงขับดันอยากให้วันแต่ละวันผ่านไปเสียที คนตัวอวบกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ นิสัยเสียที่แก้ไม่หายซักทีนี้ แต่เพราะคำตอบจากคนเด็กกว่านั่นก็ทำให้เด็กชายต้องตกใจจนอ้าปากค้าง
“พรุ่งนี้...”
ท่ามกลางแสงจากดาวจางๆที่ถูกบดบังด้วยแสงจากอาคารในโซล เด็กชายทั้งสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา มีเพียงเสียงจากรถยนต์ด้านนอกที่ดังผ่านหน้าต่างขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดไว้อยู่ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดเหมือนกับในวันแรกที่ซึงกวานได้เจอกับซอกมิน แม้ว่าในวันนั้นเขาจะรู้สึกกลัวและโดดเดี่ยว แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกทุกข์ใจเสียยิ่งกว่าวันนั้น เมื่อได้รู้ว่าเด็กชายที่เขาติดแสนติดกำลังจะต้องจากไปยังที่ที่ไกลแสนไกล และมิอาจจะวนเวียนมาพบกันอีก เวลานับร้อยนาทีที่ผ่านมาเด็กชายทั้งสองได้พูดคุยและร่ำลากันด้วยความอาลัย แม้ว่านาฬิกาดิจิตัลเรือนโปรดที่ตั้งอยู่ข้างเตียงจะยังคงหยุดที่เวลายี่สิบห้านาฬิกาตรงแต่เด็กชายหน้ากลมกลับมั่นใจว่ามันคงจะผ่านไปไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นแน่ แต่ในเมื่อตอนนี้เวลายังไม่เดินหน้าไป เขาอยากจะใช้เวลาในวันสุดท้ายนี้กับเด็กชายที่เขาสนิทนี่ให้มากที่สุด ก่อนทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพแฟนตาซีที่ราวกับนิทานในความทรงจำ
‘ฮยอง ผมไม่อยากโตเลย ถ้าโตแล้วต้องไปที่นู่นแล้วไม่ได้เจอกับฮยองอีก’
‘ผมอยากจะเป็นเด็กตลอดไป’
‘บางทีพอผมตื่นขึ้นพรุ่งนี้ ทุกๆอย่างที่ผ่านมาอาจจะเป็นแค่ความฝันก็ได้’
‘พอโตขึ้นแล้วผมอาจจะคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่จินตนาการ แต่มันไม่จริงเลย เพราะตอนนี้ผมก็สัมผัสฮยองได้นี่นา ฮยองมีตัวตน...’ มือเรียวเอื้อมมาบีบแก้มอวบอูมของคนแก่กว่าเบาๆทั้งน้ำตา คนที่ได้แต่เงียบมองคนเด็กกว่าก่อนจะปาดน้ำตาใสจากดวงตานั้นอย่างเบามือ ที่ตาของเขาก็มีน้ำใสใสคลออยู่ไม่ต่างกัน
‘ทำไมพี่ไม่พูดอะไรเลยล่ะ?’
‘ฉันก็คิดเหมือนนายนั่นแหละ ไม่อยากจะโตขึ้น’
‘แค่ได้อยู่กับนายแบบนี้ตลอดไปก็ดี ไม่ต้องมีอะไรเปลี่ยนไป’
‘ฉันอยากจะหนีไปที่นั่น ที่ที่เราจะเป็นเด็กตลอดไป’
‘???’
‘นายเคยได้ยินเรื่องที่นั่นมั้ย? จุดกำเนิดของความฝัน ที่ที่เวลานั้นหยุดนิ่ง สถานที่ระหว่างห้วงนิทรากับโลกแห่งความจริง ณ ที่ที่จะยังสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน’ เด็กชายคนแก่กว่าหลับตาลงและเอ่ยถ้อยคำที่คุ้นเคยจากนิทานเล่มโปรดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ซึงกวานก็ไม่ใช่คนที่ความจำดีอะไรหรอกนะ เพียงแต่คำพูดพวกนั้นมันตราตรึงอยู่ในหัวเขาราวกับว่าเป็นิ่งสำคัญนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาอ่านมัน
‘เห?’
‘เนเวอร์แลนด์ไง ที่ที่ปีเตอร์แพนพาเวนดี้ออกไป’ พูดแล้วแก้มของเด็กชายก็แดงน้อยๆ ก็แหงล่ะสิ เด็กชายวัยสิบสองยังท่องบทพูดหวานแหววจากนิทานดิสนีย์สำหรับเด็กแบบนั้น ซอกมินเองก็อดยิ้มน้อยๆไม่ได้ให้กับความน่ารักของเด็กเกี๊ยว
‘ที่แบบนั้นมันมีอยู่จริงที่ไหนกันเล่า’ คนเด็กกว่าขำออกมาเล็กน้อย ซึงกวานกอดอกทำหน้าเบ้ หัวเราะแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน เด็กที่ปกติแก้มกลมอยู่แล้วก็ยังทำแก้มป่องขึ้นไปอีก คนเด็กกว่าเห็นท่าทีแบบนั้นก็ยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม มือเรียวบีบแก้มนิ่มด้วยความรักใคร่
‘ทำไมจะมีจริงไม่ได้ห๊ะ!! ขนาดนายยังมาอยู่ตรงนี้ได้เลย หรือที่จริงแล้วนายเป็นไอ้โรคจิตที่แอบปีนกำแพงเข้ามาตอนฉันเผลอ ห๊า!!!!’ คนแก่กว่าแหวน้อยๆ ซอกมินจึงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้กับคนแก่กว่าเหมือนเคย ดวงตาเรียวเล็กมองออกไปนอกหน้าต่าง พระจันทร์สีนวลไม่ได้ทอแสงเหมือนเช่นเคย แต่กระนั้นท้องฟ้าคืนนี้ก็แลดูจะพิเศษกว่าทุกทีสำหรับเขา มือเรียวเลื่อนไปคว้ามือบางที่กอดอกอยู่มากุมเบาๆ
‘งั้นเรามาอธิษฐานกันมั้ยล่ะ ? อธิษฐานให้เราได้ไปที่นั่นด้วยกัน’
‘มีแค่เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไปที่นั่น...’
‘เนเวอร์แลนด์’
เพราะพูดออกไปเสียจนหมดตอนนี้จึงมีเพียงความเงียบสงบที่เข้าปกคลุมเด็กทั้งสอง ซึงกวานเปิดโคมไฟรูปดาวให้มันส่องขึ้นไปบนกำแพงเหมือนกับในคืนแรกที่เขาไม่กล้านอนเพียงลำพัง มือเรียวของคนเด็กกว่ากุมมือเขาไว้แน่นกลัวว่าหากปล่อยมันไปแล้วเด็กอวบจะเลือนหายไปกับความมิดยามค่ำคืนเสียอย่างนั้น ยังไงก็เหอะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าซอกมินจะเริ่มง่วงแล้ว เปลือกตาของเด็กตัวโตก็ดูจะหนักอึ้งเสียจนยากที่จะพยายามลืมตาขึ้นไว้ แต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามฝืนตัวเองไม่ให้หลับ คนตัวเล็กกว่ามองภาพนั้นก็แล้วก็ยิ้มออกมาจากๆ
บูซึงกวานมองขึ้นไปยังเพดานที่มีแสงจากโคมไฟสาดส่องขึ้นไป ภาพของดาวที่ลอยเวียนวน เด็กชายนึกทบทวนทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่างเรื่องแปลกๆแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ โมเดลเครื่องบินที่ห้อยลงมาจากเพดานยังแขวนอยู่ที่เดิม เจ้าเด็กหน้าเกี๊ยวนึกถึงวันนั้นที่เขาหลับตาปี๋เพราะเครื่องบินที่สั่นได้เอง เพียงเท่านั้นเขาก็ยิ้มออกมาได้อย่างไม่ยาก ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับซอกมินจะทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเสมอ เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะเจอเด็กคนนี้น่ะซี
ไม่มีลมที่พัดมา.... เพราะซึงกวานนั่นอยู่ริมหน้าต่าง เรื่องนั้นเขาย่อมรู้ดี
แต่ทำไมโมเดลเครื่องบินไม้นั่นถึงขยับได้อีกแล้วล่ะ ?
หรือจะมีพลังงานบางอย่างก็ไม่ใช่ เด็กชายพยายามต่อสู้กับเปลือกตาที่ดื้อรั้นจะปิดลงให้ได้ เมื่อของเขายังจับมือใหญ่ของคนเด็กกว่าไว้แน่น กลัวว่าห้วงนิทราจะพรากเอาเพื่อนสนิทของเขาไปจากมือ ดวงตาของเด็กร่างกลมปิดลงช้าๆก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ละอองแสงระยิบระยับราวกับผงของนางฟ้ากำลังหมุนรอบเครื่องบินไม้นั้นด้วยความเร็วเหมือนกับในนวนิยายที่เขาเคยอ่านในยามว่าง สีทองที่สะท้อนกับแสงจากโคมไฟดูมหัศจรรย์ราวกับฉากในภาพยนตร์ หัวใจของเด็กชายเต้นแรงเร็วด้วยความประหลาดใจ พลันคำพูดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
มาถึงตอนนี้แล้วอะไรๆก็คงจะกลายเป็นจริงได้ล่ะมั้ง?
ถึงตอนนี้แล้วถ้าหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงไปได้ก็คงจะดี
ไปยังโลกอีกใบที่มีเพียงแค่เขากับเด็กคนนี้
เด็กคนที่ข้ามผ่านเวลามาหาเขาเพียงคนเดียว
“ซอกมินอา....” เสียงของเด็กชายสั่นน้อยๆด้วยความตื่นเต้น ทำเอาคนที่เกือบผล็อยหลับต้องลืมตาขึ้นมองตามเสียงเรียก สายตาของคนเด็กกว่าพร่ามัวเล็กน้อยก่อนจะปรับโฟกัสไปยังทิศเดียวกับที่คนแก่กว่าพยายามชี้ให้ตนดู เด็กหน้าแก่กะพริบตาด้วยความสงสัย แล้วมองหน้ากลมๆของซึงกวานเพื่อขอคำอธิบาย เด็กหน้าเกี๊ยวไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองตามแสงที่วิ่งวนที่เคลื่อนตัวออกจากโมเดลบนเพดานอย่างช้าๆมาทางเด็กทั้งสอง มันพัดผ่านไปยังหน้าต่างที่เปิดกว้าง แสงระยิบระยับของมันแวววาวสู้กับแสงจากไฟถนน
“นี่มันอะไรกัน....” เด็กหน้าแก่หลุดปากออกมาเบาๆเมื่อเห็นกลุ่มแสงเหล่านั้นหยุดหมุนอย่างช้าๆ แสงที่ระยิบระยับอยู่ดูล่อตาล่อใจเหมือนกับขนมหวาน ยามเมื่อมันอยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมได้ให้ความรู้สึกดึงดูดใจอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับความฝันและความหวังได้เข้ามาหล่อเลี้ยงในใจ เด็กทั้งสองมองหน้ากันด้วยความสงสัย ซึงกวานมองกลุ่มแสงเหล่านั้นก่อนจะเอ่ยปากออกมาหลังจากได้ครุ่นคิดอยู่ซักพัก
“ไปกัน….” ดวงตากลมจับจ้องไปยังกลุ่มเมฆหมอกสีทอง มือเล็กยังคงจับมือใหญ่ไว้แน่น บางทีเขาอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ แต่ถึงตอนนี้มันจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกหรอ เด็กคนนึงข้ามกาลเวลามาเล่นกับเขาทุกวัน โมเดลเครื่องบินที่ขยับได้เอง แล้วก็กลุ่มหมอกสีทองที่เหมือนกับในนิยายแฟนตาซีนี่ คนเด็กกว่าหันมามองร่างอวบด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ฉับพลันแรงดึงที่มือก็ทำให้เขาตกใจ เด็กชายเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่ากำลังปีนขอบหน้าต่างราวกับว่ากำลังจะกระโดดลงไปยังไงยังงั้น
“ฮยองจำทำอะไรน่ะ” เด็กชายถามอย่างร้อนรน ไม่มีคำตอบจากเจ้าหนุ่มหน้าเกี๊ยว มีเพียงแค่รอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกับคำถามที่ทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกๆ
“เชื่อใจฉันมั้ยล่ะ?”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่บูซึงกวานจะฉุดเขาให้ขึ้นมาบนขอบหน้าต่าง แรงโน้มถ่วงของโลกดึงเขาที่ไม่อาจจะพยุงตัวเองได้เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้ให้หล่นลงสู่เบื้องล่าง ซอกมินรู้สึกได้ถึงสายลมทีปะทะกับร่างของเขาอย่างรุนแรง เด็กชายหลับตาปี๋ หัวใจเต้นเร็วแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต เขากำลังเตรียมใจรับกับแรงกระแทกลงบนพื้นคอนกรีตหนา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเวลาผ่านไปหลายวินาทีเขาก็กลับรู้สึกหยุดนิ่งกว่าเดิม ไม่มีความรู้สึกเจ็บกระทบกระทั่งใดๆทั้งสิ้น คนเด็กกว่าจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นน้อยๆ มือของเขายังคงจับอยู่กับมือของคนตัวเล็กอยู่แน่นไม่ยอมปล่อย
“คิก. กลัวหรอ หลับตาปี๋เลย” ซึงกวานแซวคนเด็กกว่าพร้อมกับทำท่าล้อเลียน คนตัวเล็กเขย่งขึ้นหยิกแก้มของเขาด้วยความหมั่นไส้ ทั้งๆที่ซึงกวานอายุสิบสองแล้วแท้ๆแต่กลับยังตัวเล็กกว่าที่ควรจะเป็น เพราะอย่างนี้ซอกมินจึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนเพื่อนเสียมากกว่าพี่ เด็กชายตัวสูงเบ้ปาก และมองลงไปข้างล่าง น่าแปลกที่กลุ่มหมอกสีทองเมื่อครู่ห้อมล้อมตัวของทั้งสองอยู่ มันพยุงให้ร่างของเด็กชายทั้งสองนั้นลอยอยู่เหนือพื้นดินอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ราวกับอยู่ในความฝัน เด็กชายกางแขนออกอย่างช้าๆ พยายามทรงตัวให้ถนัด แต่ก็ยังมิได้ปล่อยมือจากคนแก่กว่าตรงหน้าแต่อย่างใด
ไม่อยากจะปล่อยไปแม้แต่วินาทีเดียว กลัวว่าถ้าปล่อยไปตอนนี้แล้วอาจจะหลุดหายไปไหนเลยก็ได้
“เพราะว่าเราอธิษฐาน เนเวอร์แลนด์ก็เลยส่งเจ้าพวกนี้มารับเราน่ะสิ” เสียงหวานของซึงกวานดังขึ้นเบาๆเมื่อทั้งสองบินลอยออกไปท่ามกลางแสงไฟยามยี่สิบห้านาฬิกาของเมืองใหญ่ คนแก่กว่าคงสังเกตว่าเขาเงียบอยู่นานจึงตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อหยุดความเงียบในตอนนี้ เด็กชายมองไปรอบๆเมืองใหญ่อันเป็นบ้านเกิดจากมุมมองที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับว่าข้างล่างนั่นเวลาได้หยุดนิ่งลง ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมเมืองที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นยามดึกดื่นหรือตอนรุ่งสาง โซลก็ไม่เคยร้างจากผู้คน แต่ในตอนนี้ไม่มีใครเดินอยู่แม้คนเดียว รถราที่วิ่งตามถนนก็ไม่มี ทิวทัศน์ที่แปลกใหม่นี่สร้างความประหลาดใจให้กับเด็กทั้งสองที่มองมันอยู่
อาจเป็นเพราะเป็นบ้านเมืองในอนาคตนับสิบปีข้างหน้า หลายๆอย่างในเมืองจึงได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่ซอกมินเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นจอแอลอีดีที่ถูกติดเพิ่มขึ้นไป สีของอาคารบ้านเรือนที่ถูกทาทับ และตึกอีกหลายแห่งที่ไม่คุ้นตาคงเพิ่งมีการสร้างเมื่อไม่นานมานี้ ทุกอย่างตอนนี้เหมือนความฝัน หรือว่าบางทีเขากำลังจะฝันอยู่จริงๆนะ.
“ถ้าอย่างนั้นเราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปงั้นหรอ….” คนเด็กกว่าถามเสียงแผ่ว เด็กหน้ากลมมองอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรับประกันอะไรได้ซักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับเมื่อกี้ ใช่ว่าเขาจะรู้ว่ากระโดดลงไปแบบนั้นแล้วจะปลอดภัย เพียงแค่อะไรบางอย่างในใจบอกเขาให้ทำแบบนั้นก็เท่านั้นเอง ซึงกวานไม่รู้อะไรทั้งนั้น เขารู้แค่เพียงอยากจะอยู่กับซอกมิน เพียงแค่สองคนเท่านั้น หลุดออกจากโลกแห่งความจริงและโลกความฝัน
ไม่มีทั้งนั้นบ้านที่เชจู ห้องแถวเก่าๆในโซล หรือโรงเรียนที่อเมริกาของซอกมิน
เขาอยากจะให้เวลาหยุดอยู่ยี่สิบห้านาฬิกาแบบนี้ตลอดไป
ถ้าสถานที่ที่ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปคือเนเวอร์แลนด์ที่มีอยู่จริงก็คงดี..
จับมือกันไว้
แค่เพียงสองคน
ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งใหม่....
เพียงไม่นานหลังจากออกบินจากโซลก็ถึงทะเลกว้าง ในยามมืดมิดมหาสมุทรใหญ่ยิ่งดูลึกล้ำกว่าในตอนกลางวัน มือของทั้งสองยังคงไม่ปล่อยจากกันเหมือนดังตอนแรกที่ออกเดินทาง บทสนทนาของทั้งสองนั้นแสนเรียบง่าย ไม่มีอะไรมากนัก ก็แค่ชี้ชวนกันดูโน่นนี่ตามประสาเด็กๆ ซอกมินที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ถามคำถามกับซึงกวานที่แก่กว่าให้คอยแนะนำให้ แม้เป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับเป็นหน้าสำคัญในความทรงจำสำหรับพวกเขา
โบยบินไปบนท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดาว กลุ่มเมฆสีขาวอยู่รอบกายดูบางเบาราวกับปุยนุ่น ความเงียบงันของค่ำคืนถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวเราะและคำพูดหยอกล้อของคนทั้งสอง ที่ปลายขอบฟ้าไกลออกไปมีแสงเล็ดลอดออกมาจากผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มราวกับแสงไฟที่ลอดออกมามาจากผืนผ้าที่ปกคลุมมันอยู่ เด็กทั้งสองมองมันอย่างประหลาดใจ หรือว่าเวลาจะเดินไปแล้วงั้นหรือ? ซึงกวานก้มลงมองนาฬิกาสีฟ้าใสที่ข้อมือ มันก็ยังบอกเวลายี่สิบห้านาฬิกาเหมือนกับนาฬิกาดิจิทัลที่อยู่ในห้องเรือนนั้น
ยิ่งบินไปไกลเท่าไรก็ราวกับว่าเส้นขอบฟ้านั้นไกลห่างออกไปเช่นทุกที แต่กลับหยุดอยู่กับที่ราวกับจุดหมายให้เด็กทั้งสองไปไขว่คว้า ยิ่งเข้าใกล้เท่าไรแสงที่เคยคิดว่าเป็นแสงอาทิตย์ก็กลับเปลี่ยนกลายเป็นสีสันสดใสราวกับแสงจากในเทพนิยาย และนั่นเองทำให้นักเดินทางทั้งสองมองเห็นว่าแสงนั้นเล็ดลอดออกมาจากถ้ำเล็กตรงสุดขอบฟ้านั่นเอง มือเล็กกระชับมือใหญ่ เด็กชายหน้าหวานบีบมันเบาๆ คนเด็กกว่าหันมายิ้มให้กับเด็กหน้ากลม ใกล้แล้ว อีกไม่นานทั้งสองก็จะไปถึงที่นั่น
ลมแรงปะทะใบหน้าของเด็กชายทั้งสองที่โบยบินเป็นอิสระอยู่กลางอากาศ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงที่อันเป็นจุดหมาย ตอนนี้ซึงกวานมองเห็นถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในถ้ำนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองเต้นแรงด้วยความมั่นใจว่าอีกไม่นานก็จะได้ไปถึงยังดินแดนอีกแห่งที่ซ่อนอยู่ในโลกใบกว้างนี้ บางทีเรื่องราวเหนือความเป็นจริงเหล่านี้ก็อาจจะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ และตอนนี้คนทั้งสองกำลังก้าวไปด้วยกัน สู่โลกใบใหม่ที่ไม่รู้จัก
สู่ดินแดนแห่งความฝัน
รอยยิ้มที่สดใสของซอกมินเป็นสิ่งสุดท้ายที่ซึงกวานเห็นก่อนแสงสว่างจ้าสีขาวจะสะท้อนเข้าดวงตาของเขาเต็มๆ เด็กชายปิดตาลงด้วยความตกใจ สายลมแรงปะทะร่างของเขาราวกับทอร์นาโด เด็กชายเสียการทรงตัวและกำลังจะตกสู่พื้นเบื้องล่างที่ตอนนี้เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร ความรู้สึกปั่นป่วนสร้างความกังวลจนเด็กชายหายใจไม่ทั่วท้อง ความกลัวแล่นเข้ามาในจิตใจ ทั้งๆที่ในอีกไม่กี่วินาทีก็จะได้ไปถึงเนเวอร์แลนด์อีกแล้ว
แสงสว่างวาบเมื่อครู่ค่อยๆจางลง ซึงกวานรู้สึกได้ถึงแสงแดดยามเช้าที่ส่องกระทบใบหน้าของเขา เด็กชายค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ โมเดลเครื่องบินไม้ยังคงห้อยลงมาจากเพดานขยับนิ่งเหมือนเช่นทุกที ลมอ่อนๆพัดเข้ามาทางหน้าต่างใบเดิม และก็เหมือนกับทุกๆวัน บูซึงกวานลุกขึ้นจากเตียง บิดขี้เกียจเล็กน้อย ผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่บ่งบอกถึงว่าเขาคงจะนอนดิ้นเพราะความฝันเมื่อคืนเหมือนเคย เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจเล็กน้อย ขยี้ตาเบาๆ ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวก่อนนอนเมื่อคืนหายไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกอบอุ่นจางๆในใจที่ยังคงอยู่
นี่ก็ผ่านไปแล้วสามปีนับจากคืนนั้น คืนที่เหมือนกับความฝัน และเรื่องราวของเขากับเด็กประหลาดๆที่ชื่ออีซอกมินนั่น แต่หลายๆครั้งเด็กชายหน้ากลมก็มักจะฝันถึงเรื่องในวันนั้นบ่อยๆ แม้ว่าในตอนนี้ความทรงจำตอนนั้นจะกลายเป็นเพียงภาพรางๆของอดีต แต่บูซึงกวานในวัยสิบห้าปีตอนนี้ก็ยังเชื่อว่าเรื่องที่เกิดตอนนั้นเกิดขึ้นจริง ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่หรอกว่าทำไมคืนนั้นจึงจบลงด้วยการตื่นขึ้นในยามเช้า เพราะเขาปล่อยมือของซอกมินงั้นหรอ? หรือเป็นเพราะว่าทั้งสองไม่สามารถเข้าไปยังเนเวอร์แลนด์ได้จริงๆ
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ตอนนี้ซึงกวานได้กลายมาเป็นนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงจะผ่านไปสามปีแต่ส่วนสูงของเขาก็ยังไม่จัดว่าสูงอะไรมากนัก เป็นเพียงแค่เด็กมอปลายธรรมดาๆที่ยังเชื่อในความฝันที่แสนจะแฟนตาซีของวัยเยาว์ เขาล้างหน้าแต่งตัวตามปกติ ห้องที่คุ้นเคยยังมีกลิ่นอายของเด็กคนนั้นเหมือนเช่นเคย หลังจากคืนนั้นซอกมินก็ไม่เคยปรากฎตัวขึ้นในยามค่ำคืนอีกเลย โมเดลเครื่องบินอันนั้นก็อยู่นิ่งเหนือลมเหมือนก่อนหน้านั้นที่มันไม่เคยขยับเขยื้อน และนาฬิกาของเขาก็ไม่เคยตีบอกเวลายี่สิบห้านาฬิกาอีก
ถึงจะแอบเสียดายอยู่ลึกๆ แต่ก็นะ หากวันนี้ซอกมินยังอยู่เหมือนเดิมเขาก็คงจะไม่สามารถโตขึ้นมาเรียนในโรงเรียนดีๆแบบนี้ได้ ก็คงจะเอาแต่หมกมุ่นรอคอยเด็กชายเช่นดังเดิม ถ้าเด็กคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง และมาจากอดีตจริงๆ ปีนี้เด็กผู้ชายคนนั้นก็คงจะอายุได้ซักสามสิบเอ็ดแล้ว คงจะกลายเป็นคุณลุงที่หน้าแก่กว่าเดิมเยอะแยะ เพียงแค่คิดแค่นั้นซึงกวานก็ยิ้มออกมาได้บางๆ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เด็กหนุ่มเลยไม่ต้องออกไปเรียน ซึงกวานเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องทานข้าว เสียงของคุณพ่อกำลังคุยกับแขกที่มาเยี่ยมเยียนอย่างออกรส เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ตรงไปยังตู้เย็น หยิบนมกล่องใหญ่ออกมาจากตู้พร้อมกับซีเรียลยี่ห้อโปรดเพื่อกินเป็นอาหารเช้า แม่ของเขาไปเยี่ยมญาติที่เชจู และพ่อของเขาไม่ทำอาหาร ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าซีเรียลนี่แหละที่พอจะประทังชีวิตของเขาให้ผ่านไปได้ในวันนี้
“ย๊า ไม่คิดจะทักทายพ่อแกหน่อยเลยหรอ” เสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากห้องนั่งเล่นทำให้เด็กเกี๊ยวต้องวางซีเรียลรสช็อกโกแลตที่เทนมแล้วไว้อย่างนั้นและเดินไปหาผู้เป็นบิดาที่นั่งคุยอยู่กับคนแปลกหน้าที่ห้องนั่งเล่น เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟาลายดอกเดซี่ข้างๆพ่อของตน ก็จะเงยมองหน้าผู้มาเยือน เพียงเท่านั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาตลอดหลายปี
“นี่คือคุณซอกมิน เขาเป็นเจ้าของบ้านคนเก่าน่ะ จริงๆแล้วเป็นญาติของเพื่อนพ่อเอง” ผู้เป็นบิดาพูดด้วยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มหลบสายตาคมที่จ้องมา ร่างสูงตรงหน้าเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนแยะ ใบหน้าที่ถึงจะดูแก่เกินวัยในตอนนั้นไม่หล่อเหลาเท่าเดี๋ยวนี้ ไอ้ที่เคยว่าเหมือนแก่ๆนั่นก็กลับกลายเป็นแลดูมีวุฒิภาวะน่านับถือไปซะงั้น ทรงผมที่ตัดรับกับใบหน้ายิ่งเสริมราศีให้กับชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นไปอีก
“เอ้อ พ่อต้องออกไปดูงานแล้วล่ะ ฝากลูกช่วยดูแลแขกของพ่อด้วยนะ” พูดเพียงเท่านั้น คุณบูก็เดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ซึงกวานเพิ่งจะสังเกตว่าพ่อของเขาอยู่ในชุดพร้อมออกไปข้างนอกเสียเต็มที่ มือใหญ่หยิบเอาแฟ้มเอกสารและเปิดประตูบ้านออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ลูกชายเพียงคนเดียวนั่งอยู่กับร่างสูงที่ไม่คุ้นเคยเสียเท่าไหร่
ร่างอวบเม้มปากน้อยๆ เขารู้สึกแปลกๆเมื่อต้องเจอกับซอกมินในสภาพนี้ เด็กหนุ่มดูจะคุ้นเคยกับคนตรงหน้าในวัยสิบขวบมากกว่าสามสิบเอ็ดแบบนี้ ความต่างระหว่างวัยของทั้งสองในตอนนี้มันมากเกินกว่าเด็กหนุ่มจะนึกถึงบทสนทนาที่ทั้งคู่จะพูดคุยกันได้ในตอนนี้ หลังจากนั่งถกเถียงกับความคิดของตัวเองอยู่นาน เด็กหน้ากลมก็สามารถรวบรวมความกล้า เอ่ยปากพูดคำพูดแรกในรอบหลายปีให้กับซอกมินได้
“เรา.... เคยรู้จักกันใช่มั้ย” นั่นคือคำพูดแรกที่เด็กหนุ่มเลือกที่จะใช้ทักทายกับคนเคยคุ้นเคยนี่อย่างประหม่า คนแก่กว่ามองร่างเล็กอย่างพิจารณา สถาปนิกหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดเลือกที่จะกลับมาที่บ้านเก่าของตนเพราะจู่ๆก็นึกถึงมันขึ้นมา หลังจากไปเรียนที่อเมริกาจนจบปริญญาตรีเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอยู่นาน เพิ่งจะได้กลับมาเกาหลีก็เมื่อไม่นานมานี้นี่แหละ พอคิดไปคิดมาแล้วก็เลยนึกอยากกลับมาหาบ้านที่เขาเคยอยู่อีกซักครั้งแล้วก็ได้เจอกับเด็กหน้ากลมนี่แหละ ชายหนุ่มมองเด็กคนนี้อย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะดูคุ้นๆแต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหน
“อ่า... คุณรู้จักผมใช่มั้ย?” ซึงกวานเลือกที่จะถามออกไป นึกโทษตัวเองเล็กน้อยที่เริ่มบทสนทนาด้วยคำพูดแปลกๆแบบนั้น ไม่แน่ว่าสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดหลายปีอาจเป็นเพียงแค่ภาพในจินตนาการวัยเด็กเท่านั้น และการที่ซอกมินเหมือนเด็กคนนั้นจนเกินไปก็อาจเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ชายหนุ่มมองเด็กตรงหน้าที่มีท่าทีผิดหวังเล็กน้อย เขายิ้มออกมาบางๆ นึกเอ็นดูท่าทางที่น่ารักของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าตรงหน้า
“ผมรู้จักคุณงั้นหรอ?” ซอกมินทวนคำพูด พยายามนึกให้ดีอีกครั้ง แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเด็กคนนี้เป็นใครกัน ดูเหมือนว่าช่วงเวลากว่าสิบปีของเขาที่ผ่านไปจะทำให้ภาพความทรงจำพวกนั้นมันเลือนรางมากเหลือเกิน ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างถี่ถ้วน ผมสีน้ำตาลเข้ม ปากอิ่มสีแดง ผิวขาวเนียนบริสุทธิ์ แก้มกลมๆที่แลดูน่ารัก ก่อนจะหยุดตรงที่ดวงตาที่สุกสกาวคู่นั้น... เมื่อได้สบตาเพียงแค่แวบแรก ภาพในความทรงจำก็พลันชัดเจนขึ้นในทันใด
“ถ้างั้นก็..... ผมชื่อบูซึงกวาน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” รอยยิ้มสดใสจากคนหน้าหวานทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวัยเยาว์อีกครั้ง เสียงหวานที่ดังก้องอยู่ในหู บูซึงกวานไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนไปจากภาพของเด็กชายที่นั่งอยู่ลำพังในห้องนอนของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ทุกๆอย่างยังเหมือนเดิม ที่ต่างไปก็มีเพียงแค่เขา ในวันนี้ที่ได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว เพราะช่วงเวลาที่ต่างกันมากเหลือเกินจากวันนั้นกับวันนี้
ซอกมินมองใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มนุ่มนั่นเบาๆ แก้มขาวๆนั่นขึ้นสีแดงระเรื่อจนคนแก่กว่าหัวเราะออกมาน้อยๆ เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะสวมกอดเข้าให้เต็มรักด้วยความคิดถึงที่เต็มปรี่ ชายหนุ่มได้แต่ลูบหัวทุยๆของเจ้าตัวเล็กเบาๆ อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้ คนทั้งสองได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง อาจเพราะโชคชะตาของคนทั้งสองได้ลิขิตให้มาพบเจอกัน ตั้งแต่ในวันนั้นเมื่อนานมาแล้วจนถึงวันนี้ ทุกๆอย่างล้วนลงตัวกันอย่างพอดี แม้ช่วงต่างระหว่ายวัยถึงสิบหกปีก็ไม่ได้ส่งผลให้ความห่วงหาของคนทั้งสองนั้นน้อยลงแม้แต่น้อย
แม้ว่าในวันนี้ คนทั้งสองจะไม่สามารถเดินจูงมือกันไปสู่ดินแดนแห่งความฝันได้อีกแล้ว
แม้ว่าในวันนี้ ทั้งคู่ได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ไม่เหมือนดังวันวาน
แต่ว่าในตอนนี้ บูซึงกวานและซอกมินสามารถพบเจอกันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ชายหนุ่มจะโอบกอดเด็กหนุ่มด้วยแขนแกร่งทั้งสองข้าง และเด็กหนุ่มจะสามารถมอบร้อยยิ้มที่สดใสนั่นให้กับชายหนุ่ม ทั้งสองจะยืนเคียงข้างกัน สร้างความทรงจำดีๆด้วยกันนับร้อยพัน
และคราวนี้ มือของทั้งสองก็จะจับกันแน่นกว่าทุกครา ที่ว่าไม่มีใครจะสามารถแยกพวกเขาออกจากกันได้อีกเลย
ความคิดเห็น