คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เจ้าตำหนักคนใหม่
“เช่นนั้นเวลานี้เสาะยี้ก็ต้องมีพลังวัตรอย่างต่ำกว่า 120 ปีเชียวหรือ”
“จอมยุทธ์ไป่ หากเป็นดังที่ท่านกล่าวมาเมื่อครู่ ฝีมือของเสาะยี้ในเวลานี้ย่อมต้องใกล้เคียงกับพวกเรา ขอเพียงมันขยัน และ หมั่นฝึกฝน ด้วยท่านชี้แนะ มิเกิน 4 ปี อาจเหนือกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดจึงยังให้พวกเราเป็นอาจารย์ของมันอีกเล่า”เมื่อสตรีในชุดฟ้ากล่าวจบ บุรุษหนุ่มตรงหน้านางถึงกับถอนหายใจยาวยิ่งก่อนจะกล่าว
“จริงอยู่ด้วยสติปัญญาของเสาะยี้ หากมันหมั่นฝึกฝนย่อมจะหาผู้ใดในใต้หล้าเทียบได้ แต่ข้า และแชแชก็อดห่วงว่ามันจะเดินทางผิดมิได้ ในอดีตกาลก็เคยกล่าวถึงเหล่าจอมยุทธ์ที่หลงผิดในวิชาจนคลุ้มคลั่งมาแล้ว หากได้พวกท่านทั้งห้าคอยช่วยอบรมมันแทนข้าและนาง ใยจึงมิใช่เรื่องดีกว่าเล่า”ประโยคหลังมันคล้ายหันไปกล่าวแก่ต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนั้น
“ประเสริฐ ถึงกับดูท่าร่างซ่อนเงาไร้นภาของข้าออก นับถือๆ”เจ้าของเสียงถึงกับพุ่งออกมาจากกอหญ้าบริเวณเมื่อครู่ กลับเป็น เทพหัวขโมย และ ราชนิกูลหนุ่มที่แอบฟังพวกมันคุยกันมาตั้งแต่ต้น
“เฮอะ พวกเจ้าเป็นตัวอะไรจึงมาแอบฟังผู้อื่นพูดคุยกัน หยางเปาหรือเจ้ามิได้เป็นผู้เป็นคนจึงยังมิคิดที่จะออกมา”เมื่อนางเฒ่าหมื่นพิษกล่าวจบ บัณฑิตฟ้าลิขิตถึงกับพลิ้วร่างออกมาบ้าง สีหน้าของมันในยามนี้ดูไปคล้ายอับอายที่ถูกนางด่ายิ่ง
“นี่พวกเจ้ามากันตั้งแต่เมื่อไร”ขอทานเฒ่าถึงกับกล่าวบ้าง เมื่อครู่มันกลับไม่ทราบว่ามีคนนอก จนกระทั่งบุรุษหนุ่มเจ้าของตำหนักกล่าวออกมา แสดงถึงโสตประสาทอันปราดเปรียวยิ่ง บุรุษทั้งสามเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่พากันส่งยิ้มอันพิกลให้มันเท่านั้น
“ทุกท่านเองคงจะทราบเรื่องตั้งแต่ต้นแล้ว ตอนนี้ข้าเองมีเรื่องอยากขอร้องพวกท่านอีก 1 เรื่อง มิทราบพวกท่านจะรับปากข้าได้หรือไม่”มันตอนนี้ดูไปคล้ายกังวลยิ่ง ทั้งหมดเมื่อเห็นมันเป็นเช่นนั้นจึงประหลาดใจยิ่ง เนื่องเพราะพวกมันทั้งห้ายังมิเคยเห็นมันทำสีหน้าเยี่ยงนี้มาก่อน
“ท่านเองก็เป็นบิดาของเสาะยี้ ยังมีอันใดต้องเกรงใจพวกเราอีกเล่า จอมยุทธ์ไป่โปรดบอกท่านมีเรื่องอันใดพวกเราสัญญาจะต้องทำให้สำเร็จจนได้”ไป่หยางจินเมื่อได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกโล่งใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงพลุ่งพล่าน
“ข้าพเจ้าฝากพวกท่านดูแลเสาะยี้ด้วย”เมื่อมันกล่าวจบทุกคนถึงกับประหลาดใจ ก่อนขอทานเฒ่าจะแสร้งกล่าวออกมาติดตลก เพื่อคลายบรรยากาศเบื้องหน้า
“ฮ่า ฮ่า จอมยุทธ์ไป่เหตุใดท่านกล่าวอย่างกับจะหนีไปบวชเยี่ยงนี้กันเล่า”
“ข้าพเจ้า และ แชแช นั้นคิดที่จะหาสถานที่สงบเพื่อบำเพ็ญภาวนามาเนิ่นนาน ห่วงก็แต่เสาะยี้จะขาดผู้คอยอบรมสั่งสอน เวลานี้มันเองพอจะดูแลตนเองได้ และยังมีพวกท่านคอยชี้แนะข้า และ นางก็หมดห่วงเสียที”มันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังยิ่ง ทั้งหมดจึงคล้ายมิทราบจะกล่าวอันใดแก่มันดีด้วยนึกมิถึงพวกมันสองฝัวเมียกลับคิดอยากสละทางโลกตั้งแต่อายุยังน้อย
“มิทราบท่านได้บอกให้มันทราบเรื่องนี้หรือยัง”สตรีชุดฟ้าเวลานี้คล้ายดั่งห่วงเสาะน้อยยิ่ง ไป่หยางจินเองสีหน้ามันกลับเศร้าหมองก่อนจะกล่าวสิ่งที่ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึง
“ข้าเคยบอกเสาะยี้แต่แรกแล้วเรื่องนี้ คาดว่าเวลานี้มันก็คงทราบแต่แรกว่าข้าจะฝากมันกับพวกท่าน”พวกมันทั้งห้ากลับนึกมิถึงลูกศิษย์พวกมันกลับทราบแต่แรก ด้วยทารกวัยเยี่ยงมันย่อมมิยอมแยกจากบิดามารดาได้โดยง่าย แต่นี่มันกลับยอมรับเรื่องนี้คล้ายดั่งเป็นเรื่องเล็กก็ปาน
“แล้วกิจการ และเรื่องภายในตำหนักเขียวขจีเล่า ท่านจักทำเช่นไร”คนถามคำถามนี้ถึงกับเป็นอ๋องห้า
“เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าเคยสอนเสาะยี้แล้ว ตำหนักในยามนี้ก็เป็นมันดูแลเรื่องบัญชีต่างๆอยู่ ทางด้านการค้าขายนั้นคงต้องให้มันเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะปล่อย หรือ รับช่วงต่อ”มันยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทั้งหมดเองแม้จะยิ่งพยายามหาเหตุผลมาห้ามมันเท่าใด แต่เมื่อมันตอบกลับยิ่งทำให้หมดหนทางที่จะรั้งมันไว้ก็เท่านั้น จนกระทั่งจำต้องยอมรับสิ่งที่มันตัดสินใจไว้แล้ว ในใจพวกมันทั้งห้ายามนี้กลับคิดห่วงศิษย์ของพวกมันนัก ถึงแม้พวกมันจะเพิ่งรับเสาะน้อยเป็นศิษย์ได้ไม่นาน แต่ความผูกพันระหว่างพวกมันกลับแน่นหนายิ่ง มันทั้งห้าเองก็ไม่ทราบเหตุใดจึงรู้สึกถูกชะตากับทารกนั้นได้ถึงขนาดนี้
“แล้วท่านจะออกเดินทางเมื่อไรกัน”เมื่อรั้งไว้ไม่เป็นผล บัณฑิตหยางเปาจึงถามรายละเอียดแทน
“คืนนี้”พวกมันทั้งห้าถึงกับหันมองไป่หยางจินเป็นตาเดียว
“ใยจึงรีบร้อนนักเล่า เล่าฮูว่าท่านควรจะอยู่กับเสาะยี้สักพักก่อนแล้วค่อยเดินทางจึงจะดี”ขอทานเฒ่ารีบกล่าวทันที มันคิดอยากให้เสาะน้อยอยู่กับบิดามันเนิ่นนานก่อน
“ผู้อาวุโสข้าย่อมเข้าใจเจตนาของท่าน แต่จะจากช้า หรือ เร็ว อย่างไรก็ย่อมต้องจากกันอยู่ดี เสาะยี้เองก็ทราบเรื่องนี้มากว่า 4 ปีแล้ว มันย่อมต้องเตรียมใจไว้นานแล้ว รั้งไปก็มีแต่สูญเวลาไปโดยเปล่าประโยขน์”เมื่อมันกล่าวเยี่ยงนี้ ทุกคนจึงคล้ายก้มลงมองพื้นหญ้าและดอกไม้บริเวณนั้นกันเนิ่นนาน
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
นภาสีฟ้าใส ยามนี้กลับถูกโอบไปด้วยแสงสีแสดแดง เหล่านกน้อย และ สัตว์ต่างพากันกลับที่พักของมัน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้คนซึ่งในเวลานี้กลับรีบกลับบ้านกันอย่างรวดเร็ว ภายในตำหนักเขียวขจีในเวลานี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศเงียบสงัด บรรดาบ่าวไพร่ในตำหนักถึงกับมิได้ออกมาเดินเพ่นพ่านดังเช่นปกติ ยามนี้กลับมีเพียงทารกในชุดสีเขียวอ่อนเดินอยู่เพียงผู้เดียว มันเดินด้วยท่าทีเชื่องช้ายิ่ง แต่กลับคล้ายมันตั้งใจให้เป็นเยี่ยงนั้นมันยังคงทำสีหน้าปกติยิ่ง เบื้องหน้ามันกลับเป็นห้องโถงใหญ่ที่ใช้ต้อนรับบรรดาอาจารย์ของมันในวันแรก แต่ในเวลานี้ภายในห้องกลับเต็มไปด้วยบ่าวไพร่นับร้อยยืนเข้าแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ด้านหน้าบริเวณยกพื้นภายในห้องกลับมีบิดา มารดา และ อาจารย์ทั้งห้าของมันยืนอยู่ ยามนี้สีหน้าของพวกมันดูไปเคร่งขรึมยิ่ง เสาะน้อยเองเมื่อเห็นผู้คนทั้งหมดถายในห้องต่างรอมัน มันกลับเดินช้ายิ่ง คล้ายดั่งช้ากว่าที่มันเดินเมื่อครู่ยิ่งนัก หากแต่ชั่วพริบตามันกลับเดินมายืนอยู่ข้างบิดามันรวดเร็วยิ่ง
“ผู้อาวุโสเซียว ผู้อาวุโสหง จอมยุทธ์หยาง จอมยุทธ์เหวิน และ ท่านอ๋องห้า โปรดเป็นพยานวันนี้ข้า ไป่หยางจินขอมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักเขียวขจี และ กิจการทั้งหมดให้เสาะยี้ เป็นผู้ดูแล พวกเจ้าเองก็ต้องเชื่อฟังมัน เข้าใจหรือไม่”ประโยคหลังมันกล่าวแก่บ่าวไพร่ในตำหนัก ทุกคนถึงกับขานรับด้วยความแข็งขันยิ่ง มันเห็นดังนั้นจึงพลันสั่งบ่าวไพร่กลับไปทำงานดังเดิม ทั้งห้องในยามนี้จึงเหลือเพียง มันทั้ง 8 เท่านั้น
“เสาะยี้พ่อ และ แม่เจ้าไม่อยู่เจ้าต้องห้ามดื้อ เเละเชื่อฟังที่ซือแป๋เจ้าสอน เข้าใจรึไม่”เมื่อบิดามันกล่าวจบ ทารกตรงหน้ามันถึงกับจะร้องไห้ ทั้งคู่จึงกอดกันจนกระทั่งมารดามันเข้ามาร่วมด้วย อาจารย์ทั้งห้ามันพลันมองพวกมันกอดกันอย่างสะท้อนใจ อย่างไรเสียเสาะน้อยก็ยังเป็นทารก แม้จะฉลาดเท่าใดมันย่อมมิอาจห้ามความรู้สึกของมันเองได้ ผ่านไปค่อนวันพวกมันทั้งสามจึงคล้ายผละออกจากกัน ไป่หยางจิน และ ไป่แชแชถึงกับเดินผละไปโดยไม่เหลียวกลับมาแม้แต่น้อย ทารกเมื่อครู่เองก็ถึงกับมิกล่าวหรือแสดงท่าทีอันใด กลับยืนมองพวกมันทั้งคู่ออกไปจนลับสายตา ผ่านไปเนิ่นนานมันจึงหันกลับมายิ้มให้อาจารย์ของมัน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ท่ามกลางความห่วงใยของคนทั้งห้าที่ยังคงอยู่ภายในห้อง
“เสาะยี้เองก็คงต้องใช้เวลา นางเฒ่าพรุ่งนี้เป็นเจ้าสอนมันแล้วกัน”แม้ดูเหมือนเซียวเซียนจะกล่าวพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ยังคงหันไปกล่าวกับสตรีข้างกายมันเบาๆ
“เฮอะ นั่นย่อมเป็นเรื่องของข้าหรอกตาเฒ่า”นางกล่าวก่อนจะพลิ้วร่างออกไป ทั้งสี่เองเมื่อหันมาปรึกษากันได้สักครู่ก็พลิ้วร่างตามนางออกไปบ้าง เหลือไว้แต่บรรยากาศอันหนาวเหน็บในใจทุกคนที่ยังคงอยู่ไม่หายไปที่ใด
ความคิดเห็น