คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : [mika] Gomennasai Sorry for everything
วันนี้อากาศปลอดโปร่ง
ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอบอุ่นทอดตัวลงบนพื้นหญ้าของสนามในคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เด็กสาวตัวเล็กวัย 9 ขวบวิ่งเล่นในสวนกับพี่ชายวัน 13 ขวบอย่างสนุกสนาน ผมสีฟ้าเทอร์คอยส์ยาวของ ยูเมมิไร มิ โบกสะบัดพลิ้วไหลตามสายลมที่ไล้มา เธอวิ่งหนีพลางหัวเราะจนแทบสะดุดชายกิโมโนสีเขียวอ่อนของตัวเองอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะหนีพี่ชายตัวแสบ สึรุเตะ ดวงตาสีเขียวสดแกล้งชะลอความเร็วลงก่อนจะพุ่งขึ้นไปจั๊กจี้น้องสาว มิเบี่ยงตัวหลบหากแต่จะเข้าทางสึรุเตะมากเท่านั้น
โอโรสุและมิโมระผู้เป็นพ่อและแม่นั่งอยู่บนเสื่อไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกลด้วยความเอ็นดู นี่ควรจะเป็นชีวิตปกติแสนสุขในวันหยุดของครอบครัวธรรมดา ๆ ครอบครัวหนึ่ง
แต่แล้วบรรยากาศพลันหนักอึงในฉับพลัน
เมฆสีดำก้อนใหญ่เคลื่อนตัวโผเข้าบังดวงอาทิตย์จนท้องฟ้ามืดครึ้ม กระแสลมปั่นป่วนหมุนเป็นเกลียวอย่างผิดธรรมชาติ แล้วจู่ ๆ หมอกจางก็พากันลงต่ำบดบังทัศนวิสัยรอบด้าน
มิโมระตาซ้ายกระตุก เธอหันไปปรึกษาทางสายตากับโอโรสุ ทั้งสองลุกขึ้น แม้แต่เด็ก ๆ อย่างสึรุเตะกับมิก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงหยุดวิ่งมองหน้ากันเอง กลิ่นไอความชั่วร้ายโอบล้อมอย่างบ้าคลั่งราวกับจะเยาะเย้ยว่าพวกเขารู้ตัวช้าเกินไป โอโรสุและมิโมระพยักหน้าราวกับตกลงได้เรียบร้อย
“สุรึเตะ” โอโรสุเรียก
“ครับป๊า ? ” สึรุเตะหันไปตามเสียงเรียก
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พาน้องหนีไปซะ” โอโรสุพูดเสียงเครียดพร้อมพึมพำงึมงำกับตัวเองเชิงบ่น
“….เท็งงุอีกแล้ว….”
มิโมระเดินไปคว้าลูกทั้งสองมากอดแน่น
“ฟังนะ สึรุเตะ มิ หนีไป ห้ามตายเด็ดขาด” เธอมักจะพูดแบบนี้เสมอทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เด็กๆ จึงไม่ทันตระหนักถึงความอันตรายระดับที่ไม่ธรรมดาที่มาถึง
“ครับม๊า” สึรุเตะรับคำแล้วอุ้มน้องสาวออกวิ่งไปอย่างเร็ว
“โชคดีนะคะป๊าม๊า ! ” มิตะโกนพร้อมกับยิ้มกว้างให้แก่พ่อและแม่
โอโรสุและมิโมระยิ้มกว้างให้ลูกพลางโบกมือเล็กน้อย โอโรสุก้มหน้าเค้นหัวเราะ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ยิ้มให้แก้วตาดวงใจทั้งสองแล้วกระมัง
“คราวนี้โชคคงไม่เข้าข้างเราแล้วล่ะมิโมระ” โอโรสุหัวเราะเบาๆ
“รู้ดีค่ะ” มิโมระยิ้มบาง
พวกเขาภาวนาขอให้ลูกจะไม่เสียกำลังใจที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปแม้พวกเขาต้องจากโลกนี้ไป…
สองพี่น้องวิ่งไปที่อีกด้านของสวน หยุดอยู่หน้าต้นบอนไซเล็ก ๆ สึรุเตะหลับตา ทำมือประหลาด พูดเสียงงึมงำเหมือนสวดคาถาอะไรซักอย่าง แล้วพื้นหญ้าหน้าต้นบอนไซจะเปิดทางลงไปเป็นบันได
“สึรุเตะนี่จัง”
“หืม?”
“ป๊าม๊าจะปลอดภัยดีใช่มั้ย ? ”
ยูเมมิไรคนน้องมองพี่ด้วยสายตาเรียบเฉย ในหัวของเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ คนพี่เงียบไป หลุบสายตาต่ำลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้น้องอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดอย่างระมัดระวัง
“…แน่นอน…”
“นี่จังโกหกหนูไม่ได้หรอกนะ”
มิสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเฉยเมยปกปิดความหงุดหงิดอย่างแนบเนียน สึรุเตะอึ้งชั่วขณะก่อนหลุดหัวเราะน้อย ๆ เหม่อมองไปตามทางลับที่ถูกเปิดขึ้น
“อื้ม นั่นสินะ ก็มีพลังได้ยินเสียงความคิดคนอื่นเขาแบบนี้นี่”
สึรุเตะหันกลับมามองคนตัวเล็กกว่า ลงนั่งยองให้ระดับสายตาเท่ากับน้องสาว ดวงตาสีแซฟไฟร์กับดวงตาสีเขียวสดประสานกัน สึรุเตะยิ้มบาง
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ ? ”
วินาทีหนึ่งที่นัยน์ตาทั้งสองคู่สะท้อนประกายออกมาเป็นสีแดงฉานดั่งโลหิต
“เราต้องไปช่วยท่านพ่อกับท่านแม่”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ท่านสั่งหรือ”
“ท่านสั่งไว้แค่ห้ามตาย”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร”
บึ้ม ! ! ! ! ! !
เสียงระเบิดดังขึ้น พร้อมกับกระแสลมพัดกรรโชกภายหลังแทบจะในทันที ประกาศให้ทั้งสองรู้ว่าการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มิจ้องหน้าผู้เป็นพี่อย่างไม่ลดละ
“ข้ารู้ดีเลยล่ะ”
สึรุเตะกระตุกยิ้มแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังน้องสาว มิมองตามเป็นการหยั่งเชิง เธอคิดว่าสึรุเตะคงไม่ยอมให้เธอไปสู้ด้วยง่าย ๆ แน่นอน แต่เขาคิดจะทำอะไรอยู่ เธอหรี่ตามองลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวสด
“งั้นก็ดี”
‘ ขังไว้ ’
เสร็จกัน !
เธอคิดถูก แต่รู้ตัวช้าเกินไป สึรุเตะผลักมิลงไปในทางลับนั้น
มิที่ไม่ได้ตั้งตัวเพราะทุ่มสมาธิไปกับการอ่านจิตใจของพี่ชายกระเด็นร่วงลงไป ครั้งนี้เธอพลาดไปมากทีเดียว ยังดีที่สึรุเตะคำนวณองศาถูกต้องและใช้แรงมากพอที่เธอจะล้มลงบนพื้นพอดีแทนที่จะล้มกระแทกไถไปกับบันได ความเจ็บแล่นจากหัวไหล่ที่กระแทกเป็นส่วนแรกไล่ลงไปทั้งตัว แวบหนึ่งที่ทุกส่วนของร่างกายชาวาบราวกับถูกแช่แข็ง
ฝ่ายยูเมมิไรคนพี่ก็เริ่มร่ายคาถาอะไรบางอย่างรวดเร็ว เขาหยิบกระดาษสองแผ่นที่ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงออกมาจากยูกาตะสีเหลืองแล้วโยนออกไปใกล้ ๆ บริเวณปากทางเข้าลับนั้น แสงสว่างสีขาวส่องขึ้นมาจากพื้นหญ้าสีเขียวรอบ ๆ บีบตัวกลายเป็นวงแหวนล้อมเข้าที่ทางเข้าลับนั้นมาอย่างรวดเร็ว แสงนั้นบีบวงเล็กลงเป็นจุดอยู่เหนือทางลับที่กำลังจะหายไป แล้วทางเข้านั้นก็ถูกลบอย่างง่ายดาย หายสาบสูญราวกับไม่เคยมีมาก่อน
“ขอโทษนะมิ ข้าขอพนันได้เลยว่าเจ้าคงยังไม่สามารถคลายคาถาผนึกขั้นสูงนี้ได้หรอก”
“สึรุเตะ !!! ”
“โอ๊ะโอ อย่าทำเสียงน่ากลัวแบบนั้นสิน้องสาวของข้า เดินไปตามทาง ทางลับจะพาเจ้าไปที่ศาลเจ้าอิเสะ ไว้เสร็จเรื่องแล้วข้าจะไปรับ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย..
“สึรุเตะ ! ! ! ! ! ! ! ! ! ”
พลาดมาก
รู้ตัวช้าไปนิดนึง
หลังจากที่ร่างกายหายชาจากการตกลงบนพื้นหินจากความสูงเกือบห้าเมตร มิยันตัวขึ้นนั่งมองไปรอบ ๆ ฝ่ามือแตะกับพื้นพบว่ามันถูกลงอาคมบางอย่างให้ลดแรงกระแทก บังเอิญเหมาะเจาะเหมือนจนน่าพิศวง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของมิในตอนนี้ยังสามารถขยับได้โดยไม่มีอะไรแตกหักหรือบอบช้ำ กลิ่นอับชื้นของทางเข้าลับที่ถูกปิดไว้เป็นเวลานาน เธอเพ่งมองในความมืด มองหาสิ่งที่จะจุดไฟให้แสงสว่างได้ แต่ด้วยดวงตายังไม่ชินกับความมืดทำให้ไม่เห็นอะไรเลยก็ถอนหายใจและถอดใจไป อย่างน้อยก็มีแสงสว่างเล็ก ๆ จากกำไลเรืองแสงที่ได้มาเมื่อนานมาแล้ว
เอาไงต่อดี
เธอมองไปที่บันไดทางเข้าซึ่งถูกผนึกอย่างแน่นหนา เพดานของทางลับนี้คงสูงจากพื้นไม่ต่ำกว่าสามเมตร พยายามค้นหาวิธีคลายผนึกในความจำอย่างรวดเร็ว เด็กสาวอายุแค่ 9 ขวบอย่างเธอมีทางเลือกไม่มากนัก จึงตัดสินใจหลับตา ลองร่ายคาถาหนึ่งพร้อมกับทำมือเป็นรูปแบบต่าง ๆ เธอคาดหวังไว้ว่าจะทำอะไรสักอย่างได้บ้าง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา ทางเข้านั้นกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ลองอีกครั้งก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
เด็กสาวพองแก้มไม่สบอารมณ์ที่ยังทำอะไรไม่ได้
บึ้ม ! ! ! ! บึ้ม ! ! ! ! บึ้ม ! ! ! !
ระเบิดดังขึ้นอีกระลอก เป็นสัญญาณเร่งให้เด็กสาวรีบทำอะไรซักอย่าง
มิกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ข่มความหงุดหงิดเอาไว้ หากว่าเธอเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี สงบเข้าไว้แล้วหาทางออกจากที่แห่งนี้คงดีกว่าเป็นไหน ๆ
เธอลองหันกลับไปทิศทางที่พี่ชายอ้างว่าจะนำไปที่ศาลเจ้าอิเสะ ดวงตาที่เริ่มชินกับความมืดกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วเธอก็เห็นคบไฟที่ยังไม่ได้จุดวางอยู่บนพื้น มิไม่รีรอ เดินตรงไปที่คบไฟแล้วหยิบมันขึ้นมา พึมพำอะไรซักอย่าง แล้วคบไฟถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายด้วยคาถาภาษาละตินคล้ายกับคาถาที่ใช้ในหมู่แม่มดพ่อมด
รอบข้างสว่างขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองไปบนพื้นก็พบว่าที่นี่ชื้นกว่าที่คิด บางแห่งมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ ขังอยู่ น่าแปลกที่กลับไม่มีสิ่งชีวิตอย่างอื่นใดอยู่บนพื้นแม้แต่แมลงซักตัว
ในเมื่อมี ‘ไฟ’ กับ ‘น้ำ’ อย่างน้อยเธอก็พอจะมีไม้ตาย
ถ้า ‘คลาย’ ผนึกไม่ได้ ก็ ‘ทำลาย’ มันทิ้งซะเลยดีกว่า
อันความจริงที่สึรุเตะและมิถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้คาถาองเมียวจิ แต่ยิ่งห้ามยิ่งยุ พวกเขาทั้งสองนี้ได้ฝึกคาถาองเมียวจิในระดับพื้นฐานถึงค่อนข้างสูง และครั้งนี้สึรุเตะก็ใช้คาถาขององเมียวจิด้วยเช่นกัน มองในอีกมุม ไม่มีใครสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาใช้คาถาแม่มด มิแอบอุบเรื่องที่เธอสามารถใช้คาถาแม่มดได้ไว้มาโดยตลอด จะมีก็บุคคลวงในจำนวน 4 คนเท่านั้นที่รู้ข้อเท็จจริงนี้ ถึงแม้จะมีคาถา ‘ทำลาย’ ของแม่มด แต่เธอเองไม่เคยลองใช้คาถาแม่มดเพื่อทำลายผนึกขององเมียวจิซักครั้ง มันอาจจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ได้ลองสักตั้ง
รวบรวมสมาธิได้ก็เริ่มร่ายคาถาพร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้น ไฟจากคบเพลิงถูกลากเป็นสายยาวดั่งโซ่เพลิงวนรอบตัวมิ น้ำจากแอ่งน้ำรอบบริวณลอยขึ้นรวมกันก่อนจะถูกลากยาวเป็นสายวนอยู่รอบตัวมิเช่นเดียวกัน คาถาถูกร่ายต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งไฟและน้ำก็ดูเหมือนจะบ้าคลั่งยิ่งขึ้นไป เมื่อร่ายคาถาจบ เด็กสาวก็เหวี่ยงแขนทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า โซ่เพลิงกับสายน้ำทะยานขึ้นสูงราวกับมังกรคลั่งแล้วพุ่งใส่จุดที่เคยมีทางเข้าอยู่มังกรเพลิงและมังกรน้ำพุ่งใส่กัน
บึ้ม ! ! ! ! !
…เกิดเป็นระเบิดลูกใหญ่ทำลายล้างผนึกอย่างสมบูรณ์แบบ แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาจนแสบตา มิยกมือขึ้นบังแสงนวลที่ส่องกระทบดวงตาสีแซฟไฟร์ เธอกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง เธอรีบวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่รีรอ กระโดดข้ามซากปลายบันไดหินที่ถูกระเบิดเป็นหลุม แต่เมื่อกระโดดออกมาถึงด้านนอกก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดกว่าที่คิดไว้มากนัก
มิวิ่งกลับไปหน้าบ้าน แต่ใช้วิธีลัดเลาะผ่านตัวบ้านแล้วออกทางประตูข้างใกล้ ๆ ประตูบ้านใหญ่นั่นเอง
ในที่สุดก็ถึงบริเวณหน้าบ้าน มิแอบมองจากไกล ๆ เธอเห็นโอโรสุและมิโมระคุกเข่าอยู่บนพื้น สุรุเตะแขนข้างขวาลู่ลงโดยมีมือซ้ายประคองสภาพจวนเจียนจะล้มลง และ ‘เท็งงุ’ จำนวนสามตัวที่ยืนประจันหน้า
เด็กน้อยพุ่งเข้าไปหาพี่ชายโดยไม่ทันคิดว่านี่คือ สมรภูมิรบ
ไม่รู้ว่าทำไม เสียงที่ผ่านเข้าไปในหูของเธอถึงดับวูบไปเหมือนโทรทัศน์ที่ไร้สัญญาณ แล้วความรู้สึกที่รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ และมองเห็นภาพทุกอย่างช้าลงคืออะไรกันนะ ?
ภาพที่มิโมระกระโดดผลักเธอจนล้ม แล้วก็ถูกปลายแหลมของคทาปักลงกลางหลังทะลุมาถึงกลางท้องทั้ง ๆ ร่างที่ยังไม่ตกถึงพื้น ภาพของโอโรสุพุ่งเข้ารับตัวมิโมระ เตะเท็งงุตัวนั้นล้มไปทับอีกตัวที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะฉุดตัวเธอขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไปไกล แล้วถูกหอกของเท็งงุตัวที่เหลืออยู่แทงเข้าไปที่สีข้าง สุดท้าย… ภาพของสุรุเตะเบิกตากว้างขณะที่มือกำลังปล่อยกลุ่มพลังงานสีขาวบางอย่างแต่ต้องชะงักไปเพราะร่างของตัวเธอเองที่ขวางทางจนพลังงานสีขาวกลายเป็นวงสีขาวใหญ่ขึ้นจนแทบกลืนทุกสิ่งทุกอย่างได้ราวกับ … หลุมดำสีขาว …
ดวงตาสีแซฟไฟร์คู่นี้ได้แต่ จ้องมอง ‘ทุกอย่าง’ เกิดขึ้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย
แสงสีขาววาบขึ้นมาแวบนึง แล้วจางลง ร่างของเธอร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ประสาทสัมผัสกลับเข้าร่างในทันที แล้วเด็กสาวก็ค้นพบว่า ….
….ทุกอย่างหายไป….
…หายไปหมดเลย…
ต้นไม้หายไปทั้งตัน เก้าอี้สนามหายไป หญ้าหายไป ดินหายไปเป็นหลุม รวมถึงชีวิตของคนหลาย ๆ คน
การต่อสู้จบลงแล้ว หมอกที่เคยล้อมรอบบ้านอยู่หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันสังเกต เมฆสีดำกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำฝน ตกกระทบพื้นดังเปาะแปะก่อนจะตกซู่ลงมา
ยูเมมิไร มิ ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกโพลง ปล่อยให้สายฝนสาดลงมา เธออยากปฏิเสธตัวเองว่านี่เป็นแค่ฝันร้าย แต่ความเย็นจับผิวนี้ทำให้เธอปฏิเสธไม่ลง
ไม่มีอีกแล้ว คุณแม่แสนดีที่เข้าใจเธออย่างดีโดยที่เธอไม่ต้องแม้กระทั่งปริปากพูด
ไม่มีอีกแล้ว คุณพ่อที่เข้มงวดแต่ใจดีที่จะดุแล้วปลอบเธออย่างอ่อนโยน
ไม่มีอีกแล้ว พี่ชายตัวแสบที่จะมาคอยแกล้งแต่ก็ปกป้องเธอเสมอมา
เด็กสาวทรุดลง ไม่…. ไม่…. ต้องไม่เป็นแบบนี้สิ…. แล้วเธอก็หวีดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ! ! ! ! ! !”
เสียงฝูงนกอีกากรีดเสียงร้องลั่นราวกับจะเยาะเย้ย….
ทำไมฉันถึงเอาแต่ใจแบบนั้น
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงใครแล้วแท้ ๆ
ขอโทษที่ไม่เคยรอบคอบ
ขอโทษที่ไร้ความสามารถ
ขอโทษมันอ่อนแอ
..ขอโทษที่ทำอะไรไม่ได้เลย..
ถ้าเกิดตอนนั้นฉันฟังคำสุดท้ายของท่านพ่อท่านแม่
ถ้าเกิดตอนนั้นเชื่อพี่สึรุเตะแล้วหนีไป
เพียงแค่นั้น
แค่นั้นแท้ ๆ
….เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้….
….โกเมนนาไซ….
ดวงตาสีแซฟไฟร์ลืมตื่นขึ้นมา แสงจันทร์เหลืองนวล ที่ส่องผ่านเข้ามาทางบานประตูกระดาษลวดลายญี่ปุ่น สายลมอ่อนพัดไล้ผ่านแก้มไป ทำให้รู้ได้ว่ามีหยดน้ำไหลอาบลงมาทั่วใบหน้า
อีกแล้วหรอ…
เพราะแบบนี้ฉันถึงเกลียดความฝันมากน่ะสิ
เรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่กำลังจะลืม ภาพของวันนั้นจะกลับมาฉายซ้ำราวกับตอกย้ำและเยาะเย้ยความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนชีวิตเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอเสียพ่อ แม่ และพี่ชายไปตลอดกาล
สาวน้อยยันตัวขึ้นมา ดันผ้าห่มไปไกล ๆ เส้นผมสีเทอร์คอยส์ที่ปล่อยสลายถูกสายลมพัดมาปรกใบหน้า ความผิดบาปที่ถูกตีตราในใจด้วยความคิดที่ว่า ตัวเองคือคนที่ทำให้ครอบครัวที่รักยิ่งของเธอจากไป พร้อมกับภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่ติดค้างอยู่หลังม่านตาไม่ยอมเลือนลางไป มันคือคำสาปที่ติดตัวเธอมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
…โกเมนนาไซ…
…น่าสมเพชชะมัด…
หัวเราะเยาะตัวเองซ้ำเข้าไป จู่ ๆ ก็มีมือทัดเส้นผมสีเทอร์คอยส์ของเธอกับใบหู พร้อมกับเสียงนุ่มของใครบางคน
“ร้องไห้ทำไม มิกะจัง”
เธอมองผู้บุกรุกตาขวาง
“… นายแอบเข้ามาอีกแล้วหรอ …”
“มันใช่เรื่องที่จะมาพูดตอนนี้รึไง”
แม้จะถูกทำตาขวางใส่ แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มขำอย่างไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับถามอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบหัวของเด็กสาว
“ฝันร้ายหรอ”
หยดน้ำตาพรั่งพรูลงมาอาบพวงแก้มทั้งสองข้าง ทั้งที่เคยตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นเด็ดขาด แต่พอมีคนอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ น้ำตาก็ไหลไม่ยอมหยุดเลย เด็กสาวพุ่งกอดอีกฝ่ายแน่น
“คาเอรุ… ฮึก…..ไอ้บ้า…..”
“ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”
อา โอฮาโยว (?) มิกะเดส เป็นฟิคแรกที่ได้ออกอากาศ (?) ฝากด้วยนะคะ
ฟิคนี้ เป็นอะไรที่ดราม่ามาก ชีวิตมันสิ้นหวังสุด ๆ
จะสังเกตเห็นว่ารูปแบบการย่อหน้าคล้าย ๆ กับในนิยายไลท์โนเวล เป็นเพราะดิฉันติดไลท์โนเวลค่ะ ถถถถถ
“บากะคาเอรุเป็นใครหรอ” อุบไว้ก่อนแล้วกันเนอะ <3
ขอให้ทุกคนสนุกกับฟิคนี้นะคะ บรั่ยส์
*ไม่ใส่ธีมนะ ขี้เกียจ//จีเจ
ความคิดเห็น