ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กำเนิดจักรพรรดิมวลอสูร...(ภาค Jotunheim)

    ลำดับตอนที่ #3 : PHASE I (Midgard) : บทที่ 2 เติบโตเเละพลังที่ตื่นขึ้น (52%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24
      0
      27 ก.ย. 58

    PHASE I (Midgard) : บทที่ 2 เติบโตและพลังที่ตื่นขึ้น

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

                    นี่ก็ผ่านมาถึงหนึ่งปีแล้วครับที่ผมเกิดมาบนโลกแห่งนี้ ครอบครัวของผมตอนนี้ก็มีความสุขดีครับติดแค่ตรงไม่ค่อยจะมีเงินเท่าไหร่ เอาเป็นว่าจนนั่นล่ะ

                   

                    ตลอดเวลาที่ผมเจริญเติบโตมาผมแทบไม่ได้ออกนอกบ้านเลยครับ วันๆไม่นั่งๆนอนๆก็คุยเล่นอะไรเรื่อยเปื่อยกับสัตว์ต่างๆที่หลงเข้ามาภายในบริเวณบ้าน เอ้า! งงล่ะสิครับ ผมเองก็งงว่าผมคุยกับสัตว์รู้เรื่องได้อย่างไร ต้องท้าวความไปถึงตอนที่ผมเพิ่งเกิดใหม่ๆนู่นล่ะครับที่ผมเผลอตัวคุยกับนกเจ็ดสี ตั้งแต่นั้นมาผมก็มักจะคุยเล่นกับสัตว์ชนิดต่างๆมากมาย เรียกได้ว่าผมมีสัตว์เป็นเพื่อนเลยล่ะ

     

                    ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูสีขาว คุณแมลงเปลือกไม้(คล้ายๆแมลงสาป) คุณสัตว์ตระกูลจิ้งจกตุ๊กแกก็เคยคุยแต่คนที่นี่เค้าไม่ได้เรียกอย่างที่เราเรียกกันหรอกครับ ไอ้ผมเองก็ไม่รู้ว่าเค้าเรียกตัวอะไร แค่มันคล้ายตุ๊กแกที่ผมรู้จักแค่นั้นแต่ลักษณะภายนอกค่อนข้างต่าง เอาเป็นว่ามีอีกเยอะตอนนี้กลับเข้าเรื่องดีกว่าครับ

     

                    แอนดรูว์ วันนี้จะไปโบสถ์กับแม่หรือเปล่าจ๊ะ ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าเป็นเชิงตกลงแทน ตอนนี้ผมแค่หนึ่งขวบเองนะ ถ้าให้ผมพูดได้คุณแม่ดิลด์ของผมคงจะช็อคตายพอดี

     

                    เก่งมากจ้า ตัวแค่นี้ก็ฟังพ่อกับแม่รู้เรื่องแล้ว เมื่อไหร่ลูกจะพูดได้น้า พ่อกราฟคงต้องดีใจมากแน่ๆ แม่ดิลด์พูดด้วยรอยยิ้มยามนึกถึงคุณพ่อตัวแสบแต่สุดที่จะขยันและสู้ชีวิต มือทั้งสองก็จับของต่างๆที่จะเอาไปฝากบาทหลวงกับเด็กกำพร้ายัดลงตะกร้า

                   

                    เอาความจริงป่ะครับคุณแม่ ผมอ่ะพูดได้ตั้งนานแล้วแค่ไม่ยอมพูดเฉยๆกลัวคุณแม่ตกใจ ก็แค่คิดล่ะนะครับความจริงก็เพียงส่งยิ้มอย่างไร้เดียงสาให้แค่นั้นเอง

     

                    พ่อเพิ่งได้สมุนไพรจากป่าสีชาดมา เห็นทางโบสถ์ต้องการพอดีลูกช่วยไปหยิบมาให้แม่หน่อยได้ไหมจ๊ะ แม่ผมพูดพร้อมส่งรอยยิ้มปริศนามาให้ ไอ้ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรจึงเดินไปหยิบมาให้แต่โดยดี ผมค่อนข้างจะภูมิใจกับคุณแม่ที่ใจบุญแบบนี้นะครับทั้งๆที่ตัวเองก็ต้องปากกัดตีนถีบไม่ต่างกับพวกเขาเหล่านั้น แต่ยังมีใจช่วยเหลือน่าปลื้มจริงๆ

     

                    อืม...อยู่ไหนนะจำได้ว่าพ่อเอามาเก็บไว้แถวนี้ ผมเดินมาหาแถวบริเวณห้องครัว ไม่ใช่สิบริเวณที่ทำอาหารมากกว่า เพราะบ้านผมเป็นกระท่อมหลังเล็กๆมีห้องนอนแยกต่างหาก ห้องครัวกับห้องนั่งเล่นอยู่รวมกัน

     

                    อ๊ะ! เจอละ เมื่อเจอเป้าหมายผมจึงไปลากเก้าอี้ที่วางอยู่แถวนั้นมา เพราะบริเวณที่เก็บสมุนไพรอยู่สูงเลยหัวผมไปอีก

     

                    ครืดดดด...เสียงลากเก้าอี้ครับไม่ต้องตกใจ เมื่อวางเก้าอี้ได้แล้วผมจึงปีนขึ้นเก้าอี้อย่างทุลักทุเล ผมปาดเหงื่อที่หน้าผากเล็กน้อย ด้วยขนาดตัวที่เล็กเท่ากับเด็กหนึ่งขวบจึงทำให้การขึ้นเก้าอี้ค่อนข้างลำบาก เอื้อมอีกนิดหน่อยก็ถึงตำแหน่งสมุนไพรแล้วครับ

     

                    ได้ซะที ผมพึมพำเบาๆ พลางมองสมุนไพรในมือที่มีรูปร่างคล้ายดอกเห็ดแต่เป็นสีแดงสด

     

                    แปะๆๆ

     

                    เสียงปรบมือที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ผมต้องหันไปดู ก็เห็นเป็นแม่ดิลด์ผู้บังเกิดเกล้าปรบมือส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มที่ทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังนิดๆ

     

                    เก่งมากลูกแอนดรูว์ แม่ไม่คิดว่าลูกจะจำเห็ดเพลิงผลาญที่พ่อเอามาได้ แม่ดิลด์พูดพร้อมกับส่งยิ้มปริศนามาให้ ดวงหน้าหวานยิ้มเสียจนตาแทบปิด

     

                    หระ...หรือว่าแม่ดิลด์จะจับได้ว่าเราไม่ใช่คนของโลกนี้ ผมได้แต่คิดอย่างตระหนก มีความเป็นไปได้สูงมากเพราะต่อให้อัจฉริยะขนาดไหนเด็กแค่หนึ่งขวบไม่น่าจะจำรายละเอียดอะไรได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีอีกด้วย(เรื่องที่เอาเก้าอี้มาแก้ต่างเรื่องความสูง)

     

                    แต่คำพูดที่หลุดจากปากมารดาที่เคารพทำเอาผมต้องรีบเบรกความคิดทันที...

     

                    “แม่ว่าแอนดรูว์ต้องเป็นอัจฉริยะแน่เลย เดี๋ยวแม่รอเล่าให้พ่อกราฟฟังดีกว่า แม่ผมตบมือเบาๆเป็นเชิงคิดออกก่อนจะก้มลงมาอุ้มผมที่มีเห็ดเพลิงผลาญอยู่ในมือ

     

                    ป่ะ ส่วนเราก็ไปโบสถ์กัน เดี๋ยวหลวงพ่อคาลกับพี่ที่โบสถ์จะรอ แม่ดิลด์เดินอุ้มผมไปหยิบตะกร้าที่จัดไว้ก่อนจะพากันเดินออกจากบ้านตรงไปยังโบสถ์

     

    โบสถ์เมเจียนายน์ ประจำเมือง อาร์ค (Arch)

                    หลวงพ่อคาลอยู่หรือเปล่าค่ะ ร่างอรชรของหญิงสาวในชุดชาวบ้านที่ปะชุนไปทั่วแต่ด้วยรูปร่างน่าตาสวยหยาดเยิ้มราวกับคนชนชั้นสูง ทำให้ภาพที่เห็นดูขัดกันอย่างประหลาด มือข้างขวาอุ้มเด็กชายวัยขวบปีซึ่งมีผมสีดำเช่นเดียวกับผู้เป็นแม่ หน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู ส่วนมือซ้ายถือตะกร้ามีผ้าคลุมทับอีกทีกำลังก้าวเข้ามาเหยียบในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

     

                    อยู่ๆลูก มาหาพ่อมีอะไรหรือเปล่า เสียงค่อนช้างชราดังออกมาจากแท่นที่ใช้สวดบูชาต่อศาสดา ร่างอรชรจึงเดินผ่านที่นั่งที่จัดไว้เป็นแถวสองแถวไปยังจุดต้นเสียงนั้น แสงภายในโบสถ์ค่อนข้างสลัวเพราะมีเพียงแสงส่องผ่านกระจกสีที่ตกแต่งเป็นรูปเทพองค์หนึ่งเท่านั้น

     

                    อ้าว ดิลด์เองเหรอลูกมาๆ ไม่ได้มาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ชายที่เดินพ้นเงามือมาใส่ชุดคลุมสีขาว คอปกสีทอง ตรงกลางอกเสื้อคลุมปักเป็นรูปปีกนางฟ้าสี่ปีกโดยปีกล่างจะเล็กกว่าปีกบนกึ่งหนึ่ง ตรงกลางปีกทั้งสองเป็นรูปคฑามีอัญมณีหกเหลี่ยมตรงปลาย

     

                    ก็ดีค่ะ แล้งหลวงพ่อเป็นอย่างไรบ้าง เห็นหลวงพ่อต้องการเห็ดเพลิงผลาญพอดีว่ากราฟได้มาจากป่าสีชาดพอดี เห็นว่ายังไม่จำเป็นจึงเอามาให้เผื่อหลวงพ่อต้องการด่วน

     

                    อืม... ขอบใจเจ้ามากลูกดิลด์ พอดีมีเด็กโดนพิษของต้นหิมะสีชาดจากป่านั่น แล้วเห็ดเพลิงผลาญเป็นส่วนประกอบในยาแก้พิษด้วย พวกพ่อเลยตามหากันให้วุ่นเลย ได้เจ้าเอามาเช่นนี้ขอบคุณมาก เทพีเมเจียนายน์คุ้มครอง บาทหลวงชรารับเห็ดสีแดงสดมาจากมือบางของดิลด์ก่อนจะกล่าวขอบคุณพร้อมอวยพร

     

                    “เทพีเมเจียนายน์คุ้มครองเช่นกันค่ะ พูดจบก็ถอนสายบัวอย่างสง่างาม ท่วงท่าชำนิชำนาญอย่างกับพวกชนชั้นสูงจริงๆ

     

                    เอาล่ะ ดิลด์ตอนนี้ลูกพอจะว่างไหม พ่อมีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อย บาทหลวงชราถามขึ้นหลังจากดิลด์ถอนสายบัวเสร็จ

     

                    ว่างค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ? ดิลด์ถามด้วยความสงสัยเพราะอยู่ๆเสียงของบาทหลวงที่ตนนับถือก็จริงจังขึ้นมา

     

                    บาทหลวงไม่ตอบแต่หันไปหาเด็กเล็กในอ้อมกอดของดิลด์แทน เมื่อเด็กน้อยในอ้อมแขนของมารดารู้ว่ามีคนมองจึงเงยหน้าสบตาคนที่จ้องมอง ดวงตาสีดำรัตติกาลเรืองแสงสีน้ำเงินไพริณแว๊บหนึ่ง ก่อนจะกลับกลายเป็นสีเดิม บาทหลวงชราที่ผ่านโลกมานานชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะปัดเรื่องที่ติดใจทิ้งไป แล้วเอ่ยถามแม่ของเด็กเล็กคนนั้น

     

                    “นี่คงเป็นแอนดรูว์สินะ ลูกของลูกกับลูกกราฟ ฉลาดเฉลียวไม่เลว ดิลด์พยักหน้าเบาๆ

     

                    ที่หลังโบสถ์มีเพื่อนๆเต็มเลย หนูแอนดรูว์สนใจไปเล่นกับพี่ๆไหมครับ เสียงแหบแห้งแต่ทว่าอ่อนโยนพูดถามเด็กน้อยทั้งๆที่รู้ว่าเด็กในวัยนี้พูดตอบไม่ได้ ดิลด์ที่สังเกตุอยู่จึงคิดได้ว่าเรื่องนี้เด็กอาจไม่ควรรับรู้จึงหันไปพูดกับแอนดรูว์แทน

     

                    ลูกไปเล่นกับพี่ๆก่อนนะ แม่ขอคุยธุระกับหลวงพ่อคาลแป็บนึง เด็กน้อยพยักหน้าก่อนก่อนจะตะกุยลงจากแขนมารดา วิ่งดุ๊กดิ๊กหายไปทางหลังโบสถ์

     

                    เป็นเด็กที่ฉลาดไม่เลว อายุแค่นี้ก็ฟังรู้เรื่องแล้ว... ชายชราทอดมองไปยังเบื้องหลังเล็กๆที่วิ่งผ่านเพราะคิดติดใจในสีตาที่ตนเห็น

     

                    ไม่ใช่หรอกมั้ง...บาทหลวงชราคิดในใจ

     

                    ดิลด์เดี๋ยวลูกไปรอพ่อที่ห้องรับประทานอาหาร กินข้าวกับพ่อสักมื้อนะ ดวงหน้าหวานพยักหน้าก่อนจะเดินนวยนาดไปยังห้องอาหารที่เป็นจุดหมาย ส่วนชายชราก็ปลีกตัวไปเอาเอกสารบางอย่างที่ห้องทำงานของตน

     



     


    52%

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    มาต่อให้เเล้วครับ อิอิ ขอให้สนุกช่วงนี้จะเรื่อยๆก่อนนะครับ

     

     

     

     

     

                    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×