คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำแห่งตำนาน
บทนำแห่งตำนาน
‘ที่นี่ที่ไหน?’ เป็นสิ่งแรกที่ชายหนุ่มคิดหลังจากได้สติ รอบด้านมีแต่ความมืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง มืดเสียราวกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกดูดกลืนให้สิ้นสูญ
ความสงสัยก็ส่วนความสงสัยแต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ชายหนุ่มเดินหน้าไปเรื่อยๆถึงแม้จะมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าแต่ก็ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ได้แต่เดินอยู่อย่างนั้นจนมีเสียงหนึ่งดังเข้าโสตประสาท
‘ตามเสียงข้ามา...แอนดรูว์ ตามเสียงข้ามา....’
“เสียงใครน่ะ เสียงใคร! ตอบมาเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มตะโกนถามออกไปอย่างสุดเสียงแต่ก็ได้ยินแค่ประโยคเดิมๆ
‘ตามเสียงข้ามา....ตามเสียงข้ามา...’
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกรอบด้านก็มีแต่ความมืดมิดจึงได้แต่เดินตามเสียงที่พร่ำเรียกตนไปเรื่อยๆ เดินอยู่นานพอสมควรก็เริ่มเห็นปลายทางที่ส่องแสงสว่างออกมาก
‘คงจะเป็นที่นั่นสินะ...ปลายทาง’ ในเมื่อมีจุดหมายแล้วชายหนุ่มจึงไม่รีรอออกตัววิ่งเต็มกำลัง ถึงตนจะมีความอดทนสูงแต่ให้มาเดินท่ามกลางความมืดโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางเช่นนี้ก็ทำเอาความอดทนขาดสะบั้นลงอย่างง่ายๆได้เช่นกัน
แว๊บบบบบ แสงสว่างเจิดจ้าเสียจนต้องหลับตาเมื่อตนวิ่งผ่านแสงสว่างนั่นเข้ามา ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ ภาพแรกที่ชายหนุ่มเห็นคือทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มซึ่งแสดงถึงความลึกของทะเลสาบแห่งนี้ได้ดีว่าคงจะลึกมากพอดู รอบๆทะเลสาบมีทิวต้นส้นขึ้นเรียงล้อมรอบขับบรรยากาศให้ดูร่มรื่นน่าล้มตัวลงนอนยิ่งนัก ริมทะเลสาบจุดหนึ่งมีกระท่อมหลังน้อยตังอยู่อย่างโดดเดี่ยวจึงเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก ชายหนุ่มไม่รอช้าเดินไปยังกระท่อมหลังนั้นทันที
“มาแล้วรึแอนดรูว์ ข้ารอเจ้านานนับสิบสหัสวรรษได้แล้วกระมัง” เสียงที่คอยพร่ำเรียกชายหนุ่มกล่าวเย้ามาจากชานกระท่อม
ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ‘เสียงนี้มัน....’ ดวงตาสีไพริณ(น้ำเงินเข้ม) จับจ้องไปยังชานกระท่อมขาทั้งสองก็ก้าวเท้าเดินอย่างไม่หยุดหย่อน
บนชานกระท่อมมีชายคนหนึ่งอายุราวๆสามสิบปีนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก เอนตัวไปมาคอยรับลมเย็นๆที่คอยพัดผ่านเรื่อยๆอย่างสุขใจ ผมสีดำหากแต่ส่องประกายสีเงินทอดยาวลงเกลี่ยพื้น ดวงหน้าคมคายหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข มือเรียวหากแต่ไม่บอบบางเหมือนผู้หญิงคอยเคาะที่วางแขนตามจังหวะที่อยู่ในจินตนาการ
‘ใครกันนะ มานั่งสบายอารมณ์อยู่ท่ามกลางป่าสนนี่’ ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความสงสัยก่อนจะปัดความสงสัยเหล่านั้นทิ้งเพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
‘ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนละเนี่ย?’ เมื่อสติเริ่มกลับคืนไม่ใช่เอาแต่วิ่งตามเสียงเรียกหาอย่างไร้จุดหมายอย่างที่แล้วมาทำให้สมองของชายหนุ่มเริ่มประมวลผลได้เป็นลำดับมากขึ้น
‘ดูเหมือนเราจะเดินดูของเก่าในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์นี่นา แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้...’ ชายหนุ่มหยุดเดินก่อนจะถึงกระท่อมเพียงไม่กี่สิบเมตรหันมาครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ตนมาโผล่ที่นี่
‘เสียงสุดท้ายที่จำได้ดูเหมือนจะเป็นเสียงกริ่งเตือนภัยอะไรซักอย่าง อืม...จากนั้นยังไงต่อนะ’ ในขณะที่กำลังคิดเพลินๆอยู่นั้นกลับมีเสียงนุ่มทุ้มที่คอยเพรียกหานั้นมากล่าวขัดจังหวะเสียก่อน
“เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม แอนดรูว์”
“อ๊ะ! ขอโทษครับพอดีผมสงสัยนิดหน่อยว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง” ชายหนุ่มนามแอนดรูว์ตอบออกไปหลังจากหลุดจากภวังค์
“เอาเถิด เจ้ามานั่งจิบน้ำชาเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ บางที่ข้าอาจจะตอบข้อสงสัยเจ้าได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนด้วยครับ” ในเมื่อคิดไปก็ป่วยการณ์เปล่าๆแอนดรูว์จึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ไม้สานที่วางอยู่ข้างๆชายคนนั้น ถึงแม้จะเอะใจเล็กน้อยถึงภาษาที่ชายคนนั้นพูดจะค่อนข้างโบราณไปสักนิด แต่อาจจะเป็นรสนิยมของเจ้าตัวก็เป็นได้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก
“เจ้าอยากได้ชาอะไรรึแอนดรูว์” ชายปริศนาถามแอนดรูว์ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ขอเป็นอู่หลงแล้วกันครับ”
“อู่หลงอย่างนั้นรึ มันเป็นชาแบบไหนกันเจ้าอธิบายให้ข้าเข้าใจด้วยเถิด” ชายปริศนาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยถึงรายชื่อชาที่มีในครอบครอง
“ถ้างั้นผมขอเป็นชาที่คุณคิดว่ารสดีก็แล้วกัน” แอนดรูว์ตัดบทเพราะขี้เกียจอธิบาย ‘แปลกคนกระทั่งชาอู่หลงก็ไม่รู้จัก’
“โอ้ ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าไม่ใช่คนฝั่งนี้ ข้าขออภัยด้วยก็แล้วกันที่ถามอะไรโง่ๆออกไป” ชายปริศนาทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆมาให้ แต่สิ่งที่ได้ยินทำให้แอนดรูว์ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเป็นริบบิ้นด้วยความสงสัยในคำพูดของชายปริศนา
“อะไรคือคนฝั่งนี้ คุณช่วยขยายความให้ผมเข้าใจหน่อยได้ไหม” จากที่ชายหนุ่มพูดมีหางเสียงตลอดด้วยชายปริศนาดูจะมีอายุมากกว่ากลับเริ่มห้วนขึ้นเพราะเริ่มจะหงุดหงิด นี่ก็จะเย็นแล้วด้วยคนที่บ้านคงจะเป็นห่วง...ล่ะมั้ง
ดวงตาสีไพริณทอแววเศร้าสร้อยเพียงครู่ก็เริ่มกลับมาแข็งกร้าวด้วยแรงอารมณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้น‘คนๆนี้คือใคร หรือจะเป็นบ้าพูดอะไรก็ไม่รู้ไม่เข้าใจซักอย่าง’
“ใจเย็นๆเถิด ข้ารู้หรอกว่าเจ้าคงจะสับสนอยู่มากแต่ข้าก็ไม่รู้จะเริ่มตอบข้อสงสัยเจ้าจากที่ใดดี” ชายปริศนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบไม่ทุกข์ร้อน ถึงจะติดใจดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววเศร้าออกมาแม้เพียงชั่วครู่แต่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรจึงปัดข้อติดใจนั้นทิ้งไป
“เล่ามาเถอะครับ ผมพร้อมรับฟังหากคุณพูดอะไรที่มันไร้สาระล่ะก็ ผมตั๊นหน้าคุณแน่!” ถึงข้อความจะดูอ่อนน้อมแต่อารมณ์ที่แฝงมานั้นกลับแข็งกร้าวอยู่ในที
“ฮ่าๆ เจ้านี่ใจร้อนใช่เล่น จิบชาเถิด ข้ารินให้เจ้านานแล้วประเดี๋ยวมันจะเย็นเสียก่อน ข้าจะค่อยๆเล่าก็แล้วกัน...” ชายหนุ่มหันมามองชาในถ้วยใบเล็กอย่างชั่งใจก่อนจะยกขึ้นจิบเป็นมารยาท ชายปริศนาเห็นดังนั้นก็ยิ้มพอใจก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่าเรื่อง
“แอนดรูว์ เจ้าเคยได้ยินโลกคู่ขนานไหม?” แค่เริ่มเอ่ยปากแอนดรูว์ก็แทบซัดหมัดใส่หน้าชายปริศนา แค่เริ่มเรื่องก็ดูจะไร้สาระเสียแล้วจะให้มานั่งฟังเรื่องไร้สาระนี่ก็ไม่ได้กลับบ้านพอดี แต่เพียงแค่ชายปริศนาปรายตามามองด้วยหางตาเท่านั้นร่างกายของชายหนุ่มก็ขยับไม่ได้ราวกับโดนสายตานั้นตรึงไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ชายคนนี้เป็นใครกัน...
“ฟังก่อนสิ หากเจ้าใจร้อนมากเกินไปข้าคงต้องไม่ขอตอบข้อสงสัยเจ้า เรื่องที่ข้าจะเล่านี้เกี่ยวพันกับสิ่งที่เจ้าสงสัย จงนั่งดีๆเสียไม่เช่นนั้นขาคงต้องขอเสียมารยาท” ถึงจะเป็นน้ำเสียงเนิบๆแต่เรียบนิ่งดุจดั่งท้องน้ำที่ไร้คลื่นกระเพื่อม มันช่างเย็นจับใจเสียชายหนุ่มต้องนั่งฟังอย่างว่าง่ายแม้จะขัดใจอยู่บ้างก็ตาม
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ” ชายหนุ่มไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงว่าเคย ชายปริศนาจึงเอ่ยต่อ
“โลกที่เจ้าอยู่นั้นก็เป็นอีกโลกหนึ่ง ส่วนโลกที่ข้าอยู่นั้นก็เป็นอีกโลกหนึ่งแต่มีจุดหนึ่งเชื่อมกันนั่นก็คือข้าและเจ้า ในเรื่องนี้ในภายภาคหน้าเจ้าจะรู้รายละเอียดเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” ชายปริศนาปรายตาสีไพริณเช่นเดียวกันกับเจ้าตัวมามองทางแอนดรูว์เล็กน้อย ดูเหมือนแอนดรูว์จะไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ตนพูดจึงทำสีหน้าขัดใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ไม่เอ่ยเพราะยังเกรงตนอยู่เนืองๆ เมื่อเห็นดังนั้นชายปริศนาจึงกล่าวต่อ
“โลกที่เจ้าอยู่นั้นทางฝั่งข้าเรียกมันว่า ลอสเวิลด์(loss world) เป็นโลกที่สิ่งมีชีวิตสูญเสียอำนาจในการควบคุมพลังธรรมชาติหรือที่เจ้าเรียกมันว่าเวทมนต์...” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
‘ยิ่งฟังยิ่งเพ้อฝันเวทมนต์มันมีจริงซะที่ไหน ถือว่าฟังนิทานก็เเล้วกันจะได้ไปจากที่นี่ซะที’ ชายปริศนาเห็นอาการที่แสดงออกเพราะสังเกตุอยู่ตลอดแต่ไม่ใส่ใจ ก่อนจะเล่าต่อให้จบเสียทีเดียว
“ส่วนโลกที่ข้าอยู่นั้นถูกเรียกว่า เมจเจียร์(mage jear) เพราะเป็นโลกที่ผู้คนสามารถใช้เวทมนต์ได้และเกิดปรากฏการณ์แปลกๆที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้อยู่บ่อยๆ โลกทั้งสองในอดีตเคยติดต่อและไปมาหาสู่กันได้ แต่ด้วยคนฝั่งลอสเวิลด์เกรงอำนาจที่มหาศาลของคนฝั่งเมจเจียร์จึงทำให้เกิดการตามล่าคนฝั่งเมจเจียร์ขึ้น ผู้ที่ถูกจับได้จะถูกคนฝั่งเจ้าเผาทั้งเป็น ในสมัยนั้นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของฝั่งเมจเจียร์หรือที่เรียกว่าสิบจอมเวทย์ศักสิทธิ์ได้แบ่งเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายที่อยากให้ทำสงครามกับคนฝั่งลอสเวิลด์และฝ่ายที่อยากให้ตัดขาดการติดต่อกับคนฝั่งลอสเวิลด์ เสียงในสภาแบ่งเป็นฝ่ายละห้าอย่างชัดเจน....” ชายปริศนายกชาขึ้นจิบก่อนจะเล่าต่อ
“ในเมื่อผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดทั้งสิบไม่อาจหาข้อสรุปได้จึงได้หาบุคคลมาเป็นเสียงเพิ่มอีกหนึ่งเสียง สุดท้ายจึงได้ผลสรุปให้ตัดขาดการติดต่อเสีย บุคคลที่เป็นเสียงที่สิบเอ็ดนั้นมีผู้คนกล่าวไว้ว่ามีความสามารถที่แปลกประหลาดผิดแผกไปจากสิบจอมเวทย์ศักสิทธิ์ และผู้คนในฝั่งเมจเจียร์ แต่ความแข็งแกร่งนั้นแม้แต่สิบจอมเวทย์ศักสิทธิ์ก็ไม่อาจสู้ได้ หลังจากนั้นสิบจอมเวทย์ศักสิทธิ์ก็เริ่มต้นพิธีกรรมในการตัดขาดการติดต่อคนจากฝั่งลอสเวิลด์พิธีกรรมผ่านไปด้วยดีนับแต่นั้นเป็นต้นมาโลกทั้งสองก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยจนโลกแต่ละโลกกลายเป็นตำนาน เรื่องเล่า ให้คนรุ่นหลังได้ฟัง....เอาล่ะเจ้าฟังเรื่องที่ข้าเล่าจบแล้ว ก็ถึงตาที่ข้าจะตอบคำถามเจ้าว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ชายปริศนายกชาขึ้นจิบอีกแก้วแก้กระหายเพราะพูดติดกันยาวจนแทบไม่ได้พักหายใจ
ตอนนี้แอนดรูว์ก็ยอมรับว่าเรื่องที่ชายปริศนาเล่านั้นสนุกมิใช่น้อย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเล่าให้เขาฟังทำไมหรือจะเกี่ยวกับเรื่องที่เขามาโผล่ที่นี่ คงไม่ใช่หรอกมั้งเพราะเรื่องที่ได้รับฟังมันค่อนข้างที่จะเหลือเชื่อเกินไป แต่หากเชื่อมโยงกับตำนานต่างๆที่เขาเคยอ่านมาก็เป็นไปได้สูงว่าตำนานล่าแม่มดในสมัยก่อนอาจจะเป็นการล่าคนจากเมจเจียร์ก็เป็นได้ เด็กหนุ่มเลิกครุ่นคิดก่อนจะหันมาตั้งใจฟังต่อเพราะประโยคต่อจากนี้จะเป็นคำตอบกับข้อที่เขาสงสัยว่ามาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร
“แอนดรูว์เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามจริงๆแล้วเจ้าเป็นคนของฝั่งเมจเจียร์ เพียงแต่จิตวิญญาณของเจ้าแตกเป็นสองส่วนโดยส่วนหนึ่งหลุดไปอยู่ฝั่งลอสเวิลด์และอีกส่วนหนึ่งยังคงอยู่ฝั่งเมจเจียร์เพียงแต่อ่อนกำลังลงมากก็เท่านั้น ส่วนสาเหตุนั้นในตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาเช่นกันที่เจ้าต้องรู้...รู้เพียงแค่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าจะรู้เรื่องทุกอย่างเอง” ชายปริศนากล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะยิงคำถามใส่ตัวแอนดรูว์ที่ตอนนี้ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเพราะตนกำลังคิดว่าคุยกับคนบ้าอยู่
“เจ้าคงจำได้สินะก่อนที่เจ้ามาที่นี่เจ้าอยู่ที่ใด เจ้าลองนึกดูดีๆเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ชัดๆเจ้าจะรู้เองว่าเจ้ามาโผล่ที่นี่ได้เช่นไร” แอนดรูว์ขมวดคิ้วเส้นเลือดปูดโปนออกมาด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ นี่เขาต้องมาฟังคนบ้าเล่าเรื่องตั้งนานเพื่อจะมาบอกให้คิดหาคำตอบเองเนี่ยนะ เสียเวลาจริงๆ แต่ตัวแอนดรูว์ก็แสดงท่าทีอะไรไม่ได้มากเพราะจากบรรยากาศรอบตัวเขาบอกได้แค่ว่าชายปริศนาคนนี้ไม่ธรรมดาหากทำอะไรบุ่มบ่ามอาจเป็นเขาเองที่ต้องเจ็บตัว ในเมื่อโกรธไปก็ไม่ได้ประโยชน์สู้เอาเวลามาคิดหาสาเหตุดีกว่า
ย้อนกลับไปก่อนที่แอนดรูว์จะมาโผล่ที่แห่งนี้
‘พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอย่างนั้นเหรอ’ เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มของมหาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยยืนจ้องป้ายทางเข้าที่แกะสลักจากหินอ่อนดูสวยงาม ‘พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งประเทศไทย’ สายตาหลากคู่จ้องมายังชายหนุ่มอย่างเป็นที่สนใจไม่ใช่เพราะหน้าตาดีหรืออะไรแต่เป็นเพราะบอดี้การ์ดใส่ชุดสูทดำแว่นตาดำยืนคุมอยู่นับสิบคนต่างหาก
‘น่ารำคาญพวกนี้จริงๆ ไม่รู้คนๆนั้นจะให้ตามมาทำไม’ ชายหนุ่มปรายตามองเหล่าชายชุดดำเพียงแค่หางตา พลางนึกไปถึงพี่ชายของพ่อตนที่มักจะทำอะไรโอเวอร์ตลอด แต่ชายหนุ่มรู้ดีที่ทำไปทั้งหมดนี่เพียงแค่อยากประกาศศักดาเพียงเท่านั้น ความรักเหรอ...เหอะ! คำๆนี้คนๆนั้นไม่รู้จักหรอก เพียงแค่ให้เงินเขาใช้ตามพินัยกรรมของพ่อแม่ก็แทบจะกัดฟันให้ ทั้งๆที่ตัวเองแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากครอบครัวเขา ดีแค่ไหนแล้วที่กฎหมายยังคุ้มครองเขาอยู่บวกกับญาติๆที่คอยสนับสนุนเขาห่างๆเนื่องด้วยรู้ดีว่าคนๆนั้นต่ำทรามแค่นั้นทำได้แม้กระทั่งวางแผลลอบสังหารน้องชายตน หากคนๆนั้นรู้เรื่องที่ชายหนุ่มรู้ว่าเขารู้เรื่องนี้ชายหนุ่มคงไม่รอดมาถึงทุกวันนี้หรอก ส่วนญาติๆน่ะหรือ รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยความที่คนๆนั้นมีอำนาจมากเกินไป
จากการแย่งชิงด้วยแผนการเลวทราม.....
นึกถึงตรงนี้ชายหนุ่มกำมือจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนมีเลือดซึมออกมา ดวงตาสีรัตติกาลทอประกายกร้าวอย่างชัดเจน เขาเกลียดแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสมในการแก้แค้นก็เท่านั้น...มันน่าเจ็บใจนัก
เด็กหนุ่มปัดเรื่องความแค้นทิ้งก่อนจะเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เพราะที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพียงเพื่อทำรายงาน ชายหนุ่มเดินดูของเก่าแก่ตามที่ตนสนใจพร้อมกับจดบันทึกใส่แท็บเล็ตที่พกมาด้วยจนชายหนุ่มเดินพลัดหลงกลับกลุ่มคนชุดดำ จริงอยู่ว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแต่ด้วยมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและของเก่าของแก่มากมายทำให้คนเดินเข้าออกมากพอดู ไม่แปลกหรอกที่ตนจะเดินหลงกลับกลุ่มคนที่คนๆนั้นส่งมาประกาศศักดา ชายหนุ่มไม่สนใจตามหาได้แต่เดินไปเรื่อยๆจนตนเผลอเข้ามายังโซนตำนานและปกรณัมต่างๆ โดยโซนนี้จะมีแบบจำลองของสัตว์ในตำนาน สัตว์ตามปกรณัมต่างๆตั้งโชว์ให้ดู บางตัวเป็นหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวเดินไปมาได้ไม่ต่างกับมีชีวิตจริงๆ ซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่ชื่นชอบของเด็กๆมาก แต่ชายหนุ่มไม่ทันเห็นป้ายที่แขวนหน้าทางเข้าว่า ‘ปิดปรับปรุง’ จึงเผลอเดินเข้ามา ในตอนนี้จึงไม่มีคนอยู่แม้แต่คนเดียว
ชายหนุ่มเดินดูของเรื่อยๆอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าแบบจำลองชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่เพราะอะไรๆยังดูไม่เรียบร้อยกระทั่งป้ายประวัติความเป็นมายังไม่ทันตั้ง ของชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายๆกับวงแหวนที่ทำมาจากหินเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆสามเมตรตั้งอยู่บนฐานที่เป็นเหมือนทองคำ ชายหนุ่มเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไรทำไมหินถึงมีรูปร่างคล้ายวงแหวนเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตุว่าส่วนบนของวงแหวนเรืองแสงขึ้นเล็กน้อยปรากฎเป็นอักษรอะไรซักอย่างขยึกขยือที่ดูไม่ใช่อักษรในสมัยนี้ ในสายตาคนอื่นอาจเห็นเป็นรวดลายแปลกตาแต่กลับชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมาเจอพอดี ฉับพลันดวงตาที่เคยเป็นสีดำรัตติกาลก็ทอประกายเป็นสีน้ำเงินเข้มคล้ายไพริณ ชายหนุ่มเอ่ยปากอ่านอักษรนั้นอย่างไม่รู้ตัว
“@#$%%&***++” สิ้นคำอ่านภาษาที่ไม่เคยได้ยินชายหนุ่มก็หายเข้าไปในตัววงแหวนหินนั้น พร้อมกับเสียงกริ่งที่ดังขึ้นเพราะความร้อนที่เกิดจากการส่งตัวข้ามมิติทำให้สปินเนอร์ที่ติดตามเพดานปลดปล่อยน้ำออกมา
กลับมาปัจจุบัน
“เช่นนี้รู้หรือยังว่าเจ้ามาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร...” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ นี่มันจะเหลือเชื่อไปหน่อยแล้ว
“สิ่งนั้นคือ...” ไม่ทันพูดจบชายปริศนาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ประตูแห่งเมจเจียร์ จริงอยู่ว่าทางเมจเจียร์ตัดขาดจากลอสเวิลด์แต่อารายธรรมบางอย่างก็คงอยู่ที่ลอสเวิลด์ เช่นเดิม คงเป็นประตูที่เคยไปมาหาสู่กันก่อนกระมัง"
“สรุปเรื่องที่คุณเล่าเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย! ทำใจเชื่อยากแฮะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบาในท้ายประโยคเพราะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ อะไรๆดูเหมือนจะเกินจินตนาการไปมากโข
“แล้วผมมีทางที่จะกลับไปลอสเวิลด์ได้ไหม...” เรื่องหลุดมิติถึงจะน่าเหลือเชื่อ แต่เรื่องหาทางกลับโลกเดิมสำคัญกว่า ชายหนุ่มถามออกไปเสียงเบาหวิวเพราะกลัวคำตอบ
“มิสิ แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าทำเช่นไร เจ้าคงต้องไปสืบหาเอาเองจากฝั่งเมจเจียร์แล้วล่ะ” ถึงจะให้คำตอบไม่ได้ทันที แต่ชายหนุ่มก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แอนดรูว์เอะใจเล็กน้อยกับประโยคที่ชายปริศนาเอ่ยออกมาจึงถามด้วยสีหน้าสงสัย
“แล้วนี่ไม่ใช่ฝั่งเมจเจียร์เหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอก ที่แห่งนี้เป็นเพียงมิติระหว่างกลางของสองโลกผู้ที่จะมาที่แห่งนี้ได้จำต้องละทิ้งร่างกายตนเองมาได้เพียงแค่จิตวิญญาณ” ชายหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะละล่ำละลักถามจนลิ้นแทบพันกัน
“แสดงว่าผมในตอนนี้คือร่างจิตวิญญาณ แล้วร่างกายผมล่ะ!” ชายปริศนาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับความใจร้อนของแอนดรูว์ ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างสบายๆไร้ความกังวล
“เจ้าอย่าห่วงไปเลย ยามใดที่เจ้ากลับลอสเวิลด์ได้ร่างกายเจ้าก็จะกลับมาเพราะถือว่าเจ้าเป็นคนของลอสเวิลด์” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะบอกถึงการตัดสินใจขอตนเองออกไป
“ถ้าอย่างนั้นช่วยส่งผมไปเมจเจียร์ได้ไหม” ชายปริศนาได้ฟังก็หัวเราะอย่างชอบใจเพราะเขารอคำๆนี้หลุดออกจากปากของแอนดรูว์มานานแสนนาน
“ได้สิ เพียงแต่...” ยังไม่ทันพูดจบแอนดรูว์ก็แทรกกลางปล้องขึ้นมาก่อน ทำเอาชายปริศนาอดขมวดคิ้วกับความไร้มารยาทของแอนดรูว์ไม่ได้
“เพียงแต่อะไร” ชายปริศนาปรายตามองแอนดรูว์อย่างปรามๆแต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี สายตานั้นทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งได้แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้
“เพียงแต่ในฝั่งเมจเจียร์เจ้านั้นไม่มีร่างกาย เจ้าไปทั้งๆอย่างนี้ก็เป็นได้แค่วิญญาณเร่ร่อน เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าจงไปกำเนิดใหม่เสีย เมื่อถึงอายุที่เหมาะสมเจ้าจะได้ตามหาหนทางกลับลอสเวิลด์” เหมือนชายหนุ่มจะพูดอะไรซักอย่างแต่ชายปริศนาเอ่ยตอบขึ้นมาราวกับอ่านใจได้
“เรื่องเวลาเจ้าไม่ต้องห่วง โลกทั้งสองตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิงหากเจ้ากลับลอสเวิลด์เมื่อใดเวลาจะเดินต่อจากที่เจ้าเข้าประตูแห่งเมจเจียร์ในทันที ดังนั้นเจ้าจงใช้ชีวิตในโลกฝั่งเมจเจียร์ให้มีความสุขเสีย อย่าได้รีบร้อนหาทางกลับลอสเวิลด์ บางทีเจ้าอาจจะติดใจโลกฝั่งเมจเจียร์ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ
“นี่ก็คุยกันมานานแล้ว คงถึงเวลาแล้วกระมังที่ข้าต้องส่งเจ้าไปยังเมจเจียร์” ชายปริศนาเอ่ยปากร่ายเวทมนต์บางอย่างที่แอนดรูว์ไม่อาจจะเข้าใจได้ เบื้องล่างชายปริศนาปรากฏอักขระโบราณพร้อมกับวงเวทย์ที่ซับซ้อนสีเงินยวง ยามที่ชายปริศนาตวัดนิ้วชี้มาทางแอนดรูว์วงเวทย์นั้นก็เคลื่อนตัวมาทาบทับร่างกายของแอนดรูว์ ชายหนุ่มดูตกใจแต่ก็ยังเอ่ยปากถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมาก่อนที่ร่างกายจะเลือนหายไป
“คุณเป็นใครกันแน่....” ชายปริศนายิ้มกริ่มอย่างพอใจ หน้าที่ของตนได้หมดลงแล้ว พอกันทีกับเวลาที่รอมานานนับสิบสหัสวรรษ ต่อจากนี้กงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนวนอีกครั้งแล้ว
“เราคงได้พบกันในเร็วๆนี้แน่ ตัวข้า.....” ชายปริศนาค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่ค่อยๆแตกสลายราวกับแก้วแตกเหลือเพียงแต่ความมืดมิดที่ดูเหมือนจะกระชากบุคคลที่หลงเข้ามาให้จมสู่ความว่างเปล่า
มิติระหว่างสองโลก ‘มิดเดิลเกท (middle gate)
Loading...117%
ความคิดเห็น