คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : THE ROOMMATE - 24
“ก้าวระวังด้วยนะครับ”
สิ้นเสียงตะโกนบอกของคนขับรถเมล์ แบคฮยอนก็ก้าวเท้าลงจากรถอย่างรวดเร็วทันที
ความแออัดของจำนวนคนบนรถเมล์ในทุกวันศุกร์นั้นเป็นเรื่องปกติ หากแต่วันนี้มันแน่นขนัดกว่าวันอื่น ๆ จนที่นั่งไม่พอและได้ยืนชิดกันจนเต็มคันรถ
แบคฮยอนรีบสาวเท้าเดินไปตามฟุตบาทอย่างรีบเร่ง มือข้างขวาถูกยกขึ้นมาปัดตรงแขนเสื้อลวก ๆ วันนี้เขาต้องยืนเบียดกับผู้ชายวัยกลางคนที่ดูไม่ค่อยสมประกอบสักเท่าไหร่ เนื้อตัวมอมแมมที่มาพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นถึงกับทำให้เจ้าตัวยอมลงก่อนป้ายที่จะลงจริง ๆ ถึงสองป้าย
แบคฮยอนเดินไปเรื่อย ๆ โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงจุดหมาย ร่างเล็กกวาดตาสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนจะเจอกับร้านที่เขากับเซฮุนได้นัดกันไว้ในวันนี้
“ไงมึง หอบมาเชียว” เซฮุนทักทายเพื่อนสนิทขึ้นหลังจากที่แบคฮยอนได้เดินมานั่งที่โต๊ะแล้วมีอาการหอบเล็กน้อย
“คนเยอะฉิบหาย แถมวันนี้ต้องไปยืนเบียดกับคนบ้าบนรถเมล์อีก กูทนไม่ไหวกูเลยลงก่อนป้ายอ่ะ” แบคฮยอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบแก้วโกโก้เย็นที่อยู่ตรงหน้าเซฮุนขึ้นมาดูด
“เห็นวันนี้อิเกียจัดเซลนี่ คนมันก็เลยเยอะป้ะ”
“จะไปอิเกียแล้วขึ้นรถเมล์ไปเนี่ยนะ คือจะซื้อเตียงโต๊ะแล้วผูกกับหลังคารถเมล์กลับเนี่ยหรอ”
“เออว่ะ”
แบคฮยอนส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เล็กน้อย ก่อนที่เซฮุนจะเรียกพนักงานร้านเข้ามาหาเพื่อจะสั่งอาหารสำหรับเขาและแบคฮยอนต่อไป
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องจิปาถะไปเรื่อย ๆ จนอาหารที่สั่งทั้งหมดมาเสิร์ฟที่โต๊ะเรียบร้อย
“เมื่อคืนชานยอลทักมาคุยกับกูด้วย”
แบคฮยอนแทบจะสำลักสปาเก็ตตี้ในปากเมื่อเพื่อนเซฮุนได้เอ่ยถึงชานยอล แก้วน้ำซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ถูกคว้าขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ทำให้เซฮุนต้องขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงตกใจขนาดนี้
“นี่มึงตกใจอะไรเนี่ย”
“เปล่า ๆ ทักมาคุยอะไรล่ะ” แบคฮยอนวางแก้วลง ก่อนจะรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วถามเซฮุนกลับไป
“เรื่องคุณลู่หาน”
แบคฮยอนได้แต่มองหน้าเซฮุนอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พร้อมกับกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความฉงน จนทำให้เซฮุนหัวเราะคิก ๆ ออกมา
“แหนะ มึงกังวลอะไรอีกล่ะสิ”
แบคฮยอนเอนหลังไปพิงที่พนักเก้าอี้พร้อมกับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “คุยอะไรกันบ้างล่ะ”
“เรื่องกูกับเขาน่ะแหละ ชานยอลมันเป็นห่วง มึงก็รู้หนิว่าพี่คริสเคยทำมันเกือบตายมาแล้ว”
แบคฮยอนกรอกตาไปทางอื่น
ช่วงเวลาเหล่านั้นที่เซฮุนพูดเขายังจำได้แม่นทุกเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่ที่ชานยอลได้มีปัญหากับพี่คริสในคืนนั้น แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามันก็ทำให้เขากับชานยอลสนิทกันขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะเกิดความรู้สึกบ้า ๆ นั่นขึ้นจนเป็นสาเหตุให้เขากับชานยอลนั้นต้องเจอทั้งปัญหาและอะไรหลาย ๆ อย่างจนมาถึงวันนี้
และแบคฮยอนก็ไม่เคยลืมเลยว่าชานยอลเคยรักลู่หานแค่ไหน…
“…นี่ มึงอย่าคิดมากนะ ชานยอลมันแค่ทักมาคุยกับกูเพราะมันห่วงว่ากูจะเจออะไรคล้าย ๆ ที่มันเจอแค่นั้นแหละ”
“จะไปโดนแบบนั้นได้ยังไง มึงเป็นน้องชายพี่คริสนะ” แบคฮยอนหันมายิ้มขำ ๆ ใส่เซฮุน
คำตอบของแบคฮยอนนั้นไม่ใช่ประโยคคำถามที่เซฮุนต้องตอบ ความหมายจริง ๆ ของมันคงจะเป็นประโยคที่พยายามจะบอกเซฮุนว่าเขาไม่เข้าใจในความคิดของชานยอลมากกว่า
“มัน… ไม่ใช่อ่ะมึง คือกูจะพูดยังไงดี เหมือนชานยอลมันแค่กังวลน่ะ อ่า… เอาเป็นว่าก็เหมือนมึงที่ก็ไม่ค่อยสบายใจที่กูไปชอบแฟนเก่าพี่ตัวเองไง เหมือน ๆ กัน แล้วด้วยความที่ชานยอลมันรู้จักทั้งสองฝ่ายอ่ะ คุณลู่หานก็เป็นแฟนเก่ามัน กูก็เหมือนเพื่อนมัน มันก็คงอยากรู้ความเป็นไปเฉย ๆ น่ะแหละ”
“อ่อ…”
แบคฮยอนพยักหน้าน้อย ๆ เหมือนจะเข้าใจที่เซฮุนพูด แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้สบายใจกับมันเลย
เซฮุนมองหน้าเพื่อนตัวเอง “มึงกังวลเรื่องคุณลู่หานมากขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“เปล่าหนิ กูดูกังวลขนาดนั้นเลยหรอ”
“ซึนไอ้สัด” เซฮุนพูดพร้อมกับทำท่าจะปาซ่อมใส่เพื่อนสนิท “จะได้กับมันอยู่ละยังมาทำเป็นไม่เป็นอะไร กูดูมึงออกนะ”
“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรกับกูมากป้ะ” แบคฮยอนตอบเซฮุนกลับไปอย่างคาดโทษ
เรียกได้ว่าเซฮุนเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความเป็นไประหว่างแบคฮยอนกับชานยอล และถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่เซฮุนก็รู้สึกได้ว่าแบคฮยอนนั้นรู้สึกดีกับชานยอลแค่ไหน เพราะเท่าที่คบกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แบคฮยอนเพิ่งจะมีอาการที่คล้าย ๆ กับคนที่กำลัง ‘มีความรัก’ เป็นครั้งแรก
“มึงไม่ต้องไปคิดมากหรอก สองคนนั้นไม่ได้คิดอะไรกันแล้วจริง ๆ ที่มันมาถามกูก็คงเป็นเพราะห่วงในฐานะของเพื่อนคนหนึ่งล่ะมั้ง”
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะเซฮุน มึงน่ะชอบคิดแทนกู”
“เอ้า ก็กูเป็นห่วงมึง เดี๋ยวเก็บเอาไปคิดมากอีก มึงแม่งยิ่งไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน”
“ถ้ามึงจะห่วงกูขนาดนี้มึงไม่ต้องเอามาพูดให้กูฟังตั้งแต่แรกก็จบละ”
“เห… ไหนบอกไม่คิด” เซฮุนพูดด้วยสีหน้าล้อเลียน
แบคฮยอนจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด “มันมีประโยคไหนที่บอกว่ากูคิดวะ มึงต้องการอะไรจากกูห้ะ”
แบคฮยอนกับเซฮุนได้เถียงกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาหารตรงหน้าหมด ทั้งคู่ได้เช็คบิลและพากันเดินออกจากร้านเพื่อที่จะไปทำกิจกรรมที่เป็นเป้าหมายของวันนี้จริง ๆ นั่นก็คือการดูหนัง
“ไหนมึงบอกดูรอบมาแล้วไง” แบคฮยอนหันไปดุใส่เซฮุน หลังจากที่พากันมาซื้อตั๋วหนังกับพนักงานแต่ดันไม่มีรอบที่ทั้งคู่นั้นจะดู
“ก็กูดูในแอปมาแล้วจริง ๆ มันก็ขึ้นอยู่ว่าบ่ายสอง”
แบคฮยอนขมวดคิ้วขึ้นอย่างขัดใจ “แล้วเอาไงทีนี้ จะดูไหมรอบสี่โมงครึ่ง”
“ไม่ได้! กูนัดคุณลู่หานไว้ตอนห้าโมง ดูตอนนั้นก็ออกมาไม่ทันสิ”
แบคฮยอนมองหน้าเพื่อน “มึงนัดเขาวันนี้หรอ”
“อือ”
“งั้นไม่เอาแล้วครับ ขอโทษด้วยนะครับ” แบคฮยอนหันไปโค้งหัวให้พนักงานขายตั๋วเล็กน้อย ก่อนที่จะดึงแขนเพื่อนสนิทให้ออกมาจากบริเวณนั้น
“ทำไมมึงไม่บอกกูล่ะว่ามึงนัดเขามา”
“กูต้องรายงานมึงด้วยหรอ”
“เอ้ออออ มึงไม่จำเป็นต้องรายงานกูหรอก แต่ไหนมึงบอกจะไม่ติดต่อกับเขาสักพักไง มึงไม่กลัวพี่มึงรู้แล้วหรอ” แบคฮยอนกอดอกถามเพื่อนสนิทอย่างเอาเรื่อง ทำให้เซฮุนต้องหลบตาแล้วได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เพราะที่แบคฮยอนพูดมันก็ถูกจริง ๆ
“แล้วคุณลู่หานก็เหมือนกัน ไหนมึงบอกกูว่าเขาก็ไม่อยากยุ่งกับมึงแล้ว แล้วก็ตกลงมาเนี่ยนะ”
“มึงอย่าไปว่าเขาสิ กูแหละรบเร้าเขาเอง อีกอย่างนะ เราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่คริสรู้เรื่องนี้จริงรึเปล่า” เซฮุนหันมาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟึดฟัดเล็กน้อย
“แล้วมึงแน่ใจได้หรอ”
“…”
“จะจัดการยังไงก็เริ่มสักทีเถอะเซฮุน กูเห็นมึงเอาแต่บอกว่าจะจริงจังกับเรื่องนี้แต่ก็ไม่เห็นทำอะไรสักที”
เซฮุนถอนหายใจแล้วหย่อนตัวลงไปนั่งม้านั่งที่อยู่ใกล้ ๆ “กูไม่รู้จะเริ่มยังไงว่ะ กูอยากเคลียร์ให้มันเสร็จ แต่กูก็ทำไม่ได้สักที”
“แล้วตอนนี้จิตใจมึงเอนไปทางใครมากกว่า คุณลู่หาน? หรือพี่มึง?”
เซฮุนเงียบ
เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่เขาจะต้องเลือกใครสักคนระหว่างคริสกับลู่หาน แต่ถ้าถามว่าทางไหนมันจะดีและถูกต้องกว่าก็คงต้องตอบว่าคริส… คริสที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ และเป็นคนสำคัญในชีวิตเขา ต่างจากลู่หานที่ถึงแม้ว่าจะชอบแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะไปเทียบความสำคัญกับคริสได้ และถ้าเขายังดึงดันไปก็คงจะไม่เป็นผลดีกับใครสักคนแน่
แต่การตัดใจจากคนที่ตัวเองชอบมาก ๆ มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น…
“กูแม่งผิดตั้งแต่ไปชอบแฟนพี่ชายตัวเองแล้วว่ะ กูไม่น่าทำให้ชีวิตตัวเองต้องมายุ่งยากแบบนี้เลย”
“กูว่ามึงน่าจะคิดได้แบบนี้ตั้งนานแล้วนะ”
เซฮุนช้อนตาขึ้นมามองแบคฮยอน ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“เอาน่า กูรู้มันต้องใช้เวลา แต่มึงก็อย่าปล่อยให้มันมากเกินไปละกัน เกิดพี่คริสเขารู้เรื่องขึ้นมาจริง ๆ คนที่แย่จะไม่ได้มีแค่มึงนะ”
“…เออ กูรู้แล้ว”
ทั้งสองคนใช้เวลาพูดคุยกันเรื่องนี้อีกนิดหน่อย ก่อนที่แบคฮยอนจะชวนเซฮุนไปลองกินเค้กที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ในย่านนั้นทดแทนการดูหนัง แล้วเซฮุนก็ตอบตกลงทันที
“ถ้าได้อยู่กับมึงทุกวันนี่กูคงได้อ้วนสักวัน แดกไปละยังจะพามาแดกอีก”
“เอ้า ถ้าไม่อยากแดกมึงก็ออกไปสิ กูนั่งแดกคนเดียวก็ได้ ไปสิ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือมาตอบเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่เค้กช็อกโกแลตกับบานอฟฟี่ที่สั่งไว้จะถูกยกขึ้นมาเสิร์ฟที่โต๊ะของทั้งคู่
“กูขอเก็บไอ้นี่ก่อนแล้วกันเดี๋ยวมึงกินไม่หมด” ว่าแล้วเซฮุนก็ปากเค้กช็อกโกแลตที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากทันที
“ไอ้แป๊ะเอ๊ย แล้วมาบ่นให้กู”
ทั้งคู่ไม่ได้สนใจกินมากนัก ดูเหมือนจุดประสงค์ที่มานั่งร้านนี้น่าจะเป็นการมานั่งฆ่าเวลาเสียมากกว่า ในระหว่างนี้ทั้งแบคฮยอนและเซฮุนก็ได้พูดคุยเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเวลาผ่านเกือบสองชั่วโมง
เสียงกระดิ่งที่ผูกกับประตูร้านได้ดังขึ้นตามปกติเมื่อมีคนเข้าออก เซฮุนหันไปตามเสียงนั้นอย่างไม่ได้สนใจอะไรมาก ก่อนจะตาโตขึ้นทันทีเมื่อบุคคลที่เดินเข้ามาคือคนที่เขานัดไว้ในเย็นวันนี้
แบคฮยอนมองตามเพื่อนสนิท “อะไรวะมึง”
“คุณลู่หาน” พูดจบแล้วเซฮุนก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปทางลู่หานทันที ในขณะที่แบคฮยอนก็ได้แต่ตกใจเล็กน้อยแล้วได้แต่มองตามหลังเซฮุนไปแค่นั้น
เซฮุนเข้าไปทักทายลู่หาน และเมื่อลู่หานเห็นเซฮุนก็เกิดอาการตกใจเช่นกัน ทั้งคู่ยืนคุยอะไรกันเล็กน้อย ก่อนที่เซฮุนจะพาลู่หานมายังโต๊ะที่ตัวเองกับแบคฮยอนนั่งอยู่
แบคฮยอนยืนขึ้นแล้วก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
ลู่หานก้มตอบพร้อมกับยิ้มให้แบคฮยอน “ตัวจริงน่ารักจังเลย”
“อ่า… ไม่หรอกครับ” แบคฮยอนตอบทั้งยิ้ม ๆ
วันนี้ลู่หานออกมาทำธุระแถวนี้ก่อนเวลานัดของเซฮุนแทบทั้งวัน ในตอนแรกนั้นลู่หานตอบปฏิเสธนัดของเซฮุนไป แต่เพราะธุระของวันนี้บวกกับท่าทีของเซฮุนที่เอาแต่รบเร้าไม่หยุด จึงทำให้ลู่หานยอมตกลงในที่สุดถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม
ทั้งสองฝ่ายถามถึงที่มาที่ไปขอแต่ละคน ก่อนจะเปลี่ยนมาคุยเรื่องทั่วไป จนกระทั่งลู่หานได้เริ่มหัวข้อสนทนาใหม่ที่ทำให้แบคฮยอนเกร็งขึ้นเล็กน้อย
“แล้ว… กับชานยอลตอนนี้เป็นไงบ้างเหรอ”
แบคฮยอนหลุบตาต่ำลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อย ๆ ให้ลู่หาน “…ก็เรื่อย ๆ ครับ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”
“เดี๋ยวก็คบกันแล้วล่ะ คุณไม่ต้องลุ้นหรอก” เป็นเสียงเซฮุนที่พูดขึ้น
แบคฮยอนหันไปค้อนใส่เพื่อนสนิท ในขณะที่ลู่หานเองเมื่อเห็นท่าทีของทั้งสองคนก็ต้องขำออกมาเล็กน้อย
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ แบคฮยอนน่ารักขนาดนี้ชานยอลคงไม่ปล่อยไว้นานหรอก” ลู่หานเอ่ยทั้งมองหน้าแบคฮยอนอย่างพินิจ “ชานยอลชอบนายมากเลยนะ เขาเป็นคนดีมาก พวกนายต้องเป็นคู่ที่น่ารักมากแน่ ๆ ถ้าได้คบกัน”
แบคฮยอนยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเถอะครับ”
“ก่อนหน้านี้นายคงมีปัญหากับชานยอลเกี่ยวกับเรื่องของฉันมาเยอะ …ฉันขอโทษด้วยนะ อยากคุยด้วยนานแล้ว แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับนายจริงจังสักที”
“…ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันผ่านมาแล้ว” แบคฮยอนยิ้มฝืน ๆ ตอบลู่หานไป
ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะไม่ได้รู้สึกยินดีกับเรื่องที่ลู่หานพูดเลยแม้ว่าลู่หานจะดูหวังดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม แบคฮยอนไม่ชอบที่ต้องมานั่งฟังลู่หานพูดถึงอดีตไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เพราะมันเหมือนเป็นการย้ำให้แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลนั้นเคยรักลู่หานมาแค่ไหน…
แบคฮยอนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่เหมือนกับข่มอารมณ์ไม่ให้คิดมากไม่ได้ แล้วยิ่งได้เห็นใบหน้าสวยที่มาพร้อมกับท่าทางที่ดูมีภูมิฐานเหล่านั้น ก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองยังห่างกับลู่หานอยู่เยอะ ตลอดเวลาในการพูดคุยของทั้งคู่จึงกลายเป็นว่าแบคฮยอนต้องคอยเกร็งอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะเผลอทำท่าทีที่อาจจะทำให้ลู่หานรู้สึกไม่โอเคไปด้วย
ทั้งคู่คุยกันเรื่องนี้อีกไม่กี่ประโยคแบคฮยอนก็ชวนลู่หานคุยเรื่องใหม่
ถ้าอาการนี้เรียกว่าหวง… แบคฮยอนก็คงจะหวงชานยอลอยู่จริง ๆ นั่นแหละ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ เข็มนาฬิกาก็เดินมาถึงเลขห้า
“ห้าโมงละ ถึงเวลานัดของเราแล้วครับคุณลู่หาน” เซฮุนพูดขึ้นหลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“มันไม่สำคัญแล้วมั้งตอนนี้” ลู่หานค้อนใส่เซฮุนเล็กน้อย
“อ่า… งั้นผมคงไม่รบกวนคุณกับเซฮุนแล้ว เที่ยวกันให้สนุกนะครับ” แบคฮยอนพูดขึ้นพร้อมในขณะที่เก็บโทรศัพท์มือถือและของที่พกมาเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงกระเป๋า
“นี่แบคฮยอน นายไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณก็ได้นะ เรียกว่าพี่ก็ได้”
แบคฮยอนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ แบบนี้สุภาพดีแล้ว”
“พูดเหมือนเซฮุนเลย… ไม่เอาน่า ถึงมันจะดูสุภาพแต่มันดูห่างเหินยังไงไม่รู้อ่ะ มันดูไม่สนิท”
“เราก็ไม่สนิทกันอยู่แล้วนี่ครับ”
คำตอบนี้ของแบคฮยอนทำเอาทุกคนเงียบลงทันที ลู่หานกับเซฮุนดูจะอึ้งเล็กน้อย ในขณะที่แบคฮยอนก็ได้แต่ตกใจแล้วอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เพราะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ทันจะคิดอะไรให้ดีก่อนจะพูดออกมา
“คือ…คือ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ผมหมายถึงเราก็ยังไม่ถึงขั้นสนิทกัน ผมก็เลยอยากจะพูดสุภาพ ๆ กับคุณก่อน”
ลู่หานยิ้มขึ้นอีกครั้งแล้วส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไร ๆ ฉันไม่คิดอะไรหรอก”
“แบคฮยอนมันเป็นงี้แหละครับ ปากเร็วไปหน่อย ฮ่า ๆ” เซฮุนพยายามจะแก้ไขสถานการณ์อีกคนโดยการโกหกออกมาด้วยท่าทางขำ ๆ ก่อนที่จะหันไปหาแบคฮยอนแล้วมองค้อนเล็กน้อย
แบคฮยอนพยายามขอโทษลู่หานต่อสักพัก ก่อนจะบอกลาทั้งคู่แล้วเดินออกจากร้านไป
ร่างเล็กเดินกำสายกระเป๋าไปตามฟุตบาทด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ ความหงุดหงิดตัวเองที่เกิดขึ้นในร้านนั้นตอนนี้มันได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แบคฮยอนรู้สึกโมโหตัวเองที่พูดอะไรไม่ทันคิดออกไปทั้งที่พยายามควบคุมมันมาตลอด รู้สึกไม่ชอบที่ต้องคอยปั้นหน้าแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้รู้สึกอะไรต่อหน้าคนอื่น รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะแบบนี้
เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนที่แบคฮยอนเริ่มหวั่นไหวกับชานยอล และครั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะลู่หาน…
แบคฮยอนรู้ดีว่าลู่หานไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เขาไม่สบายใจเลย มีแค่เพียงตัวเองนี่แหละที่ชอบกังวลไปเองจนต้องอึดอัดและไม่สบายใจเอง แต่ถ้าจะไม่ให้คิดอะไรเลยมันก็คงจะทำไม่ได้
ร่างเล็กถอนหายใจออกมา
เป็นเพราะชานยอลคนเดียวเลย…
ตอนนี้แบคฮยอนได้เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์เพื่อที่จะกลับคอนโดแล้ว มือบางถูกล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะพบว่ามีข้อความจากเซฮุนเข้ามาเมื่อห้านาทีก่อน
17:25 SAYHUN! : มึงอย่าคิดมากนะ
17:25 SAYHUN! : คุณลู่หานเขาไม่ได้เคืองอะไรมึงเลย
17:25 SAYHUN! : ใจป้ะ
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะส่งสติ้กเกอร์รูปหมีกอดเข่ากลับไป
ถึงจะบอกว่าลู่หานไม่คิดอะไรแต่ก็แบคฮยอนก็คงไม่สามารถสบายใจขึ้นมาได้ เพราะสาเหตุหลักของความไม่สบายใจครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง แบคฮยอนเพียงแต่รู้สึกหงุดหงิดในอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้กังวลว่าลู่หานจะไม่ชอบหรืออะไรเลย
แชทของเซฮุนถูกปิดลง ก่อนจะพบว่าหน้าแชทรวมยังมีข้อความของชานยอลที่เขายังไม่ได้ตอบกลับตอนที่อยู่ในร้าน
16:19 CYEOL : แล้วจะกลับเมื่อไหร่
แบคฮยอนแตะไปที่แป้นพิมพ์เตรียมจะตอบกลับ แต่เมื่อเห็นรถเมล์สายที่กำลังรออยู่มาจอดพอดี ร่างเล็กก็ได้เก็บโทรศัพท์ไว้แล้วรีบเดินขึ้นรถทันที
แบคฮยอนเดินมานั่งที่เบาะเกือบหลังสุดเมื่อเห็นว่ารถนั้นแทบจะไม่มีคนอยู่เลยเมื่อเทียบกับขามา โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะคุยกับชานยอลต่อ
17:31 BYUNBAEK : กำลังกลับ นายล่ะถึงโรงแรมรึยัง
17:32 CYEOL : ถึงนานแล้ว นอนรอนายตอบอยู่เนี่ย
แบคฮยอนยิ้ม
17:32 BYUNBAEK : นายควรจะตื่นเต้นกับที่นั่นมากกว่าเอาแต่อยู่กับมือถือแบบนี้นะ
ถึงแม้จะตอบไปอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วแบคฮยอนเองก็รู้สึกดีที่ชานยอลยังคงสนใจเขาอยู่ตลอด
ตอนนี้ชานยอลอยู่ที่ญี่ปุ่น ตามที่เขาได้วางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนปิดเทอมกับผู้เป็นแม่ การไปพักผ่อนครั้งนี้ของชานยอลจะใช้เวลาทั้งหมดเจ็ดวัน ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว
แต่เหมือนชานยอลแทบจะไม่ได้สนใจเที่ยวอะไรมากนักในทริปนี้เลย ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนร่างสูงก็เอาแต่แชทกับแบคฮยอนตลอด จะมีแค่นาน ๆ ครั้งที่หายไปพักใหญ่ในตอนที่ต้องทำอะไรสำคัญจริง ๆ ไม่ก็ตอนที่แบคฮยอนเป็นฝ่ายไม่ตอบซะเอง
17:33 CYEOL : ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้ว ฉันมาบ่อยแล้วอ่ะ
17:34 CYEOL : แล้วนายอ่ะ ตกลงพี่คยูฮยอนจะพาไปมกโพกี่โมง
มกโพ…
17:35 BYUNBAEK : ไม่ไปแล้ว
17:35 CYEOL : อ้าว อะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้เนี่ย
แผนการไปมกโพของแบคฮยอนนั้นได้ถูกตั้งเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ด้วยความที่คยูฮยอนต้องไปช่วยเพื่อนคุมงานที่นั่นชั่วคราว แล้วในอาทิตย์นี้ที่นั่นก็ได้จัดงานเทศการดนตรีขึ้น คยูฮยอนจึงได้ชวนน้องชายออกไปเปิดหูเปิดตา ซึ่งแบคฮยอนก็ตบปากรับคำเป็นอย่างดี และทั้งคู่ก็จะพากันเดินทางไปในตอนค่ำของวันนี้ แต่แบคฮยอนก็ดันมาเปลี่ยนใจซะก่อน
แบคฮยอนบอกเหตุผลชานยอลไปว่าแค่ขี้เกียจเจอคนเยอะ ๆ อยากจะนอนเฉย ๆ อยู่คอนโดจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอมที่กำลังใกล้เข้ามาเพียงแค่นั้น
เหตุผลนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะคิดได้ หากแต่แบคฮยอนรู้สึกแบบนี้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะตอบตกลงพี่ชายเสียอีก แบคฮยอนยอมที่จะไปกับคยูฮยอนเพียงเพราะว่าอยากจะลองไปเที่ยวที่ไกล ๆ เท่านั้น แล้ววันนี้เจ้าตัวก็ได้เปลี่ยนใจปุบปับโดยที่ยังไม่ได้คนชวนด้วยซ้ำ
17:38 CYEOL : ขี้เกียจก็ดีละ ฉันก็ไม่อยากให้นายไปงานแบบนั้นเหมือนกัน ไว้ถ้าจะไปจริง ๆ นายต้องเอาฉันไปด้วยเข้าใจไหม!
อาจจะดูเหลือเชื่อไปหน่อย แต่ที่แบคฮยอนเปลี่ยนใจไม่ไปก็เป็นเพราะชานยอลนั่นแหละ…
17:39 CYEOL : แล้วนี่ไม่ไปแล้วทำไมรีบกลับอ่ะ ไหนบอกอยากอยู่กับเซฮุนนาน ๆ
แบคฮยอนค่อย ๆ คลายยิ้มลง การพูดคุยไม่กี่ประโยคกับชานยอลเมื่อสักครู่นี้เหมือนกับทำให้เขาลืมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ยังอยู่ในร้านกับลู่หานก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่พอชานยอลได้ถามคำถามนี้ขึ้น เรื่องเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของแบคฮยอนอีกครั้ง
17:41 BYUNBAEK : เซฮุนมีนัดต่อน่ะ ฉันก็เลยต้องกลับมาก่อน
17:41 CYEOL : แย่เลย งั้นก็อยู่คุยกับฉันไปละกันนะ
แบคฮยอนมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างเลื่อนลอย
17:43 BYUNBAEK : วันนี้ฉันได้คุยกับคุณลู่หานด้วยแหละ
ไม่รู้อะไรที่ดลใจให้แบคฮยอนพิมพ์ออกไปแบบนั้น เพราะโดยปกติแล้วแบคฮยอนจะไม่ค่อยพูดเรื่องที่ไม่สบายใจหรือเรื่องที่กังวลให้คนอื่นฟังถ้ามันไม่ได้หนักหนาอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นที่ได้บอกไปก็ไม่ใช่ว่าแบคฮยอนเผลอหรือไม่ทันคิด เขาตั้งใจที่จะบอกให้ชานยอลรู้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจตัวเองว่าถ้าบอกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาก็เถอะ
17:44 CYEOL : ห้ะ
17:44 CYEOL : ไปคุยกันได้ยังไง
แบคฮยอนอ่านข้อความของชานยอลแล้วมองออกไปทางหน้าต่าง กว่าห้านาทีที่เจ้าตัวไม่ได้ตอบชานยอลไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ ไม่ใช่ว่าอยากเรียกร้องความสนใจจากชานยอล แต่มันเป็นเพราะว่าอยู่ดี ๆ สมองก็มึน ๆ ขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไงมากกว่า
แบคฮยอนรู้สึกตัวแล้วหันกลับมามองหน้าจออีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ในมือได้สั่นขึ้น ชื่อของชานยอลที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ทำเขาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกดรับแล้วทักทายไปด้วยน้ำเสียงปกติ
(เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมอ่านไม่ตอบ) ปลายสายทักมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลเล็กน้อย
“เปล่า เมื่อกี้ฉันแค่เหม่อนิดหน่อยน่ะ”
(แล้วที่ถามเมื่อกี้ยังไง นายยังไม่ตอบฉันเลยนะ)
แบคฮยอนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดถึงเหตุที่ทำให้ตัวเองได้คุยกับลู่หานในวันนี้ให้ชานยอลฟัง และพอชานยอลรู้คำตอบก็แค่เออออแล้วถามถึงเรื่องที่คุยในวันนี้เล็กน้อย แบคฮยอนได้บอกไปทุกอย่าง แต่ก็บอกด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยร่าเริงและตะกุกตะกักเล็กน้อย
(ดูเหมือนนายไม่โอเคเลยนะ เป็นอะไรรึเปล่า มีอะไรที่ยังไม่บอกฉันอีกไหม)
ริมฝีปากบางถูกเม้มเข้าหากันเนื่องจากเจ้าตัวลังเลที่จะพูดออกไป และแบคฮยอนก็ยังคงไม่ได้ตอบอะไรจะกระทั่งเสียงเรียกของชานยอลถูกกรอกเข้ามาในสายอีกครั้ง
“ฉัน… ฉันแค่รู้สึกไม่ค่อยดีที่ต้องพูดถึงคุณลู่หานตอนที่คุยกับนายน่ะ”
(ทำไมล่ะ)
“ไม่รู้สิ ฉันแค่กลัวท่าทีของนายเวลาที่ฉันพูดถึงชื่อนี้”
ชานยอลเงียบไปดื้อ ๆ หลังจากที่แบคฮยอนได้ตอบไป แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาแทนที่ ทำเอาแบคฮยอนต้องขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
(กลัวทำไมล่ะแบคฮยอน นายกลัวว่าฉันจะสนใจเรื่องพี่ลู่หานจนออกหน้าออกตาเหรอ) เสียงหัวเราะของชานยอลยังคงถูกปล่อยออกมาหลังจากพูดประโยคนี้เสร็จ
“นายจะขำอะไรนักหนาเนี่ย!” แบคฮยอนตะคอกใส่คนในสาย ก่อนจะปรับโทนเสียงให้ต่ำลงเหมือนเดิม “คงจะเป็นแบบนั้นแหละ”
(แล้วตอนนี้ฉันดูสนใจรึเปล่า) ชานยอลหยุดหัวเราะ แล้วก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
แบคฮยอนถอนหายใจแล้วหลุบตาต่ำลง “อือ เล่นโทรมาถามข้ามประเทศขนา…”
(ฉันสนใจจริง ๆ แหละ)
แบคฮยอนรู้สึกเงียบลงทันทีที่ชานยอลพูดแทรกขึ้น คำตอบจากปลายสายทำเอาหัวใจของเขารู้สึกหวิวไปเล็กน้อย
(แต่ฉันสนใจนาย ไม่ใช่พี่ลู่หาน)
“…”
(ถ้าอะไรก็แล้วแต่ที่มันมีผลกับความรู้สึกนายฉันไม่สนใจไม่ได้หรอก แล้วถ้าเรื่องเกี่ยวกับพี่ลู่หานด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งกังวลมาก)
“…”
(ฉันเคยทำไม่ดีกับนาย ฉันเลยคิดอยู่เสมอว่าต้องระมัดระวังตัวเองให้มากกว่าเดิม ถ้านายไม่สบายใจในท่าทีของฉัน นายก็ต้องบอกฉัน เข้าใจไหม)
แบคฮยอนค่อย ๆ อมยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ร่างเล็กผงกหัวอย่างรับรู้ แต่เพราะไม่ได้ตอบอะไรกลับไปจึงทำให้ชานยอลต้องเรียกซ้ำอีก
(แบคฮยอน ฟังอยู่รึเปล่าน่ะ)
“อื้ม ฟังอยู่”
(จำไว้นะ ความรู้สึกฉัน ความคิดฉัน ก็มีแค่ฉันที่รู้ มีอะไรก็ต้องถาม ห้ามคิดไปเองจนตัวเองไม่สบายใจอีก)
“เข้าใจแล้ว ตอนนี้น่ะนายกังวลมากกว่าฉันแล้วรู้ตัวไหม” แบคฮยอนพูดแล้วยิ้มกว้างออกมา
คำตอบที่ก่อนหน้านี้เขายังหาไม่ได้ กลับกลายว่าตอนนี้ชานยอลเป็นผู้ที่ทำให้รู้ซะอย่างนั้น แบคฮยอนเพียงแค่ต้องการคำพูดที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจจากชานยอล ต้องการให้ชานยอลย้ำถึงอะไรหลาย ๆ อย่างที่เขาเองก็รู้อยู่แล้ว แต่แค่ต้องการจะฟังอีก และชานยอลก็ทำมันได้ดี…
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชานยอลกลายเป็นคนที่เขากล้าจะพูดความรู้สึกทั้ง ๆ ที่คิดว่ามันงี่เง่าได้ แต่จะสำคัญอะไรล่ะ ก็เมื่อในตอนนี้มันได้เป็นไปแล้ว
ทั้งคู่ได้ถือสายคุยกันต่อเรื่อย ๆ ในเรื่องเดิม ๆ ที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับการแชทคุยกันแบบที่ทำอยู่ทุกวัน รถที่เริ่มติดบวกกับท้องฟ้าสีครึ้มบ่งบอกว่าตอนนี้ได้เข้าสู่เวลาค่ำแล้ว แบคฮยอนบังคับให้ชานยอลวางสายเพราะหวั่นกับค่าโทรศัพท์ข้ามแดนของอีกฝ่าย
ชานยอลยังคงทักแชทแบคฮยอน ทั้งคู่คุยกันไม่กี่ประโยคแบคฮยอนก็ปิดแชทลง
ร่างเล็กมองไปยังนอกกระจก รถที่ติดตอนนี้ไม่ได้สร้างความรำคาญใจให้เขาเลย ตรงกันข้าม แบคฮยอนชอบที่จะนั่งรถเมล์ตอนกลางคืนแล้วมองดูชีวิตของผู้คนระหว่างทางไปช้า ๆ มากกว่าที่จะอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ เสียอีก
หูฟังในกระเป๋าถูกค้นขึ้นมาแล้วเสียบใส่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม ก่อนที่แบคฮยอนจะเปิดเพลงฟังเบา ๆ แบบที่ชอบทำประจำ
มันนานมาแล้วที่แบคฮยอนไม่ค่อยได้มีเวลาทำแบบนี้ แต่หลังจากที่ได้ส่งชานยอลขึ้นรถเมล์วันนั้น รูมเมทตัวสูงของเขาก็ได้กลายเป็นคนที่ชอบนั่งรถเมล์เล่นไปโดยปริยาย ทุกทีที่ได้มาหาที่คอนโด ชานยอลก็จะชอบหาเรื่องขึ้นรถเมล์ไปโน่นไปนี่โดยที่ต้องมีเขาไปด้วยตลอด
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ชานยอลขอแล้วแบคฮยอนจะยอมง่าย ๆ มีบางครั้งที่เขาได้ปฏิเสธหรือบ่นไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมไปในตอนสุดท้ายเสมอ ในเวลาเกือบสองอาทิตย์มานี้ชีวิตแบคฮยอนจึงวนเวียนอยู่กับการอ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ดูหนัง และก็เพิ่มการนั่งรถเมล์เล่นกับชานยอลไปอีกหนึ่งอย่าง
말도 안돼 나도 몰래 너만 라보게 됐어
ไม่มีวันที่ฉันจะเข้าใจว่าทำไมฉันต้องคอยเฝ้ามองแต่เธอ
미워해봐도 애를 써봐도 숨겨봐도 안되는걸
มันไม่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเกลียดมัน หยุดมันหรือเก็บซ่อนมันไว้
편한 느낌이 좋아 매일 티격태격해도 넌 내 맘 잘 알잖아
ฉันชอบความรู้สึกแบบนี้ เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันรู้สึกยังไงตั้งแต่ที่พวกเรากัดกันทุกวัน
เสียงหวานของยุนฮาดังคลอไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศภายในรถเมล์
แบคฮยอนหลับตาลง
“รีบกลับมาได้ละ คิดถึง”
ข้อความสุดท้ายที่เขาพิมพ์ตอบชานยอลไป
ร่างเล็กยิ้มออกมาน้อย ๆ
ถ้าตอนนี้ชานยอลยังคงเล่นมือถืออยู่ ข้อความนับสิบ ๆ ข้อความคงจะถูกรัวมาที่เขาเป็นแน่ การแสดงออกถึงความดีใจดีหรือความตื่นเต้นของชานยอลมันอาจจะดูเว่อร์และน่ารำคาญไปหน่อยเมื่อเอามาตัดกับนิสัยขี้รำคาญของแบคฮยอน แต่แปลกที่ตอนนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่อะไรเลย
และมันก็เป็นกับชานยอลคนเดียวซะด้วยสิ…
어느새 마음을 뺏겼나봐 난 온종일 너를 그려
ฉันเดาว่าหัวใจของฉันโดนขโมยไปก่อนที่จะรู้ตัวว่าคิดถึงเธอทุกเวลา
불러만 봐도 눈빛만 봐도 봐도봐도 참 좋은걸
ฉันมีความสุขเมื่อได้เรียกชื่อเธอหรือสบตากับเธอ และต้องการให้เธอทำเหมือนกัน
แบคฮยอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่ารถได้ถูกจอดอยู่ที่เดิมนานแล้ว ดวงตาเรียวเล็กมองไปยังด้านหน้าของรถก่อนจะทอดไปยังนอกหน้าต่าง อากาศในฤดูใบไม้ร่วงกลับมาแปรปรวนอีกครั้งในรอบหลายสัปดาห์เนื่องจากสายฝนที่ไม่รู้ที่มา และมันก็กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยังติดอยู่ที่เดิม
แบคฮยอนไม่ลืมที่จะโทรบอกพี่ชายเพื่อรายงานการกลับบ้านช้าในวันนี้ รวมถึงแผนการเดินทางที่ได้เปลี่ยนกะทันหันโดยเจ้าตัวเองเมื่อสักครู่นี้ เขาโดนคยูฮยอนเฉ่งกลับมานิดหน่อย แต่ในที่สุดคยูฮยอนก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของน้องชาย
เพลงเพลงเดิมถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาได้วางสายจากพี่ชายไป นิ้วเรียวยาวถูกเลื่อนมาที่หน้าแชทอีกครั้ง
แบคฮยอนมองดูพรีวิวเมสเสจของชานยอล และมันก็เป็นแบบที่เขาเดาไว้ไม่ผิด ตอนนี้มีข้อความที่ยังไม่เปิดอ่านถูกส่งมาถึง 37 ข้อความ
แบคฮยอนเปิดมันขึ้นอีกครั้ง ข้อความที่ดูเหมือนจะเป็นประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ ถูกส่งมาพร้อมกับสติกเกอร์หลากหลายลาย แบคฮยอนเลื่อนอ่านมันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งนิ้วได้ไปหยุดที่รูปรูปหนึ่งที่ได้ถูกส่งมา
18:25 CYEOL : นี่ไงน้องหมาที่ฉันบอก
18:25 CYEOL : ถึงมันจะตัวใหญ่แล้วไม่ค่อยเหมือนนายแต่เห็นแล้วมันคิดถึงนายจริง ๆ นะ
แบคฮยอนหัวเราะออกมาน้อย ๆ
วันนี้ชานยอลได้ไปเจอสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทีฟเวอร์ตัวหนึ่งในขณะที่กำลังเดินเที่ยว ชานยอลได้เข้าไปเล่นด้วยแล้วเจ้าสุนัขตัวนั้นก็เป็นมิตรกับเขามาก และเรื่องนี้ก็ไม่พลาดที่จะเอามาเล่าให้แบคฮยอนฟัง
หลังจากที่ได้รู้ว่าแบคฮยอนเป็นที่คนชอบสุนัขมาก ชานยอลก็มักจะชอบเรียกแบคฮยอนว่า “ลูกหมา” อยู่บ่อยครั้ง ในตอนแรกแบคฮยอนไม่ชอบชื่อนี้สักเท่าไหร่ แต่พอเวลาผ่านไปความรู้สึกของเขาก็ได้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน
ชานยอลไม่ได้เรียกเพราะอยากจะแกล้งหรือล้ออะไร แต่เรียกเพราะรู้สึกเอ็นดูและชอบที่จะปฏิบัติกับเขาด้วยความอ่อนโยนเสมือนลูกหมาตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่งต่างหากล่ะ
การเป็นลูกหมาของชานยอลน่ะ…มันก็ดีเหมือนกันนะ
이럼 안돼 자꾸 원해 네게 빠다고 말해
มันไม่น่าจะกลายเป็นความชอบ แต่ฉันอยากสารภาพว่าฉันได้ตกหลุมรักเธอแล้ว
ยาวเยียดและความคืบหน้าก็ยังไม่ถึงไหนเหมือนเดิมค่ะ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ TAT;;;
หลังจากตอนนี้ไปเราอาจจะอัพช้าหน่อยนะตัวเอง เทศกาลไฟนอลกลับมาอีกแล้วแงแง
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์แล้วก็จากแท็ก #ฟดรม ด้วยนะคะ เราอ่านทุกอันเลย
ปล. เพลงที่แบคฮยอนฟังบนรถเมล์คือเพลง Can't believe it ของ younha นะคะ ถ้าใครตามฟิคเรามาตั้งแต่เปิดเรื่องใหม่ๆคงจะจำได้ว่าเราใช้เป็นเพลงประกอบฟิคเพลงแรกเลย ลองไปฟังดูกันนะ <3
ความคิดเห็น