คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : THE ROOMMATE - 20
แก้วชานมเย็น ๆ ถูกแตะเข้าที่แก้มขวาของแบคฮยอน
“…เล่นเหี้ยไรของมึงเนี่ยเซฮุน” คนตัวเล็กสะดุ้งก่อนจะหันไปค้อนเพื่อนสนิท
“ทำตามซีรี่ย์เมื่อคืน”
แบคฮยอนได้แต่ส่ายหน้า ก่อนที่จะคว้าเอาชานมจากอีกคนมาดูดแล้วก้มหน้าเล่นมือถือต่อเหมือนก่อนหน้านี้
วันนี้ทั้งคู่ได้ออกมาหาร้านนั่งเล่นเพื่อพูดคุยกันปกติหลังจากผ่านการเรียนมาตลอดช่วงบ่าย ร้านที่มาวันนี้เป็นร้านของหวานที่เมนูหลักจะเป็นพวกเครื่องดื่ม นอกจากนี้ที่นี่ก็ขึ้นชื่อมากในเรื่องของชานมมาก จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เซฮุนเลือกจะมานั่งร้านนี้
“ก็ธรรมดา” แบคฮยอนพูดพร้อมกับวางแก้วชานมในมือลง
“กูก็ว่างั้น เออ มึงฟอลไอจีซูโฮรึยัง”
“ยัง”
“ทำไมไม่ฟอลวะ เนี่ยดูดิแม่งโพสต์อะไรบ้า ๆ อีกละ”
“กูจำเป็นหรอ” แบคฮยอนละสายตาจากโทรศัพท์มือถือชั่วคราว ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วถามเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจ
“กูดูคนเดียวแล้วมันนินทาไม่สนุก ถ้ามึงฟอลมันด้วยนะดีเลยเม้าท์มันแน่”
แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ส่ายหัวให้กับความไร้สาระของอีกคน ก่อนจะหันมาเล่นมือถือต่ออย่างไม่สนใจ ทำเอาเซฮุนได้แต่อ้าปากค้างแล้วก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“เห้ย! คุณลู่หานอัพไอจี มึงดูดิ น่ารักมากเลย” หลังจากทั้งสองคนต่างคนต่างเล่นมือถือของตัวเองอยู่พักใหญ่ เซฮุนก็โพล่งขึ้น พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปให้แบคฮยอนดู
แบคฮยอนมองดูเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและก็ไม่ได้อะไรต่อแล้วหันไปเล่นของตัวเองเหมือนเดิม
“หน้าตามึงดูไม่ค่อยดีเลยนะเวลาพูดถึงเขา” เซฮุนเอ่ยขึ้น หลังจากเพื่อนสนิทไม่ค่อยสนใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่าแบคฮยอนน่าจะทำเป็นไม่สนใจมากกว่า
“มึงคิดไปเองป้ะ” ร่างเล็กหันไปค้อน
“มึงอ่ะแหละที่คิดไปเองว่าตัวเองหลอกเนียน”
“มึงหมายความว่าไง หาเรื่องกันหรอ” แบคฮยอนวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะหันไปต่อว่าเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอ้าเปล่านะ ก็มึงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่”
“แล้วแต่มึงจะคิดเถอะ” แบคฮยอนทำหน้าฉุนเฉียวใส่เซฮุน ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปก่อน
“นี่มึงหึงชานยอลใช่ไหม” เซฮุนพูดขณะที่เดินตามหลังเพื่อนสนิทมาติด ๆ
“นี่มึงไม่จบใช่ไหม”
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ”
แบคฮยอนหยุดเดิน ก่อนจะหันหน้ามาพูดกับเซฮุนอย่างไม่สบอารมณ์ “คราวหลังมีเรื่องอะไรมากูจะไม่มาพูดให้มึงฟังอีก” พูดจบแล้วก็เดินหน้าต่อทันที
เซฮุนคว้าแขนเพื่อนสนิทเอาไว้ ก่อนจะเดินอ้อมเพื่อไปอยู่ด้านหน้า
“มึงควรจะฟังกู”
“…”
“มึงคิดว่าแต่ก่อนถ้ากูได้ฟังอะไรแบบนี้กูจะเป็นยังไง กูคงสติแตกแล้วเอาแต่คร่ำครวญคิดมากให้มึงดูแล้วใช่ไหม”
แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นและยอมฟังต่อไป ถึงแม้สีหน้าจะไม่เต็มใจมากนักก็ตาม
“แต่ครั้งนี้กูกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะอะไรล่ะ กูบอกมึงไปแล้วไงว่ากูรู้ว่าคุณลู่หานเขาไม่ได้คิดอะไรกับชานยอลแล้วจริง ๆ แล้วก็นะ กูว่าชานยอลก็คงไม่ต่างกัน ดูจากพฤติกรรมมันตอนนี้ที่ชีวิตแทบจะหายใจเข้าออกเป็นมึงอ่ะ”
“…”
“ส่วนเรื่องรูปอะไรนั่นน่ะกูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเป็นมายังไง แต่กูคิดว่ามึงควรจะถามมันให้รู้เรื่องเอง”
“กูแค่เอามาให้ให้มึงฟัง แต่กูไม่ไ…”
“อ๊ะ กูจบละ ไม่ต้องพูดละ กูไปละ” ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะพูดจบ เซฮุนก็พูดตัดบทขึ้น ก่อนที่จะบอกลาแล้วรีบเดินไปทางอื่นเพื่อไปทำธุระที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วต่อไป
แบคฮยอนมองตามหลังเพื่อนสนิทไปด้วยสีหน้าที่ยังบึ้งตึงอยู่ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาสุดแรงเพราะไม่รู้จะระบายความหงุดหงิดออกมายังไง
วันนี้เซฮุนเป็นฝ่ายชวนแบคฮยอนออกมาและเขาก็ตอบตกลง แต่ในความเป็นจริงแล้วแบคฮยอนก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่หรอก เพราะวันนี้นอกจากจะมีงานที่ต้องเคลียร์ก็ยังต้องอ่านหนังสืออีก แต่ที่เจ้าตัวตัดสินใจมาก็คงเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเซฮุนเลย
แบคฮยอนเดินเท้าไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะกลับเข้าหอพักอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย ในใจก็คิดหงุดหงิดที่ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่าสาเหตุหลักที่ออกมากับเซฮุนเพราะอยากพูดเรื่องลู่หาน แต่พอได้เล่าแล้วเซฮุนกับไม่เออออด้วยนี่สิ...
เจ้าตัวรู้สึกได้ถึงความงี่เง่าของตัวเองอีกครั้ง… จริงอยู่ที่แบคฮยอนไม่เคยโกหกใครเรื่องความรู้สึกที่มีต่อชานยอลว่าไม่ได้ชอบแล้ว
แต่พอเจอแบบนี้ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดี? ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบ? ทำไมรู้สึกกลัวโดนหักหลังอีกครั้ง?
ความคิดเหล่านี้วนอยู่ในหัวแบคฮยอนจนกระทั่งเดินถึงประตูห้อง มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู ก่อนจะบิดลูกบิดเข้าไปแล้วต้องผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นรูมเมทตัวสูงกำลังจ้องมาทางตัวเอง
ชานยอลในชุดนักศึกษานั่งดื่มน้ำอัดลมอยู่บนเตียงของตัวเองนั่งจ้องแบคฮยอนไม่หยุดตั้งแต่เดินเข้าห้องมา ทำให้อีกคนสำผัสได้ถึงความผิดติก่อนจะเอ่ยทักขึ้น
“นี่จะมองอีกนานป้ะ” ร่างเล็กพูดในขณะที่กำลังปลดเนคไทด์ออก
ชานยอลไม่พูดอะไร ทำให้แบคฮยอนเกิดหงุดหงิดแล้วตวาดขึ้น
“นี่!”
“เมื่อคืนมีคนค้นสมุดใต้หมอนฉัน” ชานยอลพูดขึ้นพร้อมกันกับเสียงตวาดของแบคฮยอน
แบคฮยอนหน้าเจื่อนลงทันที “…นายเห็นด้วยหรอ”
ชานยอลไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องหน้าอีกคนอย่างเอาเรื่อง ทำให้แบคฮยอนรู้สึกกังวลขึ้นเพราะคิดว่าชานยอลคงจะไม่พอใจ
“ฉันขอโทษที่เสียมารยาท” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงตระหนกเล็กน้อย และเจ้าตัวคิดว่าชานยอลเองก็คงจะไม่รู้สึกโอเคทันในตอนนั้น
แต่ผิดคาด ชานยอลยิ้มกริ่ม ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
“นี่นายขำอะไรน่ะ” แบคฮยอนขมวดคิ้วถามรูมเมทอย่างไม่เข้าใจ
“เอาจริง ๆ นะ”
“…”
“ฉันไม่รู้หรอกว่านายเปิดดูรึเปล่า แค่เห็นหมอนมันกลับด้านจากที่ฉันเคยนอนเลยลองพูดดู แล้วนายก็ดันสารภาพเองเฉยเลย” พูดจบแล้วชานยอลก็หัวเราะต่อ ทำให้แบคฮยอนถึงกับทำอะไรอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากหวอเพราะไม่รู้จะต่อว่าอีกคนยังไง
“…นายนี่”
“อ๊ะ อย่ามาด่าอะไรฉันนะ อย่าลืมสิว่าเรื่องนี้อ่ะนายผิด”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง คุกเข่าขอโทษเลยไหมที่เข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของนาย”
“แหนะ… มีตัดพ้อด้วย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันไม่ได้โกรธนายซะหน่อย”
พูดจบแล้วชานยอลก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหาแบคฮยอน
“แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งนะที่ฉันรู้”
“…”
“นายเอาเรื่องนี้ไปบอกเซฮุนด้วย” ครั้งนี้ชานยอลพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม
“…นายไม่พอใจฉันหรอ” แบคฮยอนเลิกคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจปนกับความกังวล เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้ชานยอลไม่พอใจ
“โป๊ะแตกอีกแล้ว”
“…?”
ชานยอลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ แบคฮยอน “ฉันแค่เห็นเซฮุนอัพรูปคู่นาย เห็นว่าพวกนายอยู่ด้วยกันก็เลยคิดว่านายน่าจะเล่าเรื่องนี้” พูดจบแล้วชานยอลก็หัวเราะฮึกฮึกในลำคอ
แบคฮยอนถลนตาพร้อมกับอ้าปากค้างเล็กน้อยเพราะรู้สึกเสียหน้า ก่อนที่จะใช้ตบเข้าไปที่แก้มซ้ายของชานยอลอย่างเต็มแรง
“โอ๊ย!” ชานยอลส่งเสียงร้องขึ้นทันทีด้วยความเจ็บ ก่อนที่แบคฮยอนจะตั้งสติได้แล้วรีบขอโทษทันที
แบคฮยอนไม่ได้ตบชานยอลเพราะรู้สึกโกรธหรือโมโหอะไร แต่ที่ทำไปเป็นเพราะเจ้าตัวยังมึน ๆ และยังรู้สึกอึ้งในความโง่ของตัวเองที่ปล่อยให้ชานยอลหลอกครั้งที่สอง แต่ที่ตบไปนั้นเป็นเพราะว่าแบคฮยอนไม่รู้จะไปต่อยังไง พอมารู้ตัวอีกทีมือขวาก็ถูกตบเข้าที่ใบหน้าของชานยอลซะแล้ว
ชานยอลนิ่วหน้าพร้อมกับเอามือกุมแก้มตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นอย่างนั้นแบคฮยอนก็ได้แต่ตกใจก่อนที่จะรีบจับมือของคนตัวสูงออกแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองแก้มใกล้ ๆ จึงได้เห็นเป็นรอยนิ้วมือสีแดงชัด และมันก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวตกใจมากขึ้นไปอีก
ชานยอลนิ่งให้แบคฮยอนสำรวจแต่โดยดี
แบคฮยอนได้แต่มองรอยนิ้วมือของตัวเองและก็แตะ ๆ ไปที่แก้มของชานยอลเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปได้หลายนาทีเสียแล้ว
ชานยอลจ้องมองที่ใบหน้าของแบคฮยอน ในขณะที่แบคฮยอนเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรแปลก ๆ ก็ได้แต่เลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าอีกคน ทำให้สายตาของทั้งคู่ได้จ้องมองกันในชั่วขณะ
แบคฮยอนหลบตาชานยอลทันที
“…ตบแรงขนาดนี้จูบกลับซะเลยดีไหม”
แบคฮยอนถอยออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“มาลูบต่อให้มันหายแล้วจะยกโทษให้”
“ตลกละ เจ็บหนักกว่าเดิมน่ะสิแบบนั้น” พูดจบแล้วแบคฮยอนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วหยิบงานขึ้นมาเตรียมทำเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
“นี่ตบฉันเสร็จแล้วแค่ก็ขอโทษแล้วก็หนีไปทำงานดื้อ ๆ แบบนี้เลยหรอ” ชานยอลพูดขึ้นด้วยความขัดใจ
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ให้พาไปโรงบาลฯไหม หรือจะให้ฉันไปนั่งสำนึกผิดที่มุมห้อง” แบคฮยอนตอบโดยที่ไม่ได้หันหน้าไปหาอีกคน
!!!
ร่างเล็กสะดุ้งขึ้นทันทีเมื่อแก้มของชานยอลเฉียดเข้าที่ใบหน้าของตนเอง ก่อนจะหันไปแล้วพบว่าตอนนี้คนตัวสูงได้ยื่นหน้ามาจากข้างหลัง
“เป่าสิ”
แบคฮยอนทำหน้าแหยหลังจากที่รูมเมทตัวสูงพูดแบบนั้น ก่อนที่จะยกมือขึ้นผลักแต่โดนอีกคนผลักออกแล้วรวบไว้อย่างรวดเร็ว
“เร็ว”
“จะบ้าหรอชานยอล เลิกเล่นสักที ฉันไม่สนุกกับนายนะ!”
“หรอ” ชานยอลยิ้ม
แบคฮยอนได้แต่จ้องหน้าอีกคนเพราะไม่รู้ว่าชานยอลจะมาไม้ไหนอีก จนกระทั่งคนตัวสูงได้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แก้มของตัวเองเรื่อย ๆ แบคฮยอนจึงรีบถอยหน้านี้แล้วสะบัดมือชานยอลออกเต็มแรง
ชานยอลหัวเราะขึ้นอย่างพอใจ “ฉันแค่ล้อเล่นน่า ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”
“ฉันล่ะเบื่อนายจริง ๆ ถ้าฆ่าได้นี่ฆ่าไปละ” คนตัวเล็กจ้องหน้าอีกคนอย่างเอาเรื่อง
“ทำไม อยากให้ฉันทำจริงหรอ”
“ไปเลยชานยอล ไปโดดตึกให้มันจบ ๆ ซะ” แบคฮยอนตอบกลับรูมเมทที่กำลังทำหน้ากวนประสาทด้วยอารมณ์ที่เซ็งเอาการ ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วกลับมาพยายามสนใจงานที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“อ่ะ ๆ ฉันไม่แหย่นายแล้วก็ได้ แล้วตกลงเมื่อคืนเปิดแล้วเห็นอะไรบ้าง บอกได้ป้ะ” ชานยอลถอยไปนั่งลงที่เตียงของอีกคน ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสนใจ
“ก็มีแค่ที่นายเก็บเอาไว้ในนั้นนั่นแหละ”
“แล้วมันคืออะไรล่ะ”
“ก็รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไรแล้วจะถามฉันทำไมอีก” แบคฮยอนหันไปขมวดคิ้วถามเพราะไม่เข้าใจว่าชานยอลต้องการอะไร ในขณะที่อีกคนก็เอาแต่ยิ้มและก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชานยอลเอนตัวนอนลงบนที่นอนที่เขาใช้นอนเมื่อคืน ทำให้แบคฮยอนหันมาทำหน้าดุเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรและหันกลับไปทำงานต่อไป
“ความจริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันยังอยู่ตรงนั้น”
“…”
“จนกระทั่งเมื่อเช้าสังเกตเห็นนี่แหละ รู้สึกไม่ดีด้วยที่นายเป็นคนไปเห็นมันก่…”
“ฉันไม่ได้ถาม ไม่ต้องมาอธิบายให้ฟังหรอก”
“ไม่ได้หรอก …ความรู้สึกของนายมันสำคัญสำหรับฉันนะ”
แบคฮยอนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะตอบอีกคนไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรนี่”
“งั้นก็แค่ช่วยฟังฉันได้ไหม นายจะไม่รู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่านายคงเข้าใจผิดอยู่ ถ้าปล่อยไว้ฉันคงไม่สบายใจ”
“ตามสบาย” แบคฮยอนตอบพร้อมกับยักไหล่เหมือนจะสื่อว่าไม่ได้สนใจอะไร แต่เอาจริง ๆ เขาก็อยากรู้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่แค่ไม่อยากเอ่ยขึ้นเพราะกลัวว่าชานยอลจะเข้าใจว่าตัวเองยังแคร์หรือสนใจอยู่แค่นั้นเอง
“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็มีแค่ที่ฉันบอกไปแหละ ฉันลืมไปด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงนั้น”
ชานยอลลุกขึ้นมานั่งเหมือนเดิม
“รูปพวกนั้นฉันถ่ายตั้งแต่เรายังคบกันครั้งแรก จำได้ว่าเอามาสอดไว้ใต้หมอนตั้งแต่วันแรก ๆ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันชอบหยิบมาดูเวลาคิดถึงพี่เขาน่ะ”
“…”
“แต่มันก็แค่ตอนแรก ๆ น่ะแหละ ฉันแทบจะไม่ได้ดูมันอีกเลยตั้งแต่เริ่มสนิทกับนาย”
แบคฮยอนยังคงเงียบและก็ทำเป็นตั้งใจเขียนงาน ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาตั้งใจฟังชานยอลมากกว่าซะอีก
“แล้วฉันก็ลืมไปเลยว่าเก็บมันไว้ตรงนั้น” ชานยอลจบคำอธิบายไว้ที่ประโยคนี้ และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ และแบคฮยอนก็ไม่ได้ตอบกลับหรือออเอออะไรกับชานยอลเลย
ร่างเล็กกำปากกาไว้เฉย ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่รู้จะเชื่อกับคำพูดของชานยอลได้ไหม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอย่างน้อยตัวเองก็รู้สึกดีขึ้น
แต่ตอนนี้ควรจะหยุดคิดอะไรที่เกี่ยวกับชานยอลได้แล้ว…
ร่างเล็กคิดในใจ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก แบคฮยอนปิดสมุดงานลง ก่อนจะเก็บมันไว้กระเป๋าตามเดิม
“เสร็จแล้วหรอ”
“อ่าห้ะ”
“ไม่คิดจะพูดอะไรกับฉันหน่อยเหรอ”
“พูดอะไร” แบคฮยอนพูดขณะเดินไปตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมตัวไปอาบน้ำ
“เรื่องที่ฉันเล่าไปเมื่อกี้ไง”
“ต้องพูดอะไรล่ะ ก็นายเล่าแล้วฉันก็รับรู้แล้วไง”
“ก็… โอเค” ชานยอลพูดด้วยสีหน้าจ๋อย ๆ ก่อนที่แบคฮยอนจะยักไหล่ให้แล้วเดินไปทางห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง ชานยอลก็เข้ามาขวางเอาไว้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อะไรของนายหนิ”
“อย่าเพิ่งอาบ ลงไปเดินเล่นข้างล่างกัน”
แบคฮยอนขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาเท้าสะเอวแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่รำคาญเล็กน้อย “นี่ นายคิดว่าฉันมีเวลาว่างมากขนาดนั้นเลยหรอ”
“แล้วนายต้องทำอะไรล่ะ”
“จะอ่านหนังสือ”
“อ่านไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก อีกหน่อยคอนเสิร์ตก็จะเริ่มละ นายไม่รู้รึไง”
ร่างเล็กลอบถอนหายใจ วันนี้ในโรงยิมที่ห่างจากหอพักไปไม่กี่ร้อยเมตรมีการจัดแข่งขันวงดนตรีขึ้น ซึ่งบริเวณด้านนอกงานก็จะมีซุ้มขายของและอาหารต่าง ๆ มาตั้งอย่างเยอะแยะมากมายด้วย เรื่องนี้แบคฮยอนไม่ได้ลืม แต่ก็ลืมคิดจริง ๆ แหละว่าเสียงมันคงจะดังเข้ามาถึงในนี้
“…ถึงอย่างงั้นฉันก็ขี้เกียจไปอยู่ดี”
“ไปเถอะนะ แปปเดียวเอง” ชานยอลย่อตัวลงให้เตี้ยกว่าแบคฮยอน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เว้าวอนมาก
“ไม่ไป หลีกไปได้แล้ว” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับผลักชานยอลให้พ้นทาง
ชานยอลยังคงไม่ยอมแพ้ มือหนาคว้าแขนอีกคนไว้อีกครั้ง ก่อนทิ้งตัวลงคุกเข่าแล้วพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอนมากกว่าเดิม
“เถอะนะแบคฮยอน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ถือว่าเป็นการขอบคุณที่นายดูแลฉันเมื่อคืน”
“ฉันไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องมาตอบแทนหรอก” ร่างเล็กยังคงปฏิเสธ ทำให้ชานยอลเปลี่ยนสีหน้าอัตโนมัติ
ร่างสูงยืนขึ้นอีกครั้งแล้วยอมปล่อยแขนอีกคนแต่โดยดี
แบคฮยอนมองพฤติกรรมนั้นด้วยสายตาที่หวาดหวั่น
“งั้นไปเพื่อเป็นการไถ่โทษที่นายตบหน้าฉันได้ไหม”
แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้น ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าชานยอลไม่ได้โกรธเคืองเรื่องที่เขาตบหน้า แต่มันก็ชัดเจนอยู่ดีว่าเขาเป็นฝ่ายผิด
“ขอร้องเถอะชานยอล ให้ฉันนอนเฉย ๆ อยู่บนนี้เถอะ ฉันไม่ชอบไปเดินสวนกับคนเยอะ ๆ” ร่างเล็กลองตอบไปเพื่อหวังจะให้ชานยอลเปลี่ยนใจ
แต่ตรงกันข้าม ชานยอลยังคงจ้องเขม็งด้วยสีหน้าไม่พอใจ และคงจะโกรธขึ้นมาจริง ๆ แน่ถ้าหากเขายังไม่ยอม
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเพราะหมดทางสู้กับชานยอล
“ก็ได้ แค่แปปเดียวจริง ๆ นะ”
ชานยอลสีหน้าอารมณ์ดีขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของคนตัวเล็ก ก่อนจะคว้าเอาเสื้อผ้าในมือของแบคฮยอนไปเก็บไว้ในตู้ตามเดิม
คนตัวสูงรีบไปหยิบกุญแจห้องบนโต๊ะของตัวเองมายัดใส่กระเป๋ากางเกง “ไปกัน”
แบคฮยอนยิ้มส่ายหัวน้อย ๆ ด้วยความขำ “ทำไมรีบขนาดนั้น”
“เดี๋ยวนายเกิดเปลี่ยนใจ” พูดจบแล้วชานยอลก็เดินไปใส่รองเท้าทันที โดยไม่ลืมที่จะเรียกแบคฮยอนให้ตามมาด้วย
ทั้งคู่เดินลงมาจากหออย่างรวดเร็วด้วยความรีบของชานยอล ก่อนจะเดินไปถึงหน้างานจึงได้เดินช้าลง
แบคฮยอนเดินตรงเข้าไปร้านแรกทันทีที่ไปถึง ร้านนี้เป็นซุ้มขายกระเป๋าทำมือ แต่เจ้าตัวไม่ได้เข้าไปเพราะสนใจสินค้าในร้านหรอก แต่เข้าไปเพราะเหลือบไปเห็นน้องหมาตัวเล็กที่กำลังนั่งลิ้นห้อยอยู่ตรงนั้นต่างหาก
คนตัวเล็กเข้าไปลูบหัวเจ้าสุนัขพันธุ์บีเกิ้ลอย่างเอ็นดู ทำเอาชานยอลและเจ้าของร้านนั้นอดยิ้มไม่ได้
“ตัวนี้ไม่ขายนะคะ” หญิงสาวเจ้าของซุ้มได้เอ่ยแซวแบคฮยอนขึ้น ทำให้เจ้าตัวหัวเราะออกมา
“เอามาเป็นหมากวักหรอครับ” แบคฮยอนตอบกลับแอย่างอารมณ์ดี
“อย่างนั้นล่ะค่ะ ลูกค้าเข้ามาตลอดเลย แต่เข้ามาหาเขานะไม่ได้มาซื้อของ ไม่รู้จะดีใจดีไหม”
“งั้นสนใจเอาตัวนี้ไปกวักเพิ่มไหมครับ รับรองขายดีแน่ ๆ” ชานยอลเข้ามาร่วมวงสนธนาด้วยการพูดพร้อมกับลูบหัวแบคฮยอนอย่างเอ็นดู
แบคฮยอนถลึงตาใส่ชานยอลทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่อนที่เจ้าของร้านจะหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ก็ถ้าเจ้าของอนุญาตก็โอเคนะคะ”
“งั้นขอตัวน้องหมาไปนอนกอดเพื่อเป็นการตัดสินใจก่อนสักคืนนึงนะครับ”
“ตามสบายเลยค่ะ”
ชานยอลยิ้มให้เจ้าของร้าน ก่อนจะยกมือขึ้นโอบไหล่แบคฮยอนแล้วเดินออกไปทันที ทำเอาแบคฮยอนถึงกับอ้าปากหวอด้วยความไม่พอใจแล้วพยายามจะผละชานยอลออก แต่ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่คนตัวสูงก็ยิ่งกระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น ทำให้คนที่มองตามอยู่ข้างหลังเอ่ยแซวตามหลังเป็นระยะ
“ชานยอล!” แบคฮยอนตะโกนใส่คนตัวสูงอย่างไม่พอใจ ก่อนที่ชานยอลจะยอมปล่อยออกแล้วทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าบึ้งตึงของแบคฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งสองคนเดินดูของสลับกับทะเลาะกันไปเรื่อย ๆ ตลอดทางจนกระทั่งเดินถึงโซนของกิน ทั้งคู่ดูตื่นตาตื่นใจมากเพราะมีของกินละลานตาไปหมด และชานยอลก็เป็นคนที่เดินนำไปทันที
“อันนี้ชิมได้ไหมอ่ะครับ” ชานยอลเอ่ยถามแม่ค้าขึ้นตรงซุ้มขายต็อกโบกกีราดชีส ก่อนที่แม่ค้าจะให้การตอบรับแล้วยื่นต็อกโบกกีในแก้วพลาสติกเล็ก ๆ มาให้ชานยอลกับแบคฮยอนทันที
“หืออร่อยอ่ะ” ชานยอลเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ชอบสุด ๆ
“ซื้อไหม”
“นายเอาป้ะ”
“ไปดูร้านนั้นก่อนดีป้ะ น่ากินดีเหมือนกันนะ” แบคฮยอนชี้ไปยังร้านต็อกโบกกีที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามในขณะที่ยังเคี้ยวของร้านนี้ตุ้ย ๆ อยู่ในปาก
“ก็ดีนะ”
ว่าแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังร้านดังกล่าวทันที ก่อนจะขอชิมอีกเหมือนกับร้านแรกแล้วก็พบว่ารสชาติไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย
“ตกลงซื้อไหม” แบคฮยอนถาม
“ถ้าจะซื้อเลยก็กลัวอิ่มอ่ะ ฉันยังอยากชิมนู่นชิมนี่เยอะอยู่นะ” ชานยอลทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันว่าเราเดินขอชิมอย่างงี้ไปทั้งทางดีกว่า นอกจากจะอิ่มแบบทั่วถึงแล้วก็ยังไม่ต้องเสียตังค์ด้วย”
“…น่าเกลียด” แบคฮยอนไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไหร่ที่เห็นคนมีฐานะแบบชานยอลจะคิดอะไรแบบนี้ได้
“อย่าพูดแบบนั้นสิแบคฮยอน ฉันประหยัดเงินเพื่อที่จะสร้างครอบครัวกับนายนะ”
“เพ้อเจ้อ!”
แม้แบคฮยอนจะมีความรู้สึกกระด้างกระเดื่องกับแผนการของชานยอลอยู่ค่อนข้างมาก แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามเพราะอยากลองชิมของเยอะ ๆ เหมือนกัน ทั้งคู่ได้ตะลุยชิมของฟรีไปตั้งแต่ของกินหนัก ๆ ไปจนถึงของกินเล่นและเครื่องดื่ม ทำเอาอิ่มแปล้ไปทั้งสองคนโดยที่ไม่ได้ควักกระเป๋าตังค์เลย
“ขอบคุณครับ” แบคฮยอนกล่าวขอบคุณพ่อค้าไอศกรีมหลังจากรับเงินทอน
ตอนนี้คนตัวเล็กได้หยิบตังค์ขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกหลังจากชั่งใจอยู่นานว่าจะกินดีไหม แต่ด้วยความที่อยากกินมากจึงได้ยอมซื้อแม้จะอิ่มมากอยู่แล้วก็ตาม
“ถึงว่านายถึงได้อ้วนเอา ๆ นี่ยังจะยัดได้อีกนะ”
ชานยอลมองรูมเมทตัวเล็กที่กำลังเอร็ดอร่อยกับไอศกรีมช็อกโกแลตโดยที่ไม่ได้แยแสกับคำพูดของเขา เพียงแต่ยักไหล่แล้วก็ตักกินต่ออย่างมีความสุข
“ขอชิมด้วยสิ” ชานยอลเอ่ยขึ้นด้วยความหมั่นไส้ เพราะอยากจะรู้ว่าไอศกรีมนี่มันจะอร่อยสักแค่ไหนกันแบคฮยอนถึงเอาแต่กินโดยที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย
“ไม่ฟรีนะ เอามาด้วยพันวอนต่อคำ”
“อยากได้หมดกระเป๋าฉันก็ให้อ่ะ”
“รวยมากไหมน่ะ ฉันล้อเล่น อ้ะ” แบคฮยอนพูดพร้อมกับยื่นถ้วยไอติมให้อีกคน
ชานยอลทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะชูมือที่เปื้อนซอสถั่วเหลืองเมื่อตอนกินแป้งทอดให้คนตัวเล็กดูเป็นการบอกว่าเขาตักกินไม่ได้
“อดเลย” แบคฮยอนทำหน้าเสียดายแทนคนตัวสูง ก่อนที่จะนำไปถ้วยกลับไปตักกินต่อแล้วเปลี่ยนมาทำหน้าเยาะเย้ยแทน
“นี่ อย่างกสิ”
“งั้นจะให้ทำไงล่ะ”
“ป้อนหน่อย”
“ตลก”
“นะ คำเดียว”
“ไม่”
“นะ” ชานยอลโน้มตัวไปด้านข้างแล้วเงยหน้าทำหน้าอ้อนใส่แบคฮยอน ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับขำออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อยในท่าทีที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักของชานยอลเลย
“เลิกทำหน้าแบบนี้เถอะ มันตลก” ว่าแล้วมือเล็กก็จัดการตักไอศรีมแล้วยื่นเข้าไปใกล้ ๆ ปากชานยอล หลังจากที่ก่อนหน้านี้คนตัวสูงได้กลับมายืนในท่าปกติแล้ว
ชานยอลงับช้อนตรงหน้าพร้อมกับมองหน้าแบคฮยอนอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเพิ่มด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ออกมาจากความรู้สึกดีใจ
แบคฮยอนมองชานยอลที่กำลังยิ้มให้ตนเอง ก่อนจะลดสายตาลงมาที่ถ้วยไอศกรีมถ้วยเดิมเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองได้สบตากับอีกคนนานไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้จบที่แค่นั้น เหมือนชานยอลจะรู้ว่าแบคฮยอนได้เริ่มเขินเขาเล็กน้อยจึงได้แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับขำออกมา “แหนะ ๆ”
“อยากโดนตบอีกรึไง” ว่าแล้วมือเล็กก็ดันหน้าอีกคนออกไปทันที
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เกิดการทะเลาะกันย่อม ๆ ขึ้นมาอีก กว่าจะสงบลงได้พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินเสียแล้ว
“นะ ขอไปดูต่ออีกแปปนึงเถอะนะ”
“พอแล้ว มันค่ำแล้ว นายรับปากกับฉันแล้วนะว่าจะมาแปปเดียว”
“ก็ได้ลงมาแล้วก็ต่ออีกแปปนึงเหอะ” ชานยอลพูดพลางกับยกมือมาเช็ดกับชายเสื้อตนเองหลังจากที่ล้างมือเสร็จ “จะไม่ไปดูเซฮุนหน่อยรึไง แค่แปปเดียวเอง”
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาด้วยความคิดหนัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปดูเซฮุนที่วันนี้ก็ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน แต่เป็นเพราะว่าเจ้าตัวอยากอยากกลับดึกและก็ไม่อยากให้ชานยอลได้ใจไปมากกว่านี้แค่นั้นเอง
“ไม่ต้องคิดแล้ว ไปกันเถอะ” ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะตอบอะไร ชานยอลก็คว้ามือเล็กมาจับแล้วพาเดินเข้าไปในโรงยิมทันที
ทางด้านแบคฮยอนที่ได้แต่อ้ำอึ้งและกำลังจะสะบัดมือของชานยอลออกเมื่อได้เห็นจนนวนคนที่เบียดเสียดกันอยู่ก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้เพราะกลัวจะหลง
คนตัวเล็กก้มหน้าเดินตามรูมเมทตัวสูงไปโดยที่ไม่ได้บ่นอะไรสักคำ ทำให้ชานยอลที่หันมามองเป็นระยะนั้นลอบยิ้มขึ้นอย่างรู้สึกมีความสุข ก่อนที่จะประสานมือกับแบคฮยอนให้แน่นขึ้น และแบคฮยอนเองก็ตอบรับด้วยการกำมือคนตัวสูงไว้แน่น ๆ เช่นกัน…
ทั้งคู่เดินฝ่าผู้คนมาจนถึงด้านใน แบคฮยอนพยายามจะยืดตัวขึ้นเพื่อที่จะมองดูเซฮุนที่กำลังทำหน้าที่พิธีกรอยู่แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อชานยอลเห็นแบบนั้นจึงได้เข้าเข้าไปกอดเอวแล้วยกตัวแบคฮยอนขึ้น ทำเอาคนตัวเล็กร้องเหวอแล้วรีบตีแขนชานยอลให้ปล่อยตัวเองลงทันที
“ได้คืบจะเอาศอกหรอห้ะ!”
“…ก็หวังดี ทำไมต้องดุด้วยอ่ะ”
“กองไว้ตรงนั้นแหละ ถ้าฉันไม่ขอก็ไม่ต้องมาช่วยหรอก” แบคฮยอนตวาดชานยอลไปด้วยสีหน้าที่โมโหจัด
“โอเค จะไม่ลุ่มล่ามละ ดีกัน” ชานยอลพยายามจะง้อคนตัวเล็ก แต่สีหน้ากลับไม่ได้สำนึกผิดอย่างที่ควรจะเป็นเลย ทำให้แบคฮยอนต้องหันไปทำหน้าเหวี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเซฮุนได้เดินลงจากเวทีไปแล้วเปลี่ยนมาเป็นการแสดงของวงดนตรีแทน
เพลงหลายเพลงถูกบรรเลงขึ้นเรื่อย ๆ จากหลาย ๆ วง ตอนนี้คนในโรงยิมรวมถึงชานยอลต่างโยกตามเสียงดนตรีน้อย ๆ กันอย่างสนุกสนาน มีแค่แบคฮยอนเท่านั้นที่ดูจะไม่ค่อยสนุกกับคนอื่นสักเท่าไหร่ ร่างเล็กได้แต่ทำหน้ามุ่ยเพื่อรอเวลาที่จะกลับ จนกระทั่งทนไม่ไหวจึงได้ตะโกนแข่งกับเสียงเพลงที่ดังออกมาจากลำโพงเพื่อชวนชานยอลกลับจนสุดเสียง
ชานยอลดื้อเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมกลับเพื่อแบคฮยอนแต่โดยดี ทั้งสองคนจูงมือกันออกมาจากโรงยิม ก่อนที่แบคฮยอนจะไปสะดุดกับผู้ชายคนหนึ่งเล็กน้อย และเมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ในภาควิชานั่นเอง
แบคฮยอนโค้งให้ทันทีเพื่อเป็นการทำความเคารพและทักทาย
“อ้าว แบคฮยอนมาด้วยหรอ”
“ครับ พอดีเพื่อนชวนมา”
รุ่นพี่คนดังกล่าวมองไปที่ชานยอล ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่มือของทั้งคู่ที่ยังประสานกันอยู่ “เพื่อนแน่หรอน่ะ”
“เอ่อ… ครับ รูมเมทผมน่ะ” แบคฮยอนพูดพร้อมกับสะบัดมือชานยอลออก ทำให้ชานยอลไม่พอใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มและโค้งให้รุ่นพี่ของแบคฮยอนเพื่อเป็นการทักทายอยู่ดี และก็มีความรู้สึกว่าคุ้นหน้ารุ่นพี่คนนี้เอามาก ๆ
“จะกลับแล้วหรอ อย่าเพิ่งรีบสิ วันนี้พวกจองโมมันแข่งด้วยนะ เนี่ยจะขึ้นวงต่อไปแล้ว อยู่ดูรุ่นพี่ตัวเองก่อนสิ”
“…ผมว่าไม่เป็..”
“มาเถอะน่าแปปเดียว” แบคฮยอนถูกดึงเข้าไปในกลุ่มคนอีกครั้งโดยที่ไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธเลย
ส่วนชานยอลก็ได้แต่ตกใจเล็กน้อยเพราะตอนนี้คนตัวเล็กได้ละสายตาเขาไปแล้วแบบไม่รู้ตัวว่าหายไปตอนไหน เลยทำได้แต่ถอยหลังออกมาพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนแล้วก็ได้แต่ยืนรออย่างไม่มีทางเลือก
แต่จนกระทั่งวงดนตรีที่ว่านั่นเล่นเสร็จไปสักพักแล้วแบคฮยอนก็ยังไม่ออกมาสักที จึงทำให้ชานยอลเริ่มกังวลขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจเดินฝ่าผู้คนไปในทางเดียวกันกับที่แบคฮยอนหายเข้าไปเพื่อตามแบคฮยอนกลับมา
“นี่เราไม่เคยดื่มหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ต…แต่ผมต้องรีบกลับแล้ว” แบคฮยอนพยายามปฏิเสธที่จะดื่มแอลกอฮอล์ที่รุ่นพี่พยายามยัดเยียดให้ แต่จนแล้วจนรอดอีกคนก็ยังพยายามจะยื่นให้โดยที่ไม่ได้สนใจสีหน้าเขาตอนนี้เลย
แบคฮยอนไม่รู้ว่ารุ่นพี่พวกนี้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาในนี้ได้ยังไง เพราะกฎของที่นี่ก็บอกไว้อยู่แล้วว่าห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามหาลัยเด็ดขาด รู้แค่ว่าตอนนี้เขาต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้เหมือนหลายคนรอบตัวกำลังมึนเมาและเริ่มลุ่มล่ามกับเขามากขึ้นทุกที
“ไม่กินก็ได้ แต่อย่าเพิ่งรีบกลับสิ เดี๋ยวงานก็เลิกแล้ว อยู่กับพวกพี่ก่อนนะ” ว่าแล้วก็รุ่นพี่ตัวสูงก็โอบคอแบคฮยอนทันที ทำให้แบคฮยอนรีบที่จะผละออก แต่ไม่ว่าพยายามแค่สู้แรงอีกคนไม่ได้อยู่ดีจึงทำให้แบคฮยอนเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ยอม ๆ ให้มันกอดไปเถอะ เห็นมันเหล่แกมานานละ” รุ่นพี่อีกคนได้เข้ามากระซิบกับแบคฮยอนก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวแบคฮยอนเบา ๆ แต่มันก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนวิตกและอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
“พี่ปล่อยเถอะครับ ผมต้องกลับแล้ว” แบคฮยอนพยายามจะดันคนตัวสูงออก แต่ยิ่งดันอีกคนก็ยิ่งโอบแน่นแล้วก็ได้กลายมาเป็นกอดในที่สุด
“รู้ตัวป้ะว่าตัวเองน่ารักน่ะ” ร่างสูงกระซิบไปที่หูแบคฮยอน ก่อนจะเลื่อนจมูกลงไปที่ระดับคอแล้วถูเบา ๆ
“พี่!...ปล่อยนะ!!”
รุ่นพี่คนดังกล่าวไม่ได้ฟังคำห้ามปรามหรือท่าทีที่ขัดขืนของแบคฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับยิ่งล่วงเกินแบคฮยอนมากกขึ้น และรุ่นพี่อีกหลาย ๆ คนก็มีแต่คนหัวเราะชอบใจโดยที่ไม่ได้สนใจจะห้ามเพื่อนเลย แบคฮยอนจึงได้แต่ดิ้นอย่างเดียวเพราะตอนนี้เสียงดนตรีหนัก ๆ ได้กลบเสียงเขาไว้หมดแล้ว บวกกับไฟที่ถูกปิดให้เข้ากับบรรยากาศทั้งยิมจึงไม่สามรถจะเรียกใครให้ช่วยได้
ชานยอล
คน ๆ เดียวที่เขานึกถึงตอนนี้ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตอนนี้ชานยอลคงจะเดินตามหาเขาอยู่ และก็ภาวนาให้ชานยอลเจอเขาให้เร็วที่สุด
แล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจ แรงปริศนาจากบุคคลหนึ่งได้กระชากรุ่นพี่ที่กำลังกอดเขาอยู่ออกไป แบคฮยอนเพ่งบุคคลนั้น ก่อนจะพบว่าเป็นชานยอล
ร่างเล็กรีบวิ่งไปหลบด้านหลังชานยอลทันทีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้มือเกาะแขนเสื้ออีกคนเอาไว้อย่างสั่น ๆ ซึ่งบ่งบอกว่าตอนนี้แบคฮยอนนั้นกำลังกลัวมาก ๆ
“อ้าว รูมเมทน้องแบคฮยอนนี่เอง” รุ่นพี่คนเดียวกันกล่าวทักชานยอลด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว และนั่นมันก็ยิ่งทำให้ชานยอลโมโหขึ้นมากกว่าตอนที่เห็นแบคฮยอนในสภาพเมื่อสักครู่นี้ขึ้นหลายเท่า
“มองไรนักหนาวะ จะต่อยกูหรอ มึงเป็นเจ้าของเขารึไงว…”
!!!!
หมัดหนัก ๆ ถูกละเลงลงเข้าบริเวณโหนกของรุ่นพี่คนดังกล่าวจนล้มไปกองกับพื้น ทำให้หลายคนที่อยู่ใกล้ ๆ พากันแตกตื่น
ชานยอลไม่รอให้อีกคนตั้งตัวได้ คอเสื้อของรุ่นพี่คนเดียวกันถูกดึงขึ้นมาเพื่อให้ยืนอีกครั้ง “สารเลว มึงอยากให้กูเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อมึงไหม” เสียงชานยอลสั่นเครือด้วยความโกรธ คนตรงหน้ามองชานยอลอย่างไม่เข้าใจแต่สีหน้าก็ยังปรากฎถึงความวิตกอยู่เล็กน้อย
ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรต่อชานยอลก็ถูกจับให้แยกโดยรุ่นพี่คนอื่น ๆ และในจังหวะที่ชานยอลกำลังจะโดนเอาคืนนั้นบุคคลที่โดนต่อก่อนหน้านี้ก็ได้เอ่ยปรามเพื่อนของตัวเองเอาไว้
“เห้ยพวกมึงเดี๋ยวก่อน”
“ทำไมวะ มันชกมึงนะ!” ร่างสูงไม่ได้ตอบเพื่อน เพียงแค่ส่งสัญญาณมือปัด ๆ เป็นสัญญาณว่าให้ออกไปก่อน
“…มึงเป็นใครวะ”
“รู้แค่ว่ากูชื่อปาร์คชานยอลก็พอ”
รุ่นพี่ตัวสูงผงะทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของชานยอล และก็ได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อ
“อย่ามายุ่งกับแบคฮยอนอีก ถ้ามีอีกครั้งนะ มึงตายแน่” ชานยอลพูดไม่ค่อยเสียงดังนักเพื่อให้รุ่นพี่คนนี้ได้ยินคนเดียว ก่อนที่จะจับมือแบคฮยอนแน่น ๆ อีกครั้งแล้วรีบเดินออกไปจากโรงยิมทันที
แบคฮยอนเดินบีบมือชานยอลและก็ก้มหน้าตลอดทั้งทาง ก่อนที่ชานยอลจะหยุดเดินแล้วหันมาหาคนตัวเล็กด้วยความเป็นห่วง
มือหนายกขึ้นไปจับคางแบคฮยอนให้เงยขึ้นมา
ตอนนี้ใบหน้าของแบคฮยอนยังเต็มไปด้วยความตกใจกลัว แถมบริเวณคอยังมีรอยเป็นจ้ำ ๆ เต็มไปหมด
ชานยอลมองสำรวจแบคฮยอนด้วยอารมณ์โกรธรุ่นพี่พวกนั้นจนเส้นเลือดบนใบหน้าชัดขึ้น ก่อนที่จะดึงแบคฮยอนเข้าไปกอดแน่นแล้วลูบหัวเบา ๆ
“ฉันไม่น่าชวนนายมาเลย”
“…”
“ฉันขอโทษ”
แบคฮยอนซบลงที่อกของชานยอลแล้วส่ายหัวเบา ๆ เป็นคำตอบ ก่อนที่ชานยอลจะกอดแน่นขึ้นเพราะรู้สึกผิดและอยากจะปลอบโยนแบคฮยอนให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น
แบคฮยอนสั่นสะเทิ้มน้อย ๆ อยู่ในอ้อมกอดของชานยอล แต่ไม่ได้ร้องไห้หรือพูดอะไรแต่อย่างใด
ทั้งสองคนยืนกอดกันอยู่สักพักแบคฮยอนก็เริ่มรู้สึกโอเคขึ้นแล้วผละออก ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันกลับเข้าหอเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อไป
ชานยอลยังคงโกรธและรู้สึกผิดไปตลอดทั้งทาง แต่ในเหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้ก็ยังมีเรื่องที่ดีอยู่บ้าง
วันนี้เขาได้เห็นแบคฮยอนในมุมที่ไม่เคยเห็น และมันก็ทำให้เขารู้ว่า เขาได้รักแบคฮยอนเข้าไปแล้ว…
เพราะความรู้สึกต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในระหว่างเหตุการณ์ร้าย ๆ นี้ แบคฮยอนไม่ใช่แค่คนที่เขาชอบหรือแค่รู้สึกดีอีกต่อไป ชานยอลมีความรู้สึกที่อยากจะดูแลและปกป้องแบคฮยอนให้มากกว่านี้ มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นร้อยเท่า
รอฉันนะแบคฮยอน ฉันจะทำให้นายยอมรับฉันให้ได้ รอฉันนะ…
มายาวมากตอนนี้ คนอ่านน้อยก็จะแต่งค่ะ สู้ 555555 ไหนคนที่ยังอ่านอยู่มาเซย์ไฮหน่อย
ตอนที่แล้วอัพไปสองชั่วโมงไม่มีคนโผล่มาอ่านเลย ตกใจมากค่ะ 55555555555555555555555555555555555555
ความคิดเห็น