คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : THE ROOMMATE - 13
แดดอ่อน ๆ ของเวลาบ่ายสามโมงกว่าสาดส่องไปทั่วบริเวณ
เรียวขายาวของเซฮุนทอดน่องไปตามถนนสายเดิมที่คุ้นเคย วันนี้ร่างสูงมีนัดกับคน ๆ หนึ่งที่เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้เวลาผ่านไปเร็ว ๆ เกือบหนึ่งสัปดาห์เต็ม เซฮุนเดินอมยิ้มไปตลอดทาง กระทั่งจะถึงจุดหมายแล้วแรงสั่นพร้อมกับเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงที่บ่งบอกว่ากำลังมีคนโทรมาก็ดังขึ้น
ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินให้ช้าลง มือหนาเข้าไปหยิบเจ้าอุปกรณ์สื่อสารรูปร่างสี่เหลี่ยมขึ้นมาดู แล้วก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือคนที่เขานัดไว้วันนี้นั่นเอง
“…ฮัลโหลครับ อ้าว ถึงเร็วจังเลย ผมก็จะถึงแล้วครับ แล้วเจอกันที่หน้างานนะครับคุณลู่หาน” เซฮุนยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะเริ่มเดินให้เร็วขึ้นอีกครั้งเพื่อให้ถึงจุดหมายเร็ว ๆ ทันที
และเมื่อเดินมาถึงสถานที่นัดแล้ว ร่างสูงก็กวาดตามองไปทั่วบริเวณเพราะไม่เห็นคนที่เพิ่งบอกว่ามาถึงแล้ว ก่อนจะเห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ ที่โปสเตอร์หน้างานอย่างอารมณ์ดี
เซฮุนยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมกับตรงไปหาทันที ในจังหวะนั้นร่างเล็กผู้ที่เป็นเป้าหมายก็ได้หันมาเจอเขาพอดี จึงได้ยกมือขึ้นโบกเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
“ทำไมมาถึงเร็วอย่างนี้ละครับ ผมคิดว่าผมมาเร็วแล้วนะ แต่คุณก็ตัดหน้ามาซะได้” เซฮุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยทักทายขึ้นหลังจากที่ได้เดินมาถึงเป็นที่เรียบร้อย
“อยู่คอนโดมันเบื่อ ๆ น่ะเลยว่าจะออกมาเดินก่อนน่ะ ไม่คิดว่านายจะมาถึงเร็วเหมือนกัน แล้วทำไมมาเร็วแบบนี้ล่ะ เรานัดกันไว้ห้าโมงเย็นไม่ใช่หรอ” ลู่หานตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเอียงคอถามคนข้างหน้าต่อด้วยความสงสัย
“นั่นน่ะสิ…ผมจะรีบทำไมนะ” เซฮุนจ้องมองลู่หานกับท่าทีเหล่านั้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน กว่าจะตอบออกมาได้ก็ทำเอาคนที่ถูกมองอยู่ต้องหัวเราะในลำคอเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ “แต่ก็ดีเหมือนกันนะครับ เรามาเร็วทั้งคู่จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ ไง” ร่างสูงพูดพร้อมกับยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“งั้นก็เข้าไปในงานกันเถอะ อยากใช้เงินแล้ว ฮ่า ๆ” ว่าแล้วลู่หานก็จับแขนเซฮุนแล้วพาเดินเข้าไปข้างในงานที่จัดอยู่ด้านในทันที โดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำนี้ทำเอาร่างสูงที่เดินตามอยู่ข้างหลังนั้นฉีกยิ้มแทบจะถึงหูอยู่แล้ว
วันนี้เซฮุนกับลู่หานมาเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือด้วยกันจากคำชวนของเซฮุนเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว และด้วยความที่ลู่หานเองก็อยากมาอยู่แล้วจึงตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าจะแอบรู้สึกลำบากใจในการที่ต้องมาเผชิญหน้าน้องชายของอดีตคนรักอยู่ลึก ๆ ก็ตาม
“ที่นายเรียนเนื้อหามันก็น่าจะมีแค่ที่อาจารย์ให้ไม่ใช่หรอ ทำไมต้องมาหาอ่านเพิ่มจากข้างนอกด้วย” ลู่หานถามพร้อมกับกวาดตาไปทั่วซุ้มหนังสือเกี่ยวกับการแสดงและนิเทศศิลป์ เนื่องจากเหตุผลที่เซฮุนชวนมาก็คือจะมาหาหนังสือไปอ่านก่อนสอบ เลยทำให้เจ้าตัวสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับเนื้อหาในการเรียนของเซฮุน
“ผมดูชีทของอาจารย์แล้วไม่ค่อยเข้าใจอ่ะ มันเหมือนจะสรุปมาแล้วแล้วข้ามไปเยอะ เลยคิดว่าหาซื้ออ่านเองคงจะเวิร์คกว่า”
“แล้วก็บอกให้ฉันมาช่วยดูทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฉันจบสถาปัตย์มาน่ะนะ” ลู่หานหันไปมองหน้าเซฮุนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นถาม เพราะจำได้ว่าเคยคุยกันเกี่ยวกับเรื่องเรียนไปแล้ว
“…ผมคิดว่าคุณจะรู้ซะอีกว่าบางทีมันอาจจะเป็นข้ออ้างที่ผมจะได้ออกมาพบคุณ” พูดแล้วเซฮุนก็หันไปมองหน้าลู่หานตอบอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนที่อีกคนจะเอื้อมมือมาผลักไล่เขาเบา ๆ แล้วมองไปยังซุ้มหนังสือรอบ ๆ เหมือนเดิม
“หาไปเลย!” เซฮุนยกยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ อีกคนแล้วชวนคุยเรื่องใหม่ขึ้น
“ว่าแต่ คุณจบสถาปัตย์มาทำไมไม่ไปเป็นสถาปนิกละครับ”
“…เอาจริง ๆ คือบ้านฉันไม่ค่อยอยากให้เรียนสถาปัตย์นักหรอก เขาอยากให้ฉันเรียนบริหารเผื่อจบออกมาจะได้มาช่วยงานได้ แต่ตอนนั้นฉันก็ดึงดันจนได้เรียนจนได้” ลู่หานพูดแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อดูหนังสือไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เซฮุนเองก็ตั้งใจฟังพร้อมกับเดินตามหลังคนตัวเล็กไปช้า ๆ “แต่… พอจบออกมา พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้ไปทำงานพวกนั้นอยู่ดี ฉันก็เลยต้องมานั่งงอมืองอเท้าเข้าออกบริษัทแต่ไม่มีอะไรทำแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ น่าเบื่อชะมัด”
“ถ้ามันน่าเบื่อมากเราก็ออกมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้บ่อย ๆ สิครับ รับรองไปกับผมไม่มีคำว่าเบื่อแน่”
“รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเลิกกับคริสแล้ว” ลู่หานหันมามองหน้าเซฮุน ก่อนจะขมวดคิ้วและเอียงคอเล็กน้อยแล้วถามออกไป
“…ครับ ผมรู้แล้ว”
“หาหนังสือต่อเถอะ” ลู่หานแค่นยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
“…” เซฮุนยิ้มตอบแล้วหันไปหาหนังสือตามที่ลู่หานบอก ถึงแม้ว่าจะอยากรู้ว่าทำไมลู่หานถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ลู่หานเดินช้า ๆ แล้วมองไปตามชั้นหนังสือต่อ ก่อนที่จะแอบชำเลืองมาทางเซฮุนเล็กน้อยแล้วหันกลับไป สาเหตุที่เขาถามเซฮุนแบบนั้นก็เพราะเห็นท่าทีที่กล้ารุกมากยิ่งขึ้นของอีกคน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เซฮุนไม่กล้าเข้าหาเขาแบบวันนี้หรอก แต่ก่อนกับตอนนี้มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนนี้เซฮุนกล้าที่จะพูดหรือแสดงท่าทีว่าอยากจะเข้าหาแบบที่ไม่ได้ประหม่าหรือมีท่าทีที่เหมือนจะเกรงใจพี่ชายแบบแต่ก่อนสักเท่าไหร่ เลยทำให้เจ้าตัวคิดว่าเซฮุนคงรู้เรื่องระหว่างตัวเองกับคริสแล้ว
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เซฮุนก็ได้หนังสือเพื่อเอาไปอ่านสอบติดมือมาเพียงเล่มเดียว ทำเอาลู่หานที่ยืนเฝ้าอยู่ตั้งนานถึงกับส่ายหัวในความกระตือรือร้น(?)ของคน ๆ นี้ ก่อนจะย้ายตัวเองมายังซุ้มหนังสือแนวโปรดแล้วเซฮุนก็ตามมาติด ๆ
“คุณชอบหนังสือประเภทนี้หรอ” เซฮุนขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วถามขึ้นในขณะที่ลู่หานกำลังตื่นตาตื่นใจกับนิยายประเภทสยองขวัญพร้อมกับหยิบมากอดไว้หลายเล่ม
“อื้ม สนุกดี”
“ชอบอะไรน่ากลัวไม่เข้ากลับตัวเองเลยนะครับ”
“หื้ม นายกลัวหรอ”
“ก็…กลัวครับ” เซฮุนยกมือขึ้นมาเกาหัวพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในขณะที่ลู่หานที่กำลังมองอยู่ก็คิดอะไรออกก่อนจะลอบยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยขึ้น
“น่าเสียดายจัง ว่าจะชวนไปดูหนังผีที่เข้าอาทิตย์หน้าด้วยกัน อดเลย”
“นี่… คุณชวนผมหรอ”
“ยังไม่ได้ชวน”
“ผมไป” เซฮุนพูดแทรกลู่หานขึ้นพร้อมกับทำตาโตด้วยความดีใจ ทำเอาอีกคนถึงกับต้องกลั้นขำเอาไว้ก่อนจะปฏิเสธไปอย่างหน้าระรื่น
“นี่ฉันยังไม่ได้ได้ชวนนายเลยนะ พอนายบอกกลัวผีแล้วฉันนึกหน้าเพื่อนคนอื่นไว้แล้ว เสียใจด้วยนะเซฮุน”
“ไม่ได้นะครับ ผมไม่กลัวแล้วผมจะไปดู!”
“ไปกับเพื่อนดิ” ลู่หานยักไหล่พร้อมกับทำหน้ากวนใส่อีกคนแล้วเดินดูหนังสือต่อ ก่อนที่เซฮุนจะเดินตามแล้วพยายามเรียกร้องสิทธิของตัวเอง(?)ต่อไปเรื่อย ๆ
“ให้ผมถือช่วยมา” เซฮุนพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับถุงที่ข้างในบรรจุหนังสือไว้หลายเล่มในมือของลู่หานมาไว้กับตัวเอง
“หนักนะ” ลู่หานหันมามองคนข้าง ๆ ที่หยิบสิ่งของในมือตัวเองไปแล้วเรียบร้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดประโยคนี้ออกไป
“สบ๊าย” เซฮุนยิ้มกว้างแล้วตอบออกมาพร้อมกับเอาถุงหนังสือไปพาดไว้กับไหล่ ทำให้ลู่หานที่ไม่คิดจะขัดอะไรอยู่แล้วยิ่งเต็มใจให้ช่วยเข้าไปอีก ก่อนจะยิ้มตอบแล้วเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ
หลังจากที่ทั้งคู่ได้เดินดูหนังสือไปทั่วงานเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าจนพอใจแล้ว ลู่หานก็ได้หนังสือติดมือมาเกือบสิบเล่ม ผิดกับคนที่เป็นฝ่ายออกปากชวนที่เอาติดตัวกลับมาแค่สองเล่ม ซ้ำยังไม่ได้สนใจจะดูหนังสือเท่าไหร่ สายตาของโอเซฮุนวันนี้เหมือนจะสนใจแค่คนหน้าหวานที่มาด้วยกันวันนี้แค่นั้น…
“ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์กันไหม”
“หมดยุคจะมาทำอะไรแบบนี้แล้ว อีกอย่างหนึ่งอายุเท่าไหร่กันละ” ลู่หานหันไปค้อนคนตัวสูงที่เอาแต่จ้องไปยังตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ข้างทางอย่างตื่นเต้น ก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันกลับมามองเขาแล้วเปลี่ยนจากสีหน้าตื่นเต้นเป็นบูดบึ้งเล็กน้อยเพราะถูกขัดใจ ทำให้ลู่หานส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความระอาเล็กน้อย
เหมือนพาเด็กมาเที่ยวยังไงอย่างงั้นแหละ…
ตอนนี้ทั้งสองคนมาเดินเล่นด้วยกันในย่านเมียงดงจากคำชวนของเซฮุนอีกครั้ง และก็เป็นอีกครั้งที่ลู่หานไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะอยากจะมาอยู่แล้วแต่ไม่ค่อยมีโอกาส เลยกลายเป็นว่าทั้งคู่เลยได้เดินเที่ยวดูโน่นดูนี่ด้วยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่ากิจกรรมนี้มันจะไม่ได้อยู่ในแผนที่ทั้งคู่วางไว้ล่วงหน้าก็ตาม
“นายว่าเส้นนี้เป็นไง”
“สวยดีครับ”
“อืม…เส้นนี้ล่ะ”
“สวยครับ”
“แล้วเส้นนี้ล่ะ”
“สวย”
“เซฮุน! นายสนใจจะดูมันจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย!” ลู่หานทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับตะคอกใส่ร่างสูงข้าง ๆ อย่างขัดใจ หลังจากที่วานให้ช่วยเลือกสร้อยข้อมือให้แต่เซฮุนก็เอาแต่จ้องหน้าเขาโดยที่ไม่ได้สนใจสร้อยที่ยื่นให้ดูสักเท่าไหร่
“สนใจสิ คุณใส่อะไรก็สวยหมดนั่นแหละ”
“…หยอดไม่หยุดเลยนะ” ลู่หานเลิกคิ้วมองหน้าเซฮุน ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วหันไปสนใจสิ่งของข้างหน้าต่อ ในขณะที่เซฮุนเองก็ได้แต่หัวเราะในลำคอเบา ๆ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเสี่ยวได้ขนาดนี้ ก่อนที่จะยอมละสายตาจากใบหน้าหวานแล้วกวาดตาไปทั่วชั้นห้องสร้อยข้อมือที่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด
“แล้วคุณจะเอาเส้นไหน”
“ไม่เอาละ เลือกไม่ถูกแถมคนช่วยเลือกก็ยังช่วยอะไรไม่ได้” ลู่หานตอบพร้อมกับยืดตัวให้ตรงขึ้นหลังจากที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่นาน ก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ แล้วออกเดินต่อโดยที่ไม่ได้สนใจคนที่อยู่ข้างหลังเลย
เซฮุนมองตามหลังร่างบางไปแล้วยิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองดูสร้อยข้อมือต่อ แล้วสักพักก็เจอสร้อยข้อมือสีเงินและมีจี้รูปกวางห้อยอยู่ ก่อนจะหันไปหาพนักงานที่ยืนประจำอยู่ใกล้ ๆ
คงจะเหมาะกับคุณที่สุดแล้วมั้ง…
“เอาเส้นนี้ครับ”
เซฮุนกับลู่หานเดินเล่นด้วยกันอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรสักเท่าไหร่ แล้วนอกจากนั้นทั้งคู่ยังได้ไปนั่งกินข้าวข้างทาง เล่นเกมส์เซ็นเตอร์ที่อยู่ในห้างใกล้ ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายอย่างไม่รู้เบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้วันนี้เซฮุนมีความสุขที่สุดคงจะเป็นรอยยิ้มของลู่หาน รอยยิ้มที่ออกมาจากความสุขจริง ๆ ที่เขาไม่ค่อยได้เห็นมันบ่อยนัก
จะว่าไปแล้ววันนี้เราก็เหมือนมาเดทกันเลยเนอะ…โอเซฮุนมีความสุขที่สุดเลยครับ
“ขอรสเผือกใส่ไข่มุกเยอะ ๆ ครับ”
“โกโก้ไม่มุกวิปครีมเยอะ ๆ ครับ” เซฮุนหันมามองหน้าลู่หานที่สั่งรายการเครื่องดื่มไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดกับอีกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม
“ชวนมากินชานมไข่มุกแล้วไม่กินไข่มุกหรอครับ”
“ฉันไม่ค่อยชอบน่ะ มันเหนียว ๆ หนืด ๆ ยังไงไม่รู้”
“แล้ววิปครีมจะไม่แย่กว่าหรอครับ ผมว่ามันเลี่ยนจะตาย”
“อร่อยออก ฉันกินแบบผสมให้มันเข้ากันกับโก้โก้น่ะ แบบนั้นอ่ะไม่เลี่ยนเลย” พอพูดจบรายการโกโก้ของลู่หานก็เสร็จและถูกยื่นออกมาทันทีก่อนจะตามด้วยชานมรสเผือกของเซฮุน ลู่หานรับมาจากมือพนักงานก่อนที่จะใช้หลอดจิ้มให้วิปครีมกับเนื้อโก้โก้ปั่นให้เข้ากันอย่างชำนาญ ก่อนที่เซฮุนที่มองอยู่จะยื่นแก้วกลับไปให้พนักงานเพื่อให้เพิ่มวิปครีมให้แล้วเอามาทำตามลู่หาน
“…” ลู่หานมองมองหน้าเซฮุนที่กำลังพะอืดพะอมกับชานมไข่มุกในปาก ก่อนจะถามออกไปพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“แย่มากเลยหรอ”
“มันก็เลี่ยนเหมือนเดิมอ่ะ”
“อะไรที่คิดว่ามันดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนมันหรอกนะเซฮุน วิปครีมกับเผือกเข้ากันซะที่ไหน…” พูดแล้วร่างบางก็ส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะหันไปสนใจแก้วโกโก้ที่อยู่ในมือแล้วยกขึ้นมาดูดอย่างเอร็ดอร่อย ผิดกับเซฮุนที่ตอนนี้อยากจะปาแก้วในมือตัวเองทิ้งจะแย่แล้วถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนขายอยู่อ่ะนะ
“หนักไหม” ลู่หานหันไปถามเซฮุนเสียงอ่อยในขณะที่เดินไปตามทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านด้วยกัน ก่อนที่เซฮุนจะหันมาตอบด้วยสีหน้าอมยิ้มเหมือนเดิม
“ไม่หนักครับ แต่เริ่มเมื่อยแล้ว”
“ให้ฉันถือเองได้แล้ว”
“ไม่ๆๆๆไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราต้องแยกกันแล้ว ให้ผมถือให้คุณจนกว่าจะแยกกันเถอะ” เซฮุนยกมือขึ้นปฏิเสธอีกคนอย่างทันควัน ทำเอาลู่หานไม่อยากจะขัดอะไรต่อก่อนจะยิ้มพยักหน้าให้น้อย ๆ
ทั้งคู่เดินคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ถ้าไม่ติดว่าลู่หานมีนัดต่อตอนสองทุ่มเซฮุนก็คงจะล็อคตัวคนหน้าหวานเอาไว้แล้วพาไปที่อื่น ๆ อีกต่อแน่ แต่ที่วันนี้ได้ใช้เวลาจนคุ้มร่วมกันขนาดนี้ก็ทำให้เซฮุนไม่ค่อยนึกเสียดายกับแผนการที่เขาวางไว้ที่ต้องยุติลงเพราะต้องแยกกันก่อนเท่าไหร่ แค่ได้เดินมาส่งจนกว่าอีกคนจะถึงที่หมายแล้วก็คงถือว่าคุ้มเกินคุ้มแล้วสำหรับวันนี้
และในขณะที่ทั้งสองคนเดินไปจนใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ลมที่ไร้ทิศทางก็ได้พัดมาพร้อมกับสายฝนที่จู่ ๆ ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่มีสัญญาณเตือน ทำเอาทั้งคู่ต้องวิ่งหลบฝนกันอย่างพัลวัน ก่อนที่จะมองไปเห็นซอกตึกที่อยู่ใกล้ ๆ และมีกันสาดยื่นออกมาเล็กน้อยพอที่จะหลบฝนได้ แล้วพากันย้ายตัวเองเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น
“หนังสือเปียกเลย” ลู่หานเอื้อมไปหยิบถุงหนังสือในมือของเซฮุนขึ้นมา ก่อนจะบ่นอุบอิบขึ้นอย่างนึกเสียดาย
“…”
“ฉันน่าจะเอาเป้มาด้วยอ่ะ แย่จัง”
“…” เซฮุนไม่ได้ตอบลู่หานกลับไป ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ แล้วเอาแต่จ้องมองไปยังใบหน้าเล็กๆนั้นด้วยความหลงใหล ตอนนี้ทั้งคู่เปียกปอนเพราะน้ำฝนเหมือน ๆ กัน แต่ใบหน้าและเส้นผมลู่หานที่เปื้อนไปด้วยหยดน้ำเหล่านั้นกลับไม่ได้ทำให้ความดูดีลดลงไปเลย ในทางตรงกันข้าม ลู่หานกลับยิ่งดูน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นลูกแมวตัวน้อย ๆ ในสายตาของเซฮุนยิ่งขึ้นไปอีก
“…?” ลู่หานเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูงที่เอาแต่ยืนนิ่งอย่างไม่เข้าใจ แต่เซฮุนก็ได้พูดอะไรตอบเหมือนเดิม มือหนาถูกยกขึ้นมาเกลี่ยหยดน้ำที่ติดอยู่บนแก้มของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา และลู่หานก็ไม่ได้ขัดการกระทำของเซฮุนแต่อย่างใด ร่างเล็กยืนนิ่งให้คนข้างหน้าเกลี่ยแก้มและปัดไรผมตัวเองให้อย่างตามใจชอบ
เซฮุนยิ้มออกมาเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างถูกยื่นออกไปโอบเอวคนข้างหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะก้มลงไปหาอีกคนช้าๆจนกระทั่งปลายจมูกแตะกัน และในจังหวะที่ปากของเซฮุนจะถูกยื่นจนเกือบจะโดนปากของลู่หานนั้น เซฮุนก็ถูกผละออกมาด้วยแรงดันเล็กๆจากฝ่ามือของทั้งสองข้างของคนตัวเล็กพร้อมด้วยสีหน้าที่ดูตื่นตระหนก ทำเอาร่างสูงที่เหมือนจะตั้งสติได้ต้องรีบก้มหน้าต่ำลงทันที “ผมขอโทษครับ”
“เซฮุน” ตอนนี้สายฝนได้หยุดตกลงมาแล้ว และหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบทำงานระหว่างทั้งคู่อยู่สักพัก ลู่หานก็เอ่ยชื่อเซฮุนขึ้น ในขณะที่เจ้าของชื่อก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองคนตัวเล็กอีกครั้งอย่างตั้งใจ “นายกำลังจีบฉันอยู่จริงๆใช่ไหม”
“สิ่งที่ผมทำอยู่มันยังชัดเจนไม่พอหรอครับ”
“ฟังนะ ที่ฉันคุยกับนายหรือออกมาเที่ยวเล่นกับนายแบบนี้เพราะฉันคิดว่านายไม่ได้จริงจังกับฉันถึงขั้นนั้...”
“ผมจริงจัง” เซฮุนพูดแทรกลู่หานที่พูดยังไม่จบด้วยสีหน้าจริงจัง
“นั่นแหละ มันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้ นายเป็นน้องแท้ ๆ ของคริสนะ ถึงฉันจะเลิกกับคริสแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถทำอะไรกันได้ตามใจชอบแบบที่ไม่ต้องเกรงใจคริสเลย”
“…”
“ฉันกับพี่นายจบกันไม่สวยเท่าไหร่ และความรู้สึกของคริสที่มีต่อฉันมันก็คงจะติดลบมาก …ไม่ต่างจากฉัน แล้วนายคิดว่ามันง่ายนักหรอที่พอตัดใจกับคน ๆ หนึ่งได้แล้วก็มีความสัมพันธ์กับคนใหม่ได้ทันที”
“…”
“มันไม่ง่ายเลยเซฮุน ฉันยังลืมคริสไม่ได้ จะให้ไปมีคนใหม่ยังว่ายากแล้ว แล้วยิ่งคนใหม่ที่ว่ายังเป็นน้องแท้ ๆ ของคริสอย่างนายอ่ะเซฮุน ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“ผมรอได้” เป็นอีกครั้งที่เซฮุนพูดแทรกลู่หานขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อลู่หานก็โต้ตอบขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังยิ่งขึ้นไปอีก
“มันไม่ใช่ประเด็นว่านายจะรอได้รึเปล่า ที่ฉันพูดมาทั้งหมดเพราะอยากให้นายเลิกจริงจังกับฉัน ถ้ายังเห็นแก่หน้าพี่นายที่คงจะไม่ยินดีกับความสัมพันธ์ของเราสักเท่าไหร่… ก็หยุดมันไว้ตรงนี้เถอะนะเซฮุน”
“แล้วถ้าผมไม่หยุดล่ะ” ลู่หานได้แต่แค่นยิ้มพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของเซฮุน ก่อนที่โทรศัพท์ของลู่หานจะดังขึ้นแล้วเจ้าของเครื่องก็ล้วงมันขึ้นมารับสายพร้อมกับหันหลังให้เซฮุนทันที
“ฮัลโหล พี่อยู่ข้างนอกแล้ว ชานยอลออกมารึยัง” และชื่อที่ถูกเอ่ยออกมานั้นก็ทำเซฮุนเริ่มตงิดขึ้น ร่างสูงขมวดคิ้วฟังบทสนทนาสั้น ๆ ของลู่หานกับคนในปลายสายจนจบ ก่อนที่ลู่หานจะหันกลับมาบอกลาแล้วเดินออกไปทันที
นัดกับชานยอลหรอ ?
เซฮุนก้มหน้าต่ำลง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบสร้อยข้อมือที่ซื้อไว้ขึ้นมากำจนแน่น ถึงแม้ว่าคำพูดของลู่หานจะไม่มีผลกับความตั้งใจของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำให้ตัวเองเฟลไม่น้อย
ร่างสูงถอนหายใจออกมาเต็มแรงแล้วเก็บสร้อยเส้นนั้นไว้ที่เดิม ก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารรูปสี่เหลี่ยมขึ้นมาแล้วเลื่อนไปยังรายชื่อเพื่อนสนิทตัวเองแล้วกดโทรออกทันที
และหลังจากที่รอสายไม่นาน เสียงที่คุ้นเคยจากปลายสายก็ทักทายขึ้น เซฮุนไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น เพียงแต่พูดแทรกอีกคนขึ้นทันที “มึงอยู่ไหนแบคฮยอน มาสะกดรอยตามคนเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ”
“ไอ้เหี้ยไม่เข้าหัวเลยแม่งเอ๊ย” แบคฮยอนสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับกระทืบเท้าปึงปังในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะซุกหน้าลงกับกองชีทตรงหน้าอย่างอารมณ์เสีย “...ออกไปจากหัวสักที” ร่างเล็กพึมพำออกมาเบา ๆ ในขณะที่หน้ายังซุกอยู่บนโต๊ะอยู่ ก่อนจะพลิกเสี้ยวหน้าไปทางโต๊ะของชานยอลแล้วถอนหายใจออกมา
สองชั่วโมงก่อนหน้านี้เซฮุนโทรมาหาแบคฮยอนแล้วเอาแต่พูดเรื่องที่จะให้ไปตามคนเป็นเพื่อน ทำเอาคนที่ถูกโทรหาเกิดอาการอารมณ์เสียเล็กน้อยเพราะความไร้สาระของเพื่อนสนิท แต่เมื่อได้รู้ว่าคนที่เซฮุนแอบตามคือชานยอลกับลู่หานร่างเล็กก็เกิดอาการอยากรู้ตามเซฮุนเล็กน้อย หากแต่วันจันทร์ที่จะถึงนี้เจ้าตัวมีสอบวิชาแคลคูลัสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวิชาที่หินวิชาหนึ่ง แบคฮยอนจึงเลือกที่จะปฏิเสธเสียงแข็งกับคนในปลายสายอีกครั้ง แล้วหันกลับมาสนใจกับโจทย์กว่าร้อยข้อที่พี่ชายเคยทิ้งไว้ให้ทำเผื่อฝึกความเร็วอย่างไม่ลังเล
แต่ยิ่งพอเจ้าตัวไม่อยากจะสนใจเรื่องที่เซฮุนบอกมากเท่าไหร่ แบคฮยอนก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจขึ้นทุกที จากที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนมีสมาธิดีกลับไม่ช่วยให้แบคฮยอนเข้าใจกับโจทย์ที่กำลังพยายามทำเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งได้นึกถึงสีหน้าของชานยอลที่ดูจะยิ้มแย้มมากเป็นพิเศษก่อนที่จะออกไปนั้นยิ่งทำให้คนตัวเล็กหงุดหงิดมากขึ้นไปทุกที
พยายามจะตัดชานยอลออกแล้วแต่ทำไมความรู้สึกบ้า ๆ นี้ยังมากวนใจมากขึ้นทุกวันเลยนะ ?
แบคฮยอนถอนหน้าขึ้นออกจากกองชีทที่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไร้ประโยชน์สิ้นดี ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรมาดื่มแก้เซ็ง มือเล็กควานหาอะไรไปทั่วเผื่อจะเจออะไรที่อยากกิน จนกระทั่งไปเจอกับนมกล้วยแพ็คใหญ่ที่มีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ติดอยู่
“อย่าเครียดกับการอ่านหนังสือมากล่ะ กินเยอะ ๆ นะครับคุณรูมเมท”
อีกแล้ว… ปาร์คชานยอล อีกแล้ว…
แบคฮยอนถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบนมกล้วยของชายยอลขึ้นมาหนึ่งกล่องแล้วกรอกลงคออย่างไม่คิดชีวิต
จนถึงตอนนี้ชานยอลก็ยังปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิม เคยเป็นห่วงยังไงก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่เรื่อยมา แล้วแบคฮยอนก็ไม่เคยจะปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้นเพียงสักครั้ง จะมีก็แต่เรื่องการโดนตัวกันที่เจ้าตัวยังต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ และก็ต้องทำให้มันเป็นปกติที่สุดในสายตาชานยอลด้วย แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ยังคงหนีไม่พ้นสักเท่าไหร่ ชานยอลยังคงชอบมาสัมผัสตัวเขาแบบที่เคยทำอยู่ตลอด และบ่อยครั้งที่แบคฮยอนเองก็พยายามจะผลักไสออกจนชานยอลผิดสังเกต แต่ก็ยังดีที่รูมเมทตัวสูงไม่เคยถามถึงสาเหตุจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก็อก!!!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ทำให้แบคฮยอนที่ยืนเหม่อถือขวดนมอยู่คนเดียวสักพักต้องหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะคิดว่าชานยอลคงจะกลับมาแล้ว
เดี๋ยวนะ…นี่กูรอชานยอลอยู่หรอ ?
ร่างเล็กหุบยิ้มลงพร้อมกับส่ายหัวให้หัวเองเบา ๆ ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดปกติแล้วเดินไปเปิดประตูให้คนข้างนอกออกอย่างเบาแรง แล้วก็พบว่าคนที่มาเคาะนั้นไม่ใช่ชานยอล แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทอย่างเซฮุนที่โทรมาชวนทำเรื่องไร้สาระอยู่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง
แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าไม่ใช่รูมเมทตัวเองที่กลับมาถึงแล้ว ก่อนที่เซฮุนที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่หน้าประตูจะถลาเข้ามากอดตัวเขาเต็มแรง
“ไอ้เหี้ย เป็นอะไร!”
“…” แบคฮยอนตะโกนถามเซฮุนด้วยความตกใจ แต่ผู้ที่เข้ามาใหม่กลับเอาแต่เงียบแล้วกอดเขาแน่นยิ่งขึ้น
“เซฮุน มึงเป็นอะไรวะ ปล่อยกูก่อน”
“เขาคบกันแล้วว่ะ”
“...อะไร” แล้วก็เป็นแบคฮยอนเองที่ต้องนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามเซฮุนออกมาอีกครั้ง
“คุณลู่หานกลับชานยอลกลับมาคบกันแล้ว” เซฮุนพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง ก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดออกจากเพื่อนตัวเล็ก
“…” แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นมองเพื่อนสนิทแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ก่อนที่เซฮุนจะย้ายตัวเองให้ไปนั่งลงที่เตียงของแบคฮยอน ก่อนจะพูดอีกประโยคออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าเอาการ
“ก่อนหน้านี้ยังบอกกูอยู่หยก ๆ ว่ายังไม่พร้อมที่จะมีใคร แล้วนี่มันอะไรกันวะ พอปฏิเสธกูเสร็จแล้วแม่งไปคบคนอื่นหน้าตาเฉย”
“…เพิ่งจะเคยเห็นเพลย์บอยอย่างคุณโอเซฮุนทำหน้าเหมือนหมาโดนทิ้งก็วันนี้ นี่ชอบเขามากขนาดนั้นหรอครับคุณชายโอ”
“กูไม่ตลก! คนนี้กูจริงจัง!!” เซฮุนเงยหน้าแล้วพูดแทรกอีกคนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำเอาแบคฮยอนที่ยืนกอดอกมองอยู่อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองถึงกับสะดุ้งขึ้น
“เอาเถอะ กูเชื่อละ”
“…”
“แล้วมึงไปตามเขาใกล้ชิดขนาดนั้นซะจนรู้เห็นทุกอย่างเลยหรอ”
“เปล่าหรอก แค่มองอยู่ไกล ๆ แต่แม่งมีฉากสวมแหวนกุมมือแล้วก็ยิ้มกันกันด้วยอ่ะมึงจะให้กูคิดยังไง กูแค่จะตามไปดูว่าเขาจะไปทำอะไรกันบ้าง ไม่คิดว่าจะมาเห็นอะไรแบบนี้ หน้าตึงเลยไง” ทันทีที่เซฮุนพูดจบก็ทำเอาคนที่ฟังอยู่เริ่มหายใจติดขัดขึ้นมา
“...อย่าคิดมากไปเลย บางทีคงจะไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก” หลังจากที่นิ่งไปสักพัก แบคฮยอนก็เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ กับเพื่อนสนิทแล้วยกมือตบไหล่อีกคนเพื่อให้คลายความกังวล แต่เอาเข้าจริงแล้ว เจ้าตัวก็หวาดวิตกไม่แพ้เซฮุนสักเท่าไหร่
“ไม่ใช่อย่างที่กูคิดแล้วมันจะเป็นยังไง สองคนนั้นกำลังซ้อมสวมแหวนกันเผื่อจะได้ใส่ให้แฟนคนใหม่อย่างงั้นหรอ” แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อยของวัน หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำประชดประชันจากเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะไม่เลิกคิดเรื่องนี้ง่าย ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเองแล้วเบี่ยงเบนความสนใจไปที่แผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง
“กูไม่ดีตรงไหนวะ หล่อก็หล่อ บ้านก็รวย เรียนก็เก่ง แถมแม่งยังน่ารักกับเขาขนาดนั้น กูสาบานเลยเหอะว่าตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยทำตัวน่ารักกับใครขนาดนี้ แล้วแม่งยังเมินกูได้ลงคอ”
“มึงไม่ผิด แค่เขาไม่ได้ชอบมึง” แบคฮยอนส่ายหัวเล็กน้อยแล้วตอบเซฮุนไปทั้งที่สายตายังจ้องเนื้อหาในกระดาษอยู่
“สัดย้ำกูจัง ไม่ไหวละพากูไปแดกเหล้าที”
“แดกตีนกูก่อนไหม ได้ข่าวว่าวันจันทร์ก็สอบเหมือนกัน อย่ามางี่เง่าตอนนี้รำคาญ” กระดาษที่ถูกเย็บติดกันอยู่หลายแผ่นถูกเขวี้ยงไปใส่ตัวเซฮุนเต็ม ๆ หลังจากที่แบคฮยอนพูดจบ ทำเอาคนที่ถูกกระทำถึงกับต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บที่แล่นไปทั่วหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนด่าเพื่อนสนิทกลับอย่างคาดโทษ
“ดุจังเลยไอ้หมา! กูอกหักหมาก็ปลอบกูบ้างดิ!!”
“ปลอบไปละ” แบคฮยอนพูดพร้อมกับเขียนอะไรบางอย่างลงในแผ่นชีทไปเรื่อยๆ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร… อาจจะเป็นเพราะตอนนี้แบคฮยอนไม่อยากจะพูดคุยเรื่องนี้กับเซฮุนต่อแล้ว เลยต้องทำเป็นไม่สนใจเพื่อที่จะให้เซฮุนหยุดไปเอง เลยทำให้หลังจากนั้นเซฮุนต้องนั่งบ่นอะไรไปเรื่อยอยู่คนเดียว จนในที่สุดก็หยุดลงแบบที่แบคฮยอนอยากให้เป็น
“กีต้าร์ชานยอลหรอ” หลังจากที่เซฮุนเอาแต่เงียบแล้วนั่งทำหน้าอมทุกข์อยู่คนเดียวอยู่พักใหญ่ ร่างสูงก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบกีต้าร์ที่อยู่ใกล้ ๆ เตียงแบคฮยอนขึ้นมาดู
“อืม” แบคฮยอนตอบเซฮุนออกมาเบา ๆ ก่อนที่เซฮุนจะวางมันไว้ที่เดิมแล้วบ่นอะไรออกมาคนเดียวอีกครั้ง
“กูต้องเล่นดรตรีเป็นด้วยปะวะถึงจะได้มีทุกอย่างครบ เฮ้อ”
แบคฮยอนหันหน้าไปมองเพื่อนสนิทที่เอาแต่คิดอะไรไร้สาระอีกครั้งแล้วส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามามองที่กีต้าร์โปร่งตัวใหญ่ที่พักหลัง ๆ มานี้เขาแทบจะไม่ได้แตะมันเลย สาเหตุก็คงเป็นเพราะเวลาของเขากับชานยอลนั้นไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่ เนื่องจากเนื้อหาที่เรียนนั้นเยอะขึ้นทุกวัน บวกกับกิจกรรมที่รัดตัวทั้งคู่จนทำให้มีเวลาว่างแค่นิดเดียว และเวลาว่างอันน้อยนิดนั้นชานยอลก็ได้ใช้ไปกับคนที่ชื่อลู่หานเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้กีต้าร์ตัวนี้ถูกลืมไว้ให้อยู่ตรงนั้นเรื่อยมา…
ก๊อก ก๊อก ก็อก!!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้แบคฮยอนต้องละความสนใจจากเครื่องดนตรีที่อยู่มุมห้องมามองที่ประตูแทน แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีบานประตูก็ถูกเปิดออกจากเจ้าของห้องอีกหนึ่งคน
ชานยอลเดินเข้ามาในห้องแล้วยิ้มให้กับเซฮุนกับแบคฮยอนที่กำลังมองเขาอยู่ด้วยสายตาที่แปลก ๆ ไป ก่อนจะเตรียมเอ่ยปากทักทายแต่โดนเซฮุนพูดแทรกขึ้นซะก่อน
“กูกลับห้องแล้วนะแบคฮยอน” พูดแล้วเซฮุนก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูออกไปทันที ในขณะที่แบคฮยอนก็ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และมองตามหลังไปด้วยสีหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย
“...เซฮุนเป็นอะไรไปรึเปล่าน่ะ” ชานยอลที่มองตามเซฮุนไปอีกคนหันกลับมาถามแบคฮยอนอย่างงุนงงเล็กน้อย
“โดนหักอกมาน่ะ”
“ห้ะ อย่างเซฮุนเนี่ยนะอกหัก ใครกันนะที่เป็นคนทำ” ชานยอลพูดพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะตัวเองแล้ววางสัมภาระทิ้งไว้
คนเดียวกันกับที่หักอกนายนั่นแหละไอ้บ้าเอ้ย
แบคฮยอนตอบกลับไปด้วยการยิ้มให้ชานยอลเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นแหวนสีเงินที่ถูกสวมไว้ที่นิ้วนางข้างขวาของร่างสูง คนตัวเล็กเบือนหน้าตัวเองกลับมาที่โต๊ะ ก่อนจะหลุบตาต่ำลงเพราะรู้สึกแน่นในอกขึ้นมาอีกครั้ง
“ร้อนจัง ไปอาบน้ำละ” ชานยอลถอดเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองออกแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ก่อนที่แบคฮยอนยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองอย่างนึกหงุดหงิด
ทำไมถึงไปกังวลเรื่องของชานยอลกับลู่หานขนาดนี้ ?
ทำไมเรื่องของคน ๆ นี้ถึงทำให้เขากระวนกระวายได้ขนาดนี้ ?
ทำไมยิ่งไม่อยากคิดมันก็ยิ่งมาวนเวียนอยู่ในหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ?
หลังจากที่แบคฮยอนนั่งกำมือแน่นจมอยู่ในความคิดตัวเองมาสักพัก ชานยอลก็เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วก็มานั่งลงบนเตียงของตัวเอง ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของตัวเอง
“นี่” เสียงทุ้มใหญ่ของชานยอลเอ่ยทักมาทางรูมเมทตัวเล็ก ก่อนที่แบคฮยอนเองจะค่อยๆหันไปแล้วเลิกคิ้วขึ้นรอฟังคำพูดชานยอลด้วยสีหน้าปกติ “ฉันกลับไปคบกับพี่ลู่หานแล้วนะ” เหมือนหัวใจของแบคฮยอนได้ร่วงลงกับพื้นทันที่ที่ได้ยินคำพูดของรูมเมทตัวเอง แบคฮยอนนิ่งไป… ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยปากแสดงความยินดีกับอีกคนทั้งที่ข้างในแทบจะอยากตะโกนออกมาให้รู้แล้วรู้รอดว่าไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย…
“ไงล่ะ บอกแล้วไงความรักชนะทุกอย่าง ...รักษาเขาไว้ให้ดีล่ะ”
“ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่เขาจะยอมให้โอกาสฉันอีกครั้ง แต่ที่เป็นอย่างนั้นฉันคิดว่าเขาแค่อยากลองเปิดใจละมั้ง ไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะมาเริ่มใหม่กับฉันนักหรอก ต่อไปนี้ฉันคงต้องพยายามขึ้นอีก”
“…”
“ฉันคงต้องพึ่งนายให้มาช่วยปลอบอีกแล้วล่ะ หลังจากนี้พี่ลู่หานคงจะทำฉันเฟลอีกหลายครั้งจากสถานะแฟนที่เกิดขึ้นเพราะความสงสาร ฮ่า ๆ” แบคฮยอนแค่นยิ้มให้กับชานยอลที่เอาแต่พูดเรื่องของตัวเองอย่างไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนไปกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้
จะให้มาเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ ชานยอลไม่เคยรับรู้อะไรเลย มีแต่แบคฮยอนคนนี้นี่แหละที่คิดไปเองคนเดียว มีแต่คนโง่คนนี้นี่แหละ ที่ปล่อยให้ความรู้สึกบ้า ๆ นี้มันทำร้ายตัวเอง…
แบคฮยอนนั่งยิ้มและหัวเราะไปกับชานยอลที่ยังคงพูดอะไรต่อเรื่อย ๆ โดยที่ตอนนี้เขาแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าร่างสูงกำลังพูดอะไรอยู่ มือเล็กกำปากกาแน่นก่อนที่จะกดมันลงไปในกระดาษเต็มแรงเพราะความจุกอกที่ไม่รู้จะระบายยังไงในตอนนี้
พอสักทีเถอะชานยอล
ผิดหวังกันไหมคะที่ออกมาเป็นแบบนี้ ไรท์ก็ผิดหวังค่ะ 55555555 มาลงต่อให้จนครบแล้วนะ
รู้สึกว่าจะยาวมาก คำนวณเปอร์เซนผิดเอง แง้ ด่าพี่ปาร์คกันให้พอใจแล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ
แต่เข้าใจแกเถอะอารมณ์สับสนในสิ่งที่ตัวเองต้องการของคนที่เพิ่งอกหักจากคนที่เคยรักมากๆ
ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอก :)
ปล. คอมเม้นท์สักนิดแล้วจะมีกำใจสร้างอินเนอร์คลอดตอนหน้าออกมาเร็วๆนะคะ 55555555
สำหรับคนที่คอยเม้นท์คอยโหวตก็ขอบคุณจริงๆ พรุ่งนี้ไรท์เปิดเทอมละ ไปนอนก่อนดีกว่า
อย่าลืม #ฟดรม ยิปปี้ <3
CRY .q
ความคิดเห็น