ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ALLLURE * [ Changmin x Minho ]

    ลำดับตอนที่ #1 : TRACK, ONE : It's Chemistry (25%)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 52


    Title: ALLURE
    Part: One
    Paring: Changmin x Minho

    Title: ALLURE
    Part: One
    Paring: Changmin x Minho
    Type: Alternative Universe / RPS / Angst
    Rating: PG-15
    Author: S.Momei
    A/N: Choi Minho's POV/ Psychopathic / Mental Complex / Introvert
    Status: WIP (25% completed)

    ผมคิดว่าผมเจอแล้ว... คนที่เหมือนกับผม
    และผมไม่คิดว่า.. ผมจะสามารถปล่อยเขาไปได้
    ไม่มีทาง...


    "ฮ่าๆๆๆๆ อย่าๆ พอแล้ว พอแล้วววววว เฮ้ย ไม่เอาแล้ว ฮ่าๆๆๆ ปล่อยก่อน ปล่อยๆ ปล่อยเด๊"

    "ปล่อยให้โง่สิ เฮ้ย จัดการมัน!!!!!! ย๊ากกกกกกกกกกก"

    เสียง ร้องห้ามกลั้วหัวเราะกับเสียงสั่งให้รุมทำร้ายที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสนุก สนานมีความสุข พอเจ้าตัวหัวหน้าขบวนการสั่งเสร็จ สมาชิกวงชายนี่ 80% หรือจำนวน 4 ใน 5 ก็ลงไปนอนกองกันอยู่ที่พื้น พยายามจะรุมเจ้าจงฮยอนที่ตอนนี้ดูท่าทางจะนอนแบนอยู่กับพื้นปาร์เก้ในห้อง ซ้อมหน้ากระจกนี่แล้ว แต่สีหน้าไอ้คนถูกทำร้ายก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะโมโหสักนิด แต่ดูท่าทางเหมือนกำลังจะหาทางเอาคืนไอ้เจ้า 3 คนที่เหลือที่แทคทีมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่

    ส่วนผม นั่งอยู่บนเก้าอี้นี่ เอนหลังที่เมื่อยจากการซ้อมเต้นนานไม่รู้ชั่วโมงกี่ชั่วโมงพิงกับเบาะที่ พนักนุ่มๆมองสมาชิกร่วมวงที่มีทั้งแก่กว่าและอ่อนกว่าแต่ตอนนี้มีสภาพดูไม่ จืดเหมือนกันหมดอยู่บนพื้นเลยปลายเท้าผมไปหน่อย ...ผมควรจะบอกว่าเจ้าพวกนี้มันโตแล้ว แต่ยังเล่นกันเป็นเด็กๆ หรือผมควรจะคิดว่าที่จริงแล้วมันก็ยังเป็นเด็กอยู่ ไม่ได้โตอย่างที่ผมคิดดี ผมมองพวกมันอยู่นานโดยที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร ผมก็เป็นอย่างนี้... ผมไม่รู้จะพูดอะไร พูดทำไม ในเมื่อแค่คิดอยู่ในหัว มันก็น่าจะพอแล้ว การพูดจามันไม่ใช่สิ่งจำเป็น

    เราขลุกกันอยู่แต่ใน ห้องตั้งแต่เช้า ฝึกท่าเต้นสำหรับซิงเกิ้ลใหม่ไว้เสียแต่เนิ่นๆ ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสิทธิเกลือกกลิ้งในห้องซ้อมนี่ได้สบายๆเต็มที่ เพราะมันก็ถือเป็นห้องทรมานสำหรับพวกเรามาตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน ...ผมสูดลมหายใจลึกๆ ดูท่าความเหนื่อยล้าสาหัสจะไม่สามารถทำอะไรไอ้พวกที่ยังเล่นกันไม่เลิกบน พื้นนี่ได้เลย ผมดันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ...ถ้าผมนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกเสียหน่อย ผมคง เบื่อ ...อืม ตอนนี้ ผมยังไม่ได้เบื่อหรอกนะ ผมแค่กำลังจะเบื่อ ปกติผมก็เป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว

    " มินโฮ จะไปไหนน่ะ?" เสียงแบบนี้ เจ้าสมาชิกคนเดียวที่อายุน้อยกว่าผมถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมตั้งท่าจะเดิน ออกไปจากห้องที่มีแต่เสียงชวนให้อึดอัดนี่ ผมหยุดเดินแล้วหันไปนิดหนึ่งเพื่อตอบ

    "จะเดินเล่นอยู่ในนี้หน่อย ถ้าจะกลับกันเมื่อไหร่ โทรบอกด้วยนะ" ผมพูดตอบ แล้วมือก็ยกทำท่าโทรศัพท์แนบที่หูไปด้วย ไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มให้เจ้าคนถามเห็น แล้วก็ได้ผล มันยิ้มตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่วางใจ ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกันพวกที่เหลือ ดูมันจะชอบใจที่เห็นผมยิ้มได้เสียบ้าง เอาเถอะ ผมไม่ได้โกหกหรือเสแสร้งอะไรใส่พวกมัน ผมก็แค่อยากจะอยู่คนเดียว... ยืนมองสักพักแล้วก็หันหลังเดินออกมา คงไม่มีใครจะถามอะไรผมอีก...


    ผม เดินทอดขาไปเรื่อยๆ ก้าวต่อก้าว บนระเบียงทางเดินยาวของชั้นบนสุดนี้ เลยไปหน่อยข้างหน้าถัดออกไปก็จะเป็นดาดฟ้ากว้างที่ผมนึกอยากจะออกไปนั่ง เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ๆทำให้ผมรู้สึกว่าผืนฟ้าทั้งผืนนั่นเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว ทุกครั้งที่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ที่ๆไม่มีใครจับจ้อง จะทำอะไรก็ได้ เท่าที่อยากจะทำ... ผมคุ้นชินกับที่ตรงนี้เป็นอย่างดี แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในตึกนี้จะไม่คุ้นเคยกับมัน คงไม่มีใครนักหรอกที่อยากจะขึ้นมาอยู่บนนี้เพื่อใช้เวลาคนเดียว พวกข้างล่างนั่น ส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ว่าสนุกสนานเพลิดเพลินกับความสุขที่พวกเขาตะเกียกตะกายได้มา หรือต้องทำงานยุ่งวุ่นวาย ในเวลาว่าง ก็ยังมีแต่ตีสีหน้าเข้าหากัน มันผิดไหม ถ้าหากผมจะคิดว่ารอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะที่มีในตึกนี้ มันก็มีแต่การเสแสร้งทั้งนั้น... ช่างเถอะ ผมไม่ต้องการคำตอบหรอก ผมตัดสินด้วยตัวของผมเองได้... แต่จะพูดไปแล้ว ความจริง อย่างน้อยผมก็ยกเว้นให้สมาชิกในวงของผม พวกเขาก็ใกล้ชิดกับผมมากพอที่ทำให้ผมเรียกว่า "เพื่อน" ...แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมก็ยังพอใจกับการอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ดี

    ผมคิดว่าผมพอใจที่จะอยู่คนเดียว... ผมคิดว่าผมเป็นอย่างนั้น

    เพล้ง !

    ผม หันหน้าไปตามเสียงแก้วแตกที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบที่ผมรักนักหนาตรง นี้แทบจะทันที แก้วที่ไหนมาแตกเอาแถวนี้ เหมือนจะอยู่ตรงหน้าผมเลยไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น ผมหยุดฝีเท้าที่เงียบเชียบลงอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เสียงนี่มาจากข้างหน้า ไม่ใช่ข้างหลัง เพราะฉะนั้นมันหมายความว่าไม่ได้มีใครกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่แน่ ว่าแต่ใคร หรืออะไรล่ะ ที่ทำแก้วแตก ลมที่พัด แมวธรรมดาๆสักตัว ...หรือ คน?

    ผม หยุดยืนอยู่ตรงนั้นมองหาต้นเสียง ตรงหน้าผมนี่ก็ถึงดาดฟ้ากว้างที่ยื่นออกไปรับลมนอกตัวอาคารแล้ว เท้าผมมันก้าวเดินไปข้างหน้าเบาๆราวกับกลัวว่าคำตอบที่ตอนนี้หัวใจมันอยาก รู้จะเคลื่อนที่ได้แล้วหายไปเสียก่อนที่ผมจะพาตัวเองไปเข้าถึงตัวมัน ผมหยุดอยู่ข้างประตูเชื่อมทางเข้าไปดาดฟ้า แนบหลังพิงผนังเย็นๆแล้วเอี้ยวตัวไปมองผ่านกระจก เอียงหน้าไปมองตามที่ผมแน่ใจว่าเสียงมันมาจากทางนี้...

    ใคร บางคนยืนเกาะขอบดาดฟ้านั้นอยู่คนเดียว หันหลังให้ประตูและผมที่กำลังยืนอยู่ ผมเพ่งมองอย่างตั้งใจ แต่องศาที่ผมและเขายืนอยู่ในตอนนี้ ไม่ทำให้ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลย ใครกันที่มาที่นี่ ใครกันที่รู้จักที่นี่นอกเหนือไปจากตัวผม? เบาฝังหน้าซบลงกับขอบระเบียง เส้นผมสั้นดูยุ่งเหยิงราวกับว่าเจ้าตัวเพิ่งจะขยำขยี้มันลงไป เขาเป็นใคร ผมไม่แน่ใจนัก และไม่อยากจะคาดเดา เขาอาจจะเป็นทีมงาน สต๊าฟ พนักงานในบริษัท หรือศิลปิน? ก็เป็นได้ แต่จากที่ผมมองตอนนี้ ผมรู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งเพียงว่า... เขาสูงมาก สูงกว่าผมเสียอีก

    แล้ว จู่ๆ ความสงสัยก็ทำให้ผมไม่อาจตรึงขาตัวเองให้ยืนนิ่งหลบเร้นลอบมองต่อไปได้อีก ผมดันตัวขึ้นมาจากผนังที่เอนตัวพิง แล้วพลิกตัวไปยืนหน้าประตูกระจก ก่อนจะยกมือดันบานประตูนั้นให้เปิดออก แล้วก้าวเข้าไป

    เสียงเปิด ประตูของผม... เขารู้ตัวแล้วว่าใครบางคนเปิดประตูเข้ามา เสี้ยวหน้าคมหันมาเพียงนิดหนึ่ง จมูกเป็นสันนั่นทำให้ผมมั่นใจว่าเขาหน้าตาดี แล้วเขาก็เพียงแค่ยกหัวขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อรับรู้ถึงการมาของบุคคลที่สอง แต่กลับนิ่ง ไม่ได้หันมาสนใจ... ผมเพิ่งสังเกตเห็นเศษแก้วบนพื้นที่อยู่ตรงผนังด้านหลัง ดีที่ผมไม่ได้ไปเหยียบมันเข้า เศษแก้วที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆที่อ่อนแสงลง เศษแก้วที่แตกละเอียดกระจาย ไม่ต้องบอกก้เดาได้ว่ามันต้องถูกเขวี้ยงมากระแทกกับกำแพงด้านหลังนี่แน่ และจะมีใคร ถ้าไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น...

    ผมรอสักจังหวะ หวังว่าเขาจะหันมาบ้าง หรือจะมีสักช่วงที่จะทำให้ผมมองเห็นหน้าเขาให้ได้ถนัดถนี่ แต่ก็ไม่เลย... อะไรกัน คนๆนี้ ยิ่งอีกฝ่ายเงียบเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึก อยากรู้อยากเห็น มากขึ้นไปอีก อย่างที่ไม่เคยเป็น...

    "ผมไม่เคยเห็นใครมาที่นี่มา ก่อนเลย..." ผมพูดขึ้นมาลอยๆ หวังจะเรียกความสนใจจากคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น น่าแปลก... คราวนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นตัวผมเอง ผมกำลังตกใจตัวเอง ปกติผมไม่เคยเข้าหาใคร และไม่เคยเริ่มต้นพูดกับใครก่อน... ผมมั่นใจ ว่าตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ นี่ เป็นครั้งแรก

    คนอีกคน ยังไม่หันกลับมา ดูเรียบเฉย ราวกับว่าเสียงทุ้มๆของผมเป็นแค่สายลมอีกระลอกที่พัดผ่านเขาไป จะว่าไปแล้ว ทั้งรูปร่าง เส้นผม และทุกอย่างของเขา... ผมรู้สึกราวกับว่ามันเป็นภาพที่ควรจะคุ้นตา แต่มันไม่ได้ทำให้ผมพยายามนึกถึงอะไรทั้งนั้น

    "คุณมาที่นี่บ่อยหรือ ครับ?" ผมตั้งคำถาม เผื่อมันจะทำให้เขารู้ตัวว่าผมกำลังพูดคุยอยู่ด้วย ไม่ได้คุยกับดินฟ้าอากาศไปคนเดียว ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ราวกับแม้แต่ตัวของผมเองมันควบคุมไม่ได้ ผมแทบไม่รู้ตัวเลย ราวกับว่าผมวิ่งไล่ความคิดและความรู้สึกของตัวเองไม่ทันสักอย่าง รู้แต่ว่าอยากเข้าใกล้คนๆนี้... ไม่อาจห้าม ความต้องการ อยากรู้ ของตัวเองเอาไว้ได้

    และเขาก็ยังคงเงียบ เบือนหน้าไปหาทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่อาทิตย์กำลังจะผ่อนแสงลง แล้วทอดหายใจ... ผมเอาแต่จดจ้องทุกการกระทำของเขา ประหลาด... มันประหลาด ที่หัวใจของผมมันเต้นรัวกับความอยากรู้อยากเห็นนี่ แม้เพียงยังไม่พบหน้า แต่ผมรู้สึกว่าเขา น่าสนใจ ยิ่งเขาเงียบ.. ผมยิ่งอยากเป็นฝ่ายเข้าไปหา หรือเพราะที่ผ่านมา ผมเป็นเพียงแต่ฝ่ายรับฟังและเมินเฉยต่อผุ้อื่นเสมอกันแน่... ในตอนนี้ผมถึงเพิ่งรู้จักกับความรู้สึกนี่ ราวกับเป็นสิ่งแปลกใหม่

    เงียบ... เขาเงียบจนผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงจะได้คำตอบที่คลายสงสัยให้หัวใจที่มันกำลังเรียกร้องหาคำตอบอยู่ตอนนี้ พลันความคิดก็เสนอขึ้นมากับผม... บางทีเขาอาจจะเมินเฉยต่อคนแปลกหน้ากระมัง และหากผมยังดึงดัน เขาคงไม่มีวันหันมาแน่ เขาคงไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากให้ใครก้าวเข้าไปในวงเส้นที่เขาขีดกั้นเอาไว้ใช่ไหม? ...แล้วหากผมจะเข้าไป ผมควรอาศัยช่วงที่เขาเผลอ ใช่หรือเปล่า? ...คิดแบบนั้นแล้ว ผมควรจะออกไปจากที่นี่เสียตอนนี้ บางทีหากผมลอบมองเขาอยู่เงียบๆจากมุมไหนสักมุมหนึ่ง รอตอนที่เขาจะเดินออกมา ผมต้องได้เห็นหน้าเขาแน่

    สายตาผมจับจ้องเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินช้าๆ แต่มั่นคง... ให้เสียงพื้นรองเท้าผ้าใบที่ผมใส่อยู่นี่มันกระทบกับพื้น ให้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของผมที่กำลังก้าวกลับไปที่ประตู

    "...มีธุระอะไรหรือเปล่า?"

    จู่ๆเสียงของเขาทำให้ผมต้องหยุดเดิน... เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง นิ่งไปกับเสียงนั้น ก่อนจะหันหลังกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังคงหันหลังอยู่ ปากของผมรีบพูดตอบเขากลับไปแบบที่ไม่ทันจะกลั่นกรองอะไร

    "ไม่มีครับ ผมคิดว่าคุณคงรำคาญผมแล้ว ถ้าอย่างนั้น..."

    "เปล่า ฉันหมายถึงว่าถ้านายไม่มีธุระอะไร งั้นวันนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ..."

    สิ้นเสียง... ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับผม... และทำให้ผมต้องนิ่งอึ้งไปกับคนตรงหน้า ที่ยอมเฉลยคำตอบกับผมแล้วว่า เขาคือใคร

    ใบหน้านั้น ใบหน้าของคนที่ผมรู้จักดี... รู้จัก และเคยทำเพียงแค่ลอบมองเท่านั้น รู้จักเพียงผ่านคำบอกเล่า ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยได้เข้าถึงเป็นการส่วนตัวมาก่อน....

    .

    .

    .

    รุ่นพี่... ชเวคัง ชางมิน... อย่างนั้นเหรอ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×