คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : TRACK, ONE : It's Chemistry (25%)
Title: ALLURE
Part: One
Paring: Changmin x Minho
Title: ALLURE
Part: One
Paring: Changmin x Minho
Type: Alternative Universe / RPS / Angst
Rating: PG-15
Author: S.Momei
A/N: Choi Minho's POV/ Psychopathic / Mental Complex / Introvert
Status: WIP (25% completed)
ผมคิดว่าผมเจอแล้ว... คนที่เหมือนกับผม
และผมไม่คิดว่า.. ผมจะสามารถปล่อยเขาไปได้
ไม่มีทาง...
"ฮ่าๆๆๆๆ อย่าๆ พอแล้ว พอแล้วววววว เฮ้ย ไม่เอาแล้ว ฮ่าๆๆๆ ปล่อยก่อน ปล่อยๆ ปล่อยเด๊"
"ปล่อยให้โง่สิ เฮ้ย จัดการมัน!!!!!! ย๊ากกกกกกกกกกก"
เสียง
ร้องห้ามกลั้วหัวเราะกับเสียงสั่งให้รุมทำร้ายที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสนุก
สนานมีความสุข พอเจ้าตัวหัวหน้าขบวนการสั่งเสร็จ สมาชิกวงชายนี่ 80%
หรือจำนวน 4 ใน 5 ก็ลงไปนอนกองกันอยู่ที่พื้น
พยายามจะรุมเจ้าจงฮยอนที่ตอนนี้ดูท่าทางจะนอนแบนอยู่กับพื้นปาร์เก้ในห้อง
ซ้อมหน้ากระจกนี่แล้ว
แต่สีหน้าไอ้คนถูกทำร้ายก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะโมโหสักนิด
แต่ดูท่าทางเหมือนกำลังจะหาทางเอาคืนไอ้เจ้า 3
คนที่เหลือที่แทคทีมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่
ส่วนผม
นั่งอยู่บนเก้าอี้นี่
เอนหลังที่เมื่อยจากการซ้อมเต้นนานไม่รู้ชั่วโมงกี่ชั่วโมงพิงกับเบาะที่
พนักนุ่มๆมองสมาชิกร่วมวงที่มีทั้งแก่กว่าและอ่อนกว่าแต่ตอนนี้มีสภาพดูไม่
จืดเหมือนกันหมดอยู่บนพื้นเลยปลายเท้าผมไปหน่อย
...ผมควรจะบอกว่าเจ้าพวกนี้มันโตแล้ว แต่ยังเล่นกันเป็นเด็กๆ
หรือผมควรจะคิดว่าที่จริงแล้วมันก็ยังเป็นเด็กอยู่
ไม่ได้โตอย่างที่ผมคิดดี ผมมองพวกมันอยู่นานโดยที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
ผมก็เป็นอย่างนี้... ผมไม่รู้จะพูดอะไร พูดทำไม ในเมื่อแค่คิดอยู่ในหัว
มันก็น่าจะพอแล้ว การพูดจามันไม่ใช่สิ่งจำเป็น
เราขลุกกันอยู่แต่ใน
ห้องตั้งแต่เช้า ฝึกท่าเต้นสำหรับซิงเกิ้ลใหม่ไว้เสียแต่เนิ่นๆ
ดังนั้นวันนี้เราจึงมีสิทธิเกลือกกลิ้งในห้องซ้อมนี่ได้สบายๆเต็มที่
เพราะมันก็ถือเป็นห้องทรมานสำหรับพวกเรามาตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน
...ผมสูดลมหายใจลึกๆ
ดูท่าความเหนื่อยล้าสาหัสจะไม่สามารถทำอะไรไอ้พวกที่ยังเล่นกันไม่เลิกบน
พื้นนี่ได้เลย ผมดันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
...ถ้าผมนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกเสียหน่อย ผมคง เบื่อ ...อืม ตอนนี้ ผมยังไม่ได้เบื่อหรอกนะ ผมแค่กำลังจะเบื่อ ปกติผมก็เป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว
"
มินโฮ จะไปไหนน่ะ?" เสียงแบบนี้
เจ้าสมาชิกคนเดียวที่อายุน้อยกว่าผมถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมตั้งท่าจะเดิน
ออกไปจากห้องที่มีแต่เสียงชวนให้อึดอัดนี่
ผมหยุดเดินแล้วหันไปนิดหนึ่งเพื่อตอบ
"จะเดินเล่นอยู่ในนี้หน่อย
ถ้าจะกลับกันเมื่อไหร่ โทรบอกด้วยนะ" ผมพูดตอบ
แล้วมือก็ยกทำท่าโทรศัพท์แนบที่หูไปด้วย
ไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มให้เจ้าคนถามเห็น แล้วก็ได้ผล
มันยิ้มตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่วางใจ ก่อนจะกลับไปรวมกลุ่มกันพวกที่เหลือ
ดูมันจะชอบใจที่เห็นผมยิ้มได้เสียบ้าง เอาเถอะ
ผมไม่ได้โกหกหรือเสแสร้งอะไรใส่พวกมัน ผมก็แค่อยากจะอยู่คนเดียว...
ยืนมองสักพักแล้วก็หันหลังเดินออกมา คงไม่มีใครจะถามอะไรผมอีก...
ผม
เดินทอดขาไปเรื่อยๆ ก้าวต่อก้าว บนระเบียงทางเดินยาวของชั้นบนสุดนี้
เลยไปหน่อยข้างหน้าถัดออกไปก็จะเป็นดาดฟ้ากว้างที่ผมนึกอยากจะออกไปนั่ง
เมื่อไหร่ก็ได้
ที่ๆทำให้ผมรู้สึกว่าผืนฟ้าทั้งผืนนั่นเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว
ทุกครั้งที่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ที่ๆไม่มีใครจับจ้อง จะทำอะไรก็ได้
เท่าที่อยากจะทำ... ผมคุ้นชินกับที่ตรงนี้เป็นอย่างดี
แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในตึกนี้จะไม่คุ้นเคยกับมัน
คงไม่มีใครนักหรอกที่อยากจะขึ้นมาอยู่บนนี้เพื่อใช้เวลาคนเดียว
พวกข้างล่างนั่น ส่วนใหญ่
ถ้าไม่ใช่ว่าสนุกสนานเพลิดเพลินกับความสุขที่พวกเขาตะเกียกตะกายได้มา
หรือต้องทำงานยุ่งวุ่นวาย ในเวลาว่าง ก็ยังมีแต่ตีสีหน้าเข้าหากัน
มันผิดไหม ถ้าหากผมจะคิดว่ารอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะที่มีในตึกนี้
มันก็มีแต่การเสแสร้งทั้งนั้น... ช่างเถอะ ผมไม่ต้องการคำตอบหรอก
ผมตัดสินด้วยตัวของผมเองได้... แต่จะพูดไปแล้ว ความจริง
อย่างน้อยผมก็ยกเว้นให้สมาชิกในวงของผม
พวกเขาก็ใกล้ชิดกับผมมากพอที่ทำให้ผมเรียกว่า "เพื่อน"
...แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมก็ยังพอใจกับการอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ดี
ผมคิดว่าผมพอใจที่จะอยู่คนเดียว... ผมคิดว่าผมเป็นอย่างนั้น
เพล้ง !
ผม
หันหน้าไปตามเสียงแก้วแตกที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบที่ผมรักนักหนาตรง
นี้แทบจะทันที แก้วที่ไหนมาแตกเอาแถวนี้
เหมือนจะอยู่ตรงหน้าผมเลยไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ผมหยุดฝีเท้าที่เงียบเชียบลงอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เสียงนี่มาจากข้างหน้า
ไม่ใช่ข้างหลัง
เพราะฉะนั้นมันหมายความว่าไม่ได้มีใครกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่แน่
ว่าแต่ใคร หรืออะไรล่ะ ที่ทำแก้วแตก ลมที่พัด แมวธรรมดาๆสักตัว ...หรือ คน?
ผม
หยุดยืนอยู่ตรงนั้นมองหาต้นเสียง
ตรงหน้าผมนี่ก็ถึงดาดฟ้ากว้างที่ยื่นออกไปรับลมนอกตัวอาคารแล้ว
เท้าผมมันก้าวเดินไปข้างหน้าเบาๆราวกับกลัวว่าคำตอบที่ตอนนี้หัวใจมันอยาก
รู้จะเคลื่อนที่ได้แล้วหายไปเสียก่อนที่ผมจะพาตัวเองไปเข้าถึงตัวมัน
ผมหยุดอยู่ข้างประตูเชื่อมทางเข้าไปดาดฟ้า
แนบหลังพิงผนังเย็นๆแล้วเอี้ยวตัวไปมองผ่านกระจก
เอียงหน้าไปมองตามที่ผมแน่ใจว่าเสียงมันมาจากทางนี้...
ใคร
บางคนยืนเกาะขอบดาดฟ้านั้นอยู่คนเดียว
หันหลังให้ประตูและผมที่กำลังยืนอยู่ ผมเพ่งมองอย่างตั้งใจ
แต่องศาที่ผมและเขายืนอยู่ในตอนนี้
ไม่ทำให้ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เลย ใครกันที่มาที่นี่
ใครกันที่รู้จักที่นี่นอกเหนือไปจากตัวผม? เบาฝังหน้าซบลงกับขอบระเบียง
เส้นผมสั้นดูยุ่งเหยิงราวกับว่าเจ้าตัวเพิ่งจะขยำขยี้มันลงไป เขาเป็นใคร
ผมไม่แน่ใจนัก และไม่อยากจะคาดเดา เขาอาจจะเป็นทีมงาน สต๊าฟ
พนักงานในบริษัท หรือศิลปิน? ก็เป็นได้ แต่จากที่ผมมองตอนนี้
ผมรู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งเพียงว่า... เขาสูงมาก สูงกว่าผมเสียอีก
แล้ว
จู่ๆ
ความสงสัยก็ทำให้ผมไม่อาจตรึงขาตัวเองให้ยืนนิ่งหลบเร้นลอบมองต่อไปได้อีก
ผมดันตัวขึ้นมาจากผนังที่เอนตัวพิง แล้วพลิกตัวไปยืนหน้าประตูกระจก
ก่อนจะยกมือดันบานประตูนั้นให้เปิดออก แล้วก้าวเข้าไป
เสียงเปิด
ประตูของผม... เขารู้ตัวแล้วว่าใครบางคนเปิดประตูเข้ามา
เสี้ยวหน้าคมหันมาเพียงนิดหนึ่ง
จมูกเป็นสันนั่นทำให้ผมมั่นใจว่าเขาหน้าตาดี
แล้วเขาก็เพียงแค่ยกหัวขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อรับรู้ถึงการมาของบุคคลที่สอง
แต่กลับนิ่ง ไม่ได้หันมาสนใจ...
ผมเพิ่งสังเกตเห็นเศษแก้วบนพื้นที่อยู่ตรงผนังด้านหลัง
ดีที่ผมไม่ได้ไปเหยียบมันเข้า
เศษแก้วที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆที่อ่อนแสงลง
เศษแก้วที่แตกละเอียดกระจาย
ไม่ต้องบอกก้เดาได้ว่ามันต้องถูกเขวี้ยงมากระแทกกับกำแพงด้านหลังนี่แน่
และจะมีใคร ถ้าไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น...
ผมรอสักจังหวะ
หวังว่าเขาจะหันมาบ้าง
หรือจะมีสักช่วงที่จะทำให้ผมมองเห็นหน้าเขาให้ได้ถนัดถนี่ แต่ก็ไม่เลย...
อะไรกัน คนๆนี้ ยิ่งอีกฝ่ายเงียบเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึก อยากรู้อยากเห็น
มากขึ้นไปอีก อย่างที่ไม่เคยเป็น...
"ผมไม่เคยเห็นใครมาที่นี่มา
ก่อนเลย..." ผมพูดขึ้นมาลอยๆ หวังจะเรียกความสนใจจากคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
น่าแปลก... คราวนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นตัวผมเอง ผมกำลังตกใจตัวเอง
ปกติผมไม่เคยเข้าหาใคร และไม่เคยเริ่มต้นพูดกับใครก่อน... ผมมั่นใจ
ว่าตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ นี่ เป็นครั้งแรก
คนอีกคน
ยังไม่หันกลับมา ดูเรียบเฉย
ราวกับว่าเสียงทุ้มๆของผมเป็นแค่สายลมอีกระลอกที่พัดผ่านเขาไป จะว่าไปแล้ว
ทั้งรูปร่าง เส้นผม และทุกอย่างของเขา...
ผมรู้สึกราวกับว่ามันเป็นภาพที่ควรจะคุ้นตา
แต่มันไม่ได้ทำให้ผมพยายามนึกถึงอะไรทั้งนั้น
"คุณมาที่นี่บ่อยหรือ
ครับ?" ผมตั้งคำถาม เผื่อมันจะทำให้เขารู้ตัวว่าผมกำลังพูดคุยอยู่ด้วย
ไม่ได้คุยกับดินฟ้าอากาศไปคนเดียว ผมไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
ราวกับแม้แต่ตัวของผมเองมันควบคุมไม่ได้ ผมแทบไม่รู้ตัวเลย
ราวกับว่าผมวิ่งไล่ความคิดและความรู้สึกของตัวเองไม่ทันสักอย่าง
รู้แต่ว่าอยากเข้าใกล้คนๆนี้... ไม่อาจห้าม ความต้องการ อยากรู้
ของตัวเองเอาไว้ได้
และเขาก็ยังคงเงียบ
เบือนหน้าไปหาทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่อาทิตย์กำลังจะผ่อนแสงลง
แล้วทอดหายใจ... ผมเอาแต่จดจ้องทุกการกระทำของเขา ประหลาด... มันประหลาด
ที่หัวใจของผมมันเต้นรัวกับความอยากรู้อยากเห็นนี่ แม้เพียงยังไม่พบหน้า
แต่ผมรู้สึกว่าเขา น่าสนใจ ยิ่งเขาเงียบ.. ผมยิ่งอยากเป็นฝ่ายเข้าไปหา
หรือเพราะที่ผ่านมา
ผมเป็นเพียงแต่ฝ่ายรับฟังและเมินเฉยต่อผุ้อื่นเสมอกันแน่...
ในตอนนี้ผมถึงเพิ่งรู้จักกับความรู้สึกนี่ ราวกับเป็นสิ่งแปลกใหม่
เงียบ... เขาเงียบจนผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงจะได้คำตอบที่คลายสงสัยให้หัวใจที่มันกำลังเรียกร้องหาคำตอบอยู่ตอนนี้ พลันความคิดก็เสนอขึ้นมากับผม... บางทีเขาอาจจะเมินเฉยต่อคนแปลกหน้ากระมัง และหากผมยังดึงดัน เขาคงไม่มีวันหันมาแน่ เขาคงไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากให้ใครก้าวเข้าไปในวงเส้นที่เขาขีดกั้นเอาไว้ใช่ไหม? ...แล้วหากผมจะเข้าไป ผมควรอาศัยช่วงที่เขาเผลอ ใช่หรือเปล่า? ...คิดแบบนั้นแล้ว ผมควรจะออกไปจากที่นี่เสียตอนนี้ บางทีหากผมลอบมองเขาอยู่เงียบๆจากมุมไหนสักมุมหนึ่ง รอตอนที่เขาจะเดินออกมา ผมต้องได้เห็นหน้าเขาแน่
สายตาผมจับจ้องเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินช้าๆ แต่มั่นคง... ให้เสียงพื้นรองเท้าผ้าใบที่ผมใส่อยู่นี่มันกระทบกับพื้น ให้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของผมที่กำลังก้าวกลับไปที่ประตู
"...มีธุระอะไรหรือเปล่า?"
จู่ๆเสียงของเขาทำให้ผมต้องหยุดเดิน... เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง นิ่งไปกับเสียงนั้น ก่อนจะหันหลังกลับไปมองคนตัวสูงที่ยังคงหันหลังอยู่ ปากของผมรีบพูดตอบเขากลับไปแบบที่ไม่ทันจะกลั่นกรองอะไร
"ไม่มีครับ ผมคิดว่าคุณคงรำคาญผมแล้ว ถ้าอย่างนั้น..."
"เปล่า ฉันหมายถึงว่าถ้านายไม่มีธุระอะไร งั้นวันนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ..."
สิ้นเสียง... ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับผม... และทำให้ผมต้องนิ่งอึ้งไปกับคนตรงหน้า ที่ยอมเฉลยคำตอบกับผมแล้วว่า เขาคือใคร
ใบหน้านั้น ใบหน้าของคนที่ผมรู้จักดี... รู้จัก และเคยทำเพียงแค่ลอบมองเท่านั้น รู้จักเพียงผ่านคำบอกเล่า ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยได้เข้าถึงเป็นการส่วนตัวมาก่อน....
.
.
.
รุ่นพี่... ชเวคัง ชางมิน... อย่างนั้นเหรอ?
ความคิดเห็น