คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : มืออันอบอุ่นของริวทาโร่
“ยามะจัง? เหม่ออะไรอยู่น่ะ?” คาเมะคุงที่เพิ่งจ่ายเงินเสร็จเดินหิ้วถุงมาหาผม
ผมส่งยิ้มแหยๆ พลางส่ายหัวปฏิเสธเป็นพัลวัน
“คิดมากเรื่องยูโตะล่ะสินะ” คาเมะเอ่ยเป็นเชิงรู้ทัน
“เอ๊ะ? คาเมะคุงรู้เรื่องนี้ด้วยหรอ?” ผมถามอย่างตกใจ เพราะเรื่องที่ผมกับยูโตะคบกันเป็นที่รู้เฉพาะจั๊มพ์เท่านั้น
“มีอะไรบ้างที่ชั้นไม่รู้ เอางี้นะ เดี๋ยวนายไปกินชาบูกับชั้นนะ แล้วชั้นจะพานายไปส่งบ้านเอง”
คาเมะส่งยิ้มพลางหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคน
“จิน บอกพวกนั้นนะให้เก็บของ เราจะไปกินชาบูกัน ยามะจังก็ไปด้วย....เออน่า..เร็วๆ ล่ะ
หยิบเสื้อโค้ทมาให้ชั้นด้วย”
ผมยืนฟังบทสนทนาอย่างใจจดใจจ่อ ดูท่าทางคาเมะนาชิคุงจะโทรไปจิกกับอาคานิชิซัง
ให้ลากบรรดาคัตตุนมากินชาบูกับเขาแน่ๆ เลย โอ้ย ตาย....ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้กินชาบูกับคัตตุนทั้งวงนะเนี่ย
ผมกับคาเมะยืนรออยู่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ตจนสมาชิกคัตตุนมาถึงด้วยสภาพอ่อนแรงจากการซ้อม
คาเมะยืนเท้าเอวอย่างหงุดหงิดพลางรับเสื้อโค้ทหนังจากจินมาสวมไว้
“ช้านะเนี่ย ยามะจังรอนานแล้วนะ” คาเมะโวยวาย โคคิได้แต่ทำหน้าเซ็งโลก
“ไปกันเหอะยามะจัง ปล่อยไอ้เต่านี่ไว้เหอะ” หนุ่มใหญ่พูดพลางลากรุ่นน้องอย่างผมออกเดินนำหน้า
ตามเหล่าสมาชิกคัตตุน โชคดีที่ตอนนี้มืดแล้ว พวกเราจึงไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนเท่าไรนัก
ทุกคนพาผมมาที่ร้านชาบูแห่งหนึ่ง โดยพวกเขาเลือกห้องพิเศษเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว
หม้อไฟถูกตั้งอยู่ตรงหน้า สมาชิกคัตตุนพากันสวาปามกันอย่างสนุกสนาน ผมได้แต่ยิ้มแล้วกินตามมารยาท
เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป เพราะในคัตตุนผมสนิทกับคาเมะมากที่สุด รองลงมาก็โคคิซังเนี่ยละ
นอกนั้นแทบไม่ได้คุยกันเลยสักคำนึง แต่ด้วยความรั่วของทุกคนทำให้ผมหัวเราะเสียจนลืมเรื่องกลุ้มใจไปเสียสนิท
“จริงสิยามะจัง นายพอจะเล่าเรื่องนายกับจั๊มพ์ให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
อาคานิชิที่กำลังโซ้ยผักที่แย่งมาได้จากชามของคาเมะเอ่ยถามขึ้น ทั้งโต๊ะจึงเงียบกริบ ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อน
“เรื่องมันผ่านมาเป็นปีแล้วนะฮะ ผมไม่อยากนึกถึงมันอีก”
ผมวางตะเกียบในมือลง ความรู้สึกเบื่ออาหารเข้ามาแทนที่
“ชั้นเห็นอะไรแปลกๆ ระหว่างนายกับจั๊มพ์แต่ละคน ผู้ใหญ่ทางค่ายบอกว่านายขอออกจากจั๊มพ์เอง
ชั้นไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะอะไร ยังไงซะชั้นไม่อยากเห็นน้องชายสุดที่รักต้องมาเจ็บปวดเป็นปีๆ
อยู่แบบนี้หรอกนะ” คาเมะเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง นั่นทำให้ผมปล่อยโฮออกมา
ผมไม่นึกเลยว่ายังมีคนเป็นห่วงผม
นอกจากไดกิ ริวโนะสุเกะและพ่อแม่ผม ผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟัง
ทัตสึยะซังเศร้าขนาดร้องไห้ตามในขณะที่ปลอบผมไปด้วย บรรยากาศมื้อค่ำนี้จึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความเศร้าและความอบอุ่น
“ใจร้ายจังเลยนะยูโตะคุง สาเหตุก็ไม่บอกสักคำ ทำไมทำกับยามะจังได้นะ?” คาเมะพูดพลางกอดปลอบผมเบาๆ ผมร้องไห้ออกไปจนหมดแรง ทุกๆ คนพากันซับน้ำตาของตัวเองจนทิชชู่แทบจะหมดร้าน
“ผมไม่รู้หรอกว่าทำไม...แต่ผมเจ็บ ที่คนในวงไม่ให้โอกาสผมเลย ทำไมต้องเหยียบซ้ำตอนที่ผมกำลังอ่อนแอ
ที่ผมซึมเศร้าเพราะเลิกกับแฟนนี่ผิดมากใช่มั้ยฮะ? ฮึก...” ผมดันตัวเองออกพลางกำหมัดแน่น
น้ำเสียงของผมทำให้อาคานิชิซังขนลุก
“มันไม่ผิดหรอก ก็ยามะจังรักยูโตะมากนี่นา...ยิ่งคนในวงเข้าข้างยูโตะด้วย ชั้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงนะ แต่ว่า....”
อาคานิชิซังปลอบพลางลูบหัวผมเบาๆ แต่ต้องชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ของผม
ผมรีบหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับเมื่อเห็นว่าริวทาโร่เป็นคนโทรมา
“ยามาดะ ตอนนี้นายอยู่ไหน?” ริวทาโร่ถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนรนสุดขีด
ผมที่กำลังสะอึกสะอื้นจนเสียงแหบพยายามเค้นเสียงตอบกลับไป
“ชั้นกินชาบูอยู่กับพวกอาคานิชิซัง ที่ร้านตรงหัวมุมถนนใกล้ๆ สถานีน่ะ”
“ยามาดะ นายร้องไห้หรอ?” เสียงของริวทาโร่แผ่วลงเมื่อได้ฟังเสียงผม
“เอ่อ....นายมีอะไรหรือเปล่า?” ผมพยายามรีบตัดบทเพื่อไม่ให้หมอนั่นเป็นห่วงผม
แต่ดูท่าทางจะทำไม่ได้ซะแล้ว “นายอยู่ที่นั่นนะ เดี๋ยวผมไปหา”
ริวทาโร่วางสายไป ผมจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติ เช็ดคราบน้ำตาออกแต่ว่าตาก็ยังแดงช้ำอยู่ดี
จุนโนะสุสุเกะซังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
“อย่าฝืนเลยนะยามะจัง อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ” เสียงนุ่มๆ ของจุนโนะสุเกะซัง
ราวกับปลดปล่อยผมออกจากพันธนาการแห่งความเจ็บปวด ผมปล่อยโฮอีกครั้งอย่างไม่สนใจใครอีกแล้ว
พี่ๆ คัตตุนพากันปลอบประโลมผม ให้กำลังใจจนผมรู้สึกดีขึ้นมาก
“ยามาดะ!!” ริวทาโร่เปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วเข้ามากอดผมทันที
“ร้องไห้ทำไม? ใครทำนายร้องไห้?”
“ยามะจังเค้าแค่อยากร้องน่ะ ริวคุง” โคคิซังเปรยขึ้น
“ชั้นไม่เป็นไรแล้วริวทาโร่...” ผมเอามือปาดคราบน้ำตาแล้วส่งยิ้มให้เจ้าริวมัน
“นี่ก็มืดแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่บ้านนะ” ริวทาโร่เอ่ย
“อื้ม เดี๋ยวชั้นขับรถพาไปพวกนายไปส่งเอง” จินอาสา
“ไม่เป็นไรฮะ วันนี้ขอบคุณมากนะฮะ วันไหนว่างๆ ไปที่บ้านผมนะ
ผมจะเลี้ยงหมอไฟทุกคนล่ะ” ผมยิ้มก่อนจะกล่าวลาทั้งๆ ที่โดนริวทาโร่ฉุดกระชากลากดึงให้ออกมาจากร้าน
ผมกับริวทาโร่เดินไปตามถนนท่ามกลางความมืดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากเสาไฟข้างทาง
พอให้มองเห็นทางเดินได้บ้างไม่อย่างนั้นผมคงจะเดินตกท่อเอาได้ จากการที่ผมร้องไห้อย่างหนักเมื่อครู่
ทำให้ผมมองอะไรไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก โชคดีที่มีรุ่นน้องคนสนิทที่คอยจูงมือพาผมเดินบนทางเท้าอย่างปลอดภัย
ตลอดทางริวทาโร่พยายามซักถามผมถึงสาเหตุที่ต้องร้องไห้ แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา
เพราะคนอารมณ์แปรปรวนอย่างริวทาโร่อาจจะพาลเหม็นหน้ายูโตะกับยูริก็เป็นได้
พอถึงสถานีรถไฟผมก็รั้งข้อมือของริวทาโร่ไว้ไม่ให้หมอนั่นลากผมไปซื้อตั๋วรถไฟเพื่อกลับบ้าน
“มีอะไรหรือเปล่า?” มันหันมาถามผม
“นายกลับไปซ้อมเถอะ เดี๋ยวยาบุคุงจะว่าเอานะ” ผมไล่มันกลับอย่างอ้อมๆ เพราะเกรงว่า
ริวทาโร่จะโดนคำครหาจากปากร้ายๆ ของยูริเหมือนกับที่ผมเคยโดน..มันเจ็บมากๆ เลยนะ
“ซ้อมเสร็จหมดแล้วน่า” มันย้อนพลางทำท่าจะลากผมเข้าไป ผมรีบสะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว
“โกหก...จั๊มพ์น่ะไม่ซ้อมเสร็จเร็วขนาดนี้หรอกนะ พวกนายหวังรางวัลไลฟ์ยอดเยี่ยมแห่งปีกันไม่ใช่หรอ?
ไม่มีทางหรอกที่ยาบุคุงจะปล่อยให้พวกนายซ้อมนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้หรอก”
ผมเถียงกลับไปตามสัญชาตญาณความเป็นผู้นำด้านการเต้นของจั๊มพ์มาก่อน ผมรู้ดีว่าจั๊มพ์แต่ละคนมีพื้นฐานแบบไหน
ลายเต้นแบบไหน อายคอนแทคของแต่ละคนเป็นยังไง โดยเฉพาะริวทาโร่ ถึงแม้หมอนี่จะเต้นดีในระดับนึง
แต่อายคอนแทคของริวทาโร่ก็ห่วยขั้นเทพได้อีก หมอนี่เอาแต่ยิ้มเวลาขึ้นร้องต่างจากผม
ที่ขยันจิกกัดสายตาเรียกเสียงจากประชาชีให้กรี๊ดจั๊มพ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนยูริมักจะหมั่นไส้ผมบ่อยๆ
“โอเค ผมกลับไปซ้อมก็ได้ แต่ว่า...” ริวทาโร่ชะงักคำพูดของมัน มือข้างนึงยกขึ้นมาลูบไล้แก้มกลมของผม นิ้วของริวทาโร่ปาดคราบน้ำตาที่ยังเหลืออยู่บนใบหน้า “ตั้งแต่ที่ยามาดะออกจากจั๊มพ์ไป ผมก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของยามะจังอีกเลยนะ...”
ผมมองริวทาโร่อย่างตกตะลึง นั่นเป็นครั้งแรกที่ริวทาโร่เรียกผมว่ายามะจังเหมือนที่คนอื่นๆ เขาเรียกกัน
มันเขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ จมูกโด่งๆ ของริวทาโร่ชนกับจมูกของผมโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ริมฝีปากของริวทาโร่กำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของผม....
....................................................
ค้างมั้ย? ไรท์เตอร์ก็ค้างอ่ะ
ยามะจะโดนริวทาโร่จูบ อ้ากกกกกกกกก >///<
ความคิดเห็น