ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ] Painted Boy ฉันจะร้าย..ถ้านายไม่รัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ความทรงจำที่แสนเศร้า

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 53


    ... N eL’ L


                    ร่างอวบสาวเท้าเดินไปตามทางเท้าริมถนนใหญ่สายหนึ่ง การจราจรวุ่นวายรถติดกันเป็นจำนวนมาก

    นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเช้าวันจันทร์ที่ทุกคนต่างเร่งรีบไปทำงานแบบนี้ เด็กนักเรียนในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียน

    แบบเดียวกันเดินสวนทางผ่านเขาไปจำนวนมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผิดแปลกแต่อย่างใดเพราะตัวเขาเองกำลังเดินไป

    ทางประตูโรงเรียนตามหน้าที่ ส่วนเด็กคนอื่นที่มาร.ร.เช้าแต่ไม่ยอมเข้าโรงเรียนก็พากันแวะซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ 

    เพื่อซื้อขนมกินกันเป็นเรื่องปกติ

     

                    ทันทีที่ผมเดินก้าวเข้ามาในโรงเรียน ก็พบกับร่างของอาจารย์วัยกลางคนตัดผมสั้นทรงบ๊อบเทจ้องมองผม

    ด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

     

                    อรุณสวัสดิ์ยามาดะคุง มาเช้าตามเคยนะ เสียงแหบๆ ของเซนเซกล่าวทักทาย 

    ผมจำใจหันไปทักทายกลับเป็นมารยาท

     

                    แต่เซนเซก็มาเช้ากว่าผมนะ ผมไปละครับ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ผมรีบตัดบทก่อนจะตรงดื่งไปยังโรงอาหาร
     
    อากาศเย็นๆ ยามเช้าทำให้ผมรู้สึกดีกับการมาโรงเรียนตอนเช้ามาก แต่มันแย่ตรงที่ตึกเรียนจะเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า
     
    เพราะฉะนั้นผมก็ต้องกินข้าวเช้ารอจนกว่าตึกจะเปิด

     

                    ทุกฝีก้าวระหว่างที่ผมเดินไปซื้อข้าวในโรงอาหารในช่วงเช้าที่คนน้อยนั้นเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก 

    อาจเป็นเพราะใบหน้าของผมที่ไม่ค่อยจะยิ้มแย้มนอกจากว่าจะอยู่กับเพื่อนฝูง ตอนเช้าแบบนี้อาหารในโรงอาหารมีให้เลือกไม่มากนัก
     
    ร้านสปาเก็ตตี้ที่ผมตั้งใจว่าจะมากินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าก็ยังไม่เปิด ทำให้ความตั้งใจของผมต้องยุติลง 

     

                    ผมเลือกแฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารเช้าของผมแทนถึงแม้ว่าอารมณ์ของผมตอนนี้จะไม่อยากทานอะไรเลยก็ตาม 

    แต่ถ้าไม่กินละก็คงเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวันแน่ๆ อ้ะ ลืมแนะนำตัวไปเลย ผมยามาดะ เรียวสุเกะ เรียนอยู่ไฮสคูลปีสอง

    ที่โรงเรียนเซนต์โนบาระแห่งนี้ครับ 

     

                    ระหว่างที่ผมกำลังนั่งตั้งหน้าตั้งตากัดแฮมเบอร์เกอร์ในมืออยู่นั้น ผมก็ฉุกคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม 

    นี่ผมลืมวันเกิดตัวเองงั้นหรอเนี่ย? คิดได้ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาดูวันที่เพื่อความแน่ใจก่อนจะกดดูข้อความเก่าๆ 

    ที่มีคนส่งมาให้ตั้งแต่วันเกิดของผมปีที่แล้ว


     

                    Happy Birthday ยามะจังที่รัก

    ขอให้มีความสุขมากๆ นะ และขอให้รักชั้นคนนี้มากๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ นะ หมูน้อย เอ้ย แมวน้อยของหมา

                    ยูโตะ

     

                    น้ำตาของผมกำลังจะไหลทันทีที่ได้อ่านข้อความนี้ มันเป็นข้อความของแฟนเก่าของผมเอง นากาจิม่า ยูโตะ 

    คนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ในตอนที่คบกันมันมักจะเรียกผมว่าแมวน้อยเพราะว่าผมชอบอ้อนมันมากๆ แถมเอาใจยากเหมือนแมว
     
    ผมเองก็เรียกมันว่าหมาเพราะมันเป็นคนที่กวนเอามากๆ แต่หมอนั่นก็ซื่อสัตย์กับผมเสมอในช่วงแรกๆ ที่คบกัน

     

                    เมื่อวันเกิดปีที่แล้ว ผมยังมียูโตะที่คอยอวยพร คอยให้กำลังใจ แต่ทำไมปีนี้ผมไม่ได้รับเมสเซจเลยสักฉบับ 

    คนรอบข้างไม่ได้พูดถึงวันเกิดของผมเลย ระยะเวลาแค่ปีเดียวเอง ทำไมทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้?

     

                    ยามะจัง? มานานแล้วหรอ? เสียงๆ หนึ่งทำให้ผมรู้สึกตัว 

    ผมรีบเก็บมือถือก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่มายืนตรงหน้าผมเมื่อไรก็ไม่รู้

     

                    ริวโนะสุเกะ? เอ่อ...นายกินอะไรมาหรือยัง? ผมกลืนน้ำลายอย่างกล้ำกลืนก่อนจะถามอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง
    ตามประสาเพื่อนสนิท ริวโนะสุเกะคนนี้ล่ะ เพื่อนสนิทในชั้นเรียนของผม

     

                    ชั้นห่อเบนโตะมาด้วยล่ะ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างพลางชู่ห่อเบนโตะสีเขียวสดใสให้ผมดู 

    ขึ้นห้องกันเถอะยามะจัง ตึกเปิดแล้วนะ 

     

                    ผมพยักหน้าแล้วหิ้วกระเป๋านักเรียนตามริวโนะสุเกะไปอย่างว่าง่าย ห้องเรียนของเราอยู่ที่ชั้นสามกว่าจะเดินขึ้นไปถึง 

    แฮมเบอร์เกอร์ในพุงคงจะย่อยหมดพอดี ผมกับเรียวโนะสุเกะนั่งโต๊ะติดกัน เราสองคนจัดแจงวางกระเป๋าก่อนที่ผม

    จะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเย็นๆ ให้หายเหนื่อย

     

                    ยามะจัง... เสียงเรียกของเพื่อนรักทำให้ผมหันขวับ ผมเห็นริวโนะสุเกะยิ้มให้ผม
    ในขณะที่มือก็แกะห่อผ้าที่คลุมเบนโตะออก

     

                    สุขสันต์วันเกิดนะ... คำพูดของเขาทำให้ผมยิ้มออก ดีจังที่เขาจำวันเกิดผมได้ 
    โทษทีนะ ชั้นไม่รู้จะซื้ออะไรให้นายดีน่ะ
     
     

                    ไม่ต้องมาอ้างเลย ชั้นรู้หรอกน่ะว่านายน่ะ..งกขนาดไหน ผมพูดไปหัวเราะไป 

    มีใครบ้างที่ไม่รู้กิตติศัพท์ของความงกของริวโนะสุเกะผู้นี้ เจ้าตัวก็รู้ดีแถมไม่ชอบให้ใครมาหาว่าตัวเองงกอีกด้วย

     

                    ชั้นเปล่านะ...เขาเรียกว่ารู้จักใช้เงินต่างหากล่ะ ริวโนะสุเกะเถียงหัวชนฝา ผมได้แต่ยืนหัวเราะก่อนจะแหย่

    หมอนั่นด้วยคำพูดต่างๆ นานา เพื่อนในห้องก็ทยอยมาถึงแล้วก็นั่งกินเบนโตะกันอย่างสบายอารมณ์ บางคนก็นั่งลอกการบ้านกันอย่างเมามัน

     

                    จู่ๆ มือถือของผมก็สั่นตอนที่ผมกำลังจะลงไปเตรียมเข้าแถวเพื่อเข้าร่วมการปฐมนิเทศน์ 
    ผมค่อนข้างแปลกใจที่เห็นชื่อของคนที่โทรมา

     

                    ริวทาโร่? 

     
    ยามาดะ นายอยู่บนห้องเรียนหรือเปล่า?
    เสียงอีกฝ่ายถามผม

     

                    อื้ม ทำไมหรอ? 

    อยู่บนห้องนะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ ทันทีที่พูดจบหมอนั่นก็วางสายไป ผมเกาหัวแกรกๆ อย่างงงๆ 
    ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ 

     

                    ยามาดะ.... เสียงๆ หนึ่งทำให้ผมและเพื่อนๆ ในห้องหันขวับไปที่ประตูห้อง ผมเห็นริวทาโร่กับชินทาโร่

    ยืนอยู่ตรงนั้น ในมือของริวทาโร่ถือเค้กช็อกโกแลตขนาดพอดีมือที่จุดเทียนสว่างไสวอยู่ ชินทาโร่เองก็ถือกล่องช็อกโกแลตยี่ห้อโปรดของผมอยู่ด้วย

     

                    “Happy Birthday to you….” ริวทาโร่และชินทาโร่ร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้ผม 

    เพื่อนๆ ในห้องจึงร่วมร้องด้วย ผมรู้สึกตื่นเต้นและค่อนข้างเขิน ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจอเซอร์ไพรส์วันเกิดแบบนี้แล้ว

    ยิ่งเป็นริวทาโร่ที่เป็นคนเซอร์ไพรส์แล้ว ยิ่งตอกย้ำคำร่ำลือของเพื่อนร่วมห้องของผม ที่คิดว่าผมกับริวทาโร่คบกัน 

    นั่นเป็นเพราะผมกับหมอนี่สนิทกันมากในช่วงหลังๆ และหมอนั่นมักจะมากินข้าวเช้ากับผมที่โรงอาหารและมารับผมที่ห้องตอนเย็นทุกวัน ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

     

                    ผมเป่าเทียนนั่นท่ามกลางเสียงเฮของทุกคน ชินทาโร่ยื่นช็อกโกแลตนั่นให้ผม ผมรับมันมาพร้อมกับเค้กช็อกโกแลตจากริวทาโร่

     

                    นึกว่ามีอะไร ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ผมพูดไปขำไป

    โห ยามะเซมไป กว่าจะประคองเค้กขึ้นมาชั้นสามได้มันเหนื่อยนะครับ ชินทาโร่ รุ่นน้องที่อยู่ชั้นม.ต้น 
    น้องชายของริวทาโร่ที่อยู่ไฮสคูลปีหนึ่งบ่นขึ้น

     

                    ขอบคุณมาก เดี๋ยวชั้นต้องรีบเข้าห้องปฐมนิเทศน์แล้ว พวกนายก็ได้เวลาเรียนแล้วนะ 

    อื้ม ไปล่ะ เย็นนี้จะรอที่เดิมนะ ริวทาโร่ทิ้งท้ายก่อนจะลากชินทาโร่วิ่งออกไป ผมรีบหันกลับมายัดเค้กในมือใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะไว้ 
    กะว่าจะเก็บไว้กินระหว่างคาบ โชคดีที่ขนาดเค้กมันพอดีกับขนาดลิ้นชักของผม

     

                      ระหว่างการปฐมนิเทศน์นั้น ผมเหม่อลอยนึกถึงไดกิ รุ่นพี่ที่ผมสนิทมากๆ เสมือนเพื่อนคนนึง 

    ฉับพลันมันก็ทำให้ผมนึกถึงยูโตะด้วยเพราะว่าสองคนนี้อยู่ในวงจั๊มพ์เหมือนกัน ความรู้สึกคิดถึง โหยหาและเจ็บปวดถาโถมเข้ามาทันทีที่ผมนึกถึงยูโตะ
     
    เพราะอดีตของผมกับยูโตะนั้นมีเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์มากมายที่ผมไม่อาจลืมได้เลย





     

                    ชั้นคิดว่านายทำตัวเรียกร้องความสนใจมากเกินไปนะ ยามะจัง เสียงแหลมเล็กของยูริดังขึ้น

    ระหว่างการประชุมวงหลังจากขึ้นไลฟ์ที่รายการโชเนนคลับ ผมมองหน้ายูริอย่างประหลาดใจ

     

                    ชั้นรู้หรอกว่านายน่ะเลิกกับยูโตะแล้ว แต่ว่าอย่ามาทำซึมเศร้าตอนที่อยู่กับวงได้มั้ย? 

    โดยเฉพาะเวลาที่ยูโตะอยู่ด้วย ตอนที่ยูโตะไม่อยู่ นายก็ร่าเริงดีนี่ แล้วพอยูโตะมาทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ?
     

    คนตัวเล็กยังพูดไม่จบ ร่ายยาวเสียจนผมพูดอะไรไม่ออก สายตาทุกคนจับจ้องมาที่ผมกับยูริ

     

                    ผมรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ผมรู้ดีว่าผมทำตัวซึมเศร้าลงไปมาก ไม่สมกับที่ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้า

    ในการคุมวงเรื่องการเต้น ที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลยตั้งแต่เลิกกับยูโตะ ผมรู้สึกเจ็บที่ต้องเห็นหน้าหมอนั่นทุกวัน

    จนผมเลือกที่จะอยู่เงียบๆ แต่นี่ทุกคนคิดว่าผมเรียกร้องความสนใจงั้นหรอกหรอ? 

     

                    นายไปคุยกับยูโตะให้เคลียร์เถอะ ไปเดี๋ยวนี้เลย ยูริบงการ ยูโตะจึงเดินมาลากข้อมือผมไปที่มุมห้อง

    ท่ามกลางสายตาจั๊มพ์ทุกคน ผมรู้สึกอึดอัดมากจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

     

                    ยามะจัง...ชั้นว่าเราก็คุยกันเข้าใจแล้วนะ ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ยูโตะเปิดประเด็น ผมนึกเถียงในใจ

    แต่ไม่กล้าพูดออกไป ผมจำได้ว่าวันที่มันบอกเลิกผมนั้น มันโทรมาหาผมแล้วพูดเชิงประมาณว่าเราเป็นเพื่อนกันได้มั้ย?
     
    แต่น้ำเสียงมันดูเหมือนพูดเล่นเสียจนผมไม่รู้ตัวว่ามันบอกเลิกผมตอนไหน มารู้อีกทีก็ตอนที่ผมโทรหามัน

    แล้วมันทำเสียงรำคาญใส่ผมแล้วสั่งไม่ให้ผมโทรไปหามันอีก แถมมันไม่ได้บอกเหตุผลใดๆ ให้ผมเข้าใจเลยสักนิด

     

                    เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่ ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้เลยนี่นา ยังไงเราก็วงเดียวกันนะ ยูโตะพูดพลางโอบไหล่ผม
     ผมดูท่าทางมันก็พอรู้ว่ามันไม่เต็มใจจะทำแบบนี้แต่เพื่อกลบเกลื่อนสายตาของคนในวงมันคงจำเป็นต้องทำ 
    ผมเองพูดไม่ออกจริงๆ นะ ผมเจ็บปวดที่เลิกกับยูโตะแล้วมาเจอยูริกับคนในวงทำแบบนี้กับผมอีก 
    วันนี้ผมไม่ได้ออกร้องในท่อนตัวเองตั้งหลายท่อนเนื่องจากว่าทุกคนคิดว่าผมเต้นแย่ลงเพราะยูโตะเลยยกท่อนร้องของผมให้อิโนะคุง
    โดยที่ไม่บอกผมสักคำ มาบอกตอนอีกห้านาทีกำลังจะขึ้นแสดง ผมก็เสียความรู้สึกมาพอแล้ว
    ถึงแม้ว่าอิโนะจะมาก้มหัวขอโทษขอโพยผมอยู่ยกใหญ่แถมยูโตะยังมาทำตัวสร้างภาพเหมือนตัวเองไม่ผิด 
    มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้เป็นที่สุด

     

                    โอเค....ชั้นเข้าใจแล้วยูโตะ มันจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมรับคำทั้งๆ ที่ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

    แล้วเดินออกมาทำเป็นเหมือนว่าเราเคลียร์ทุกอย่างเข้าใจกันดีแล้ว การประชุมวงก็ดำเนินต่อโดยที่คนในวงมองผมด้วยสายตาที่แปลกไป

     

                    พอจบการประชุมทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไดกิชวนให้ผมกลับบ้านด้วยกันเพราะว่าบ้านเราสองคนไปทางเดียวกัน 
    แต่ยาบุบอกว่าให้ขึ้นรถตู้ของวงไป โดยจะแบ่งออกเป็นสองคัน แยกกันตามเส้นทางบ้านของสมาชิกในวง 
    โชคดีที่ผมกับยูโตะได้ไปคนละคันกันไม่งั้นผมคงรู้สึกอึดอัดน่าดู

     

                    ด้วยความที่ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลยมาตั้งแต่กลางวันจึงขออนุญาตยาบุคุงที่เตรียมขึ้นโชว์
    ร่วมกับเด็กจอห์นนี่ในช่วงปิดรายการไปทานราเมนแถวๆ สตูดิโอ เพราะผมกับไดกิต้องกลับรถตู้คันเดียวกับยาบุคุง
     ทันทีที่ได้รับอนุญาตผมรีบลากไดกิไปกินราเมนเป็นเพื่อนผม ไดกิซักถามผมเรื่องยูโตะมากพอควร
    เพราะไดกิเป็นคนกลางที่ทำให้ผมกับยูโตะได้เจอกัน ไดกิเองสนิทกับผมมากและเชื่อมั่นในตัวผม
    ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ยูริพูด ผมเองได้ระบายอารมณ์กับไดกิและได้ฟังความคิดของยูโตะที่เจ้าตัวเล่าให้ไดกิฟัง 
    ยิ่งตอกย้ำผมเข้าไปอีกว่าผมน่ะเป็นคนทำให้ยูโตะเปลี่ยนใจไปจากผมเองสินะ

     

                    หลังจากเสร็จทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ขึ้นรถตู้กลับบ้านกับยาบุคุง ไดกิ เคย์โตะ ฮิคารุและยูยะ
     ผมนั่งอยู่เบาะท้ายเพียงคนเดียว ผมจำได้ว่าตลอดทางนั้นน้ำตาของผมไหลไม่หยุด แต่คงไม่มีใครสังเกตเห็น 
    คืนนั้นทั้งคืนผมนั่งร้องไห้ตลอดคืน คิดซ้ำไปซ้ำมาเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดจนผมตัดสินใจโทรไปคุยกับผู้จัดการของจั๊มพ์
    ว่าผมจะทำเรื่องขอออกจากจั๊มพ์ หากทางผู้ใหญ่โกรธมากจะไล่ผมออกจากค่าย ผมก็ยินดีเพราะหากผมต้องทนกดดัน
    และเจ็บปวดอยู่กับจั๊มพ์ ผมคงต้องกลายเป็นตัวปัญหาของวงอีกแน่

     

                    ทันทีที่ผู้ใหญ่อนุมัติ ผมรีบทำเรื่องขอย้ายโรงเรียนทันทีแม้ทางผู้ใหญ่จะไม่ยอมแต่ก็ไม่อาจห้ามผมได้ 
    ลุงจอห์นยอมให้ผมออกจากจั๊มพ์แต่ยังคงอยู่ในสังกัดของค่ายต่อ ในที่สุดผมก็ได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่เซนต์โนะบาระ
    ซึ่งเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งในสังกัดค่าย ผมจึงได้มาเจอกับริวโนะสุเกะ ริวทาโร่และชินทาโร่ 

     

                    และทันทีที่ข่าวการลาออกจากจั๊มพ์ของผมประกาศออกมาอย่างเป็นทางการโดยที่สมาชิกจั๊มพ์
    ไม่มีใครรู้มาก่อนยกเว้นไดกิที่ผมโทรบอกเขาคนแรก ต่างก็โกรธผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงยกเว้นไดกิกับอิโนะคุง
     ผมรู้สึกแย่มากๆ ที่ตัดสินใจจากมาและก็แย่มากที่อยากจะกลับไป สมาชิกจั๊มพ์ไม่ติดต่อกับผมเลย
    ยกเว้นไดกิกับยูโตะ หมอนั่นเคยโทรมาครั้งนึงหลังจากที่มีข่าวการลาออกของผม หมอนั่นสนแค่ว่าผมลาออกเพราะมันหรือไม่ 
    แต่ผมก็ไม่ตอบไปตามตรงนักหรอก ถึงแม้ผมจะรู้สึกดีที่ไม่ต้องเจอยูโตะอีก แต่ผมก็เจ็บปวดกับการตัดสินใจครั้งนี้มากจนถึงทุกวันนี้

     

                    ยามะจัง นายโอเคมั้ย? ริวโนะสุเกะถามผมเมื่อเห็นว่าผมหายใจไม่ออก มือกุมหน้าอกไว้แน่น 
    ลมหายใจถี่รัวราวกับขาดอากาศ ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้อาการนี้จะเกิดขึ้นเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะผมเครียดมากเกินไปละมั้ง

     

                    ชั้นโอเค....ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมปฏิเสธก่อนพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อระงับอาการ 
    ผมนึกเกลียดร่างกายตัวเองที่ไวต่อความทรงจำเรื่องนี้ เพียงแค่นึกถึงร่างกายก็แสดงอาการออกมาซะแล้ว 
    นี่ก็หนึ่งปีผ่านไปแล้ว.....มันก็ยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของผมสักที

     

    ..................................
    จะชอบกันมั้ยเนี่ย? แอบหวั่นๆ แฮะ
    ชอบไม่ชอบตรงไหนท้วงได้เลยนะจ้ะ
    มีใครงงมั้ยน่ะ????

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×