ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หยุดน่ารักได้ไหมครับพ่อ ก่อนที่ผมจะอดใจไม่ไหว! (ไม่ใช่Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น..... ของเล่นนี่นา!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 256
      3
      1 พ.ค. 58

    หมายเหตุ : เนื่องจากผู้แต่งไมได้เก่งภาษาอังกฤษมาก ดังนั้น จะใช้ตัวเอียง(ไม่รวมหนา) เพื่อเป็นการบ่งบอกว่า ตัวละครนั้นๆ กำลังพูดภาษาอังกฤษอยู่นะครับ

    หมายเหตุ 2 : ผู้แต่งขออนุญาต ใช้ "ชั้น" แทน "ฉัน" เพื่อให้ตรงตามเสียง มากกว่านะครับ

     

    ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น..... ของเล่นนี่นา!

     

    ======ครื้น!!!!!

                    เสียงของไฟที่กำลังโหมกระหน่ำลุกโชนกำลังเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างทั่วทั้งบ้านพัก ท่ามกลางสายตา ของผู้คนมากมายที่รุมดูต่างกระวนกระวายใจ กับเพลิงไหม้ที่ได้เกิดขึ้น

                    เสียงโหวกเหวกโวยวายรุมเร้า รถดับเพลิงที่เพิ่งจะมาถึง น้ำที่เพิ่งจะฉีดเข้าไปที่นั่น

                    "พ่อฮะ!! พ่อ!!! ฮื้ออ พ่อ!!! พ่อฮะ!! ปล่อยผมนะ ผมจะเข้าไปช่วยพ่อ!! พ่อฮะ!! ฮื้อ พ่อ!!"

                    เด็กชายคนหนึ่งที่พยายามจะฝ่าวงล้อมของผู้คนเข้าไปช่วยพ่อของเขาด้วยความหวังว่าพ่อของเขาจะปลอดภัย แต่ผู้คนต่างก็ได้แต่รั้งตัวของเขาเอาไว้

                    เขาดิ้นพยายามจะทำให้หลุด ในไม่ช้าเขาก็หลุดได้สำเร็จ

                    "พ่อ! ผมจะไปช่วย อ้ะ!!" เขาเอ่ยด้วยเสียงมุ่งมั่น แต่แล้วก็ต้องหยุด ด้วยความตกใจ

                    ฟุบ!

                    แต่แล้วทุกๆอย่างก็เงียบลงไปทุกสิ่งทุกอย่างรอบร่างกายเด็กชายกลับกลายแปลเปลี่ยนเป็นเพียงความมืดและกลิ่นอายของสิ่งที่ไหม้เกรียม พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังออกมาจากด้านหลัง

                    เด็กชายคนนั้นชะงักค้างกับความน่ากลัวรอบด้าน

                    แกรก ... แกรก ... แกรก ... เสียงฝีเท้าที่เดินบ่งบอกได้ถึงความไม่ปกติ กับเสียงการขยับที่ดูสั่น สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังสะท้อนไม่หยุดตลอดเวลา

                    "ฮึก อึก" เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งความเสียวใจ และความกลัวทำให้ไม่กล้าหันไปทางต้นเสียงฝีเท้า

                    แต่แล้ว เสียบฝีเท้านั้นกลับเอ่ย ด้วยเสียงที่เด็กชายคุ้นเคย

                    "เล่น ... ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่เป็นไร" เสียงของชายโทนสูงแฝงไปด้วยความอบอุ่นและจริงใจ

                    เสียงที่คุ้นเคยสำหรับเด็กชายคือเสียงของคนที่เขาปรารถนาอยากจะให้เจ้าของเสียงปลอดภัย มันสร้างความหวังทำให้ความกลัวของเด็กชายหายวับไปในชั่วขณะจิต

                    "พ่อฮะ!"

                    เด็กชายเอ่ยด้วยความยินดี พร้อมหันหลังกลับไปมองทางต้นเสียง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา หวังที่จะได้เห็นใบหน้าของพ่อของเขา

                    "!!!!!!!" เด็กชายดวงตาเบิกโพลงทันที เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นไม่ใช่พ่อ แต่กลับกลายเป็นซากโครงกระดูกที่โดนเผาไหม้จนเกรียมไหม้ไร้ซึ่งเนื้อหนังห่อหุ้ม กำลังยกมือมาทางเขา พร้อมกับเสียงที่อบอุ่นเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงอันโหยหวนดังขึ้น

                    "เล่น เข้มแข็งนะ เล่น ~~"

                    แม้คำพูดนั้นจะเป็นคำพูดให้กำลังใจ แต่สำหรับเด็กชายนั้นมันไม่ใช่ เสียง ภาพ ความรู้สึก ที่บ่อนทำลายจิตใจดวงเล็กๆ ได้กระชากความหวังทั้งหมดจากเด็กชายไป แปลเปลี่ยนเป็นความกลัว

                    "มะ ม่ายยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!"

                    เขากรีดร้องเสียงดังอย่างสุดขีด กับการเจอผีโครงกระดูกไหม้เกรียมหลอกหลอนเขาต่อหน้าต่อตา และมันก็เป็นภาพน่ากลัวที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาจะเคยเห็นมา ==================================

                    ฟุบ!!!

                    "เฮือก!! อึก บ้าจริง ... ฝันบ้านั่นอีกแล้วงั้นเหรอ"

                    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามดึก หายใจหอบเหงื่อแตกซึมไปทั่วร่างกายราวกับวิ่งออกกำลังกายมาหลายกิโล

                    ระหว่างหันไปมองดูนาฬิกาข้างเตียงที่บอกเวลาตีสี่ครึ่งแล้ว คงต้องเรียกตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสางแทนแล้วสินะ เพราะความฝันบ้าๆนั่น คอยมากวนใจสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแท้ๆ เล่นเอานอนแทบไม่พอเลย แถมพอเอนตัวลงไปจะนอน

                    --- "เล่น เข้มแข็งนะ เล่น ~~" ---

                    "....." ภาพโครงกระดูกที่น่ากลัวนั่น ก็ตามมาหลอกหลอนอีก ถึงมันจะไม่ได้น่ากลัวเท่ากับพวกปีศาจหรือผีในหนัง แต่มันกลับสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้ใจผมมากกว่าโข

                    "นอนไม่หลับเว้ย!" ผมข่มตาหลับต่อไปได้ราวยี่สิบนาทีสุดท้ายผมก็ต้องดันตัวลุกขึ้นออกจากเตียงเพื่อหาอะไรอย่างอื่นทำแทน

                    "เพิ่งทำงานกลับมาบ้านตีสองแท้ๆ เล่นเอานอนไม่หลับเลยเว้ย" ผมบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ ระหว่างถอดเสื้อผ้าออกเพื่อเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย พลางเหลือบมองไปที่ รูปภาพ ของผมกับพ่อ ของดูต่างหน้าที่ยังเหลืออยู่ ผมจ้องมองมันนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น

                    "จะว่าไป วันนี้มันก็สิบปีพอดีแล้วสินะ" ผมเอ่ยออกมาอย่างใจลอยกับเรื่องที่ไม่น่าจดจำ หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้นทรัพย์สมบัติ บริษัทและธุรกิจของพ่อ ก็... ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแฮะ

                    ยังไงตอนนี้ ผมก็สามารถออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มายืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วเป้าหมายต่อไปของผม ก็คือการเรียนให้จบในระดับสูงและได้เข้าทำงานในบริษัทที่ควรจะเป็นของพ่อ พร้อมกับใช้ความสามารถของผมยึดบริษัทกลับคืนมาให้จงได้ เข้าใจใช่ไหมครับพ่อ สิ่งที่ผมอยากจะบอกพ่อ ก็คือ

                    "เลิกตามหลอกหลอนผมด้วยคำพูดให้กำลังใจแล้วไปผุดไปเกิดสักที! ผมเข้มแข็งพออยู่แล้วครับ"

                    ผมเอ่ยบ้าๆบอๆกับรูปภาพนั่นออกไป เพื่อปัดเป่าภาพหลอนๆ ที่ยังค้างคาในหัวของตนเอง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

                    ไหนๆก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว ไปนั่งที่โรงเรียนแต่เช้าแล้วเตรียมตัวอ่านหนังสือสำหรับการสอบวันสุดท้ายเลยก็แล้วกัน

                    หวังว่าข้อสอบวันนี้ มันจะออกตามที่ผมอ่านเตรียมเอาไว้

    <<<<>>>> 

     

    เวลา 4.48 . ณ ลานจอดเครื่องบินที่มีพื้นที่ใหญ่สุดลูกหูลูกตา

                    ฟิ้ว~

                    เสียงของเครื่องบินลำหรู ระดับ First Class ที่บินตรงมาจากต่างประเทศเพิ่งแล่นลงจอด ณ ท่าอากาศยานสนามบินนานาชาติสุวรรณหงส์

                    ในเวลาไม่นานมากนักประตูเครื่องบินก็เชื่อมต่อเข้ากับทางเดินพิเศษตรงไปจนถึงจุดบริการรถรับส่งถึงที่หมายภายในตัวเมืองและเขตปริมณฑลสุดหรูพิเศษสำหรับผู้ใช้ First Class ในสายการบินนี้

     

    ภายในเครื่องบินลำดังกล่าว ซึ่งมีเพียง 50 ที่นั่ง แต่ละที่นั่งกว้างขวางพอให้นอนและนั่งทานอาหารคอสหรูดูทีสีได้อย่างสะดวก สบาย พร้อมการตกแต่งอันดูหรูหราไฮคราส

                    "ขณะนี้ เครื่องบินได้เทียบท่า ก่อนกำหนดสิบสองนาที ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณหงส์แล้วค่ะ โดยในขณะนี้รถยนต์รับส่งทั้งสิบเจ็ดคันตามจำนวนผู้ที่แจ้งความประสงค์จะใช้บริการรถของทางเรา ได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ" เสียงของแอร์โฮสเตสสาวแสนสวย ประจำเครื่องฝั่งด้านหน้า ได้กล่าวขึ้นหลังจากการตระเตรียมทุกอย่างสำหรับผู้โดยสารพร้อม

                    เหล่าผู้โดยสารได้ยินเช่นนั้น ต่างก็จัดกระเป๋า ข้าวของของพวกเขาเพื่อเตรียมตัว

                    เมื่อแอร์โฮสเตสได้สังเกตเห็นแล้วว่าผู้โดยสารต่างเตรียมตัวใกล้เสร็จ เธอก็รีบกล่าวประโยคปิดท้ายทันที

                    "ขอให้ท่านผู้มีอุปการคุณโปรดตรวจดูสิ่งของและสัมภาระที่นำขึ้นมาบนเครื่องบินของท่านก่อนออกจากที่นั่งค่ะ และสุดท้ายนี้หวังว่าท่านจะพอใจกับบริการจากสายการบินโมเอะโมเอะคิ้วแอร์ของเรา แล้วพบกันใหม่ ในโอกาสหน้า สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ... อะ" ในช่วงที่พูดจบพอดีนั้นเองเธอก็ได้สังเกตเห็นผู้โดยสารตัวเล็กคนหนึ่ง ที่ไม่น่าจะมาคนเดียวได้ ไร้ซึ่งสัมภาระขนาดใหญ่ใดๆติดตัวเธอมาด้วยเลยนอกจากกระเป๋าเป้สะพายข้างสำหรับเด็กลายหุ่นยนต์แมวสีฟ้าแสนน่ารัก 1 ใบกำลังเดินตรงดิ่งนำหน้าใครๆมาที่ทางออกด้านหน้า

                    แอร์โฮสเตสสาวที่ยังไม่เห็นผู้โดยสารคนอื่นๆ เคลื่อนไหวหรือเดินออกมาจึงค่อยๆ ย่อตัวลงพูดคุยด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดูกับผู้โดยสารตัวน้อย

                    "ไม่รอคุณพ่อคุณแม่ก่อนหรือจ้ะ?"

                    รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผู้โดยสารตัวน้อย พลางเอามือทาบที่อกขนาดใหญ่จนเสื้อยืดรัดรูปสำหรับเด็กผู้หญิงแทบปริออกมา พร้อมเอ่ยตอบออกไปด้วยเสียงเล็กๆแต่โทนสูง

                    "เรามาคนเดียวหน่ะ"

                    "ตายจริง มาคนเดียวเหรอ เก่งจังเลย! แล้วมีคนมารับหรือเปล่าจ้ะ?" เธอยิ้มรับ แต่สายตาเธอนั้นก็มีเหลือบไปมองหน้าอกของเด็กสาวบ้าง .... ความพ่ายแพ้ ?

                    "เปล่าหน่ะ เราให้รถที่นี่ไปส่ง" ผู้โดยสารตัวน้อยส่ายหัวตอบเบาๆ พลางปล่อยมือลง

                    "อ๋อ พอจะรู้จุดหมายหรือสถานที่ที่จะไปแล้วใช่ไหมจ้ะ ถ้ายังสงสัยตรงไหน ถามพนักงานคนขับรถ ที่พาหนูไปได้เลยนะจ้ะ"

                    "อื้ม!" ผู้โดยสารตัวน้อย พยักหน้ารับแล้วเอียงคอตอบต่อทันที "คิดว่ารู้นะ ก็เราเคยอยู่ที่นี่ มาตั้งเกือบยี่สิบห้าปีนี่นา"

                    ".... อะ เอ่อ เหรอจ้ะ ยี่สิบห้าปีเลยเนอะ" แอร์โฮสเตสสาวมึนงงไปชั่วขณะยิ้มแหยๆรับระหว่างยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มทยอยมากันแล้ว "งั้น ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะจ้ะ"

                    "อื้ม!"

                    ผู้โดยสารตัวน้อยพยักหน้ารับ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้แอร์โฮสเตสที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อ พึมพำอยู่ในหัวตนเองคนเดียว

                    'เด็กฝรั่งนี่ ชอบเล่นมุขเป็นคนแก่สินะ'

     

    บนรถแวนโดยสารส่วนบุคคลขนาดครอบครัวหมายเลข 3 ที่ติดโลโก้ ของสายการบิน โมเอะโมเอะคิ้วแอร์

                    บรื้น~

                    รถยนต์นั้นแล่นผ่านเขตต่างๆ ไปตามทางแยกและเส้นทางเดินรถที่คดเคี้ยว ราวกับไม่ได้วางแผนผังเมืองมาให้ดี แถมยังก่อเกิดรถติดเป็นช่วงๆ แม้ว่าขณะนี้ จะเพิ่งเวลาตีห้ากว่าๆก็ตาม แล้วก็มาหยุดสนิท เมื่อเริ่มเข้าช่วงใจกลางเมือง

                    พนักงานขับรถหนุ่มเมื่อเห็นรถติด เขาก็เหลือบตามองไปทางผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่นั่งข้างๆเขา ซึ่งเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก...ยกเว้นหน้าอก ผมสีทองอ่อนยาวสลวยประคอ กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถอยู่ เห็นแล้วเขาก็อดชวนคุยไม่ได้

                    "คุณหนูนี่เก่งจังเลยนะครับ เดินทางได้ด้วยตัวเองแบบนี้"

                    "อืม" เด็กสาวตอบรับเสียงนิ่งเรียบ เหมือนเธอกำลังลำลึกเรื่องราว หรือกำลังเศร้าอะไรบางอย่างอยู่

                    พนักงานขับรถที่เห็นแบบนั้น จึงต้องเพิ่มหัวข้อการสนทนาเพื่อให้เด็กสาวคึกคักมากขึ้น

                    "ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลยนะครับ ทั้งสวนสัตว์ในเมือง และสวนสนุก"

                    "อื้อ เรารู้อยู่แล้วหละ ที่นี่มีสถานที่สวยงามเยอะแยะเต็มไปหมดเลย" เด็กสาวพยักหน้ารับระหว่างที่สายตาเธอเริ่มจับจ้องไปที่ตึกของบริษัทขนาดใหญ่หลากหลายตึกทั่วเมือง จนกระทั่งสายตาเธอหันไปเพ่งเล็งที่ตึกสูงใหญ่ดูหรูหรา สีโทนเทาน้ำตาลติดตราสัญลักษณ์บริษัท PC เธอหรี่สายตาลงเล็กน้อย จ้องมองตึกนั้นอย่างไม่ละสายตา

                    "ครับ ถ้าคุณหนูสนใจอะไรเป็นพิเศษถามผมได้เลยนะครับ เผื่อผมจะแนะนำได้"

                    เมื่อเห็นว่าเด็กสาวตอบแบบนั้น พนักงานขับรถจึงเริ่มคำถามปลายเปิดเพื่อจะได้เป็นหัวข้อสนทนาต่อไปทันที

                    "เน่.. ตึกนั่น..." เด็กสาวเอ่ยแล้วใช้มือซ้ายยกขึ้นชี้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงไปยังตึกที่เธอเล็งไว้

                    "ครับ?" ชายหนุ่มคนขับรถตอบรับ

                    เหมือนผู้โดยสารตัวน้อยจะตามประเด็นที่เขาชักนำทำให้เขา ค่อยๆ เขยื้อนกายเข้าไปใกล้กับเด็กสาวเล็กน้อยเพื่อจ้องมองตามที่เด็กสาวชี้

                    "ตึกนั่นเปลี่ยนสีอย่างงั้นเหรอ แล้วเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"

                    เด็กสาวยิงคำถามที่พนักงานขับรถหนุ่มได้ยินต้องตอบลำบากไม่น้อย เขาไม่แน่ใจว่ามันเปลี่ยนสีจากในหนังสือที่เธอเคยอ่านตามแหล่งท่องเที่ยว หรือยังไง แล้วไหงคำถามของเด็กต่างชาติถึงได้ถามในสิ่งที่ดูไม่สะดุดตา ของบริษัทการอาหารและโรงแรมชั้นนำอย่างบริษัท PC ได้

                    "อืม~~" พนักงานขับรถทำเป็นนึกออกเสียงสูงเล่นกับเด็กสาว ก่อนจะตอบออกไป "เท่าที่ผมจำได้ ตึกนั่นก็เป็นสีนี้มาตั้งนานแล้วนะครับคุณหนู"

                    เด็กสาวนิ่งเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ

                    "สนใจอะไรอีกไหมครับ ถามมาได้นะ" เมื่อเห็นเงียบ พนักงานขับรถก็ชวนคุยต่อ ระหว่างหันกลับไปเขยื้อนรถไปข้างหน้าได้เพียงเล็กน้อยก็ติดแหงกต่อ

                    "แต่ว่าเมื่อสิบปีก่อน มันเคยเป็นสีเขียวอ่อนทั้งตึกยกเว้นขอบตึกที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน เหมือนต้นไม้ที่กำลังเติบโต ไม่ใช่เหรอ ?"

                     "...." พนักงานขับรถที่โดนถามมาต่อก็ไปต่อไม่เป็น เขาไม่รู้จะตอบเด็กยังไงดี เขาจึงตอบออกไปตามตรงแทน "ฮ่ะๆ ผมก็เพิ่งมาทำงานที่ตัวเมืองได้แค่ สี่ถึงห้าปีเอง คงจะไม่เคยเห็นตึกมันเปลี่ยนสีหรอกครับ"

                    เด็กสาวเงียบไปอีกครั้ง แถมครั้งนี้ยิ่งเงียบนิ่งกว่าตอนแรกเป็นเท่าตัว เหมือนเริ่มมีบรรยากาศมาคุแทรกไปทั่วทุกแห่งบนรถ ทำให้พนักงานขับรถต้องเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุยแทน

                    "แล้วนี่ ครอบครัวของคุณหนูเดินทางมาก่อน แล้วให้คุณหนูตามมาอีกทีเหรอครับ"

                    "เปล่า ครอบครัวเราอยู่ที่นี่อยู่แล้ว" เด็กสาวตอบอีกครั้ง แถมเสียงของเธอยังออกน่ารักสดใสโทนสูงขึ้น เหมือนเธอจะสนใจในหัวข้อสนทนานี้มาก

                    "ฮ่ะๆ แบบนี้เอง คงจะคิดถึงพวกเขามากๆเลยนะครับ" พนักงานขับรถรีบเสริมทันทีเมื่อเห็นว่าสร้างแรงจูงใจให้เด็กได้

                    "อื้ม!!!" เด็กสาวตอบรับ

                    ด้วยคำพูดของพนักงานขับรถประโยคนั้นทำให้เธอหันหน้ากลับมามองเขาอย่างรวดเร็ว ด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายแสนสดใส ทำให้เขาแทบละสายตาจากดวงตาคู่นั้นไม่ได้เลย

                     "คิดถึงมากสุดๆเลยหละ ลูกชายของเราหน่ะ!!!"

                    "..." พนักงานขับรถจ้องดวงตาเด็กสาวนิ่ง พร้อมติดสถานะมึนงงไปหลายวินาทีกับคำตอบของเธอ แล้วหันกลับไปขับรถต่อ ระหว่างโดนเด็กสาวชวนคุยจนทำให้เขาได้แต่คิดในใจ 'เด็กฝรั่งคนนี้นี่ จะเรียกว่าจินตนาการสูงเกินเด็ก หรือแก่แดด ดีฟระ'

    <<<<>>>> 

     

    เวลา 15.45 น. ภายในห้องสอบ 213 ของโรงเรียนมัธยมดำรงวิทยา  

                    "เหลือเวลาอีกสิบห้านาที จะหมดเวลาสอบ" เสียงของอาจารย์วัย 30 ปีดังขึ้น ภายในห้องสอบที่เคยเงียบสะงัด ทำให้เกิดรังสีแห่งความกระตือรือร้นในการเร่งกาไม่ก็เร่งเดา ของเหล่านักเรียน ม.5 เทอม 2 กว่าครึ่งจาก 40 ชีวิตที่ยังทำข้อสอบไม่เสร็จกระจายไปทั่วทั้งห้อง

                    ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเร่งแบบนั้น เพราะเพิ่งทำไปได้แค่ 40 ข้อจากทั้งหมด 80 ข้อเท่านั้น พอยิ่งเร่ง ก็ยิ่งมึน ตาเริ่มลายแปลกๆ แถมปวดหัวตุบๆอีกต่างหาก ถึงรอบนี้อยากจะทำให้ได้เยอะๆเพื่อที่คะแนนจะได้ไม่ลงไปแตะเส้นอันตรายก็เถอะ

                    ไม่ไหวแฮะ ตัวเราเอง ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านหนังสือเท่าไหร่ กว่าจะมาอ่านก็ช่วงเช้าก่อนสอบแบบนี้คงทำได้แค่นี้หละมั้ง

                    "เหลือเวลาอีกสามนาทีเตรียมเอาข้อสอบมาส่งครูได้แล้วค่ะ" เสียงสวรรค์ จากอาจารย์ดังขึ้นมาอีก

                    เหลือ 3 นาทีงั้นเรอะ! ไวชะมัด ยังทำเพิ่มจากเมื่อกี้ไม่ถึง 5 ข้อเลยเห้ย! ไม่ต้องคิดกันละ!

                    "วางปากกา เอาข้อสอบมาส่งแล้วออกจากห้องสอบได้ ขอให้ได้คะแนนเยอะๆกันทุกคนนะ"

                    และนั่นก็คือเสียงสุดท้ายจากอาจารย์คุมสอบที่ดังขึ้นพร้อมกับความสิ้นหวังของผมที่เพิ่งกาข้อสุดท้ายเสร็จด้วยการเดามั่วล้วนๆ

                    'ตัดใจได้เลย' ผมพึมพำเบาๆระหว่างหยิบกระเป๋ามาสะพายลุกออกจากโต๊ะพร้อมกระดาษข้อสอบไปวางไว้ที่โต๊ะอาจารย์ สวัสดีอาจารย์สวยๆ แล้วเดินออกจากห้องเรียน

                    "ข้อสอบไม่ยากเลยเนอะ"

                    "นั่นสิ ค่อยยังชั่วหน่อยที่อ่านตรงนั้นเอาไว้"

                    "แต่ชั้นไม่ไหวจริงๆนะ ตอบไม่ได้เลย"

                    "แหม ก็ไม่ยอมอ่านหนังสือเองนี่"

                    "นี่ๆ ไปหาอะไรกินฉลองกันมั้ย"

                    "นั่นสิไปกันทั้งห้องเลยไหมหละ"

                    "ร้านหมูกระทะจรวด ใกล้โรงเรียนไหมหละเธอ"

                    "ร้านนั้นมีกุ้งเผาด้วยนี่"

                    "ว้าย ไปๆ ไปกันๆ"

                    "พวกผู้ชายจะไปด้วยกันมั้ย"

                    "ไปด้วยๆ!"

                    "ไปด้วยสิ ไม่พลาดอยู่แล้ว!"

                    เสียงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติเขาเหล่าเพื่อนร่วมห้อง ที่เครียดมาตลอดสัปดาห์ หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ พวกเขาก็คงจะได้ปลดปล่อยและผ่อนคลายกันอย่างเต็มที่ตลอดช่วงสัปดาห์หน้าทั้งสัปดาห์ รวม 10 วันเต็ม ของวันปิดเทอมสั้น

                    "นี่แหละน้า ชีวิตวัยรุ่น" ผมอดไม่ได้ทันที ที่จะบ่นออกมาราวกับตาแก่อายุ 50 ปีขึ้นไป เพียงเพราะว่าผมไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะไปแบบเพื่อนๆเท่าไหร่นัก ... ไม่สิก็ดันไปสร้างวีรกรรมไม่ค่อยดีกับเพื่อนๆไว้ด้วย จะเรียกไม่ถูกกับใครเลยน่าจะดีกว่า มีใครชวนเราไปก็แปลกหละ

                    "นี่จะชวนเล่นไปด้วยไหม"

                    "ไม่เอาน่า มันไม่ไปหรอก"

                    "ชวนทีไรก็เห็นบอก ไม่ว่าง ยุ่ง ทุกทีนี่"

                    "วันนี้ก็เหมือนเดิมหละม้างงงงงง"

                    "... แต่ว่า"

                    "ถ้ามันไม่อ้างเรื่องเงินก็อ้างเรื่องงานแหละฝน"

                    "ปะๆ ไปกันเหอะ!"

                    "ลุยกันๆ"

                    "เคๆ"

                    "ทุกๆคน ไปร้านหมูกระทะจรวดโลด ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าให้เต็มที่"

                    "โอ้ว!!"

                    นั่นไงหละเสียงแว่วๆ ของการสรุปแบบไม่ต้องการคำตอบนั่น ก็บ่งชี้อยู่แล้ว

                    ผมยิ้มเล็กๆ แล้วเดินออกจากจุดนั้นไปอีกทางเพื่อออกจากโรงเรียนโดยไม่ได้หันไปมองพวกเขา

                   

    เวลา 16.24 . บนรถเมล์ไม่ปรับอากาศที่แน่นเไปด้วยผู้คนสาย 5500 บนถนนสายรองมุ่งหน้าจากเขตนอกตัวเมืองเข้าไปสู่ตัวเมือง

                    บรื้น~~

                    ผมกำลังยืนห้อยโหนบนรถเมล์ที่กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่เป็นจุดแห่งความทรงจำของผม น่ายินดีที่เส้นทางขาไปวันนี้รถไม่ติดหนักอะไรทำให้น่าจะไปถึงในเวลาแค่ 20-30 นาที ยังพอมีเวลานั่งรถขากลับอยู่บ้างนั่นแหละ

                    เรื่องชวนไปกินอะไรกันกับเพื่อนฝูงก็อยากไปอยู่หรอก แต่มันก็เปลืองเงินจริงๆ แล้วยังไงวันนี้ก็ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารตอนหกโมงเย็นอยู่ดีอย่างที่พวกเขาแขวะ ไม่มีเวลาจะไปกินอะไรด้วยกับเพื่อนๆหรอก

                    "อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนอะแก"

                    "อื้ม ได้เที่ยวเต็มที่สักทีเนอะ"

                    "ไปดูหนังด้วยเลยมั้ย"

                    "ไปๆ"

                    "เอาเรื่องนั้นเลย แดนโสมโลมรัก"

                    พวกสาวๆนักเรียนโรงเรียนอื่นต่างก็คุยกันอย่างสนุกสนานบนรถใกล้ๆกับผมดูพวกเขามีสังคมกันแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ นี่เราไม่มีเพื่อนเลยสินะ หรือบางทีผมอาจจะอัธยาศัย ไม่ได้เรื่องจริงๆ

                    จะว่าไปเมื่อกี้เราก็ใช้อารมณ์ไปหน่อย เล่นเดินโพล่งออกไปจากจุดสนทนาดื้อๆแบบนั้น เรียกว่าไม่คิดอะไรเลยก็หลอกตัวเองเกินไป พอมานึกๆดูแล้วก็มีคนอยากชวนเราไปเหมือนกันนี่นะ แต่ดันไม่ได้มองหน้าซะได้ ใครหว่าเสียงผู้หญิงสินะ ชื่อเพื่อนบางคนก็ยังจำไม่ได้เลยด้วย

                    'ช่างมันเหอะ' ผมได้แต่พึมพำออกมา แล้วหลับตาลงพักสายตาในท่าโหนรถเมล์อยู่แบบนั้น

                   

    เวลา 16.46 . ณ หมู่บ้านมั่งมีเศรษฐกิจ เขตใกล้ตัวเมือง

                    ผมเดินตรงเข้าไปภายในหมู่บ้านขนาดกลาง ที่มีเหล่าคนมีอันจะกินอาศัยอยู่ บ้านแต่ละหลังถูกสร้างอย่างสวยงามตามฐานะของผู้อยู่ ตัวผมเองคงไม่ค่อยเหมาะกับที่นี่เท่าไหร่นัก ถ้าไม่ได้จะเอาพวงมาลัยมาไหว้สถานที่แห่งนี้

                    ผมตรงเข้าไปจนกลางหมู่บ้าน ถัดจากบ้านที่โอ่อ่าไปได้เล็กน้อย ก็พบกับ ...รั้วบ้านหลังที่ผมรู้จักดี เพียงแต่มันมีแค่รั้วและประตูเหล็กที่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา ภายในมีซากปรักหักพังรกร้างเต็มไปด้วยหญ้าเถาวัลย์รากไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมด ตามประสาพื้นที่ ที่ไม่มีใครดูแล

                    "เมื่อเช้านี้ มาเข้าฝันทวงหรือเปล่าครับ ผมไม่ลืมซื้อมาให้หรอก ของโปรดพ่อเลยนะ" ผมเอ่ยออกมาพลางเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาพวงมาลัย พร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ รสดั้งเดิมของ PC ออกมาระหว่างเดินตรงปรี่เข้าไปที่รั้วบ้าน เพื่อที่จะวางทั้งสองสิ่งลงไว้ตรงนั้น

                    "อะ!" แต่แล้วตัวผมก็ต้องหยุดชะงักลง พร้อมกับสายตาที่จดจ้องไปยัง ช่อดอกไม้สวยงามที่เพิ่งเริ่มเหี่ยวได้ไม่นานโดนวางเอาไว้ก่อนแล้วน่าเสียดายที่ผมไม่รู้จักว่าดอกสีขาวพวกนี้เรียกว่าดอกอะไร

                    ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ไม่เห็นจะมีใครเอาดอกไม้หรืออะไรมาวางไว้เลยแท้ๆ

                    จะดีใจดีไหมนะ ที่มีคนรำลึกเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนได้เหมือนกับผม อาจจะเป็นพนักงานเก่าในบริษัทพ่อ ที่ยังพอจะจำได้ว่าอดีตหัวหน้าของพวกเขาคือใครก็ได้หละมั้ง

                    ผมวางพวงมาลัยไว้ข้างๆช่อดอกไม้ พร้อมวางแฮมเบอร์เกอร์ที่แกะซองออกแล้วไว้ด้านบนพวงมาลัย พนมมือไหว้โดยไม่ได้อธิษฐานอะไรเลย ก่อนจะลุกขึ้นเดินจากมา เพราะไม่มีเวลาอาลัยอาวรณ์กับเรื่องเก่าๆมากนัก นอกจากต้องเร่งไปทำงานต่อ

     

    ภัตตาคารภายในโรงแรมเขตย่านการค้าใหญ่รอบเมือง

                    "ถ้ายังมาสายอีกรอบ ผมไล่คุณออกแน่"

                    "ทำงานให้มันได้เรื่องหน่อยได้มั้ยคะ!"

                    "เอ้าๆ ทำอะไรของแกวะ ชักช้าจริง"

                    "เกะกะ หลบทางไปเลยไป"

                    "ตายแล้ว นี่เสิร์ฟอาหารยังไงของแกเนี่ย .. ไปเรียกผู้จัดการมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"

                    "ไม่ได้เรื่อง! ทำไมคุณถึงได้ทำงานได้แย่อย่างงี้ เห็นไหม ลูกค้าเขาด่ามา ภัตตาคารอาหารเราเสียหมด!"

                    "ก็อย่างว่าหละนะ โตมาจากที่ไหน ก็ทำได้แค่ที่นั่นแหละ"

                    "ใครใช้ให้จ้างเด็กที่ออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กมีปัญหามาทำงานหละ"

                    "มันเรียกเงินแค่ 7500 นี่ ..."

                    "เอ้านั่น ทำจานแตกอีกแล้วเหรอ!"

                    "สวะ จริงๆ เจ้าเด็กเหลือขอเอ้ย"

                    "ไปๆ ไปทางอื่น อย่ามายุ่งทางนี้"

                    "แล้วไม่ใส่หน้าที่หลักให้มันทำงานอะไรสักอย่างไปหละ"

                    "ก็ไม่มีใครอยากเอามันมาเป็นลูกน้องนี่"

                    เสียงด่าทอว่ากล่าวดังมาไม่ขาดสาย ก็ยอมรับเรื่องมาสายอยู่หรอก แต่บางอย่างผมไม่ได้ทำเลยแท้ๆ ผมไม่มั่นใจว่ากริยามารยาทหรือคำพูดผมมันไปทำให้พวกเขาไม่ชอบหน้าหรือป่าวถึงได้เป็นแบบนี้

                    บางทีก็ท้อเหมือนกัน แต่เพราะต้องทำงานสะสมเวลาให้มีประสบการณ์งานอาหารในโรงแรมเพื่อต่อยอดเป้าหมายที่ผมหวังไว้หลังจากนี้ สุดท้าย ผมก็ต้องก้มหน้ายอมรับสิ่งเหล่านั้นไป และเอ่ยประโยคคลาสสิค ออกมา

                    "ขอโทษครับ จะปรับปรุงตัวใหม่ครับ ขอความกรุณาด้วยครับ"

     

    เวลา 02.20 . หน้าหอพักราคาถูกขนาดกลางที่มี 5 ชั้น ชั้นละ 10 ห้อง ชื่อหอว่า หอพักร้อยล้าน

                    ผมเดินขึ้นบันใดหอมาชั้น 5 อย่างอิดโรย บางครั้งผมก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยู่เหมือนกัน กับชีวิตแบบนี้ รู้สึกอ้างว้าง อยากจะได้เพื่อน อยากจะได้สังคม ที่ไม่ดูถูกผม อยากจะได้คนเข้าใจ และความอบอุ่น

                    บางทีผมน่าจะเรียนให้จบ หันหน้าหนีไปจากจุดนี้ แล้วหางานง่ายๆ สบายๆทำ หาหนทางอื่นที่ไม่ใช่การทวงสิ่งที่ผมควรจะได้และเสียไปกลับคืนมา ด้วยความคิดที่จะเริ่มต้นจากการต่อสู้เชิงรูปธรรมแต่กลับห่างชั้นจนคว้าไม่ถึง

                    "ท้อแฮะ" ผมบ่นออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก หลังจากขึ้นบันไดจนถึงชั้น 5 เลี้ยวไปที่ห้องริมสุดกลับเข้าห้องนอนของผม หวังว่าจะได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบาย และพักผ่อนยาวๆในวันพรุ่งนี้ นี่อาจจะเป็นความสุขเดียวที่ผมเหลืออยู่จากความว่างเปล่าที่ไม่มีใคร ก็เป็นได้

                    ถึงหน้าห้องสักที ....

                    ผมไขประตูเข้าห้อง พลางปิดล็อคให้สนิท แล้วเดินโซเซตรงไปที่เตียงล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดเพราะความเหนื่อยทันที

                    ตุบ ..

                    "เหนื่อย ..." ผมบ่นออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอียงตัวกอดหมอนข้างกำก้อนกลมๆนุ่มๆที่ยื่นออกมาจากหมอนข้างขยำๆด้วยความนุ่มเล่นระหว่างหลับตาลง ขอพักสักตื่นแล้วค่อยอาบน้ำแล้วกัน

                    ดึ๋งๆๆ

                    หมอนข้างเรานี่มันนุ่มนิ่ม แถมหอมดีจริงๆแฮะ

                    .....

                    .....

                    หนุบๆ....

                    ทำไมบีบแล้วมันถึงรู้สึกดีจริงๆ ... กลิ่นหมอนข้างก็เย้ายวนใจชะมัด

                    .....

                    .....

                    .....

                    "อือ ..."

                    แถมหมอนข้างของเรายังครางได้อีก หมอนข้างรุ่นใหม่สินะ

                    .....

                    .....

                    หนุบๆ ดึ๋งๆ

                    "งืออ..."

                    หมอนข้างครางได้อีกละ สงสัยจะ .....

                    "เห้ย!! ตรูไม่มีหมอนข้างนี่หว่า!! แล้วหมอนข้างที่ไหนมันจะร้องได้ฟระ!!" ผมตกใจร้องเสียงหลงดันตัวพรวดขึ้นมาจ้องมองไอ้ของที่ผมคิดว่ามันควรจะเป็นหมอนข้าง ....

                    "อืมมม..." หมอนข้างของผม? ครางแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมขยี้ตาตาม

                    ไม่ๆๆ นี่ไม่ใช่หมอนข้างแล้ว

                    คนเหรอ เสียงเล็กเหมือนเด็กผู้หญิง

                    ผมพยายามเพ่งเล็งใบหน้าของเจ้าของเสียงผ่านแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามา สะท้อนให้เห็นผมสีทองอ่อนยาวสลวย หยักศกเล็กน้อยคล้ายดัดมา ยาวประบ่า ใบหน้าที่เรียบเนียนใส ไร้ซึ่งริ้วรอย โครงหน้ากระชับได้สัดส่วนกับริมฝีปากเล็กๆและจมูกที่ไม่โด่งมากไป พร้อมทั้งผิว ที่แม้จะมืดแค่ไหนแต่ก็มองออกว่าขาวสะอาดตา รูปร่างเล็กขนาดเด็กผู้หญิง .. เว้นแต่หน้าอกหน้าใจที่ใหญ่จนเบียดเสียดเสื้อยืดที่เธอใส่

                    "อืมมม.... " ก่อนที่เธอจะขยี้ตาเสร็จ แล้วค่อยๆหันมามองผมด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายแม้มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างอันน้อยนิด

                    เด็กฝรั่งงั้นเหรอ น่ารัก... ไม่สิจะเรียกว่าโคตรน่ารักเลยก็คงจะได้ ไอ้ความน่ารักเกินบรรยายออกมาเป็นคำพูดนั่นมันทำให้ความคิดที่ผมจะโวยวายอะไรต่อหายไปหมด ไม่ๆๆ ถึงจะน่ารักแค่ไหน แต่นี่มันบุกรุกห้องชาวบ้านชัดๆ ต้องพูดอะไรสักอย่าง

                    "น้องมาทำอะไรในห้องของพี่ครับเนี่ย!" ผมพูดออกไปแล้ว

                    เห้ย ไม่สิ ... เด็กฝรั่งจะเข้าใจภาษาเราได้ไงฟระ แต่ตรูไม่รู้ภาษาอังกฤษนี่ ... โอยคิดมากๆก็ไม่ไหว ยิ่งเพิ่งทำงานมาเหนื่อยๆอยู่

                    เด็กสาวที่ได้ยินคำถามของผม ก็ค่อยๆยิ้มเล็กๆ รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนของเธอพร้อมกับขยับตัวเข้ามาโผกอดผมเอาไว้แน่น

                    หนุบ!

                    "หะ เห้ย" ผมออกเสียงอย่างตกใจทันที

                    ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เด็กคนนี้เป็นใครฟระ แล้วมาทำอะไรที่ห้องของผม แล้วมาโผกอดกันแบบนี้ รึว่าเธอจะชอบผม ไม่ สาวน้อยจากต่างดาว? ไม่ๆๆๆ นักฆ่าจากโลกอนาคต? ไม่สิ หุ่นยนต์จากศตวรรษที่ 22? ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ว่าแต่ ไอ้หน้าอกใหญ่ๆนี่มัน เบียดแน่นเกินไปแล้วเฟ้ย ละ-เลือดลมมันสูบฉีดเพราะเจ้าก้อนเนื้อมหาภัยนี่อีก

                    ในระหว่างที่หัวของผมกำลังหมุนมั่วไปหมด บางอย่างอุ่นๆ ก็ไหลลงอาบคอผม มันทำให้อารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่านและเลือดลมที่พุ่งพล่าน ลดลงในฉับพัน

                    "เธอ... ร้องไห้งั้นเหรอ?" ผมเอ่ยถามออกไประหว่างเอื้อมมือออกมาโอบกอดแผ่นหลังเล็กๆของเธอเอาไว้ โดยอัตโนมัติ ราวกับความรู้สึกบางอย่างมันแผ่เข้ามาถึงหัวใจ

                    อบอุ่น ความรู้สึกที่ทำให้อาการเหนื่อยและหัวหมุนทั้งหมดของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ทำไม แม้ว่าเธอจะเป็นคนแปลกหน้าและไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ความรู้สึกผูกพันธุ์ นี่มันอะไรกันแน่ ผมรู้สึกไว้ใจเธออย่างบอกไม่ถูก

                    ตอนนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ช่าง คงต้องรับฟังความรู้สึกของเธอเอาไว้ก่อน เผื่อว่าเราจะช่วยอะไรได้บ้าง แบ่งเบาความรู้สึกต่างๆมาจากเธอ

                    "เป็นอะไรหรือป่าว ... ทำไมถึงร้องไห้หละ? พูดออกมาได้เลยนะ พี่ยินดีรับฟัง" ผมเอ่ยพลางเริ่มยกมือขวาขึ้นสางผมสีทองอ่อนของเธออย่างเบามือเพื่อปลอบประโลม

                    "อึก ...ฮึก .. ฮึก คิดถึงเล่นมากๆเลย ฮึก ..ดีใจจริงๆที่ได้เจอเล่นอีก" เธอเอ่ยออกมาสะอึกสะอื้นไห้ระหว่างยังคงกอดผมแน่น

                    "ระ-รู้จักพี่ด้วยเหรอครับ เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอ" ผมเอ่ยถามกลับไป

                    เราไม่เคยเจอเธอมาก่อนแน่ๆ หรือว่าเธอจะเป็นเด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ... ไม่น่าใช่ที่นั่นไม่น่ารับเลี้ยงเด็กฝรั่ง แต่เธอก็พูดภาษาของเราได้ชัดเจนนี่ น่าแปลกจริงๆ หรือจะเป็นลูกค้าที่ร้านอาหารที่เราทำงาน ไม่ก็ลูกค้าร้านสะดวกซื้อที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว หรือหุ่นยนต์จากศตวรรษที่ 22! ไม่!มุขนี้เล่นไปแล้ว ไม่น่าใช่ทั้งนั้นนั่นแหละ!

                    "... อื้อ ทำไมจะไม่รู้จักหละ" เธอเอ่ยแล้วขยับกายเงยหน้าจ้องผมทั้งน้ำตาในระยะประชิด

                    ใบหน้าใสๆแสนน่ารัก สองฝั่งแก้มแดงระเรื่ออาบไปด้วยน้ำตาแสดงถึงความดีใจอันเอ่อล้นมากกว่าเศร้าสร้อย เธอดูมีความสุขมาก

                    ทำไมจะไม่รู้จักงั้นเหรอ? หมายความว่ายังไง จะสื่ออะไรกันแน่ ... แต่จะมาแบบไหนก็เอาเถอะ หลังจากชีวิตที่ผ่านเรื่องโหดร้ายมาหลายครั้งติด ทั้งเรื่องตอนเด็กและตอนโต จะมีอะไรแปลกหรือพิสดารไปกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วหละ จะพูดอะไรก็บอกออกมาได้เลย

                    "ก็เราเป็น ... พ่อของเล่นนี่นา!"

                    เราเป็นพ่อของเล่นนี่นา!

                    เป็นพ่อของเล่นนี่นา!

                    พ่อของเล่นนี่นา!

                    พ่อของเล่นนี่นา!

                    พ่อของเล่นนี่นา!

                    .....

                    .....

                    หะ ... เมื่อกี้ ว่ายังไงนะ

     

    ตอนที่ 1 : ก็เราเป็น ... พ่อของเล่นนี่นา!

     

    เรื่องราวของตอนต่อไป

                   

                    ไม่เจอกันนานเลยนะเล่น พ่อกลับมาแล้ว!!

                    อย่ามาพูดบ้าๆน่า อย่างเธอเนี่ยนะ จะเป็นพ่อของชั้น!!

    =========================================================================
    ....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×