ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ::|[รวม Fic Happy Tree Friend (yaoi)]|::

    ลำดับตอนที่ #5 : Special:{all x cuddles} 4 Guard_chapter3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 661
      7
      2 ธ.ค. 55

    Chapter 3:

       "แย่จริงๆ เลยนะ อยู่ดีๆ ก็จะเดินข้ามถนนไปทั้งอย่างนั้นน่ะ!"

    เสียงนุ่มๆ ของชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาลั่นห้อง ที่ตอนนี้มืดสลัวๆ มีแสงไฟอ่อนๆ เพียงน้อยนิดเท่านั้น ที่ทำให้พวกเขามองเห็นใบหน้าของกันและกัน

       "นี่ถ้าฉันไม่ไปช่วย ไม่รู้ว่านายจะเหลือวิญญาณกลับมานั่งคุยกับเราได้แบบนี้รึเปล่า"

    เสียงนั้นกล่าวอีกครั้งด้วยความเง้างอน ก่อนที่เจ้าของเสียงจะกระแทกตัวลงนั่งบนที่ของตนเอง

       "เอาน่า ยังไงก็รอดกลับมาได้แล้วนี่นา อีกอย่าง นายก็รู้น่า ว่าหมอนี่น่ะไม่ตายง่ายขนาดนั้นซะหน่อย" ชายร่างสูงพูดปรามอย่างใจดี น้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงอย่างนุ่มนวลนั้น ช่างเข้ากับใบหน้าที่ดูอบอุ่นของเขาเหลือเกิน

       "นายใส่คอนแทกส์เลนส์ไปใช่มั้ยโมล?" เขาหันมาถามเด็กหนุ่มผมสีม่วงที่นั่งอยู่ข้างกัน

       เด็กหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าแทนคำตอบ...

       "เห็นมั้ย!! คอนแทกส์ก็ไม่ได้ใส่ไป!! อย่างนี้จะเหลือรอดเหรอ?" ร่างที่เพิ่งนั่งสงบไปได้ไม่นาน โพล่งขึ้นมาอีกรอบด้วยความหงุดหงิด

       "บอกให้ใจเย็นไงล่ะสเปลนดิด!" ร่างสูงปราม ก่อนจะกดไหล่ชายหนุ่มให้นั่งลงที่เดิม

       "ว่าแต่ คุณโมลไปทำอะไรหน้าสำนักงานเหรอครับ?" เด็กหนุ่มผมสีเขียวแก่ ถามพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน ชายร่างสูงเมื่อได้ยินคำถามจึงตอบแทน

       "หมอนี่บอกว่าอยากไปดูหน้า"เจ้านาย"คนใหม่ของพวกเราน่ะสิ แต่ดันลืมใส่คอนแทกส์ฯไปแบบนี้ จะไปเห็นได้ยังไงล่ะ?" เสียงนุ่มๆ ตอบควบไปกับเสียงหัวเราะบางๆ

       "เอางี้! เดี๋ยวพรุ่งนี้ พวกเราไปดูหน้านายน้อยคนใหม่พร้อมกันที่บริษัทเลยดีมั้ย!!"

    เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เพิ่งโดนปรามไป ลุกขึ้นออกความเห็นด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มร้อย แต่กลับโดนขัดด้วยเด็กหนุ่มผมสีเขียวแก่คนเดิม

       "ไม่ได้หรอก คุณลอรี่บอกว่า เราจะเริ่มงานได้ ในอีก 2 วันข้างหน้า เพราะอยากจะเซอร์ไพรส์ลูกชายตัวเอง"

       "โธ่...นายนี่ไม่หัดคิดบ้างนะฟลิปปี้" เด็กหนุ่มที่ชื่อสเปลนดิด ดีดหน้าผากคนผมเขียวที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายียวนกวนนิ้วเท้าสุดๆ

       "เพราะว่าคุณลอรี่อยากเซอร์ไพรส์ลูกชายไงล่ะ ถึงให้พวกเราไปอีก 2 วัน ลองคิดดูสิ ว่าเขาหมายถึงอะไร ก็หมายถึงให้เราแอบ 'ปลอมตัว' ไปหานายน้อยก่อนไง พอมาถึงวันแสดงตัว นายน้อยก็จะได้เซอรไพรส์หนักกว่าเดิมอีก ไม่ดีรึไงความคิดฉันน่ะ?"

       ทั้งหมดพร้อมใจกันส่ายหน้า...

       "เชอะ!" เด็กหนุ่มกระแทกตัวลงไปนั่งอีกทีด้วยความงอน

       "แต่ความคิดของสเปลนดิดก็น่าสนใจดีนะ" ชายร่างสูงออกความเห็นยิ้มๆ ทำเอาสเปลนดิดหูผึ่ง

       "ตอนทำงานปกป้อง 'คุณหนู' เมื่อรอบที่แล้ว เราเองก็เคยเล่นแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ? พอคุณหนูมารู้อีกทีก็ตกใจแทบตาย จำได้รึเปล่า?"

       "เห็นม้า!! ลัมพ์ปี้ยังเห็นด้วยเลย พวกนายน่ะมันเป็นพวกไม่มีความสนุกสนานอยู่ในหัวใจไงล่ะ ฮ่าๆๆ" สเปลนดิดหัวเราะเยาะ

       "เฮ้อ...ถามคุณลัมพ์ปี้ว่าไง ก็ว่างั้นครับ" ฟลิปปี้ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ส่วนชายตาบอดที่ชื่อโมลก็พยักหน้าเล็กๆ เนื่องจากตนไม่รู้จะค้านอะไร

       "งั้นเริ่มกันพรุ่งนี้เลยนะ"

    ...............................................

    ...............................................

    ...............................................

     

       "เป็นไงบ้างจ้ะคูดเดิ้ล? เมื่อคืนนอนสบายมั้ย?"

    ลอรี่ถามลูกชายตนเองที่เพิ่งตื่นนอน และกำลังนั่งขยี้ตางัวเงียอยู่บนเตียงอย่างน่ารัก ร่างเล็กหาวเล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบยิ้มๆ

       "สบายมากเลยฮะแม่ สบายยิ่งกว่าที่บ้านอีกนะครับเนี่ย ฮ....ฮ้าว...สบายจนผมอยากจะนอนต่อเลยล่ะครับ งึม.."

       ตุบ...

    ร่างบางทิ้งตัวลงนอนไปเหมือนเดิม ก่อนเอาหน้าซุกกับหมอนอย่างมีความสุข ลอรี่อมยิ้มขำๆ กับพฤติกรรมน่ารักๆ ของลูกชายตัวเอง ก่อนจะหันไปจัดเตรียมอาหารเช้าที่ค้างคาอยู่หน้าครัวต่อ

       เมื่อคืนนี้คูดเดิ้ลได้มานอนที่สำนักงาน ในห้องทำงานของเธอ และอย่างที่ได้บรรยายไปในตอนที่ 1 ว่าห้องทำงานของลอรี่นั้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุdอย่าง ตั้งแต่กรรไกรตัดเล็บจนถึงห้องครัวขนาดย่อม รวมถึงเตียงไซส์มหึมาแสนนุ่มนิ่มด้วย สองแม่ลูกเลยนอนกอดกันกลม จนแทบลืมไปเลยว่าตอนนี้ลูกชายตัวดีกำลังโดนตามล่าอยู่

       กลิ่นเบคอนหอมกรุ่น ออกมาจากจานอาหารเช้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทานข้าวหน้าทีวี ลอยมาแตะปลายจมูกของคูดเดิ้ลที่ยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนที่นอน ทำเอาหนุ่มน้อยแทบจะเด้งตัวขึ้นมาเพราะว่ากลิ่นหอมยั่วยวนของอาหารเช้ามื้อนี้ มันแรงเกินกว่าจะฉุดอยู่

       "ทานเลยนะคร้าบบบ!!!"

    เด็กหนุ่มนั่งยิ้มหวานอยู่บนเก้าอี้ พร้อมอาวุธทั้ง ช้อนและช้อนส้อมในมือทั้ง 2 ข้าง ทั้งๆ ที่อยู่ในชุดนอนสีขาวๆ ลอรี่ยืนอมยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พลางถอดผ้ากันเปื้อนสีฟ้าออกพาดบนราวข้างเคาน์เตอร์ห้องครัว

       "เดี๋ยวจะมีพนักงานมาเสริฟของว่างให้นะจ้ะ พอรับมาแล้วให้แช่ไว้ในตู้เย็นนะ เดี๋ยวแม่ไปทำงานก่อน เจอกันตอนเย็นๆ นะลูก"

       หญิงสาวเดินมาจุ๊บที่หน้าผากของคูดเดิ้ลเบาๆ ทำเอาใบหน้าน่ารักของหนุ่มน้อยขึ้นสีนิดๆ ด้วยความเขิน ก่อนจะเงยหน้าไปโบกมือลาแม่ตนเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

        และในเวลาไม่นาน อาหารเช้าในจานก็ถูกฟาดเรียบ เด็กหนุ่มเดินเอาจานไปเก็บที่อ่างล้างจาน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียง

       "ป่านนี้กิ๊กเกิ้ลจะมารึยังน้า?"

    เสียงหวานบ่นกับตนเองอย่างอารมณ์ดี มือบางๆ เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียง มากดเลื่อนดูแก้เซ็ง

       ก้อก ก้อก ก้อก

       "ขออนุญาตเสริฟของว่างนะครับ"

    ร่างสูงของชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับถาดสแตนเลสในมือ ที่เต็มไปด้วยพุดดิ้ง    เค้กแยมสตอเบอร์รี่ ขนมปังทาเนย  แคนตาลูปราดน้ำผึ้ง และอะไรอีกมากมาย ทำเอาคูดเดิ้ลกระเด้งตัวขึ้นมาแทบไม่ทัน

       "ให้วางไว้ตรงไหนดีครับ?"พนักงานคนนั้นถาม

       "ที่เคาน์เตอร์เลยครับ"หนุ่มน้อยชี้มือนำทางอย่างลิงโลด ทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละไปจากขนมในมือของอีกฝ่าย

       พอมานั่งมองอีกครั้ง พนักงานคนนั้น ถือว่าอยู่ในระดับคนที่หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว ผมสีฟ้าอ่อน ที่มีจอห์นยาวๆ ทั้งสองข้างเป็นสีเหลืองนิดๆ นัยน์ตาเรียวคมสีฟ้าคราม ที่ทำให้ผู้สบตาด้วยแทบหยุดหายใจทุกครั้งที่มอง

       "อ๊ะ! น้องคือเด็กที่ชื่อคูดเดิ้ลใช่มั้ย?" พนักงานคนนั้นถาม ทำให้คูดเดิ้ลหลุดออกมาจากภวังค์เพ้อชั่วคราว

       "ค...ครับ พี่ชายรู้จักผมด้วยเหรอ?"

       "แน่นอนสิ ก็น้องน่ะ ดังไปเกือบทั้งบริษัทแล้วนะ"

       "ด....ดัง? ดังเรื่องอะไรเหรอครับ?"

       "แหม ก็เป็นถึงลูกชายของคุณลอรี่ รองหัวหน้าฝ่ายจัดการด้านการคุกคามของลัทธิหมาป่าเลยนี่นา ทำไมคนอื่นจะไม่รู้จัก แถมยังมีข่าวว่าโดนตามล่าอยู่แบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย"

       คูดเดิ้ลเพิ่งได้ตระหนักความจริงว่าตนเองนั้นมีแม่ที่แสนวิเศษเข้าแล้ว ก็วันนี้แหละ

       "แม่ผม เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?"

       "ถามอะไรแบบนั้น ฝ่ายจัดการการคุกคามของลัทธิหมาป่านี่น่ะ ถือว่าเป็นหน้าที่ที่หนักที่สุดในสำนักงานนี้เลยก็ว่าได้นะ แถมแม่เธอยังเป็นรองหัวหน้าอีก อย่างนี้ก็ยิ่งต้องดังไปใหญ่เลยสิ"

       "ขนาดนั้นเลยเหรอครับ เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจ พี่ชายช่วยเล่าเรื่องของแม่กับบริษัทนี้ให้ผมฟังเพิ่มเติมหน่อยได้รึเปล่าครับ?"

       หนุ่มน้อยชักชวน เพราะตนเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก ทั้งที่อาจจะยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน แต่การอยู่โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ก็ไม่มีความหมาย ซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีที่จะเล่าให้ฟังหมดทุกอย่าง ทั้งคู่เริ่มคุยตั้งแต่เรื่องของลัทธิหมาป่า จนถึงเรื่องส่วนตัวสุดๆ ของลอรี่ แม่ของคูดเดิ้ลเอง ทำให้เด็กหนุ่มได้รูเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนของแม่ตนเองมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

         คูดเดิ้ลรู้สึกว่ายิ่งคุยกับพนักงานหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งถูกคอ ทั้งคู่เลยนั่งคุยกันในห้องเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยปกติทั่วไป ไม่มีใครที่ไหนหรอกที่จะมาต้อนรับพนักงานเสริฟขนมมานั่งคุยร่วมห้องกันแบบนี้ แต่เพราะความซื่อ(บวกเซ่อ)ของเจ้าของห้อง ที่ยังคงเป็นเด็กน้อยวัยกระเตาะ เป็นฝ่ายเชื้อเชิญเข้ามาซะเอง เขาเลยไม่ได้ตะคิดตะควงใจอะไรเท่าไหร่นัก

       ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรส จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง โดยที่คูดเดิ้ลไม่ได้สงสัยเลยว่า พี่ชายร่างสูงตรงหน้าของเขา ไม่ไปทำงานบ้างรึไงนะ? ไม่ได้คิดเลยสักนิด แถมยังชักเรื่องต่างๆ มาคุยต่อไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก

       คำพูดต่างๆ มากมายที่พ่นออกมาจากปาก ทำให้หนุ่มน้อยเริ่มหิว คูดเดิ้ลเดินไปยกเค้กแยม สตอเบอร์รี่ที่พนักงานชายตรงหน้าเอามาให้มานั่งตักกินไปเรื่อยๆ อย่างไม่เกรงใจ

       ทันทีที่เค้กเนื้อนุ่มเนียนที่ฉาบหน้าด้วยครีมชีสขาวๆ เข้าปากบางได้รูปของเด็กหนุ่มไป
    ดวงตาสีคาราเมลอำพันก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

       "อร่อยจังเลยครับ นี่พี่ชายทำเองรึเปล่า?" เขาถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องให้โรงครัวทำให้อยู่แล้ว แต่คำตอบกลับเพี้ยนออกไปจนไม่น่าเชื่อ

       "ใช่แล้ว พี่ทำเอง" เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาเช็ดมุมปากของเด็กหนุ่มที่นั่งกินเค้ก จนครีมติดปากเลอะเทอะ

       "ขอบคุณครับ...เอ่อ...พี่ฮะ..." คูดเดิ้ลเริ่มงง เพราะมือของคนที่กำลังจับผ้าเช็ดปากให้เขาอยู่ เริ่มเลื่อนสูงไปที่บริเวณแก้มนุ่มๆ ขาวๆ ของตัวเอง แล้วเค้นนิ้วเบาๆ จนคูดเดิ้ลแอบขนลุกไม่ได้ ดวงหน้าหวานเริ่มขึ้นสีชมพูมานิดๆ

       ชายร่างสูง วางผ้าลง ก่อนขเยิบร่างตนเองให้เข้าใกล้ร่างเล็กของอีกฝ่ายมากขึ้น ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังจะจับร่างเล็กกดลงไปนอนบนโซฟา คูดเดิ้ลทั้งงง ทั้งทำอะไรไม่ถูก เค้กกับช้อนยังคงคามือเขาอยู่ จะวางก็ไม่ได้ เพราะร่างของพนักงานหนุ่ม ขวางการขยับตัวของเขาจนไม่เหลือช่องว่างเลยสักนิด

       พนักงานหนุ่มเอื้อมมือของตนเองไปลูบกระปอยผมด้านหน้า ที่ทำไฮไลต์เป็นสีขาว ด้วยสายตาแทะโลม ราวกับจะกินเขาไปทั้งตัว คูดเดิ้ลทั้งงง ทั้งเขิน แต่เพราะฝ่ามือใหญ่ๆ ที่กำลังลูบผมเขาอยู่นั้น มันอ่อนโยน และอบอุ่นจนหนุ่มน้อยเผลอเคลิ้ม ไร้แรงจะตอบโต้

       ช้อนสแตนเลสเงาวับคันเล็กๆ ในมือร่วงลงสู่พรมกำมะหยี่สีแดงที่ปูไว้รอบๆ โซฟา ส่งเสียงดังกริ๊งเบาๆ พนักงานหนุ่มได้ทีจับข้อมือข้างที่ไม่มีช้อนของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ ส่วนมืออีกข้างก็แย่งเค้กในมือของร่างบางมาอีกฝ่าย

       "เดี๋ยวพี่ป้อนนะ..." เขาพูดแค่นั้น แล้วกัดเนื้อเค้กเบาๆ ก่อนค่อยๆ โน้มหน้าลงป้อนอีกฝ่ายทางริมฝีปากอย่างไม่รีรอ คูดเดิ้ลตาเหลือกทันที

       กลิ่นครีมชีส แยมสตอเบอร์รี่ และเนื้อเค้กแสนหอมยั่วยวน ทำให้หนุ่มน้อยตกอยู่ในภวังค์เคลิบเคลิ้ม ดวงตากลมโตสีคาราเมลเริ่มพริ้มหลับไปตามแรงจูบแสนอ่อนโยนของอีกฝ่าย ความร้อนแรงในโพรงปากหวาน ทำเอาเค้กทั้งหมดละลายออกไปเสียหมดสิ้น เหลือเพียงลิ้นที่เกี้ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ ร่างสูงได้โอกาส ใช้มือข้างขวากดไหล่ของอีกฝ่ายนอนราบไปกับโซฟา ทั้งที่ข้างซ้ายยังถือเค้กแยมชูสูงอยู่ ราวกับกลัวว่ามันจะหกลงมาแล้วเด็กหนุ่มจะไม่มีอะไรให้กินเล่น ทั้งๆ ที่ตอนนี้ คูดเดิ้ลอิ่มหนำใจไปเรียบร้อยแล้ว

       "อืม..." ในที่สุด เสียงหวานก็ครางครวญออกมาเบาๆ อย่างน่ารัก ทำเอาผู้ที่รุกล้ำล่วงเกินด้วยปลายลิ้นอยู่ด้านบนอดใจไม่ไหว ถึงกับต้องประคองใบหน้ามาจูบอีกทีอย่างดูดดื่ม

       "เดี๋ยว...พี่ครับ...ผม...อ๊ะ! อืม..."

    คูดเดิ้ลที่นอนอยู่ด้านล่าง พยายามหันหน้าหนีริมฝีปากหนาๆ ที่รุกมาไม่จบไม่สิ้น เพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง ร่างสูงเห็นดังนั่นเลยถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งเพราะเสียดาย

       "จูบแรกสินะ...หวานใช้ได้เลยนี่นา..." พนักงานหนุ่มพูดยิ้มๆ แล้วเอื้อมมือไปวางจานเค้กไว้บนหัวเตียง ทิ้งให้คูดเดิ้ลนอนหน้าแดงหอบหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอด ร่างสูงของชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แล้วเลียริมฝีปากตนเองด้วยใบหน้าพึงพอใจ

       "ทำไมล่ะฮะ?..." นี่คือคำแรกที่พูดออกมาหลังจากริมฝีปากถูกปล่อยออกเป็นอิสระ

       "ไม่มีเหตุผลหรอก" พนักงานหนุ่มสวมหมวก ก่อนลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งจับจังหวะการเต้นของหัวใจตนเองที่แรงกว่าปกติอยู่ที่เดิม ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังขึ้น ชายร่างสูงก็หันมาพูดทิ้งท้ายกับเด็กหนุ่ม

       "ไว้เจอกันนะ คูดเดิ้ล...."

       แกรก...

    เสียงประตูปิดลงอย่างเบาบางที่สุดๆ ผิดกับเสียงในใจของคูดเดิ้ล ที่เต้นเสียงดังโครมครามยิ่งกว่ากลองลั่น ใบหน้าหวานน่ารักขึ้นสีแดงแปร๊ด ดวงตาสีคาราเมลเหลือกโพลงออกมาจนน่าตกใจ

       พนักงานคนนั้นรู้ชื่อเขาได้ยังไง....

    ....................................................

    ....................................................

    ....................................................

       CUDDLES TALK

    เช้าวันนี้ มีเรื่องชวนให้ผมแปลกใจหลายอย่าง  ทั้งเรื่องของพนักงานปริศนา ขนมหวานที่เขาทำเอง การล่วงรู้ชื่อของผมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอก แล้วยังจะ....

       ผมเผลอเอามือมาแตะริมฝีปากของตนเองอย่างไม่รู้ตัว พอได้สัมผัส....ความหวานแสนเร่าร้อนที่เพิ่งได้ลิ้มรสไปเมื่อสักครู่ ก็เข้ามาในประสาทสัมผัสของผมอีกรอบ จนหน้าของผมแดงแปร๊ด

       "ฮือๆ จูบแรกของช้านน!!!! โฮๆๆ ฉันจะเก็บไว้ให้กิ๊กเกิ้ลจังนะ ไม่ใช่ผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันซะหน่อย แง้ๆ"

       ผมระเบิดเสียงโฮออกมาลั่นห้องน้ำ ที่เมื่อสักครู่ผมเพิ่งเดินเข้ามาล้างหน้าล้างตาไล่ความคิดฟุ้งซ่าน และปรับสภาพหน้าตนเองให้สดใส เพื่อต้อนรับกิ๊กเกิ้ลจังที่กำลังจะมาเล่นด้วยกันในวันนี้ แต่ดูท่าจะไม่มีประโยชน์

       ผมจัดการถอดชุดนอนสีขาวของตัวเองออก แล้วอาบน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อชำระล้างร่างกายของตัวเองเสร็จแล้ว ผมก็คว้าเอาชุดเก่งที่ชอบใส่เกือบทุกอาทิตย์มาอย่างไม่รีรอ

       เสื้อสีขาว พาดลายทางสีส้มคาราเมลสีเดียวกับดวงตาของผมที่ชายเสื้อ ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเหลืองเข้มที่มีฮู้ดหูกระต่ายประดับอยู่ ถึงจะติดอยู่กับเสื้ออยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่เคยหยิบฮู้ดที่ว่านั่นมาสวมหัวเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะมันหน่อมแน้มเกินเด็กผู้ชายละมั้ง ส่วนกางเกงก็เป็นขาสั้นแค่เข่าลายสก็อตสีน้ำตาล ฮา...รองเท้ากระต่ายที่รักของผม มันวางอยู่ที่หน้าประตู แต่คราวนี้ผมคงใส่มันไม่ได้ เนื่องจากวันนี้ผมจะต้องดูดีมากที่สุด เพื่อต้อนรับกิ๊กเกิ้ลจัง >///<

       เมื่อตัดสินใจเลือกรองเท้าได้ ผมเลยจัดการสวมเท้าของตนเองลงไปในบูธผ้าส้นเตี้ยสีน้ำตาลคู่เก่งของตัวเอง(แต่รองมาจากคู่กระต่ายนะ)ก่อนเดินออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมที่จะล็อกประตูให้แน่นหนา

       ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลื่อนดูข้อความ ก็พบข้อความหนึ่งส่งมาจากแม่เมื่อวาน เป็นเบอร์ของน้าเคเลน (ที่ผมลืมไปเสียสนิท =_=;) ผมเห็นดังนี้เลยรีบกดโทรออกทันที

       ตู้ด....ตู้ด....ตู้ด....แกรก

       "ฮัลโหล..."

    เสียงที่กรอกผ่านสายมา ดูเป็นเสียงที่หวานสดใสมากกว่าเสียงของน้าเคเลนที่ผมได้ยินเมื่อวาน ผมที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร จึงถามกลับอย่างมีมารยาท

       "เอ่อ...ขอโทษนะครับ ขอสายคุณเคเลนหน่อยได้มั้ยครับ?"

       "คูดเดิ้ลคุงเหรอ? คูดเดิ้ลคุงใช่มั้ย?" ปลายสายไม่ได้ส่งโทรศัพท์ไปให้บุคคลที่ผมต้องการคุยด้วย แต่กลับพูดกลับมาอย่างร่าเริงนิดๆ จนผมงง

       "เอ่อ....ครับ...นั่นใครพูดอยู่เหรอครับ?" ผมถามกลับไปอย่างสุภาพอย่างที่สุด

       "ฮ่าๆ ลืมกันไปแล้วเหรอ ฉันกิ๊กเกิ้ลไงล่ะ เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแท้ๆ ใจร้ายจังเลยนะคูดเดิ้ลคุง" พอได้ยินคำตอบเท่านั้นแหละ ผมที่เดินๆ อยู่ก็เกือบสะดุดหน้าคะมำ

       "ก...กิ๊กเกิ้ลจัง?" ผมหน้าแดงทันที

       "ก็ใช่น่ะสิ ว่าแต่..โทรมาหาน้าเคเลนมีอะไรเหรอจ้ะ?" เสียงหวานจากปลายสายถามผมกลับมาอย่างร่าเริง ทำเอาผมเกือบละลายคาโทรศัพท์

       "ค...คือ ไม่มีอะไร ค...แค่จะถามว่า พวกเธอมากันรึยังน่ะ...." ผมพูดตะกุกตะกัก แต่ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกตุ เพราะเธอก็พูดต่อไปเรื่อยๆ

       "มาถึงหน้าบริษัทแล้วจ้ะ พอดีพี่เคเลนกำลังต่อคิวตอกบัตรเข้าทำงานอยู่  เขาก็เลยฝากกระเป๋าให้ฉันถือ พอมือถือดังฉันเลยต้องรับแทนน่ะ"

       "มาถึงหน้าบริษัทแล้วเหรอ..."

       "จ้า เธอจะออกมารับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเราไปทานของหวานตอนเช้ากัน งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่ตอกบัตรเสร็จแล้ว แล้วเจอกันจ้า"

       ตู้ด......

    เสียงจากโทรศัพท์ ดับลงอย่างเงียบๆ ผมยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ก่อนจะมองดูโทรศัพท์ในมือตนเองอย่างอึ้งๆ กิ๊กเกิ้ลชวนผมไปทานของหวานรับลมเช้าด้วยล่ะ! เย้!! แบบนี้แหละสวรรค์ของจริงเลย

       ผมหลั่นล้า เดินเลี้ยวจนมาถึงหน้าประตูลิฟต์อย่างไม่รู้ตัว จังหวะที่กำลังเอื้อมมือไปกดลิฟต์ ก็มีคนอีกคนยื่นมือเข้ามาพร้อมกับผม จนมือผมกับเขาเผลอชนกันเบาๆ

       "อ๊ะ! ขอโทษครับ..." ผมที่มัวแต่เหม่อรีบชักมือกลับเข้ามาทันที ก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าที่มากดลิฟต์พร้อมกับผมเมื่อกี้

       เขาเป็นผู้ชายผมสีน้ำเงินซีด ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมถูกทับด้วยแว่นกรอบบางๆ สีแดง อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้าอ่อน ผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้มอย่างเรียบร้อย กับกางเกงสแล็กเข้ารูป มืออีกข้างถือหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเจอนักข่าวรูปหล่อตัวเป็นๆ

       เขายิ้มให้ผมนิดๆ ราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ผมได้แต่ยืนเงยหน้าจ้องตาเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดวงตาสีน้ำเงินสวยคู่นั้น ให้ความรู้สึกเหมือนผมจะโดนดูดเข้าไปอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ทันจะคิดเลยไปมากกว่านี้ เสียงลิฟต์ก็มาขัดจินตนาการเพ้อ(ไปไกล)ของผมให้หยุดลง

       เราทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟต์ตัวเดียวกัน ผมสะดุ้งนิดๆ รีบสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อออก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมองว่าผมเป็นเด็กไร้มารยาท อยู่ดีๆ ไปจ้องตาเขาแบบนั้นได้ยังไงนะเรา...

       ลิฟต์เคลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆ จากชั้น 8 ที่ผมอยู่ มาจนถึงชั้น 6 ชั้น 5 ตัวเลขบนหน้าจอดิจิตอล กำลังจะเลื่อนต่อไป แต่อยู่ๆ ก็หยุดชะงักไปเสียเฉยๆ จนผมใจเสีย

       ลิฟต์หยุดเลื่อนไปเสียเฉยๆ ไฟด้านในก็ติดๆ ดับๆ เล็กน้อย ก่อนจะดับสนิทไปเฉยๆ ความมืดภายในนี้ ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก จากที่ยืนอยู่กลางลิฟต์ ผมต้องค่อยๆ ถอยตัวลงไปด้านหลัง จนแผ่นหลังของตนเองนาบกับกำแพงลิฟต์

       "ลิฟต์ค้างซะแล้ว ทำไงดีครับ"

    ดูเหมือนผมกำลังพูดอยู่คนเดียว แต่ที่จริงแล้วผมกำลังถามชายผมสีน้ำเงินคนที่เดินเข้ามาด้วยกันในตอนแรกต่างหาก ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เนื่องจากในนี้มันมืดมาก แต่สักพัก เสียงนุ่มๆ ก็ตอบผมมา

       "เดี๋ยวนะ น้องอยู่ที่ไหนน่ะ..." เสียงนั้นดังมาจากด้านหน้าผมนี่เอง แสดงว่าพี่ชายนักข่าวคนนั้นก็คงยืนอยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่นักมั้ง

       "ผมอยู่ด้านหลังสุดของลิฟต์เลยครับพี่ชาย..."

       "ตรงนี้เหรอ..." เสียงที่ขานถามผมมาดังขึ้นทางด้านขวา ผมรีบตอบกลับทันที

       "ม...ไม่ใช่ครับ พี่ชายเดินตรงมาเลยครับไม่ต้องเลี้ยว" ด้วยความที่ว่าลิฟต์ตัวนี้มีขนาดกว้างมาก ทำให้การจะเดินหาคนรอบข้างทั้งๆ ที่ไม่มีแสงสว่างนำทางนั้นเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร (ลิฟต์นี้กว้างประมาณ 4x7 เมตร)

       "ตรงนี้รึเปล่า?"

       ปึง...

    เสียงเหมือนมือกระแทกกับผนังลิฟต์ดังขึ้นข้างๆ หูซ้ายของผม แถมผมยังรู้สึกว่ามีไอร้อนๆ รดที่ต้นคอของผมเบาๆ อีกต่างหาก เพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่ผี ผมเลยส่งเสียงถามพี่ชายคนนั้นอีกรอบ

       "อ...เอ่อ...พี่ชายครับ พี่อยู่ตรงไหนฮะ?"

       "พี่อยู่ข้างๆ เธอนี่ไง..."

       "ตรงไหนเหรอครับ อุ้บ..."

    ผมหันหน้าไปด้านซ้าย ที่เป็นต้นเสียงนุ่มๆ ซึ่งอยู่ห่างจากผมไม่ถึง 20 เซนฯ จนใบหน้าของผมไปโปะเข้ากับอะไรสักอย่าง มันนุ่มๆ หอมๆ เหมือน...กับ....ก...แก้ม..!!!

       "ข..ขอโทษฮะพี่ชาย!!" พอผมรู้ตัวว่าไปขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายปุ๊ป ผมก็รีบผละตัวออกจากบริเวณนั้นในแทบจะทันทีแต่เพราะถอยมามากเกินไป ทำให้หลังผมไปชนเข้ากับผนังลิฟต์อีกฝั่งหนึ่ง จนผมจนมุมไร้ทางหนี

       "ไม่เป็นไร...."

    เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในระยะประชิดใบหน้าผมสุดๆ พนันได้เลยว่า ตอนนี้หน้าผมคงแดงมากแน่ๆ เนื่องจาก ใบหน้าทั่วทั้งหมดของผมร้อนผ่าวไปทั่ว พี่ชายนักข่าวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกได้ถึงความร้อนของลมหายใจที่ปะทะใบหน้าผมอยู่อย่างจางๆ จะพยายามเบือนหน้าหนีก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะหันไปเจออะไรอีกรึเปล่า....

       มือหนานุ่มของอีกฝ่าย เลื่อนต่ำลงมาจากแขนผม ลงสุดมาถึงเอวด้านขวา ก่อนจะเลื่อนอ้อมไปด้านหลัง สัมผัสเบาๆ ตรงบั้นท้าย ที่ตอนนี้ถูกสวมทับด้วยกางเกงลายสก็อตสีน้ำตาล

       ร่างสูงดึงตัวผมเข้าไปแนบแทบจะผสานให้เป็นเนื้อเดียวกัน ผมพยายามเบือหน้าหนี แต่อยู่ๆ ใบหน้าของพี่เขาก็มาซุกไซร้ที่ลำคอผมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมขยับหัวหนีไปไหนไม่ได้

       "...พ...พี่ชาย...ปล่อยผมนะ..."

    ผมพยายามร้องขอ พลางดึงเสื้อของอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัว แต่เขาก็ยังไม่เลิกแทะโลมลำคอผมอยู่ดี จากที่ใช้ริมฝีปากหนาลากไล้เบาๆ ไปบนต้นคอของผม (ซึ่งแค่นั้นผมก็เสียวจะแย่อยู่แล้ว)ตอนนี้กลับใช้ลิ้นออกมาช่วยอีกต่างหาก ยิ่งทำให้ผมแทบระทวยไปทั้งร่าง

       ผมเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ จนเผลอลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ลิฟต์กำลังค้าง ความมืดรอบข้างไม่ทำให้ผมกลัวอีกต่อไป เพราะตอนนี้สติสตังของผมอยู่ที่ร่างกายของตัวเองหมดแล้ว

       "พ...พี่ชาย....ป..ปล่อยนะ...อือ...อ่ะ..."

    ผมทั้งกลัวทั้งรู้สึกดีปนกันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเสียงครางและการตอบรับของร่างกายของผม ตรงกันข้ามกับคำพูดประท้วงแทบทุกอย่าง ทำให้ผมเริ่มใจเสีย กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุด

       "อืม...ไม่...ม..ไม่นะ อย่า..." ผมหลับตาปี๋ เมื่อมือหนาๆ ของฝ่ายตรงข้าม เริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อของผม จุดที่พี่เขาสัมผัสมันร้อนไปหมด มือข้างนั้นเค้นคลำไปเรื่อยๆ ที่ช่วงเอว ก่อนจะเอื้อมไปด้านหลัง ทั้งๆ ที่หน้าเขายังไม่เลิกซุกต้นคอผมเลย

       พรึ่บ!!

    ไฟในลิฟต์สว่างขึ้น เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงรีบผลักร่างของอีกฝ่ายออกเบาๆ ก่อนจะเดินไปยืนที่หน้าประตูลิฟต์ โดยที่ไม่คิดจะหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังอีกรอบสักนิด

       ผมจัดแจงจัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อย วันนี้โดนพรากความบริสุทธิ์ไป 2 รอบแล้วน้า ทั้งที่ปาก แล้วก็ที่คอ แบบนี้ผมจะเหลืออะไรไว้ให้กิ๊กเกิ้ลจังล่ะ T[]T (แฮ่ม...คนอ่านอย่างเพิ่งนึกไปไกลนะจ้ะ เพราะยังไง
    "ตรงนั้น"ของคูดเดิ้ลคุง มันต้องโดนพระเอกทั้ง
    4 คนในเรื่องจัดการกินอย่างไม่มีเหลืออยู่แล้วล่ะ แอ่ฟฟ/me โดนเสย)

       ตัวเลขในหน้าปัดดิจิตอลเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จาก 4 เป็น 3 จาก 3 เป็น 2 และเมื่อใกล้ถึงชั้น 1 พี่ชายนักข่าวที่ยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ ก็เดินมาโอบผมจากข้างหลัง ก่อนจะกระซิบเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ แบบเดิม มันกลับมารดรินที่ต้นคอผมอีกรอบ จนเกือบระทวยซ้ำสอง

       "แล้วเจอกันใหม่นะคูดเดิ้ล ถึงวันนั้น ผมจะกินนายให้หมดทั้งตัวเลย..."

       ติ๊ง ต่อง....

    เสียงสัญญาณเตือนว่าลิฟต์กำลังเปิดดังขึ้น พี่ชายที่ยืนโอบผมอยู่จึงถอนอ้อมกอดออกอย่างอ้อยอิ่ง แล้วเดินออกจากลิฟต์นำผมไปลิ่วๆ ทิ้งให้ผมหน้าแดงอยู่ที่เดิม

        เขารู้ชื่อผมด้วยล่ะ เขารู้ชื่อของผม ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้บอก เหมือนกับพี่ชายพนักงานเมื่อเช้าไม่มีผิด แล้วเรื่องที่ว่าจะ"กิน"ผมให้หมดทั้งตัว....

     

     

       หมะ...หมายความว่า เราจะต้องได้เจอกันอีกครั้งงั้นเหรอ...?

     

    *** to be continued ***

    ______________________________________________________________________________________
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×