คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ต อ น ที่ 1 [1/3]
คนเราแม้สิ้นหนทาง แต่เมื่อลมหายใจยังไม่สิ้น ทุกอย่างก็ต้องดำเนินต่อไป
ผกามารินคิดถึงหลายๆ เรื่องที่พบเจอขณะทอดสายตามองผืนน้ำที่สะท้อนเงาตัวเอง สวนสาธารณะอันแสนเงียบเหงา บัดนี้ถูกใช้เป็นสถานที่เพื่อรอคอยใครบางคน
เขา…ผู้ซึ่งเป็นคนรักของเธอ
หญิงสาวนึกย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตเดินทางมาจนถึงวันนี้ได้ วันที่พ่อวิ่งเข้ามาในบ้าน และบอกกับเธอว่า ท่านกำลังประสบปัญหา คือการเป็นหนี้
ผกามารินซักถามผู้เป็นพ่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้ความว่าเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้พ่อเล่นหุ้น ความซวยอยู่ตรงที่หุ้นตัวนั้นไม่ค่อยมีใครนิยมเล่น พ่อใช้เงินมรดกที่มีจนหมดเกลี้ยง แถมยังกู้เงิน มาซื้อหุ้นจนขาดทุนเรื่อยๆ พ่อบอกเธอว่า เพราะโง่เง่าและโลภมาก ทำให้ตกม้าตาย แล้วพบว่าตัวเองเริ่มมีแต่หนี้
สิบล้านบาท คือจำนวนเงินที่ทำให้เธอถึงกับสะดุ้ง
ตอนนั้นเรื่องมาถึงศาลแล้ว และเจ้าหนี้ ก็ล้วนแต่เป็นธนาคารที่พ่อกู้ได้ทั้งหลายทั้งปวง ถ้าไม่มีเงินใช้คืน ก็ต้องปล่อยให้เจ้าหนี้ยึดทรัพย์สินไป ยังไม่รวมถึงคนรู้จัก ที่พ่อขอยืมเงินมาอีกมากมาย
ผกามารินคิดหาหนทางแก้อื่นไม่ได้ นอกจากบอกให้ท่านขายคฤหาสน์อันเป็นทรัพย์มรดกตกทอดของเธอเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ แต่พ่อก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หูทวนลมไม่ยอมทำตามอยู่นั่น
น่าหงุดหงิดจริงๆ หากก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรต่อไป เธอโกรธพ่อ ที่ไม่ยอมเชื่อคำของเธอเลย
จนวันนั้นที่พ่อบอกกับเธอ
‘พ่อไม่อยากผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ ว่าจะยกบ้านหลังนั้นให้เป็นเรือนหอของลูก’
‘เรือนหอแล้วยังไงคะ ในเมื่อพ่อก็ยังเป็นหนี้ แถมคฤหาสน์หลังนั้น ก็ไม่มีใครอยู่แล้วด้วย’
‘ไม่ พ่อเป็นหนี้ก็ดีกว่าคฤหาสน์ถูกขาย ที่นั่นมีความสำคัญกับแม่ผึ้งมาก เพราะเป็นคฤหาสน์จากตระกูลแม่ผึ้ง แม่สั่งพ่อไว้ พ่อต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับแม่’
พ่อบอกอย่างนั้น แต่ผกามารินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เธออนุญาตให้พ่อขายทิ้งเพื่อนำเงินมาใช้หนี้แล้ว จะต้องสนใจอะไรอีก ทว่าพ่อก็เอาแต่ปฏิเสธ
ผกามารินกลับสู่สภาวะคิดไม่ตก ถึงปัญหาของพ่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่นานนัก เมื่อพ่อบอกเธอว่าพบทางสว่างแล้ว
และการเป็นหนี้นอกระบบ ก็เข้ามาในชีวิตพ่อนับแต่วันนั้น
เสี่ยมหรรนพ นักธุรกิจผู้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย ได้ซื้อบ้านแฝดหลังที่ติดกับครอบครัวของเธอ พ่อมีโอกาสเข้าไปคุยกับเสี่ย และได้รู้ว่าบ้านหลังนี้จะถูกปล่อยขายเมื่อตกแต่งทุกอย่างในบ้านเสร็จ ตั้งแต่นั้นมาพ่อก็เริ่มสนิทกับเสี่ย จนในที่สุด ก็เผลอปากเล่าถึงหนี้สินอันเป็นปัญหาหนักอก
เสี่ยบอกพ่อว่าลูกชายของเสี่ย ปล่อยเงินกู้นอกระบบอยู่
พ่อตาลุกวาว หากก็กลัวจะยืมเงินประเภทนี้ เพราะดอกเบี้ยสูงกว่าปกติตั้งเท่าตัว แต่เพราะวาจาหว่านล้อม พ่อเลยตัดสินใจ ลองกู้ยืมเงินลูกชายเสี่ยดู
เสี่ยมหรรนพรับประกันว่าจะเทคแคร์พ่ออย่างดีในฐานะที่คุยกันแล้วถูกคอ เขาติดต่อลูกชายให้ปล่อยเงินกู้แก่พ่อทันที ทว่าคนที่ติดต่อมา กลับเป็นเพียงลูกน้อง ที่อ้างตัวว่าลูกชายเสี่ย สั่งให้มาดำเนินการเรื่องทั้งหมดแทน
ทุกอย่างดูราบรื่นง่ายดาย กระทั่งวันที่เจ้าหนี้ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
นักเลงที่อ้างว่าเป็นลูกน้องเจ้าหนี้ โผล่หน้ามาที่บ้านพร้อมอาวุธปืน มาขู่ให้พ่อจ่ายดอกเบี้ยกว่าห้าล้านบาทต่อเดือน เงินจำนวนนี้ ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีก็จ่ายไม่ลง
เธอกับพ่อไม่จ่ายเพราะจำนวนเงินมากเกินไป ตอนทำสัญญา เธออยู่ด้วย จึงจำได้ว่าในกระดาษแผ่นนั้น ระบุดอกเบี้ยที่ร้อยละศูนย์จุดห้าต่อเดือน
ลูกน้องเจ้าหนี้เลยชูสัญญาฉบับฉ้อฉลให้ดู เธออ้าปากค้าง เกือบเป็นลมล้มพับ เพราะในสัญญาได้เปลี่ยนมาเป็นร้อยละห้าสิบต่อเดือน
เท่ากับต้องจ่ายดอกเบี้ยห้าล้านบาทต่อครั้ง และจ่ายจนกว่าจะมีเงินต้นทั้งหมดมาคืน!
ไม่มีทางที่จะหาเงินมากมายขนาดนั้นได้แน่นอน เธอประกาศกร้าว จะไม่ยอมจ่ายเงินที่ถูกโกง แล้วพวกมันก็เอาปืนจ่อเข้าที่ขมับเธอ
สุดท้าย ผกามารินก็ยอมจำนน เมื่อพวกมันบอกว่า ถ้าหาเงินทั้งหมดมาคืนไม่ได้ มันจะส่งเธอไปขายตัวใช้หนี้แทน ก่อนวันนัด มันโทร. มาขู่อีกรอบนึง
มิรันดาเป็นคนรับโทรศัพท์เอง
น้องสาวของเธอรู้เรื่องทั้งหมดในวันนั้น เด็กสาวจึงคิดหาทางหนีทีไล่ด้วยการซ่อนเธอกับพ่อเอาไว้ ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น มาเมืองถูกรุมกระทืบปางตาย ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล มิรันดาถูกตบหน้า เลือดกบปากยับเยิน
หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ คือยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือทุกคน
วันนั้นโชคดีมันยึดของมีค่าไปแทน แต่หากเดือนหน้ายังไม่มีเงินอีก พวกมันจะเอาตัวเธอไปขายจริงๆ
ผกามารินตัดสินใจแล้วว่าจะทำ วันนี้เธอจึงนัดคนรักที่วางแผนจะแต่งงานกันมาพบ เพื่อบอกเลิกเขาให้จบไป
“ผึ้ง”
ศุภรุจส่งเสียงเรียกผกามารินที่ยืนกอดอกมองสายน้ำอยู่ตามลำพัง เธอค่อยๆ เหลียวหลังกลับมา คลี่ยิ้มอ่อนโยนต้อนรับเขาที่รีบมาตามเวลานัดของเธอ
“กว่าจะมาได้นะคะ”
“ผม…ผมรีบสุดชีวิตแล้วนา”
หญิงสาวหัวเราะคิกคักให้เขาที่โน้มก้มลงหอบหายใจ พอหายเหนื่อยศุภรุจก็ยิ้มหน้าชื่นตาบาน
“คุณนัดผมกะทันหัน มีอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ…เอ่อ…คือ…”
ผกามารินกระอึกกระอัก เธอคิดว่าการบอกเลิกจะง่ายกว่านี้แต่ก็เปล่า มันยาก จนไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีต่างหาก
“ถ้าแค่คิดถึงผมเฉยๆ ละก็ งั้นเราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกัน!”
ศุภรุจพูดเองเออเองเสร็จสรรพ เขาคว้าเอวบางหญิงสาว แล้วดุนหลังให้เดินไปตามทางพร้อมกัน
ผกามารินจำต้องปล่อยเลยตามเลย เธอยังไม่พร้อมกับการบอกเลิกเขาเท่าไหร่เหมือนกัน เขาพาเธอตรงไปที่รถเก๋งสีดำ เมื่อปลดล็อกรถเรียบร้อย ก็เปิดประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับให้เธอ ราวถูกจ้างมาเป็นสารถีส่วนตัว
“ขอบคุณค่ะ”
“สำหรับว่าที่เจ้าสาวของผม จะให้ทำมากกว่านี้ก็ยังได้”
เขาปิดประตูลงแล้วอ้อมมาประจำอยู่หลังพวงมาลัย พอรถเคลื่อนตัว ศุภรุจก็บรรยายถึงงานแต่งงานที่เขาวาดฝันไว้งดงาม
ผกามารินต้องทนฟังและปวดร้าวใจอยู่เป็นนาน งานวิวาห์คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเส้นทางชีวิตของเธอเปลี่ยนไป
เธอจะกลายเป็นเพียงของเล่นผู้ชาย ซึ่งไม่ควรค่าแก่การเป็นภรรยาของใคร
คิดให้แล้วน้ำตาหญิงสาวก็เอ่อนอง เธอเบือนหน้ามองออกไปนอกรถ เพื่อหลบสายตาเขาที่บางครั้งก็จะหันมา
ผกามารินเงียบตลอดทางกระทั่งรถยนต์ชายหนุ่มจอดลงหน้าร้านข้าวต้มโต้รุ่งเจ้าประจำ เขาจูงมือเธอเข้าไปในร้านเหมือนอย่างเคย ยามจะนั่ง ก็ดึงเก้าอี้ออกให้เช่นทุกทีที่พามา
หญิงสาวยิ่งเจ็บปวดเมื่อคิดว่าหลังจากนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องหายไป
ศุภรุจสั่งอาหารอย่างที่เขาเคยทำ จำได้หมดว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร เขายิ้มให้ผกามาริน เมื่อคนจดเมนูอาหารกลับไปส่งออเดอร์ให้แก่พ่อครัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“ผมว่าจะชวนคุณไปคุยกับร้านเวดดิ้ง”
หญิงสาวคล้ายถูกไฟช็อตจนเกิดความรู้จี๊ดๆ กลางใจ เธอต้องปฏิเสธการไปร้านเวดดิ้งกับเขาทั้งที่ไม่ต้องการ
“ผึ้งยังไม่ว่างเลย ช่วงนี้ต้องนอนเฝ้ามาเมืองที่โรงพยาบาล หาเวลาว่างเท่ากับวันนี้อีกคงจะไม่มี”
“อ้าว” เขามีสีหน้าตกใจ มากกว่าผิดหวังหลังรู้ว่าน้องชายคนรักเข้าโรงพยาบาล“เมืองเป็นอะไร”
“ป่วยค่ะ” เธอโกหกอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ“ช่วงนี้หมอก็ดูอาการอยู่ เดี๋ยวอีกสองสามวันก็ต้องไปฟังอาการป่วย แล้วก็วิธีการรักษา รวมถึงพวกค่าใช่จ่ายของน้องอีก”
“อย่างนั้นก็แย่เลย ไม่เป็นไร งั้นผมไปเยี่ยมเมืองแทนแล้วกัน”
รอยยิ้มของศุภรุจขี้เล่นอยู่เป็นนิตย์ ผกามารินเห็นเขาเป็นอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ
เพราะเป็นคนอารมณ์ดีทำให้คนที่ไม่หล่อเหลามากมายมีเสน่ห์ขึ้นมา ผิวสีน้ำตาลของเขา เปล่งประกายยามต้องแสงแดดในตอนกลางวัน
และรอยยิ้ม เปล่งประกายทุกครั้ง ยามเขาอยากให้เธอหัวเราะร่าเริง
“ผมอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ” ศุภรุจบอกความในใจ“ผมดีใจนะที่เด็กกำพร้าอาศัยข้าววัด ข้าวสถานสงเคราะห์อย่างผมมีโอกาสได้พบเจอคนอย่างคุณ”
“ผึ้งก็ดีใจค่ะ ที่คุณขอผึ้งแต่งงาน”
ใช่…หญิงสาวดีใจอย่างมากที่คนดีๆ อย่างเขาอยากร่วมหอลงโลงกับเธอ ทว่าโชคชะตาคงกำหนดไว้แล้ว ว่าเธอกับเขาจะต้องเลิกรากันไป
“ผมอยากมีลูกชายสักคน…” เขาพูดยิ้มๆ ก่อนจะถามเธอ“คุณล่ะ อยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย”
“ผึ้งไม่อยากมีลูกชายหรอกค่ะ ผึ้งกลัวลูกจะขี้แกล้งเหมือนคุณ”
ศุภรุจหัวเราะเสียงดังอย่างไม่อาย ขณะเดียวกับที่หญิงสาวเจ็บแปลบทั้งหัวใจ
“แบบผมเนี่ยแหละดี บ้านจะได้เฮฮา”
“ค่ะ” ผกามารินตอบไม่เต็มเสียง ยิ้มจางในหน้า หากคนรักกำลังอารมณ์ดีจึงไม่ทันสังเกตเห็น
เวลาเดียวกัน อาหารที่สั่งไปก็ทยอยมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะทีละจานสองจาน ศุภรุจรีบจัดการอาหารอย่างรวดเร็วเพราะหิวโหยมาแต่ตอนที่อยู่ในออฟฟิตทำงาน
ผกามารินละเลียดกินข้าวในจานทีละเล็กละน้อย เพราะไม่ค่อยอยากทานอะไร เธอนัดเขามาเพื่อบอกเลิก ไม่ได้นัดมาเพื่อทานอาหาร หรือพูดคุยถึงอนาคตระหว่างเขากับเธอ
ไม่นานนักเธอก็รวบช้อน ดึงทิชชู่มาซับริมฝีปากบาง
“อิ่มแล้วเหรอ ทำไมวันนี้คุณกินน้อยจัง”
“ผึ้งทานอย่างอื่นมาบ้างแล้วค่ะ”
“เอ้า แล้วคุณไม่บอกผมล่ะ ดูสิ สั่งมาเยอะแยะ ผมจะกินยังไงไหว”
“คุณสั่งเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิคะ” เธอบอกพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ
“ให้เขาห่อกลับบ้านก็ได้”
ศุภรุจทำหน้ามู่ทู่ก่อนเรียกพนักงานมาสั่งให้ห่ออาหารกลับบ้านแบบไม่อาย เขาเป็นเด็กวัดมาก่อน จึงเห็นค่าของอาหาร ไม่กล้ากินทิ้งกินขว้างแม้แต่คำเดียว
ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเริ่มค่ำแล้วจึงคิดจะพาผกามารินกลับบ้านทันที
“ผมไปส่งคุณดีกว่า ปะ”
“เอ่อ…”
หญิงสาวไม่ทันตกปากรับคำเขาก็จูงมือเธอออกมา ตอนอยู่ในรถสองคน เธอตั้งใจจะบอกเลิกเขาอย่างเป็นทางการ ทว่า…เธอก็ปากหนัก ไม่กล้าพูดคำนั้นสักที
พอคิดจะพูด ปากก็แข็ง ง้างไม่ออกเหมือนสนิมขึ้นกรรไกร ท้ายสุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งรถจอดสนิทลงหน้าบ้านของเธอ
ศุภรุจอ้อมมาเปิดประตูรถเพื่อให้เธอลง แต่หญิงสาวก็ยังนั่งแช่ ไม่ยอมก้าวเท้าลงมา
“คุณไม่ลงผมพาคุณกลับอพาตเม้นต์ผมนา” เขาเย้าแหย่เธอ
ผกามารินจึงจำต้องก้าวขาลงจากรถ สีหน้าหมองเศร้า ทำให้ชายหนุ่มคิดว่าเธอไม่อยากแยกกันเพราะกลัวจะคิดถึงขึ้นมา
“ถ้าคิดถึงผมก็แมสเซสมานะ”
หญิงสาวมองเขาตาละห้อย ศุภรุจยิ้มให้ ก่อนโน้มหน้าลงจุมพิตเธอตรงพวงแก้ม
“ผมรักคุณนะผึ้ง”
ชายหนุ่มกระซิบบอกก่อนโบกมืออำลา เขากลับเข้าประจำอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์ของตัวเอง แล้วขับมันออกไป
ผกามารินทรุดลงนั่งกองกับพื้นแล้วร้องไห้โฮ
เธอรักเขา รักมากจนยากจะตัดสัมพันธ์ด้วยจริงๆ แต่เธอก็ต้องทำ
ผกามารินอยากให้เขาพบเจอคนที่ดี ไม่ใช่จมปลัก อยู่กับผู้หญิงแบบเธอ
“ผึ้งขอโทษนะรุจ…ผึ้งขอโทษ”
ความคิดเห็น