คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ต อ น ที่ 4
ภายในหมู่บ้านขนาดย่อม ที่ล้วนแต่เป็นผู้คนฐานะปานกลางอาศัยอยู่ บ้านแฝดสองชั้นหลังหนึ่ง ยังคงเปิดไฟสว่างไสว รอรับการกลับมาของบุตรสาวบุญธรรม ที่ไปทำงานพิเศษ
พิทักษ์ออกจากบ้านมารอมิรันดาด้วยความเป็นห่วง เพียงแต่วันนี้เขาได้พบร่างของชายหนุ่ม ที่เป็นคนรักของผกามารินนอนเอกเขนก ขวางทางเข้าออกประตูบ้าน ทั้งยังมีกลิ่นแอลกอฮอล์ติดตามร่างกายฉุนไปหมด
หากเป็นแต่ก่อน พิทักษ์คงไม่หนักใจที่จะแบกศุภรุจเข้าไปนอนข้างในบ้าน แต่นี่ ผกามารินเล่นประกาศลั่น ว่าถ้าไม่อยากให้ลำบากใจก็ห้ามยุ่งไปด้วย เขาจึงไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร กับอดีตว่าที่ลูกเขย ซึ่งเอ็นดูไม่ต่างจากลูกในไส้
“พ่อคะ”
เสียงใสๆ ของมิรันดาดังขึ้นขณะพิทักษ์จมจ่อมอยู่กับความคิดที่ว่า เขาหันไปมองลูก อ้าแขนรับร่างเล็ก ที่โผเข้าสู่อ้อมอก แล้วกอดแน่น
“เป็นไงลูก ไม่มีใครทำอะไรหนูนะ”
ว่าพลางพิทักษ์ก็ผละมิรันดาออกจากอ้อมอก สำรวจร่างบอบบางของลูกเลี้ยงคนเก่ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีพวกขี้เหล้าเมายามาลวนลาม หรือทำเธอบาดเจ็บ
สาวน้อยยิ้มตอบ
“หมิวสบายดีค่ะพ่อ เอ๊ะ นั่น…”
สิ้นเสียงอุทาน รอยยิ้มสดใสที่ทำให้พิทักษ์โล่งใจก็หุบลง เด็กสาวเพ่งมองร่างกำยำที่นอนไม่ได้สติ
ครั้นมั่นใจว่าเป็นศุภรุจ มิรันดาก็เข้าไปทิ้งตัวลงนั่งยองอยู่ข้างๆ เธอเขย่าร่างนั้นไปมา เรียกชื่อเขาเสียงดังว่า
“พี่รุจคะ! พี่รุจ!” เขาไม่ตอบสนองใดๆ เธอจึงหันไปถามพ่อแทน “พี่รุจมานอนตรงนี้นานยังคะพ่อ”
“ไม่รู้สิ พอพ่อเดินออกมา ก็เจอพี่เขาในสภาพนี้ นอนอยู่หน้าบ้านเราเลย”
“เหม็นเหล้ามากเลยค่ะ สงสัยจะเมา” สาวน้อยถอนหายใจแรงก่อนตัดสินใจ “พาพี่รุจเข้าบ้านเราก่อนเถอะค่ะ”
คนเป็นพ่อมีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ เขาเห็นด้วยกับมิรันดา แต่อีกใจหนึ่ง ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจผกามาริน ด้วยการแบกอดีตคนรักที่ลูกจะเพิ่งบอกเลิก เข้าไปในบ้าน และอาจจะต้องเผชิญหน้ากัน
“แต่ผึ้ง…”
“อย่าไปฟังพี่ผึ้งมากเลยค่ะ ปากแข็งไปอย่างงั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามใจเราแล้วกัน”
“เชื่อหมิวเถอะค่ะ” เด็กสาวบอกมั่นใจ เธอดึงแขนศุภภรุจที่นอนอยู่มาโอบรอบคอ เพื่อจะพยุงร่างหนักๆ นั้นขึ้นมา “พี่ผึ้งรักพี่รุจจะตาย ปากก็บอกไม่ให้ยุ่ง แต่ในใจน่ะ อาจจะเป็นห่วงมากกว่าเราอีก”
“พ่อผิดเองแหละ” ผู้เป็นพ่อกล่าวโทษตัวเอง แววตาหม่นเศร้า “พ่อเป็นต้นเหตุทำให้ผึ้งต้องเลิกกับรุจ ทั้งที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”
“ไม่เอาน่าพ่อ พ่ออย่าโทษตัวเองสิ ไม่มีใครคิดว่าพ่อผิดหรอก ที่ผิด คือเจ้าหนี้ที่มันโกงเราต่างหาก”
“แต่…”
“พ่อคะ ถ้าจะโทษก็โทษเราทุกคนเถอะค่ะ ที่พ่อหลงผิด เชื่อคำพูดเสี่ยนั่นน่ะ ก็เพื่อจะหาเงินมาให้เราใช้กินใช้จ่าย พ่อไม่ใช่ต้นเหตุ ต้นเหตุคือพวกเราทุกคนต่างหาก”
พิทักษ์ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาของเขาไหลริน รู้เพียงแต่ว่าซาบซึ้งเหลือเกิน ที่ลูกๆ ต่างกตัญญู ไม่เคยกล่าวโทษพ่อของตัวเอง จนเขารู้สึกละอายใจ
“พ่อจะไม่ทำให้พวกหนูต้องลำบากอีก พ่อสัญญา”
มิรันดายิ้มจางในหน้า มองพ่อเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อให้ท่านสบายใจ
“เอาเป็นว่า เราสองคน มาช่วยกันแบกพี่รุจเข้าไปในบ้านดีกว่าค่ะ ปล่อยนอนตรงนี้นานๆ กลัวยุงเอาเลือดไปกินหมด”
ผู้เป็นพ่อเลี้ยงไม่มีท่าทีเกี่ยงงอน เขาวิ่งโร่มาขนาบข้างศุภรุจ ช่วยลูกสาวหิ้วปีกชายหนุ่มเข้าไปในบ้าน
คนทั้งสองปล่อยร่างหนักๆ ของศุภรุจ ลงบนโซฟาตัวยาวหน้าประตู บ้านแฝดไม่มีพื้นที่ใช้สอยมากมาย ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นก็คือห้องเดียวกัน ทั้งบ้านมีโซฟาตัวเดียว ชั้นบนมีห้องนอนสองห้อง ห้องครัวอยู่หน้าห้องน้ำชั้นล่างใต้บันได
จากนั้น มิรันดาวิ่งขึ้นบนชั้นสอง ไปหาเสื้อผ้ามาให้คนเมาสวม พิทักษ์เข้าไปในห้องน้ำ รองน้ำใส่กะละมังใบเล็ก พร้อมหยิบผ้าขนหนูผืนน้อย กลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง
ชายวัยปลดเกษียรใช้ผ้าชุบน้ำ บิดหมาดๆ แล้วเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ศุภรุจ ระหว่างนั้น มิรันดาก็ลงมาจากชั้นบน พร้อมด้วยชุดนอนของพิทักษ์
เสียงละเมอเพ้อพกถึงผู้หญิงที่รัก เร้นลอดจากปากศุภรุจ ขณะมิรันดาส่งชุดนอนให้พ่อเลี้ยง
“ผึ้ง…ผมรักคุณ…ผึ้ง…อย่าทิ้งผมไป”
สาวน้อยมองคนรักพี่สาวอย่างเวทนา ศุภรุจคบหาผกามารินมาหลายปี ไม่เคยนอกลู่นอกทาง แถมยังใจดีกับน้องๆ ทุกคน เธอชอบศุภรุจ และดีใจอย่างมาก ที่จะได้เขามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว แต่แล้วทุกอย่างก็พังลง เพียงเพราะคนใจคด เจ้าเล่ห์ขี้โกง
พิทักษ์เห็นมิรันดายืนเงียบ ขมวดคิ้วนิ่วหน้ามองศุภรุจเป็นนาน ก็ละสายตาจากคนเมาที่กำลังเช็ดตัวให้ แล้วบอกลูกสาวให้ขึ้นนอน เธอเหนื่อยมาทั้งวัน แถมพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน
“ไปนอนเถอะ ตรงนี้พ่อจัดการเอง”
สาวน้อยทำตามคำสั่งแต่โดยดี เธอกลับขึ้นห้องนอน ปล่อยพ่อเลี้ยงดูแล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ศุภรุจตามลำพัง
ความเงียบในยามค่ำคืน ชวนให้พิทักษ์หวนนึกถึงวันเก่าๆ ขึ้นมา ยิ่งเห็นศุภรุจอย่างนี้แล้ว ก็ยิ่งเศร้าใจ
เด็กชายคนนั้น คงอายุอานามเท่าๆ ศุภรุจกระมังหากยังมีชีวิตอยู่ดี
มือที่สวมเสื้อ ติดกระดุมให้แก่คนเมาหยุดลงหลังติดครบทุกเม็ด พิทักษ์อุ้มกะละมังไปที่ห้องน้ำ เทน้ำทิ้ง ตากผ้าและคว่ำกะละมังไว้ เขากลับขึ้นห้องนอน พร้อมใจที่โหยหาลูกชายคนเล็ก ซึ่งเคยนอนหลับพร้อมกันทุกคืน
มาเมืองนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายวันแล้ว อาการน่าเป็นห่วง จึงไม่อาจกลับมานอนกับเขาดังเช่นเมื่อก่อน
อีกไม่กี่วันหมอจะนัดไปฟังผลตรวจ และแนวทางการรักษาต่อ เขาจะต้องรักษาจนลูกชายกลับมาเป็นปกติ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ก็ยอมทุกอย่าง
ศุภรุจยังคงมีอาการมึนหลังสร่างเมาแล้วในตอนเช้า แต่สิ่งที่ทำให้มึนยิ่งกว่า คือการตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตนนอนอยู่ในบ้านคนอื่น เขากระโดดลงจากโซฟาที่นอนอยู่ ก้มมองเสื้อผ้าที่สวม ก็เห็นว่าไม่ใช่ชุดเดิมที่เคยใส่
ชายหนุ่มพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดก่อนขึ้นหน้านี้ และก็จำได้เพียงลางๆ ว่า เขาดื่มเหล้าเมามาย มีผู้หญิงคนหนึ่งช่วยลากตัวเขาออกมาจากบาร์…หล่อนโยนเขาเข้าไปในแท็กซี่ จากนั้น เขาก็จำอะไรไม่ได้
ชายหนุ่มมองไปรอบๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นบ้านของใคร เขายิ้มกว้าง ดีใจที่อยู่ในบ้านผกามาริน
“ผึ้ง…”
ศุภรุจพึมพำชื่อเธอ และทันใดนั้นเอง หญิงสาวเจ้าของชื่อ ก็โผล่มายืนอยู่หน้าบันได ราวกับถูกจับวาง
คนทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตา ผกามารินตั้งใจจะวิ่งกลับขึ้นชั้นบน ส่วนศุภรุจ เขาคิดแค่ว่าอยากคุยกับเธอ
ผกามารินยังไม่ทันจะก้าวเท้าขึ้นบันได ศุภรุจก็พุ่งเข้ามาโอบกอดตัวเธอ
หญิงสาวดิ้นขลุกขลัก ขัดขืนเพราะไม่อยากให้เขาสัมผัส
“ปล่อยผึ้งนะ!”
“ไม่…ผมไม่ปล่อย คุณต้องคุยกับผมก่อน”
ศุภรุจกอดรัดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น เธอพยายามแกะมือ สะบัดแขนแกร่งที่โอบรอบกาย แต่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะหลุดเลย
เธอโวยวายเหมือนไม่พอใจ
“ผึ้งบอกให้ปล่อย! ปล่อยสิ!”
“ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้กับผมเลย” เขากระซิบข้างหูอ้อนวอน “คุณก็รู้ ว่าผมรักคุณ”
“คุณเข้ามาบ้านฉันได้ยังไง” เธอถามเสียงห้วน ทั้งที่ใจเริ่มอ่อนลง
“ผมไม่รู้ เมื่อคืนผมเมา” เขาสารภาพ “ผมเสียใจที่คุณบอกเลิก แต่ตอนนี้ผมนึกอยากขอบคุณความเมา ที่ทำให้ผมได้เข้ามาง้อคุณถึงในบ้าน”
หญิงสาวรู้สึกดีที่เขาอยากง้อเธอ แต่เพราะเคยทำให้เขาเจ็บช้ำใจ จึงรู้สึกผิด และคิดว่าคนเช่นเธอไม่สมควรได้รับความรักจากเขาอีก
เธออยากให้ศุภรุจ ได้พบเจอผู้หญิงที่ดีกว่า…
แม้ว่าเรื่องหนี้สิน จะพอมีหนทางแก้ไขแล้วก็ตาม หากเธอก็ยังคงปฏิเสธหัวใจตัวเอง ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยหนี้สินรุงรัง มีแต่จะทำให้ชีวิตวุ่นวาย
เธอทำปากแข็ง หน้าตึง ไม่ยอมคืนดี
“ง้อให้ตายผึ้งก็ไม่กลับไปรักคุณ”
“ไม่หรอก คุณรักผมอยู่” ศุภภรุจยืนยันตามความเชื่อของตัวเอง “คุณมีปัญหาอะไรบอกผมสิ ปรึกษาผม เล่าให้กันฟัง”
“ถ้าคุณอยากช่วยผึ้ง คุณก็แค่เลิกกับผึ้งซะ ไม่ต้องมายุ่งกับผึ้งอีก เข้าใจมั้ย”
ศุภรุจนึกท้อจนพูดไม่ออก เขาเพียงกอดเธอไว้ แต่ไม่แน่นเท่าเดิม
ผกามารินชอบเก็บปัญหาไว้กับตัว บางครั้งเขาก็น้อยใจ เหมือนเธอเห็นเขาพึ่งพาไม่ได้ ถึงไม่คิดปรึกษาไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ตาม
หลายทีชายหนุ่มรู้สึกว่า เธอรักเขา ไม่เท่าที่เขารักเธอ
กระทั่งพิทักษ์ซึ่งยืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่นานก้าวลงมาจากบันได ศุภรุจก็ปล่อยตัวผกามาริน
ผู้เป็นพ่อ หยุดยืนอยู่หน้าลูกสาวคนโต ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำขลับเบาๆ
“คนรักกัน มีอะไรต้องหันหน้าเข้าปรึกษากันนะลูก”
ผกามารินเบือนหน้าหลบตาสายตาที่จ้องมองมาของพ่อ แล้วบอกท่าน
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ผึ้งไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะผึ้งอีก”
“คนที่คิดจะร่วมหอลงโลงด้วยกัน ต่อให้ลำบากยากเข็ญแค่ไหน เขาก็จะพร้อมอยู่เคียงข้างกัน บอกความจริงรุจไปเถอะ ถ้าเขารับได้ นั่นหมายความว่า ลูกได้ผู้ชายที่ดีที่สุด เข้ามาเป็นคู่ชีวิตแล้วล่ะ"
เธอหันกลับมาสบตาพ่อ สลับกับมองศุภรุจที่ยืนงงอยู่ ก่อนจะตอบรับว่า
“ค่ะพ่อ”
แล้วหญิงสาวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง นั่นยิ่งทำให้ศุภรุจ สงสารและเห็นใจคนรักของเขาเป็นเท่าตัว
ชายหนุ่มยินดี จะนำเงินที่ตั้งใจไว้สู่ขอผกามารินมารวบรวมให้เอาไปใช้หนี้ เขาสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หญิงสาวซาบซึ้งมากจนน้ำตาคลอ เธอโผเข้ากอดคนรักอย่างขอบคุณ
ศุภรุจยิ้มน้อยๆ พลางลูบศีรษะของเธอปอยๆ
“ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง อย่าห่วงไปเลย”
พิทักษ์มองภาพนั้นอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ประกายตาเต็มไปด้วยความหวัง ยามมองว่าที่ลูกเขยของตน
“ฝากดูแลลูกพ่อด้วยนะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ คนเป็นพ่อเห็นแล้วก็ยิ้มอิ่มเอม
ทั้งสามคนคงไม่รู้ ว่ามีรอยยิ้มน้อยๆ จุดขึ้นบนใบหน้าของมิรันดาขณะแอบดูพวกเขาคุยกัน เธอสัญญา ว่าจะทำให้ทุกคนกลับมามีความสุขเหมือนเดิม ตอบแทนความรัก ความเมตตา ที่ได้รับมาจากพ่อเลี้ยง และพี่สาวต่างสายเลือดตลอดมา
นับตั้งแต่วันนั้น ภาคินก็หมั่นแวะเวียนมาเป็นลูกค้าประจำของมิรันดา เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน และเป็นวันที่ไม่มีภาคภูมิคอยขวางคอ เขาจะรีบบึ่งรถมาหาเธอทันที
วันนี้ก็เช่นกันที่ภาคภูมิไม่อยู่ ชายหนุ่มรีบอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย เมื่อไหร่กันที่เขาอยากให้ตัวเองหล่อเหลาที่สุด
โดยปกติ ถ้าไม่ได้ไปไหน ก็จะแต่งตัวให้รู้สึกเบาสบายไว้ก่อน ตู้เสื้อผ้าของเขา จึงเต็มไปด้วยเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกงเล และกางเกงแสล็ก สีขาวกับดำเท่านั้น
บ้านของภาคินทั้งหลังก็เป็นโทนสีเดียวกัน การตกแต่งแบบมินิมอล ทำให้บ้านจืดชืดแต่โล่งสบาย
ภาคินชอบสีขาวกับดำ เพราะแสดงถึงตัวตนของเขาได้เป็นอย่างดี เรียบง่าย แต่ก็ดูลึกลับ เขาเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่ชอบยิ้ม ใช้ชีวิตเหมือนร่างไร้วิญญาณ
ความรู้สึกของเขาด้านชาตั้งแต่ครั้งที่ถูกกระสุนปืนเจาะทะลุอกซ้ายเฉียดหัวใจ กระทั่งได้พบรอยยิ้มของสาวน้อยที่เลาจน์นั่นเอง
ชายหนุ่มยกยิ้มนิดๆ อยู่หน้ากระจกเงาเมื่อนึกถึงเธอ
เสียงเคาะประตูห้องสองสามครั้งดังขึ้นเรียกภาคิน เขาจัดคอปกเสื้อให้เข้าที่เข้าทางอยู่จึงไม่ว่างไปเปิดประตู เขาทำแค่เพียงร้องบอกคนเคาะให้เปิดเข้ามาเอง
“ประตูไม่ได้ล็อก”
พูดจบ บานประตูก็ถูกผลักเข้ามาทันที เมฆ ลูกน้องซึ่งมีตำแหน่งเป็นคนใช้ในบ้านโผล่หน้ามาพร้อมรองเท้าหนังมันเงา กับกุญแจรถยุโรปในมือ
“ผมขับรถมาจอดไว้หน้าบ้านตามคำสั่งแล้วครับ” ลูกน้องหนุ่มชูกุญแจรถให้เขาดู ตามด้วยรองเท้าหนังที่อยู่ในมืออีกข้างนึง “ส่วนนี่ก็ รองเท้าคู่ที่คุณคินสั่งให้ผมไปขัดมา”
ผู้เป็นเจ้านายเหนื่อยหน่ายจนต้องถอนใจ เมฆทั้งไม่ฉลาด ไม่เฉลียวเอาเสียเลย
ภาคินทำเมินลูกน้องของตน เดินมาฉีดน้ำหอมอ่อนๆ ตามจุดชีพจร
เมฆเห็นเจ้านายไม่พูดไม่จาก็ถามออกไป
“เอ่อ จะให้ผมวางไว้ตรงไหนดีครับ”
ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับมาเพียงครึ่งตัว เขาบอกลูกน้องด้วยสีหน้าจริงจัง
“วางไว้บนหัวฉันสิ”
คนรับใช้คิดว่าภาคินพูดเล่น ยิ้มตอบกลั้วเสียงหัวเราะว่า
“แหม บนนั้นวางได้ที่ไหนเล่าครับ”
“วางไม่ได้ แล้วถือมาทำไม” เสียงชายหนุ่มราบเรียบก็จริง แต่ก็ทำให้ลูกน้องไร้สมองตัวหดเหลือสองนิ้ว “กุญแจก็เสียบคาไว้ที่รถ ส่วนรองเท้าก็วางไว้ตรงประตูบ้าน แค่นี้ก็ยังคิดไม่ได้”
คนรับใช้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ก่อนจะผงกศีรษะปลกๆ บอกว่า
“เมฆขอโทษครับคุณคิน”
“เอารองเท้าไปวางไว้หน้าบ้านไป”
ชายหนุ่มพยักเพยิดหน้าไล่ลูกน้องไปจากห้อง เมฆรีบทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ภาคินอยู่ในห้องต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะออกมา เขาตรงมายังห้องนั่งเล่นเพราะเป็นทางผ่านไปสู่ประตูหลักของบ้าน
เสี่ยมหรรนพหรือเสี่ยหมู บิดาบุญธรรมกำลังเล่นแท็บแล็ตอยู่ที่นั่น ร้องทักขึ้น
“ไปบ่อยเลยนะ ติดใจใครเข้าล่ะ ฮึ”
ภาคินหยุดก้าวต่อทันที เขาถอยกลับไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียว เข้าชุดกับตัวยาวของพ่อบุญธรรม
“ก็…ไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้นหรอกครับ ป๊า”
“ขนาดไม่ติดใจนะเนี่ย เห็นขยันไปแทบทุกวัน” เจ้าของนิ้วอวบอ้วนเลื่อนไล่อ่านข่าวธุรกิจบนจอแท็บแล็ตไปเรื่อย “ใช่คนที่วิ่งตัดหน้ารถรึเปล่านั่น”
ภาคินก้มหน้ารับ บอกไปตามตรง
“ครับ คนนั้นล่ะ”
“สวยเหรอ” บิดาบุญธรรมเงยหน้ามอง นึกสนอกสนใจขึ้นมา
“ก็น่ารักดี แต่จริงๆ แล้ว ผมแค่อยากจะช่วยเธอ”
เสี่ยมหรรนพเลิกคิ้วถามอย่างรู้ทัน
“เรื่องเงิน?”
“ครับ บ้านเธอเป็นหนี้ ผมเลยอยากช่วย”
“ระวังนะ ผู้หญิงไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ก็ชอบปอกลอก มารยาร้อยเล่มเกวียน ดูให้ดีๆ แล้วกัน”
“ไม่หรอกครับป๊า” ภาคินปฏิเสธหนักแน่น “ผมมั่นใจว่าเธอไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“งั้นก็ช่วยเท่าที่ไหวแล้วกัน” เสี่ยมหรรนพเอ่ยยิ้มๆ ก้มหน้าลงสนใจเนื้อข่าวบนจอแท็บแล็ตอีกครั้ง “แต่ช่วยแล้ว อย่าให้ขาดทุน คินต้องตักตวงความสุขมาจากหล่อนเยอะๆ นา”
“ป๊าครับ…” ถูกแซวเข้าหน่อย ชายหนุ่มก็ไม่อาจปกปิดความเขินอายที่ทำให้ใบหูแดงก่ำได้อีก “ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้น”
คราวนี้เสี่ยมหรรนพถึงกับวางแท็บแล็ตลงบนโต๊ะ ขยับร่างอวบอ้วนเข้าไปใกล้ภาคิน ถามชัดๆ
“จริงจังกับหล่อนงั้นรึ!”
ชายหนุ่มก้มหน้ารับ อมยิ้มน้อยๆ
“แหม ชักอยากจะเห็นหน้าซะแล้ว ถ้ายังไง อย่าลืมชวนหล่อนไปหาป๊าที่ชลบุรีบ้างนะ”
“ครับ”
ภาคินคลี่ยิ้มกว้าง เสี่ยมหรรนพเองก็รู้สึกปลื้มไปด้วย ที่ลูกบุญธรรมผู้แสนเย็นชาของเขายิ้มได้
“ไปเถอะ เดี๋ยวป๊าก็จะกลับชลบุรีแล้วเหมือนกัน”
ตกลงกันเสร็จสรรพ ภาคินก็ลุกจากโซฟา เขาตรงไปที่รถ ขับบึ่งออกจากบ้านทันที ใจเขาร้อนรนอยากให้ถึงเลาจน์เร็วๆ
ไม่ถึงชั่วโมง รถก็มาจอด ณ จุดหมายที่เขาตั้งใจ ชายหนุ่มมุ่งตรงเข้าไปในข้างใน ก้าวพรวดๆ มุ่งหน้าไปหานัท เซลล์ฯ ของมิรันดา
นัทยกมือไหว้ ภาคินไหว้ตอบ ถามถึงสาวน้อยที่อยากพบเจอที่สุด
“หมิวล่ะ”
นัทกลับทำหน้าผิดหวัง แล้วบอก
“น้องหมิวไม่อยู่ฮะ วันนี้ลา”
ภาคินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ถามเสียงเข้ม
“ไปไหน”
“เห็นน้องบอกนัทว่าไปโรงพยาบาลนะ”
“โรงพยาบาลไหน เป็นอะไร”
“นัทก็ไม่ทราบนะว่าเป็นอะไร นัทรู้แค่ว่าน้องไปที่โรงพยาบาล…ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม…”
ภาคินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินทางไปโรงพยาบาลที่นัทบอกทันที
ชายหนุ่มนึกห่วงเธอขึ้นมา ในใจกระวนกระวาย และหวังว่าจะไม่ได้ป่วยหนักอะไร
เป็นอีกครั้งที่เขาขับรถอย่างรวดเร็ว พอจอดรถได้ ก็เหวี่ยงตัวเองลงมา
เขาเร่งฝีเท้าไปยังแผนกต้อนรับของโรงพยาบาล
ทว่า…ตอนจะเดินเข้าไป ประตูลิฟต์ซึ่งเปิดออก ได้เผยให้เห็นคนที่เขาแค้นมาโดยตลอด!
ภาคินเหวี่ยงตัวหลบในมุมอับสายตามุมหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่พิทักษ์และผกามาริน หยุดยืนเพื่อพูดคุยกันก่อน
“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ”
“ไม่หรอก พ่อแค่…พ่อแค่ยังทำใจไม่ได้”
ภาคินเงี่ยหูฟังทุกประโยคอย่างตั้งใจ แม้ได้ยินไม่ชัด แต่ก็พอจับใจความได้เป็นเรื่องเป็นราว
“พ่ออย่ากังวลเลยค่ะ น้องก็แค่นอนหลับ ไม่ได้ตายเสียหน่อย”
“เป็นเจ้าชายนิทรา ไม่ตายก็เหมือนตาย จะฟื้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เงินจะรักษาน้อง เราก็ไม่มี”
ผกามารินเงียบ ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาปลอบประโลม เธอได้แต่มองพ่อสะอื้นไห้ทั้งน้ำตา
ทางเดียวที่จะช่วยให้พ่อมีเงิน คือเธอต้องทำงาน งานที่ได้เงินเยอะพอให้ใช้หนี้ และรักษาน้องไปพร้อมกัน…
“พ่อให้ผึ้งไปทำงานนั้นก็ได้นะคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างหมดปัญญาจะหาหนทาง “งานที่เจ้าหนี้เสนอมาให้ ไปนวดที่เมืองนอก เงินน่าจะดีมา…”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบแก้มนวลดังจนภาคินเบิกตาโพลง เขาตกใจทีเดียว ต่อสิ่งที่พิทักษ์กระทำลงไป
“เลิกพูดบ้าๆ เถอะผึ้ง แค่เมืองถูกเจ้าหนี้ทำร้าย จนเป็นเจ้าชายนิทรา พ่อก็เสียใจพอแล้ว นี่ยังจะให้พ่อกระอักเลือดตายอีกหรือไง พ่อขอร้องล่ะ อย่าทำให้พ่อรู้สึกผิดกับพวกหนูมากไปกว่านี้เถอะ!”
“แต่พ่อคะ เงินตั้งสิบกว่าล้าน ผึ้งกลัว กลัวเจ้าหนี้จะทำร้ายพ่อ เหมือนที่ทำร้ายมาเมือง”
“เราตกลงเรื่องนี้กันแล้วนะ” พิทักษ์กุมขมับ เดินวนไปเวียนมา ครุ่นคิดหาทางออก “พ่อจะลองคุยกับเสี่ยหมูดู ให้แกช่วยผ่อนผันกับลูกชายให้ก่อน น่าจะดี”
ใบหน้าเศร้าสร้อยปรากฏรอยแค้นขึ้นในแววตา ผกามารินประกาศกร้าวออกไป
“เสี่ยจะต้องรู้เห็นเป็นใจกับลูกชายที่ชื่อภาคินนั่นแน่นอน ต่อให้พ่อไปพูดยังไง ผึ้งว่ามันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พ่อลูกกัน เชื้อขี้โกงคงไม่ทิ้งแถวไปไกล”
ถ้อยคำหยามเหยียดของหญิงสาว ทำให้เขารู้สึกเดือด ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ข่มความขึ้งโกรธ
ว่าแต่…เขาโกงหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่
ชายหนุ่มกดหัวคิ้วลงหนัก เริ่มไม่ชอบมาพากล ก่อนจะนึกออก เขาคาดว่ากษิดิศ มือขวาคนสนิทของเขา น่าจะเป็นตัวต้นเหตุ
คิดให้แล้ว ภาคินก็ย้อนกลับไปที่รถอีกครั้ง เขาติดเครื่องยนต์ ขับกลับบ้านอย่างเร่งร้อน จึงไม่ทันเห็นว่ามิรันดา เพิ่งลงจากลิฟต์มาพบปะพี่สาวและพ่อเลี้ยง
ความคิดเห็น