คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ต อ น ที่ 2 [1/3]
ทันทีที่บทเพลงเคารพธงชาติดังขึ้น มิรันดาก็มาต่อแถวเป็นคนสุดท้ายของห้องเรียนพอดี
การขับร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และแผ่เมตตาหน้าเสาธง คือกิจวัตรประจำวันของเหล่านักเรียน ปกติมิรันดาไม่เคยแผ่เมตตาให้ใคร แต่วันนี้ เธอจะแผ่เมตตาให้พวกสารเลว ที่ทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนวุ่นวาย
‘สาธุ…ชาติหน้า อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย!’
สาวน้อยเป่าลมใส่มือที่พนมไว้กลางอกเพี้ยง หลับตา ทำปากมุบมิบ จนไม่ทันสังเกตว่า ‘หมอนั่น’ เดินมาข้างหลัง กำลังง้างมือ แล้วฟาดลงกลางหลังเธอดังปึ้ก!
“โอ้ย!”
มิรันดาส่งเสียงร้องลั่น จนอาจารย์ยืนคุมแถว จ้องมองมาเป็นเชิงดุ เธอหันขวับไปหาคนก่อเหตุ ตาเขียวปั๊ด ก็พบภาคภูมิ เพื่อนสนิทที่ยกมือไหว้ ปั้นหน้าทะเล้นใส่อาจารย์ที่เริ่มเขม่นมอง
“หาเรื่องโดนครูด่าแต่เช้านะแก” เธอค้อนเขาวงใหญ่ “มาสายไม่พอยังจะแกล้งฉันอีก”
“สายแล้วไงใครแคร์วะ” ภาคภูมิยักไหล่ บอกยิ้มๆ ไม่สะทกสะท้านต่อการขาดวินัยของตัวเองแม้แต่น้อย
สาวน้อยเข้าใจเหตุผลที่เขามาโรงเรียนช้า แต่บางครั้งก็เอือมระอากับพฤติกรรมนั้น เธอรู้ว่าเขารักการเล่นดนตรีเท่าชีวิต รับจ้างเล่นดนตรีตามผับทุกคืน แต่ก็ควรรู้จักหน้าที่ของตัวเองด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่ในความเป็นจริง ภาคภูมิแทบไม่จำเป็นต้องตระเวนเล่นดนตรีตามผับตามบาร์ดึกดื่นเลย เพราะที่บ้านก็ร่ำรวย ทว่าเขาเลือกจะตะลอนรับจ้างเล่นดนตรี เพียงเพราะอยากฝึกฝีมือของตัวเอง
บิดาเขาซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ของประเทศเคยคัดค้านไม่ให้ร้องรำทำเพลง แต่นิสัยเอาแต่ใจของภาคภูมิ รุนแรงจนบ้านแทบแตกเพียงเพราะพ่ออยากให้เขาเรียนการเมือง ไม่อยากให้ยึดอาชีพที่ลอยไปลอยมา ไม่มีแก่นสารใดๆ อย่างการเล่นดนตรี
เขาพยายามพิสูจน์ให้พ่อเห็นทุกวัน รวมถึงการหาเงินใช้เอง โดยไม่ขอท่านสักสลึงเดียว
มิรันดามองหน้าภาคภูมิแล้วยิ้มอย่างปลื้มใจ ก่อนจะนึกได้ว่า เธอมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขาโดยเร็ว
“วันนี้ แกไปเล่นดนตรีที่เลาจน์พี่แกรึเปล่า”
เด็กสาวเอ่ยถามภาคภูมิระหว่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น รอท่านผู้อำนวยการพูดเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียน เขาหรี่ตามองเธอด้วยความแปลกใจ
“เออเว้ย ปกติไม่ยักสนใจถาม วันนี้นึกไงอยากรู้วะ”
“เอาเหอะ ฉันถามแกก็ตอบ”
“ไป” เขาทำหน้าเบื่อ “วันนี้มีคิวเล่นฟรี ที่ร้านไอ้พี่พีช พี่ภีม”
ภาคภูมิมีพี่ชายพ่อแม่เดียวกันอยู่สองคนซึ่งเป็นฝาแฝด พี่ชายทั้งสองของเขาลงขันกันเปิดสถานบันเทิงที่เรียกได้ว่าใหญ่โตที่สุดในย่านกลางคืนแห่งหนึ่ง
สถานบันเทิงของพี่ชายภาคภูมิเป็นเลาจน์ ที่มีทั้งผับและคาราโอเกะ ลูกค้าส่วนใหญ่คือคนรวยกระเป๋าหนัก และที่นั่น…ก็มีงาน ซึ่งมิรันดาสนใจเป็นพิเศษ
เธอเลียบเคียงถามเพื่อน ด้วยเสียงเบาเกือบกระซิบว่า
“แล้วร้านพี่แก…เขารับสมัครเด็กนั่งดริงค์ พีอาร์ พริตตี้อะไรแบบนี้มั่งปะ”
“ฉันก็เห็นร้านมันรับหมดแหละ” เขาตอบ แต่ก็มองเธออย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่ ไม่ใช่เธอนึกอยากจะทำงานนี้ขึ้นมาเสียล่ะ “แกถามทำไมเนี่ย”
มิรันดายิ้มพราย ตากลมโตเบิกกว้าง
“พาฉันไปสมัครหน่อยสิ”
ภาคภูมิแทบผุดลุกจากพื้นที่นั่งอยู่ เขาตกใจประกายตาของมิรันดา มากกว่าคำพูดเธอเสียอีก
“บ้า!” เขาสบถ “คิดอะไรตื้นๆ”
“น่าแก…พาฉันไปหน่อย…น้า…ฉันอยากได้งานทำ”
เสียงออดอ้อนของเพื่อนสาวไม่ได้ทำให้ใจอ่อน เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่มีทางยอมให้เธอที่เขาแอบรัก…เข้าไปอยู่ในแหล่งอโคจรเด็ดขาด!
ภาคภูมิคัดค้านด้วยการเหน็บแนมเพื่อนสนิท
“กะโปโลอย่างแก ร้านพี่ฉันคงไม่รับหรอก ดูสิ นมก็แบน ดั้งก็หัก”
“ไอ้พอร์ช! ไอ้ปากหมา!”
มิรันดาผรุสวาทพลางหยิกเนื้อขาวๆ ตรงแขนเพื่อน เธอโกรธจนตาเขียวปั๊ด
“โอ้ย!” ภาคภูมิครางโอดโอยอย่างเจ็บปวด ครั้นอาจารย์หันมาเขม่นมองอีก เขาก็เบาเสียงลง กระซิบบอก “ฉันพูดจริงเว้ย ถ้าแกสวย ป่านนี้มีคนมาจีบไปแล้ว”
“ไอ้-พอร์ช!” คราวนี้ สาวน้อยเปลี่ยนมากำหมัด ตั้งท่าจะต่อย แต่ก็ทำได้แค่ค้างกำปั้นไว้ในอากาศ เธอเห็นอาจารย์ยกไม้เรียว ตีลงบนมือท่านแปะๆ “ไม่ใช่ไม่มีคนจีบ แต่หัวใจฉันมีคนจองแล้วต่างหาก!”
“ใครอะ!” เขายื่นหน้ากวนๆ มาถามอย่างสอดรู้
มิรันดาดันหน้าหล่อๆ ของภาคภูมิออกไป หมอนี่คงไม่รู้เลย ว่าการกระทำของเขาทำให้เธอใจเต้นแรง!
ก็เขานั่นแหละ คือเจ้าของหัวใจเธอ มาตั้งแต่สมัยเข้าเรียนมัธยมฯ
“อย่านอกเรื่องสิ!” สาวน้อยแหวใส่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย “เอาเป็นว่าตอนเย็น แกต้องพาฉันไปสมัครงานที่เลาจน์พี่แก”
“ไม่เอา!”
“แต่ฉันต้องใช้เงินนะ นี่พอร์ช ถ้าแกไม่ช่วยฉันละก็…งานนี้ แกได้ซื้อชุดดำ ใส่ไปเผาผีฉันแน่ๆ”
ภาคภูมิที่กอดอก เชิดหน้า ทำเป็นไม่สนใจคำร้องนั้น หันขวับกลับมามองเธอ ความเป็นความตายทำให้เขาเมินเฉยไม่ได้อีกต่อไป
“หมายความว่าไง”
เด็กสาวตัดสินใจเล่าเรื่องหนี้นอกระบบให้เขาฟังทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องที่ผกามาริน ถูกเจ้าหนี้ข่มขู่
ภาคภูมิอ้าปากค้างกับจำนวนเงินที่รวมแล้วทั้งต้นทั้งดอก เขายิ่งตะลึงมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอบอกว่ากำหนดคืนเงิน ก็คือต้นเดือนหน้าที่จะถึงนี้แหละ
“แล้วแกจะบ้าจี้จ่ายมันทำไมวะ ทั้งที่รู้ว่ามันโกงสัญญา”
“ก็ฉันไม่รู้จะทำไงแล้วไง เงินไม่ใช่น้อย ถ้าหนีก็คงถูกตามฆ่า ถ้าไม่จ่ายตังค์ พี่ผึ้งก็จะถูกพาไปอยู่ร้านนวดกระปู้”
“แต่มันตั้งสิบกว่าล้านเลยนะ ถ้าแค่แสนนึง ฉันก็พอจะช่วย…” แล้วเขา ก็ทำหน้าเหมือนฉุกคิดบางอย่างได้ “เออๆ เอางี้ เดี๋ยวลองไปยืมตังค์พ่อมาให้”
“ไม่ต้องเลย” มิรันดาโบกมือห้าม “ฉันไม่อยากให้แกทะเลาะกับพ่อ พ่อแกคงฆ่าตาย ถ้ารู้ว่าแกยืมเงินเป็นล้าน มาให้ผู้หญิงใช้หนี้”
“ทะเลาะก็ทะเลาะดิวะ” เขาโพล่งเสียงดัง เมื่อนึกถึงพ่อ ที่ควักเงินให้สาวซึ่งหิ้วจากเลาจน์ มานอนกก เย้ยวิญญาณแม่ในบ้าน “ปกติฉันก็ทะเลาะกับพ่อทุกวันอยู่ละ เรื่องผู้หญิงหากินที่หิ้วมานอนค้างในบ้าน”
“ยังไงก็ช่างเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก ถ้าแกอยากจะช่วย แค่พาฉันไปสมัครงานก็พอแล้วแหละ”
“แต่งานแบบนั้นต้องโดนจับนู้นจับนี่นะ แกไหวเหรอ” เขาถามหยั่งเชิง
มิรันดาที่คิดเรื่องนี้มาแล้วทั้งคืน ตอบกลับเพื่อนแบบไม่ลังเล
“ฉันทนได้ ยังไงก็ดีกว่าเห็นพี่ผึ้งถูกพาไปขายตัวใช้หนี้”
“แล้วแกจะเก็บทันเหรอ งั้นตั้งสิบห้าล้านนะโว้ย” เขาหาเรื่องมาคัดค้าน เพราะไม่อยากให้เพื่อนทำงานประเภทนี้ “งานมันเงินดีก็จริง แต่ก็ใช่จะหาทันได้”
“ทันสิ!” สาวน้อยบอกอย่างมั่นใจ “ถ้าพ่อฉันได้ขายบ้านของแม่พี่ผึ้ง แล้วร้านกาแฟของพี่ผึ้งมีคนมาเซ้งต่อ เงินที่ได้ก็คงประมาณสิบล้านกว่า ฉันช่วยหาอีกนิดหน่อย ก็น่าจะครบแล้วแหละ”
“งั้นเอางี้ เงินเก็บฉันมีอยู่แสนนึง เดี๋ยวฉันเบิกมาให้แก เอาไปใช้หนี้ด้วยละกัน”
“โอ้ย ไม่เอาหรอก…”
มิรันดาปฏิเสธเพื่อนเพราะเกรงใจ ทว่าเขาก็ดักคอเธอ
“ถ้าแกไม่เอา ฉันจะไม่พาแกไปทำงานที่เลาจน์พี่ฉัน”
สาวน้อยกลัวเขาไม่พาไปสมัครงาน ก็รีบยกมือปิดปาก ไม่คิดจะปฏิเสธอีก ก่อนพยักหน้ารับหงึกๆ
ความคิดเห็น