ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจรักสลักแค้น (E-book)​

    ลำดับตอนที่ #12 : ต อ น ที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 63


    5

    ในห้องที่รายล้อมด้วยตู้หนังสือและตู้เซฟ ตรงโต๊ะทำงานไม้สักเงาวับกลางห้อง ภาคินกำลังนั่งเอาศอกตั้งชันกับโต๊ะ มือประสานกันไว้ใต้คาง สายตาจับจ้องบานประตูที่เปิดเข้ามา

    กษิดิศ ลูกน้องที่ยอมตายถวายชีวิตให้เจ้านาย ตรงเข้ามาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานไม้สักทันที เขาก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง เพราะคาดว่ามิใช่เรื่องดีแน่ ที่ถูกเรียกตัวมา

    บรรยากาศในห้องเงียบอยู่สักพัก ก่อนภาคินจะเปิดประเด็นตรงๆ

    “ผู้ชายคนนั้น…ที่ป๊าแนะนำมา คนที่ฉันให้นายดูแลเป็นพิเศษ เป็นยังไงบ้าง”

    ภาคินหมายถึงพิทักษ์ ลูกหนี้รายใหม่ที่มอบหมายให้กษิดิศดูแลเรื่องสัญญา

    ทุกครั้งภาคินจะจัดการส่วนของสัญญาด้วยตัวเอง แต่พิทักษ์ ผู้เป็นความหลังฝังใจ ทำให้เขาเลี่ยงพบหน้าโดยตรง เขาจึงยกหน้าที่ให้กษิดิศจัดการ ทว่าลูกน้องอาจทำเกินคำสั่ง เขาถึงถูกสองพ่อลูกตราหน้าว่าโกง

    กษิดิศเหลือบตาขึ้นมองภาคิน พอเห็นแววจ้องจับผิดจากเจ้านาย ก็หลุบตาต่ำเช่นเดิม

    เขาตอบไม่เต็มเสียงออกไป

    “ก็ดี ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”

    “โกหก!” ภาคินตบโต๊ะปังไม่พอใจ“บอกมา นายทำอะไรสองพ่อลูกนั่น”

    กษิดิศหน้าซีดลงชัดเจน ภาคินรู้ความจริงเสียแล้ว ส่วนเขาจะแก้ตัวอย่างไรดี

    “คือผม…”

    ภาคินหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากลิ้นชักแล้ววางบนโต๊ะ นี่คือสัญญาของพิทักษ์ที่ให้กษิดิศร่างแทน เขาถาม พลางเอานิ้วเคาะกระดาษเบาๆ

    “อธิบายมาว่านี่คืออะไร”

    เห็นกระดาษสัญญา กษิดิศก็ตัวหดเหลือสองนิ้ว เขาผงกศีรษะปลกๆ สำนึกผิด

    “ผมขอโทษครับคุณคิน ผมก็แค่…อยากจะแก้แค้นนายพิทักษ์”

    ภาคินคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ หลังจากนำสัญญามาตรวจสอบดู ก็พบว่านี่ไม่ใช่สัญญาตัวจริง แต่เป็นฉบับใหม่ที่มีการแก้ไขตัวเลขดอกเบี้ย และข้อตกลงต่ำช้าเข้าทำนองค้ามนุษย์ ซึ่งไม่ได้มีในฉบับแรก

    เขาใช้นิ้วนวดคลึงขมับอย่างกลัดกลุ้ม บอกว่า

    “นายกำลังทำให้แผนของฉันพัง…”

    “แผน?” กษิดิศถามย้ำ ทำหน้างุนงงทีแรก แต่เมื่อทำความเข้าใจได้ ก็โพล่งว่า“ก็นี่ไงละครับแผน แผนที่จะเอาคืนนายพิทักษ์ ให้สาสมกับที่ทำเราสองคนไว้!”

    ภาคินโคลงศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยอ่อน ระบายลมหายใจหนัก

    “ฉันอุตส่าห์ปล่อยกู้ให้สองพ่อลูกนั่นด้วยดอกเบี้ยถูกๆ เพื่อดึงเอาไว้ใกล้ตัว รอเวลาแก้แค้นด้วยตัวเอง แต่แผนของนาย ทำให้สองคนนั้น เกลียดฉันมากกว่าไว้ใจ”

    “ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยครับ” กดิษิศไม่อาจเข้าใจความคิดเจ้านาย “หรือที่คุณคินยังไม่กล้าทำอะไร ก็เพราะคนพวกนั้นเป็น…”

    ภาคินรีบสวนกลับ ไม่รอให้ลูกน้องได้เอ่ย

    “ถ้าพูดออกมา ฉันจะฆ่าแก”

    กษิดิศหุบปากฉับ เมื่อเกือบจะหลุดคำต้องห้ามออกมา นี่เป็นความลับที่เขารู้กันสองคนกับภาคิน

    “ยังมีอีกเรื่อง ที่ฉันต้องเฉ่งนาย เรื่องที่เอาลูกน้อง ไปรุมทำร้ายลูกของผู้ชายคนนั้น จนเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว”

    “ผมขอโทษครับ” ลูกน้องบอกเสียงอ่อย สีหน้าสลด

    “เด็กคนนั้นไม่เกี่ยว นายไม่ควรไปทำร้ายเด็ก ลองนึกถึงตอนที่นายถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกายสิ นายเจ็บรึเปล่า”

    ภาคินพูดจี้ใจดำ กษิดิศนึกถึงคราวที่อาศัยกับพ่อแม่ แล้วถูกทุบตีทุกวันจนต้องหนีออกจากบ้านมา เขาก้มหน้ารับเศร้าๆ สำนึกแล้วในสิ่งที่กระทำลงไป

    ภาคินก็เห็นใจลูกน้องมือขวาคนนี้ จึงไม่คิดต่อว่าเพิ่มเติม เขากับกษิดิศไม่ต่างจากพี่น้องร่วมสายเลือด ที่ต่อสู้มาด้วยกันนานนม

    “เอาเป็นว่า ฉันจะให้นาย ไปจัดการดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลของเด็กคนนั้นแล้วกัน ส่วนเรื่องความแค้น ขอให้ฉันจัดการเอง”

    กษิดิศพยักหน้ารับ ก่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาคิดหนัก ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี แต่สุดท้าย ก็ลองถามเจ้านาย

    “แล้วคุณคิน คิดรึยังว่าจะแก้แค้นยังไง อย่าลืมนะครับ ว่านายพิทักษ์ เคยยิงคุณคินจนเกือบตาย”

    “คิดแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้อยากจะจองเวรอะไรผู้ชายแก่ๆ คนนั้นนักหรอก คนที่ฉันอยากเอาคืน คือตัวต้นเหตุ ที่ทำให้ผู้ชายคนนั้น ปฏิเสธการมีตัวตนของฉันมากกว่า”

    กษิดิศกดหัวคิ้วครุ่นคิด ก่อนนึกถึงลูกสาวคนสวยของพิทักษ์

    “ผกามาริน…ใช่มั้ยครับ”

    “ใช่” ภาคินตอบรับเสียงเย็น“ถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้นสักคน ฉันกับแม่ ก็คงไม่ถูกทิ้ง”

    ภาคินกล้ำกลืนความเจ็บช้ำลงคอ…เมื่อนึกถึงมารดา ผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ

    แม่คือคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ในตอนที่ยังเยาว์วัย จนวันที่แม่ตาย ความรู้สึกของเขาก็ตายตาม เขากลายเป็นคนเงียบขรึม จากเคยยิ้มสดใส ก็ยิ้มน้อยลง จนหายไปหลังถูกพิทักษ์ยิง หัวใจของเขาปิดตาย อยู่เพื่อใช้ชีวิตอัปยศให้หมดไปวันๆ

    พอนึกถึงรอยยิ้มของแม่ ภาพรอยยิ้มของมิรันดาก็ซ้อนทับขึ้นมา…สาวน้อยคนนั้น ทำให้หัวใจของเขาพองโต

    ภาคินออกคำสั่งกับกษิดิศ ที่กำลังจะออกจากห้อง เพื่อเดินทางไปโรงพยาบาล เขาขอให้กษิดิศลองตรวจสอบดู ว่ามีผู้หญิงที่ชื่อมิรันดา ได้เจ็บป่วยหรือนอนพักรักษาตัวบ้างหรือไม่ เพราะหลังเจอสองพ่อลูก เขาก็ลืมสาเหตุที่ไปโรงพยาบาล

    กษิดิศรับปากว่าจะถามให้เมื่อไปถึงทันที แม้จะรู้สึกตะหงิดๆ กับชื่อที่เจ้านายวานให้เช็กกับโรงพยาบาล

    แต่เมื่อถึงแล้ว ก็พบว่าไม่มีคนไข้ชื่อนี้เข้ามารักษาเลย กษิดิศโทร.บอกเจ้านาย แต่มิได้บอกว่ามิรันดา…มีชื่อเหมือนเดียวกับลูกเลี้ยงของนายพิทักษ์ แทบจะทุกตัวอักษรจริงๆ

     

    มิรันดายังคงมาทำงานที่เลาจน์ตามปกติ แต่วันนี้มีเรื่องกลุ้มใจทำให้ยิ้มไม่ออก หลังทราบถึงอาการป่วยของมาเมือง ที่ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา

    อาการนี้ต้องมีเงินค่ารักษาพอสมควร เป็นเจ้าชายนิทรา ไม่ตายก็เหมือนตาย

    มาเมืองจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่ขยับตัว เธอสงสารน้อง สงสารพ่อ ที่ต้องทุกข์ใจเพราะลูกชายไม่อาจกลับมาใช้ชีวิตได้ตามเดิม

    เรื่องเงิน ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่โต

    คฤหาสน์ที่ประกาศขาย ก็ยังไม่มีใครติดต่อมา งานของเธอ ถ้าไม่มีภาคิน ก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นมาติดพัน

    มิรันดาซบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองขณะนั่งรวมอยู่กับเพื่อนร่วมอาชีพ ทุกคนมีลูกค้าประจำมากมายหลายหน้า…ส่วนเธอ ลองวันนี้ภาคินไม่มา ก็คงนั่งแห้ว

    เธอนึกสมเพชในชะตาชีวิตของตัวเองมาก เธอเคยฝันจะเป็นดีไซน์เนอร์ ทำงานออกแบบเสื้อผ้า มีร้าน มีแบรนด์ของตัวเองยึดเป็นอาชีพ มีเงินให้น้องและพ่อ ทว่าดูเธอจะเป็นได้แค่คนไร้ค่า ต้องมานั่งเรียกแขกในเลาจน์ ให้คนตราหน้าว่าใจแตกเอาได้

    คิดให้แล้วก็เหนื่อยใจ จนอยากหนีจากชีวิตบัดซบนี่!

    มิรันดาดีดผึ่งลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ เธอหลบหนีเสียงเพลงที่เปิดให้โคโยตี้เต้นรูดเสาออกไปนอกอาคาร

    เธอทิ้งตัวลงบนม้านั่งตัวเดิมที่ภาคินเคยอุ้มมาวาง เสียงรถราแล่นผ่านตลอด ทำให้ภายนอกไม่ใคร่สงบเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย ก็ไม่มีผู้คนพลุ่กพล่าน พอให้นั่งสงบใจได้

    เธอควรทำอย่างไรดี อีกไม่กี่วัน ก็จะครบกำหนดจ่ายเงินให้เจ้าหนี้จอมโหดที่เงียบไปไม่ติดต่อมา ภาวการณ์เช่นนี้ เหมาะแก่การหลบหนีจริงๆ ถ้ามาเมืองไม่ได้อยู่โรงพยาบาล

    มิรันดาผ่อนลมหายใจทิ้ง มองภาพรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ที่ขี่เข้ามาในเลาจน์

    ภาคภูมินั่นเอง เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ข้างๆ ตึก

    เขาเห็นมิรันดาพอดี จึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเธอที่กำลังนั่งทอดอารมณ์บนม้านั่งตัวยาว เขาเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง

    “ไง มานั่งอู้งานอะไรตรงนี้ล่ะ”

    ภาคภูมิแซว ทว่าคนฟังกลับไม่ขำตาม เขาเห็นเพื่อนมีสีหน้าไม่ดี ก็นั่งลงข้างๆ ถามอย่างห่วงใย

    “เป็นไรไปหมิว มีอะไรอีก ให้ฉันช่วยมั้ย”

    เด็กสาวตอบ โดยที่สายตายังคงเหม่อลอย

    “ออฟแขกดีมั้ยแก เผื่อจะได้เงินเยอะขึ้นไง”

    “เฮ้ย!” ภาคภูมิอุทานด้วยความตกใจ “ไอ้บ้า คิดตื้นๆ อย่าทำจริงเชียวนะเว้ย”

    “ก็ฉันจนปัญญาจะหาเงินแล้วแก หนี้ก็เป็น น้องก็ป่วย ไม่รู้จะหาเงินมากมายจากไหนมาได้แล้วจริงๆ ว่ะพอร์ช”

    เด็กสาวปล่อยโฮ ภาคภูมิไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย

    มิรันดาไม่ใช่คนอ่อนแอ ในมุมของเขา เธอทั้งแกร่ง และเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้ใคร แต่วันนี้ สารพัดปัญหาทำให้เธอร้องไห้ออกมา…

    ภาคภูมิวางมือลงบนไหล่เพื่อน แทนคำพูดปลอมประโลม

    วันนี้เขายอมยกเลิกงานเล่นดนตรีที่ผับ เพื่อรอคุยกับพ่อ ตั้งใจจะขอยืมเงินท่านมาให้มิรันดา แต่เหตุการณ์ก็ไม่สู้ดี กลายเป็นเขาทะเลาะกับพ่อเรื่องของเธอ

    พ่อหาว่าเขาหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ยอมเชื่อคำหว่านล้อมต่างๆ นานา

    พ่อทิ้งท้ายด้วยการดูถูกเธอให้ภาคภูมิเจ็บใจ เขาจึงยกเรื่องที่ท่านพาผู้หญิงไซด์ไลน์มานอนในบ้าน เย้ยวิญญาณแม่ที่เสียไปขึ้นมาประชดประชัน

    พ่อตบหน้าเขาสุดแรง ภาคภูมิเลยคว้าแจกันใกล้มือ ทุ่มลงบนพื้น แตกกระจาย ก่อนจะออกจากบ้านมา

    ถึงพ่อจะไม่ช่วย อย่างไรเสีย เขาก็จะทำทุกทาง เพื่อช่วยเพื่อนสาวเอง

    มิรันดาทำลายความเงียบด้วยการแค่นหัวเราะ กล่าวตัดพ้อโชคชะตาของตน

    “บางทีฉันก็คิด ว่าฉันเป็นตัวกาลกินีเหมือนกันนะ ใครอยู่ใกล้ ก็เจอแต่เรื่องให้เดือดร้อน อย่างแม่ พอคลอดฉันมา พ่อก็ทิ้ง ไม่นาน แม่ก็ตาย อุตส่าห์ได้อยู่กับพ่อเลี้ยงและพี่สาวใจดี แต่ก็ยังทำให้ท่านเจอเรื่องลำบากลำบน”

    “ไม่เกี่ยวเลย” เขาจับไหล่บางทั้งสองก่อนบังคับให้เธอหันหน้ามาทางเขา “ฟังนะหมิว แกจะต้องสู้ แกต้องไม่ท้อ ฉันจะคอยอยู่ข้างๆ แกเองนะ”

    ภาคภูมิขจัดความเศร้า ด้วยการเช็ดหยดน้ำตาบนแก้มให้เธอ ดวงตากลมโตที่จ้องมองคล้ายจะขอบคุณ เชื้อเชิญให้เขา…อยากสารภาพความรู้สึกในใจ

    “หมิว ฉัน…”

    ทั้งบรรยากาศและความรู้สึกอัดแน่นในอก สั่งให้เขาโน้มหน้าลงเรื่อยๆ ก่อนจะฝังริมฝีปากลงกับแก้มเนียนที่เปรอะหยาดน้ำตา ราวกับจะช่วยดูดซับความเศร้ามาจากเธอ

    มิรันดาเบิกตาโพลง ตัวแข็งเกร็งยามถูกภาคภูมิจุมพิตลงบนแก้มแดงๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

    พอรู้สึกตัวต่อสิ่งที่กระทำลงไป ภาคภูมิก็ถอนจูบจากแก้มของเธอ เขานึกอายขึ้นมา ต้องยกมือลูบท้ายทอยแก้เขิน พูดจาตะกุกตะกักพลางลุกขึ้นยืน

    “ฉะ ฉัน ขอโทษ!”

    แล้วเขาก็วิ่งเตลิดไป มิรันดาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตาม มือแตะที่แก้มเบาๆ

    สัมผัสอุ่นร้อนของภาคภูมิยังติดตรึงไม่จาง สาวน้อยอมยิ้ม นัยน์ตาเพ้อฝันว่าการกระทำของเขา มาจากความรู้สึกเหมือนเดียวกับเธอ

    เป็นไปได้ว่า…เขาก็ชอบเธอ ถ้าไม่ชอบ จะต้องหอมแก้มทำไม

    สาวน้อยม้วนตัวเขิน ก่อนเตือนสติตัวเอง ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไปไกล เขายังไม่ได้พูดคำว่า‘ชอบ’ หรือว่า‘รัก’ เลย อีกอย่าง เขาก็เคยหอมแก้มสาวๆ ในเลาจน์ในบาร์

    มิรันดาตบหน้าตัวเองให้หยุดมโน แต่แล้วจู่ๆ แขนเล็กของเธอก็ถูกกระชากแรง จนร่างบางกระแทกกับแผงอกกว้างของใครบางคน

    เธอเงยหน้ามองคนตัวโต ถึงได้เห็นว่าเป็นภาคิน

    “คุณคิน…”

    เจ้าของร่างสูงกัดฟันกรอด นัยน์ตาวาวโรจน์จนมิรันดากลัว เขาเอ่ยลอดไรฟัน

    “เธอโกหกฉันทำไม”

    เขาฝังความโกรธลงกับต้นแขนเธอ ภาพนั้นยังติดตา…

    ภาพที่ปล่อยให้ผู้ชายซึ่งอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทหอมแก้ม แล้วทำตัวกระดี้กระด้าหน้าไม่อาย เธอคงมีความสุข ที่หลอกเขาให้โง่งมงาย เป็นไอ้บ้าที่คิดถึงเธอทุกวัน!

    ยิ่งคิดแค้น ภาคินก็ยิ่งบีบต้นแขนเล็กนั้นแรงขึ้นเรื่อยๆมิรันดาร้องโอดโอย บิดไปบิดมาด้วยความเจ็บปวด

    “คุณคิน หมิวเจ็บ…”

    “เธอโกหกฉัน!” เขาตะคอกใส่มิรันดา “ทั้งที่ฉันเชื่อเธอ เชื่อคำพูดของเธอ”

    “หมิวโกหกอะไรตอนไหน โอ้ย…เจ็บนะ ปล่อยหมิว คุณคิน!”

    “ยังต้องให้ฉันพูดอีกเหรอ…” เขากระชากเธอเข้าหาตัวจนใบหน้าห่างกันแค่คืบเดียว “อย่าคิดว่าที่ทำกันเมื่อกี้ จะไม่มีใครเห็น”

    ทั้งที่วันนี้มีงานแต่เขาก็เจียดเวลามาหาเธอที่เลาจน์ แต่เมื่อมาแล้วไม่เจอตัว ก็ตระเวนหาทั่วร้าน ก่อนจะมาพบ ผู้หญิงส่ำส่อนที่ยอมให้ผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวกลางที่สาธารณะ!

    ภาคินเอ่ยต่ออย่างเจ็บแค้น

    “ฉันไม่คิดว่าคนแบบเธอจะโกหกเก่ง ถ้าโกหกว่าแฟนคือเพื่อนได้ เรื่องบ้านเป็นหนี้ ก็คงโกหกด้วย”

    สาวน้อยพยายามแก้ความเข้าใจผิดของเขา ด้วยการบอกว่า

    “หมิวไม่ได้โกหก พี่สาวหมิวเป็นหนี้จริงๆ ส่วนเรื่องที่คุณเห็นเมื่อกี้ก็แค่…”

    ภาคินไม่ปล่อยให้เด็กสาวแก้ตัวอีกต่อไป เขากระชากเธอเข้ามา ก่อนบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างหยาบคาย

    เขาไม่น่าหลงเชื่อเธอเลย ผู้หญิงนั้นมีมารยาร้อยเล่มเกวียน อย่างที่ป๊าบอกจริงๆ

    ภาคินถอนจูบจากริมฝีปากบางที่เริ่มแดง พูดจาประชดประชัน

    “ถ้าอยากได้เงินไปใช้หนี้ ก็ขายสิ ขายตัวเธอนั่นแหละ แล้วฉันจะจ่ายให้เธอสิบห้าล้าน ไม่หวงตัวอยู่แล้วนี่ น่าจะรับงานแบบนี้ได้”

    สาวน้อยขึงตามองค้อนอย่างเจ็บใจ ทำไมความคิดของเขาช่างต่ำตม!

    แต่พอนึกถึงคำว่าเงินสิบล้าน พลันนั้น ความคิดชั่ววูบก็วิ่งเข้ามา

    หรือเธอจะยอม ให้ภาคินทำตามต้องการ…

    ถ้าขายเรือนร่างให้เขาเพื่อแลกกับเงินก้อนโตมาใช้หนี้ ทุกคนก็จะสุขสบาย ไม่ต้องเสี่ยงว่าจะโดนขู่ฆ่าอีกต่อไป…

    เด็กสาวหลับตาลงอย่างจำยอม พร้อมหยดน้ำตาที่ไหลลงบนแก้มเนียน เธอยืนนิ่ง เงยหน้าให้เขาจูบเธอตามสบาย

    เธอยอมแล้ว…ยอมทั้งที่ในใจขมขื่นกับชะตากรรม

    หากภาคินไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งเห็นเธอทำอย่างนี้ ก็กลับยิ่งรู้สึกผิด ที่กระทำการจาบจ้วง ไม่ให้เกียรติคนตรงหน้า เขาขาดสติและโกรธมาก เพราะเธอจูบกับไอ้เพื่อนสนิทนั่น!

    “ฉัน…”

    “ทำสิ” มิรันดาบอกเสียงสั่นทั้งๆ หลับตา“คุณอยากจะทำอะไรก็ทำเลย ฉันจะได้มีเงิน ได้หลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้สักที!”

    “ไม่…” ภาคินปฏิเสธ ส่ายหน้าไปมาเบาๆ“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น”

    สาวน้อยลืมตามองคนพูด สะอึกสะอื้นไห้

    “แล้วคุณมาจูบฉันทำไม ทำแบบนี้ทำไม!”

    มิรันดาโวยวายเสียงดังพลางทุบอกเขาแรงๆ รัวๆ ระบายความคับแค้นใจ เธออยากเป็นบ้าไปเลย จะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวบนโลกที่ทำให้ทุกข์ทรมาน

    เจ้าของร่างสูงเพียงแต่มองเธอเงียบๆ และปล่อยให้เธอทำตามใจ พอเหนื่อย เธอก็หยุดมือที่ทุบตีลง แต่ยังคงร้องไห้ตัวโยน

    เขาไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร จึงดึงเธอเข้ามาสู่อกแกร่งแล้วสวมกอด

    ภาคินจุมพิตลงบนเรือนผมสีดำขลับปลอบประโลม ความอบอุ่นอ่อนโยนแผ่ซ่าน ช่วยเรียกสติสาวน้อยกลับคืน

    มิรันดาผลักร่างสูงใหญ่ออกไปจากตัว มองเขาอย่างรังเกียจรังงอน

    “หมิวเกลียดคุณ!”

    ต่อว่าต่อขานเขาแล้ว เด็กสาวก็วิ่งหนีไปทันที ภาคินมองตามคนตัวเล็กตาละห้อย นึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง ก็สมควรที่เธอจะโกรธ จะเกลียดเขาจริงๆ

    ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็อยากให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ที่โกรธจนหน้ามืดตามัว ก็เพราะตกหลุมรักเธอเข้าอย่างจัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×