ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    yaoi เมื่อความกลัวมาเยือน...

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอน5

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ย. 54


    ตอน 5

     

    ผมไม่เคยคิดจะทำตามที่มันพูด หรือสั่งเลยสักนิด........

    ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามที่มันบอก

    ผมเลือกที่กลับบ้านให้น้อยลงและ อยู่ที่คอนโดแทน.....

    ชีวิตให้รั่วมหาลัยปีหนึ่ง.....ทุกคนจะได้เรียนวิชาพื้นฐานก่อน ...และการเรียนก็ยังค่อนข้างเหมือน ม.ปลาย

    ที่ต้องเรียนตั้งแต่เช้า.....ยังค่ำ (อาจจะหนักกว่าม.ปลายก็ได้)  ผมมีเรียนตอน 7 โมงทุกวัน

    กว่าจะเลิกก็ค่ำ ยังดีที่มีบางวันเลิกแค่เย็น  แม้ว่าศูนย์การค้าจะอยู่ใกล้กับมหาลัย

    แต่พวกเราคณะแพทย์ศาสตร์แทบไม่มีโอกาสไปเดินเที่ยวเล่นอยากคณะอื่น...เขาได้เลย

     

    ช่วงอาทิตย์แรก  ที่คณะจัดกิจกรรมสำหรับสร้างสมาธิให้กับนักศึกษาโดยการไปนั่งวิปัสสนา...ที่วัดในต่างจังหวัด

    และผมก็ต้องไปด้วยเช่นเดียวกันไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น.....

    ผมยังจำได้ตอนเด็กๆ  พ่อเลี้ยงและแม่จะออกใส่บาตรกันทุกวันพระ

    แต่ผมจำไม่ได้ว่าตอนไหนกันที่พวกเราเลิกทำ กลายเป็นให้นม กับน้อย ร่วมทั้งน้าเพ็ญออกมาใส่บาตร

     

    ตอนนี้เพื่อนที่ผมคิดว่าสนิทและออกจะแปลกที่สุดตั้งแต่เคยมีเพื่อนมาคือ อุ้ม...คนที่เขามาทักผมตอนที่เรารับน้องกันนั้นแหละ

    เธอไม่เคยโกรธที่ผมทำท่าทางไม่สนใจเธอ  ...........แต่ผมรู้สึกดีเมื่อเธอมาพูดคุยด้วย...

    “สอง.....ดีเนอะที่คณะจะพาไปนั่งวิปัสสนาอ่ะ....จิตใจสงบ แถมยังได้ฟังธรรมอีก ...”  พูดพร้อมกับมองขึ้นฟ้าเหมือนกำลังจิตนาการถึงอะไรสักอย่าง

     

    ผมไม่เคยนั่งวิปัสสนา หรอกครับ  เลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ

    เราใช้เวลา 3 วันในวัดต่างจังหวัด...เป็นสถานที่ๆ สงบจริง  มีพระจำพรรษาอยู่ประมาณ 8 รูป เป็นวัดเล็กๆ

    ที่แต่ละรูปจะช่วยกันทำวัด ไม่เกี่ยวแม้แต่เจ้าอาวาส......

    ช่วงเวลาสามวันที่ผ่านไป......เหมือนทำให้ผมเห็นความจริงในชีวิต

    มีช่วงหนึ่งที่ให้พวกเรานั่งสมาธิ พร้อมทั้งอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วย.....ตอนนั้นน้ำตาผมไหลออกมา

    เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือผมของน้าเพ็ญ พ่อเลี้ยง  แม่ของผม พี่หนึ่ง และภูมิ.......

    การนั่งสมาธิทำให้ใจผมสงบขึ้นมาก แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ

     

    “สองมานั่งทำอะไรตรงนี้...” อุ้มถามขึ้น   เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ในวัดที่เราใช้นั่งสมาธิตอนช่วงหัวค่ำ

    “อุ้ม.......เราเหมือนทำอะไรบางอย่างผิด.....แต่เมื่อรู้ก็เหมือนจะสายไปแล้ว...” ผมพูดเปรยขึ้น

    “สอง  อุ้มไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้สองคิด...แต่ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้หรอก...”

    ผมไม่เคยคิดหรือพูดอะไรที่ตรงกับความรู้สึกเลย.......

    ผมไม่อยากแก้ตัวเรื่องในอดีตที่ผ่านมา.......เป็นเพราะการเทศน์ของพระวันนี้ทำให้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่เอามากๆๆ

    ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราต้องมีสิ่งที่ยึดจิตใจไว้......ซึ่งผมไม่เคยมีเลย....

    สิ่งที่ยึดผมคือ เงิน  ชื่อเสียง  และฐานะ ที่ทุกอย่างมันไม่ใช่ของผมตั้งแต่แรก

    พระท่านเทศน์เรื่อง ของทุกอย่างเอาไปไม่ได้ แต่ความดีที่เราทำไว้จะทำให้ทุกคนจดจำเราไว้ในใจเสมอ

    เมื่อผมนั่งสมาธิพร้อมกับฟังสิ่งที่พระเทศ    ผมเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง......ว่าทำไมต้องมาเกลียดภูมิด้วยในเมื่อเขาเป็นผู้โดนกระทำ

    หรือเป็นเพราะความคิดผม.....ที่ทำให้ตัวเองผิดปกติ......และทำไมผมจะต้องเกลียดภูมิคนเดียว..........

    “สอง...สอง...”  อุ้มเขย่าให้ผมตื่นจากความคิดของตัวเอง

    “อุ้ม....ถ้าเราอยากแก้ไขอดีต...ต้องทำไง..” เป็นคำถามโง่มาก....แต่ผมอยากให้อุ้มบอก....แม้ว่าจะเป็นการโกหก

    “สอง  เราแก้ไขอดีตไม่ได้..” อุ้มไม่คิดจะโกหก หรือพูดเข้าข้างผม  เธอมักจะพูดในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

    แม้ผมกับอุ้มเราจะเป็นเพื่อน ที่เรียกว่าเพื่อนกันจริงๆ ได้ไม่นาน 

    ลักษณะท่าทางของอุ้มแสดงออกถึงความจริงใจอย่างเห็นได้ชัด  

    อุ้มมีเพื่อนหลายแบบ รวมทั้งผมด้วย....แต่เธอไม่เคยแบ่งแยก  ฐานะของเพื่อนๆ ไว้เป็นระดับเหมือนผม

    ซึ่งนั้นทำผมให้ผมรู้สึกผิดในตอนแรกที่คิดกับอุ้มแบบนี้

    “อุ้ม  ขอบใจมากนะที่ไม่โกหกเรา....”

    “สอง แต่เราสามารถทำอนาคตได้...เพียงเราจริงใจนะ...” เหมือนเธอจะย้ำให้ผมฟัง

    ผมว่าเธอคงรู้สึกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผมแน่ๆ  หรืออาจเป็นความเห็นใจก็ได้....

     

    3 วันนี้  ผมสบายใจมากที่ได้รู้ ได้เห็น  และได้ข้อคิดอะไรมากมายเกี่ยวกับชีวิต และการทำความดี.....

    ผมอยากเปลี่ยนตัวเองจัง.......

     

    +++++++++++++++++++++++++

     

    วันนี้ผมเลิกเร็ว  เล็กตั้งใจจะกลับบ้านเพื่อไปดูความเรียบร้อยของบ้านหน่อย

    ในใจก็เป็นห่วงพ่อที่ไม่สบายอยู่....เพราะตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม แม้ว่าผมจะกลับบ้านแต่ก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย

     

    ผมเดินขึ้นชั้นบนเพื่อเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน เป้าหมายของผมคือการไปเยี่ยมพ่อ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก

    ผมเดินเข้ามาในห้อง ซึ่งเห็นพยาบาลกำลังเอาอะไรบางอย่างใส่ในข้าวต้ออยู่

    เอ๊ะ...นั้นยาอะไร   ......................

    “คุณพยาบาลเชิญข้างนอกหน่อย...”  ผมเรียกเขาออกมาเพื่อพาเดินไปยังห้องของผมเอง

    “ผมเห็นคุณใส่อะไรไว้ในอาหารพ่อผม...” คำถามที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  ทำให้สีหน้านางพยาบาลเปลี่ยนไปทันที

    “ไม่มีอะไรนิค่ะ  คุณสอง..ดิฉันไม่ได้ใส่อะไรเลย...” คำปฏิเสธ....ทำให้ผม  ผลักตัวเขาเข้าหากำแพง

    อีกมือก็ล้วงเข้าไปยังกระเป๋ากระโปรงที่นางพยาบาลใส่อยู่เป็นประจำ

    “แล้วนี่มันอะไร....คุณทำอะไรพ่อผม...ถ้าคุณไม่บอกผมจะแจ้งความ...”

    “ยะ....อย่านะคะ...แม่คุณให้ดิฉันทำ....ฉันเพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น..”

    “มันคืออะไรบอกผมมา..ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน...”

    “มันเป็นยาที่ทำให้ซึมเศร้า...แต่ดิฉันใส่สั่งนิดหน่อย..เท่านั้น.....”

    “คุณผมมันมานานหรือยัง.........”

    “...............”

    “ผมถามว่าคุณทำมันมานานหรือยัง..........”

    “ค่ะ.........ตั้งแต่คุณท่านเริ่มป่วยค่ะ........”

    5 ปี....  คุณทำอย่างนี้มาตลอด 5 ปี.....”  ความโกรธทำให้ผมตบเธอ

    “คุณสอง....แม่คุณสั่งให้ฉันทำ.....”  นั้นเป็นเสียงเหมือนจะโยนความผิดให้แม่ผม...ซึ่งผมก็ไม่เคยคิดว่าแม่จะทำได้จริง

    เพราะ พวกผมสามารถมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะ พ่อกับแม่รักกัน  เรามีอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะพ่อที่รักแม่

     

    ผมยืนจมอยู่กับความคิดของตัวเอง  ถ้าผมสั่งให้หยุดก็จะต้องมีอะไรแบบอื่นที่ทำให้พ่อไม่สามารถฟื้นตัวได้

    ผมจะทำอย่างไงดี............ความเป็นห่วงเกิดขึ้นเมื่อพูดถึงพ่อที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ  แต่ผมก็รักท่านเหมือนพ่อของผมคนหนึ่งจริงๆ

    ถ้าไล่พยาบาลคนนี้ออกไป  แม่ก็ต้องจ้างมาใหม่  ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านิสัยใจคอจะเลวเหมือนแบบนี้ หรือ ยิ่งกว่า

     

     

    “คุณให้พ่อกินทุกวันเลยหรอ...” สีหน้าผมเรียบนิ่ง เหมือนกับตัวเองรับสภาพได้แล้ว

    “มะ....ไม่ค่ะ  อาทิตย์หนึ่งก็จะให้กินวันเว้นวัน...”  เหมือนเธอจะยอมสารภาพแต่โดยดี

    “นั้น.....ต่อไปนี้ คุณก็ทำเหมือนเดินนั้นแหละ  ใส่ลงไปเหมือนเดิม....แต่ผมจะเป็นคนป้อนพ่อเอง....หรือคุณอยากจะติดคุกโทษฐานเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด...”  ผมแกมบังคับเธอ

    มีเพียงสีหน้าระคนแปลกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอเท่านั้น

    หรือเธอคิดว่าผมยอมร่วมมือกับเธอจริงๆ

    “จำไว้.....ว่าเรื่องนี้...อย่าให้แม่รู้เด็ดขาด....ผมเชื่อว่าถ้าแม่รู้  คุณอาจต้องถูกไล่ออก..โทษฐานทำงานพลาด..แต่ผมจะช่วยคุณเอง......”  ผมชักจูงเพื่อให้เธอเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะช่วยเธอ ให้เธอคิดว่าผมคิดจะฆ่าพ่อตัวเองเหมือนกัน

     

    ข้อตกลงของเราสำเร็จด้วยดี......ผมจะเป็นคนป้อนอาหารนั้นให้กับพ่อผมเอง.....

    และวันนั้นผมก็แสดงบทบาทนั้น  ผมที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้....อาหารมื้อนั้นผมเป็นคนป้อนเองต่อหน้าพยาบาล

    และพ่อที่นอนป่วยอยู่.........

    ผมกลับมาบ้านวันเว้นวัน  เพื่อมาป้อนมาหารให้ท่านได้ทาน  โดยมีนางพยาบาลเป็นคนใส่และยืนมองอยู่ห่าง

    ยิ่งผมทำมากเท่าไหร่   หัวใจของผมยิ่งบีบคั้น เหมือนคนเป็นโรคหัวใจที่เจ็บปวดอยู่

    ผมทำให้เธอไว้วางใจในตัวผม  ซึ่งใช้เวลานานอยู่เหมือนกันที่เธอเริ่มจะเชื่อว่าผมต้องการฆ่าพ่อเหมือนกับแม่ของผม

    “ออกไปก่อน  ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อ....เดี๋ยวผมจะป้อนอาหารเอง...”  ผมสั่งพยาบาลที่ดูแลพ่อออกไป

    ซึ่งเธอก็ยอมออกแต่โดยดี  ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

     

    ผมจัดการอาหารมื้อนั้นด้วยตัวเอง......อาหารถูกกินเข้าในปากผมด้วยมือคู่นี้

    ภายในกระเป๋าที่ผมถือไปเรียน มีข้าวต้มอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นอาหารประจำที่พ่อต้องกินเสมอ

    ผมเปลี่ยนข้าวต้มเป็นของชุดใหม่ที่เตรียมมา....และป้อนพ่อผมเสียใหม่

     

    ตอนนี้ผมใช้เวลากับพ่อมากขึ้นเพื่อจัดการอะไรบางอย่าง...  แถมยังต้องคอยดูแลเรื่องบ้านอีก

     

    แม้ว่าตอนนี้แม่ผมจะไปบ่อน 5 วันต่อสัปดาห์ก็ตาม  แต่เหมือนท่านจะหยุดที่จะดูแลบ้านให้สวยใหม่ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

    “อาการของพ่อค่อยดีขึ้น....ซึ่งมันจะเป็นปัญหาถ้านางพยาบาลสั่งเกต.....”

    ช่วงหลังมานี้ ไม่ค่อยมีใครอยู่บ้าน ทำให้สิ่งที่.......ภูมิพูดไว้เรื่อง ....

    ทำให้ผมยังปลอดภัยอยู่........แม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม

    ที่จริงต้องขอบคุณพี่หนึ่งมือตบของบ้าน  ที่ตอนนี้เปลี่ยนแฟนใหม่..เป็นนายแบบ ทำให้เธอต้องคอยตะล่อนๆ ออกไปกับแฟนเพื่อนั่งคุมแฟนตัวเองไม่ให้นอกลู่นอกทาง.........

     

    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

    ระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งใกล้ปิดเทอม  ผมมีชีวิตที่ปกติสุขดี

    แม้บางครั้งภูมิมันจะขึ้นมาหาก็ตาม....แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบังคับจูบ..ซึ่งตอนแรกผมก็สู้หลังชนฝาเหมือนกัน..

    แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเหมือนจะปกติสำหรับชีวิตที่ต้องโดนภูมิกดซะแล้ว 

    ผมคิดว่าถ้าเรื่องแค่นี้ผมรับได้  เหมือนการบริจาคทานนั้นแหละ...ให้มันรีบทำ...แล้วออกไปจากห้องผมเร็วๆ

    ซึ่งมันก็ไม่เคยทำมากไปกว่าการจูบ....

    เป้าหมายของผมสำคัญกว่าที่จะต้องมานั่งคิดเรื่องของภูมิ......

    ผมเพียงต้องการช่วยพ่อผมเท่านั้น.....ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องติดอยู่กับไอคำว่า ...นรคุณ....ฆ่าพ่อ....

    ผมเข้ามาป้อนอาหารพ่อตามปกติ  ซึ่งตอนนี้เหมือนสติท่านจะกลับมาบ้างนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ 

    ซึ่งเป็นผลดีกับผม....ตอนนี้ผมต้องค่อยๆ หาทางให้พยาบาลไม่สังเกต 

    ตอนนี้มันสมองของผมถูกขุดเอามาใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ..

    “สะ...สอง”  นั้นเสียงพ่อผม

    “พ่อ รู้ตัวแล้วหรอ....”  ผมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นพ่อเรียกชื่อผม

    “พ่อ.....รู้ตัวจริงๆ แล้วใช่ไหม....”

    มีเพียงหน้าที่พยักตอบเท่านั้น...........

    “มันอาจจะฟังดูแย่หน่อย....แต่ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหม....” ผมบอกออกไป

    การพยักหน้าที่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้

    “นั้นช่วยทำเป็นไม่รู้สึกตัวอย่างเมื่อก่อนได้ไหม......ช่วยป่วยต่อไปอีกหน่อยได้ไหม...”  คำพูดผมทำให้พ่อซึ่งเพิ่งฟื้นไข้งง

    แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับ..... ซึ่งผมรู้ว่า เขาจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน  เพราะตอนเด็กเขาสัญญาอะไรเขาก็จะทำตามนั้น.......

    +++++++++++++++

    จากที่ผมเช่าคอนโดไว้เพื่อจะได้มาพักอาศัยตอนที่ไปเรียนบ้าง   กลับเป็นว่าผมกลับบ้านเหมือนเดิม

    แต่อาจมีโอกาสได้มาพัก.....ถ้าวันไหนกลับไม่ไหวจริงๆ........ทั้งเรื่องเรียน  เรื่องที่บ้าน ทำให้สมองของผมเหนื่อยเหลือเกิน

    ตอนนี้มีเพียงอุ้มที่คอยให้กำลังใจ....และคอยอยู่เป็นเพื่อน... 

    ตอนนี้เราสนิดกันมาก....จนคนรอบข้างบอกว่าเราเป็นคู่รักกัน 

    ซึ่งผมกับอุ้มรู้ว่ามันคืออะไร.....เราสองคนไม่เคยคิดในทำนองนี้เลย....แม้ว่าอุ้มจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีเป็นที่รักของเพื่อนๆ ก็ตาม

    แม้ว่าผมจะมีเรื่องปรึกษาอุ้มบ้าง แต่ไม่กล้าพอที่จะเอาเรื่องที่บ้านไปพูดด้วย....

    ส่วนมากผมจะปรึกษาเรื่องการเรียน ซะเป็นส่วนใหญ่

    “สอง...เรากลับก่อนนะ....”  เสียงอุ้มทักเมื่อเราทั้งคู่เลิกเรียนจากวิชาสุดท้ายของวันนี้ ทุกวัน พฤหัส

    จะเป็นวันที่เราเลิกดึกที่สุด  ดังนั้นที่นอนของผมในวันพฤหัสคือคอนโดที่เช่าอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียน

    เราเดินมาที่ลานจอดรถ  ผมยืนส่งอุ้มซึ่งขับรถออกไปจนสุดสายตา......ก่อนที่จะขึ้นรถตัวเองเหมือนกัน

     

    เสียงสตาร์รถดังขึ้น เมื่อผมกำลังจะออกตัว    แกร๊ก!!... ปึก!! เสียงเปิดและปิดประตูรถของผม

    “อะ  ไอ......ภูมิ......นายมา ทำอะไรที่คณะนี่....” ผมกำลังสงบสติ  ประมาณว่าท่องพุทโธ  ผมอยากเปลี่ยนนิสัยตัวเอง  ถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม

    “เรา...ถามว่า...นายมาทำอะไรที่คณะนี่...”  ผมถามไปอีกรอบ.....อย่างที่ว่าเขาไม่เคยก้าวเส้นคำว่าจูบ  ดังนั้นตอนนี้ผมเลยสบายใจเวลาที่เจอเขา 

    “อ้อ....ก็มารอนายบำเรอไง.....”  ผมงงกับคำพูด เพราะนานแล้วที่เขาไม่ได้พูดคำนี้ออกมา

    “..........................”  ผมทำหน้างุนงงเล็กน้อย

    “ไป....ขับรถไปสิ.......วันนี้นายจะนอนที่คอนโดไม่ใช่หรือ.....”  ผมตกใจที่เขาพูดคำนี้ออกมา

    “นาย...คงไม่คิดอะไรใช่ไหม.......”  ผมกลืนน้ำลายก่อนที่จะถามออกไป

    “ฉัน..บอกให้นายขับ ก็ขับไปสิ  หรือว่าอยากจะโดนมากนัก....”

    ไม่มีเสียงตอบของผม  มีเพียงเสียงรถยนต์ที่ดังแฮ่มๆ เบาๆ ตลอดทาง

    จนรถเลี้ยงเข้ามาจอดที่ใต้ตึกที่ผมมาเช่าอยู่

     

    ผมถูกพาขึ้นมายังห้องพักของตัวเอง  โดยมีภูมิขนาบข้างอยู่

    “นายจะทำอะไร......” ผมถามก่อนที่จะดึงกุญแจออกมาไข

    “เปิดประตูสิ......”  เป็นเหมือนคำพูดแกมสั่ง

    ผมต้องยอมเปิดประตู  เพราะถึงผมไม่เปิดเอง  เขาก็คงแย่งกุญแจนั้นจากผมแน่นอน

    เราทั้งคู่เขามาอยู่ในห้อง.....ซึ่งไม่ได้ใหญ่นัก....มีเพียงห้องที่มีที่นอน และห้องน้ำเท่านั้น

    “โอ๊ะ  ...ไม่คิดนะว่า....คนอย่างนายจะมาอยู่ที่แบบนี้ได้...” เหมือนเป็นคำพูดถากถางซะมากกว่า

    “นายมีอะไรก็พูดมา...แล้วกลับไปซะ....” 

    “โอ้โห้  เดี๋ยวนี้นายกล้าหืออีกแล้วหรอ....เห็นสงบมาตั้งนาน...”

    “ภูมิ...นายมีอะไรก็พูดมา......”

    “ได้...”  เขาเดินสำเร็จห้องของผมก่อนที่จะเดินมาหยุดอยู่หน้าผม

    “ฉันคิดวิธีเอาคืนแบบใหม่กับนายได้แล้ว......ฉันเคยบอกใช่ไหมว่าถ้าพี่นายทำใครในบ้านอีกคนที่จะเจ็บคือนาย....แต่ฉันลืมส่วนของฉันไป....ฉันต้องอดทนกับนานมาตั้งกี่ปีไม่รู้...ฉันเลยว่าจะ.........”    ภูมิพูดเพียงเท่านี้ ก่อนที่จะควักบางอย่างออกจากกระเป๋าที่ถืออยู่

     

    ผมผงะ เมื่อเห็นของให้มือมัน.......  “ไม่.....ไม่....”  ผมหันหลังเพื่อจะวิ่งไปยังประตู.....เพื่อจะหนีจากสิ่งที่เห็น

    ผมจะพยายามเปลี่ยนตัวเอง  พยายามยอมรับที่สิ่งครอบครัวทำไม่ดีกับมัน  แต่แบบนี้ผมไม่เอา.....

    มือผมเอื้อมไปจับลูกบิดประตู.....แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันหมุน  คอเสื้อก็ถูกกระตุกจากด้านหลัง

    ทำให้ผมต้องหงายหลัง ไปปะทะกับแขนของมัน.........

    “ภูมิ.....อย่า.........”  ผมพยายามร้องบอกแต่เหมือนจะไม่ได้รับความสนใจใดๆ

    ผมถูกลากมายังที่นอน   พร้อมเชือกที่อยู่ในมือของไอภูมิ.....ที่ถูกมัดมาที่ผม

    เสื้อผ้าผมถูกไอภูมิถอดออกจนหมด  เตียงที่ทำด้วยเหล็กทำให้สามารถมัดมือผมโยงไว้กันหัวเตียงได้

    ขาทั้งสองข้างถูกโยงไว้กับขาเตียง ทำให้ตอนนี้ร่างกายผม ถูกกางออก.....

    มีผ้าก้อนหนึ่งอัดไว้ในปากผมเพื่อให้ไม่สามารถพูดอะไรได้.........

     

    ไอภูมิหยุดเมื่อจัดการมัดผมไว้กับเตียงได้............ผมพยายามกระชากเชือกเพื่อให้ขาด  เพื่อมันก็ยิ่งรัดแน่นมากยิ่งขั้นเมื่อผมพยายามกระตุกมัน

    ผมเห็นไอภูมิค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋า  แล้วก็ต้องหัวใจแทบวาย....

    เมื่อเห็นกล้องวีดีโอตัวเล็ก..............อยู่ที่มือของไอภูมิ

    หัวผมสั่นไปมา...ทั้งแขนทั้งขาต่างพยายามกระตุกกันเป็นพลันวัน เพื่อให้หลุดจากการกระทำนี้

     

    “สอง..นี้ถือยังน้อยไปสำหรับที่นายทำกับฉัน  นายจำได้ไหม พวกนายเคยกดหัวฉันจมน้ำ  ทำฉันเกือบตาย.....นี่แค่เบาะๆ เท่านั้น...ฉันเคยบอกแล้วว่าพวกนายจะได้หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แน่นอน....”  ขณะที่มันกำลังพูดเพื่อเตือนความจำในวัยเด็กของพวกผม ขาตั้งกล้องก็ถูกจัดวางพร้อมทั้งกล้องวีดีโอ..ในที่ๆ เหมาะสม

    “สอง....ต่อไปนี้ถ้านายกล้าหืออีก....ภาพพวกนี้จะอยู่ในอินเตอร์เน็ตแบบไม่ต้องสงสัย...ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว.....จำไว้ต่อไป...ฉันจะเป็นเจ้านายของนาย  แล้วนายจะเป็นทาสฉัน........” นิ้วมือที่ชี้เพื่อแสดงความหมายของคำพูดของไอภูมิ

    “โอ๊ะ  วันนี้ฉันมีของเล่น..มาสอนทาสอย่างนายด้วย....”  ผมเห็นมันกำลังค้นหาของบางอยากให้กระเป๋าอีกครั้ง

    และสิ่งที่มันควักออกมาเป็นเป็น  แท่งทรงไข่แต่ยาวกว่านิดหน่อยและมีสายคล้ายๆ เชือกยาวๆ อยู่ตรงปลาย.....

     

     

     

    น้ำตาผมไหล.....เมื่อมันพยายามเอาไอแท่งไข่นั้น เข้ามาในตัวผม....  ผมทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งร่นร่างกายตัวเองให้ห่างจากไอแท่งบ้าๆ นั้นมากที่สุด..........มันใช้น้ำลาย...เป็นเหมือนตัวช่วยทำให้แท่งนั้นลื่นขึ้น....ซึ่งทุกอย่างที่ทำถูกบันถึงด้วยวีดีโอนั้น.......

     

    ในที่สุดมันก็เอาไปแท่นนั้นใส่เข้ามาจนได้........... “เป็นไอสอง  นายคงกลัวมากหละซิ...” มือของไอภูมิบวดนวดเคล้าคลึงอยู่บริเวณขาอ่อนของผม

     

    ครืดๆๆๆ ครืดๆๆ  อะไรอะไร  ไอแท่นนั้นมันสั่นอยู่ในร่างกายของผม  แต่ผมไม่เห็นอะไรที่จะพอทำให้สั่นได้เลย

    แล้วมันก็หยุดลง  ตอนนี้ร่างกายผมอ่อนปวกเปียก....แล้วตั้งแต่ไอเจ้าเครื่องนั้นสั่น แม้แค่เพียงแป๊ปเดียว

    ไอภูมิเข้ามาเอาผ้าที่อุดอยู่ที่ปากออก  ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำลายที่ฉ่ำอยู่

    “เป็นไงสอง...นายรู้สึกเป็นไงบ้าง......”   พร้อมทั้งหยิบสวิตท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาชู

    “ภูมิ....อย่าทำเลยผมขอร้อง...”  ผมพยายามร้องขอ

    “อะไรแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว.....แต่ทำไมฉันยังทนพวกนายอยู่นะ.”  ก่อนที่ไอภูมิจะกดสวิตท์อีกครั้ง..

    ครืดๆ  ครืด  สั่งมอเตอร์ทำงานทำอยู่ร่างกายของผม  มันสั่นและเหมือนจะเคลื่อนไหวได้

    ผมพยายามกัดฟัน..เพื่อไม่ให้ส่งเสียงอะไรออกมา  แต่ยิ่งผมเก็บไว้เท่าไหร่เหมือนร่างผมจะแตกเสียให้ได้

    “ถ้านายไม่ร้องออกมา นายจะแย่เอานะ...”  เหมือนเป็นเสียงเตือน

    ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าระดับการสั่งจะแรงขึ้น.....  “อึก   อึก”  เสียงที่เล็ดลอดออกมา ก่อนที่ผมจะสลบไปเพราะแรงสั่นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆ

    ++++++++++++++++

    ผมตื่นมาอีกที่เกือบรุ่งสาง แต่ร่างกายยังถูกผู้ไว้เหมือนเดิมมีเพียงมือข้างหนึ่งที่ถูกแกะเอาไว้  ผมเห็นเขานอนหลับอยู่ข้าง

    พร้อมกับกล้องที่ตั้งอยู่ปลายเตียง........

    ผมหมายจะเอากล้องนั้นมาทำลายทิ้งจริง  ผมค่อยแกะเชือกที่ผูกมัดผมไว้

    แต่เพราะเป็นเตียงแบบนุ่มให้ ไอภูมิรู้สึกตัว... “ไง..ตื่นได้แล้วหรอ....”

    “ใช่...ปล่อยผม...” 

    “แหม  พอมีแรงนี้ก็ตะหวาดใหญ่เลยนะ....”  เขาลุกขึ้นพร้อมกับเดินขึ้นไปเก็บกล้อง

    “วันนี้นายมีเรียนนี้.........ฉันก็มีเรียน...นายไปอาบน้ำซะ แล้วเราจะได้ไปเรียนกัน..”

    ผมทำตาที่ไอภูมิบอก  เราทั้งคู่อาบน้ำเสร็จแล้ว   “เอาไป...แล้วใส่มันไว้ซะ”  ไอภูมิส่งไม่แท่งนั้นมาให้ผม

    “ไม่....”  ผมปฏิเสธโดยอัตโนมัติ 

    “นายเป็นทาส..กล้าขัดเจ้านายหรอ...”

    “ไม่...นายฆ่าฉันดีกว่า....ถ้าต้องเป็นแบบนี้..”

    “ใครอยากจะให้นายตายตอนนี้แหละ.....ใส่มันซะไม่นั้น....นายก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..” มันชูกล้องที่ถ่ายภาพเมื่อคืนไว้ให้ผมเตือนความจำ....

    “ไอ.....ไอเลว...”  ผมด่าออกไปอย่างเหลืออด    ก่อนที่จะถอดกางเกงแล้วยัดแท่งบ้านี่ใส่เข้าไปในตัว

     

    !!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

    ผมมาเรียนด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก    รถขับมาจอดที่ลานจอดรถตามปกติ ก่อนที่มันจะเดินออกไปแล้วข้ามฝั่งตรงไม่ยังคณะที่มันเรียนอยู่

    “สอง........หวัดดี...”  อุ้มเดินเข้ามาทักเธอให้มีตีที่หัวไหล่ผมเบาๆ

    “อือ....ดี....”  ตอนนี้ความรู้สึกผมมันประหลาดมาก เหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว ทำตัวไม่ถูก

    และผมรู้สึกว่ามีคนมองผมแปลกๆ  ตรงลาดจอดรถของคณะ  นั้นยิ่งทำให้ผมเครียดมากกว่าเดิม

    “ป่ะสอง....ไปตึกเรียนกัน....”  เธอชวนผมขึ้นตึกเพื่อไปยังห้องเรียนวิชาแรก

    “อืม    อุ้มเดินไปก่อนนะ  เดี๋ยวเราตามไป...” ผมพยาบาลทำให้ตัวเองเป็นปกติ  และไม่รู้ว่าอุ้ม...รู้สึกว่าผมผิดปกติหรือเปล่า

    นั้นเป็นเพราะไอภูมิ   ผมพยายามที่จะแก้ไขสิ่งที่เคยทำกับมัน แต่นี้เป็นนอกเหนือความคาดหมาย

    ผมไม่เคยคิดเลยว่า มันจะคิดได้ถึงเพียงนี้...

    .........กลางวันนายเดินมาหาที่คณะฉันด้วยนะ.....ถ้านายไม่มา ฉันจะไปหาเอง....  นั้นคือสิ่งที่มันพูดตอนที่พวกเราอยู่บนรถ พร้อมมันยังกดสวิทต์เพื่อบอกว่าถ้าไม่ทำตามคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น......

     

    ตลอดช่วงเช้าที่นั่งเรียน.....สมาธิผมไม่อยู่กับตัวเอง ค่อยแต่กังวล และนั่งไม่ค่อยจะเต็มก้นซะเท่าไหร่ เพราะไอเครื่องบ้าๆ  นั้นมันยังอยู่ในตัวผม....แม้ว่ามันจะสงบเสงี่ยมอยู่ก็ตาม.....

     

    “สองเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า...” 

    “อย่าจับ......”  ผมหลุดปากออกไปเมื่ออุ้มจับไหล่ผมอีกครั้งตอนที่เราเลิกเรียนแล้ว 

    แม้สีหน้าเธอจะบอกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ ก็ตาม  แต่ในภาวะนี้ผมไม่สามารถทำดีได้

    “ขอโทษ..... เราไม่ค่อยสบายนะ.....เราขอตัวกลับก่อนนะ....ฝากเลคเชอร์ด้วย..”

    ผมพูดเสร็จพร้อมพยายามพาตัวเองเดินมาที่ลาดจอดรถ 

    “อ่า   อ่า  อ่า.......”  เสียงผมเอง ผมพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ เพื่อที่ว่า    จะไม่ได้ไม่รู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา

    แค่อุ้มโดนนิดหน่อยผมก็จะแย่แล้ว....ยิ่งผมต้องเดินไปหาไอภูมิให้มันเปิดสวิทต์ ต่อหน้าประชาชี…………..

     

    ผมคงต้องไปทำอะไรที่หน้าเกลียดแน่นๆๆ  ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะกลับบ้านหรือไปคอนโด

    สุดท้ายผมก็ต้องไปคอนโดก่อนเพื่อเอาไปของบ้าๆๆ นี่ออก และพักเพื่อเอาแรงก่อนที่จะกลับบ้าน

     

    ก๊อกๆๆ  ผมหันไปมองเสียงเคาะกระจกที่ดังอยู่ข้างๆ 

    ประตูรถถูกเปิดออกโดยเจ้าของเสียงเคาะนั้น

    “ฉันนึกอยู่แล้วว่านายต้องไม่ไปหาแน่นๆๆ  แต่ไม่นึกว่าจะโง่ขนาดหนีกลับ...” 

    “ไอ   ไอ.......ฉันรู้สึกไม่ดีอยากกลับ....”

    “อะไรแค่นี้ถึงกับทนไม่ไหวเชียวหรอ......ลงมาแล้วไปนั่งด้านนู้น...”  มันสั่งให้ผมลงจากรถ

    ไม่...ผมพยายามปิดประตูอีกครั้ง   ครืดๆๆๆๆ  เสียงเครื่องบ้าเริ่มทำงาน

    “ภูมิ...อย่า..”  ผมถึงกับต้องเกร็งตัว เมื่อมันเปิด.....เหมือนจะแกล้งที่ผมขัดคำสั่ง

    เครื่องหยุดทำงาน  เมื่อผมยอมที่จะทำตามความต้องการของมัน

    ผมพาตัวเองเดินอ้อมรถ เพื่อมายังที่นั่งฝั่งตรงข้าม  โดยมีไอภูมิเป็นคนขับ

    รถมินิคูลเปอร์ถูกขับออกจากลาดจอดรถของมหาลัย....โดยไอภูมิ สีหน้าของมันไม่ส่อแววใดๆ ทั้งสิ้น

    พวกเราขับรถออกมาได้สักพักก่อนที่มันจะเลี้ยงรถไปจอดข้างทาง

     

     

    “สอง....กูนึกขึ้นได้แหละ.....ว่ามึงเคยปีนขึ้นต้นมะม่วง....แล้วกระโดดลงมาทับกูที่อยู่ใต้ต้น.....มันเจ็บนะเว้ย...”

    อยู่มันก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้  เรื่องในอดีตผมก็จำไม่ค่อยได้มากนักหรอก  รู้แต่กว่าคงจะเป็นแบบที่มันพูดจริง

    มันพูดเสร็จพร้อมกับเปิดสวิทต์ที่ปิดเอาไว้นาน....แม้เจ้าเครื่องจะไม่ได้สั่นแรงก็ตาม 

    แต่ผมก็ไม่สามารถต่อสู้กับมันในตอนนี้ได้ “ภูมิ......อย่าทำแบบนี้เลย..”  ผมตะแคงตัวเองหันหน้าเข้าหาภูมิ ซึ่งอยู่ข้างๆ

    เพื่อไม่ให้แรงกดทับที่ผมนั่งทับอยู่แรงขึ้น  ดังนั้นการนอนตะแคงขึ้นทำให้เจ้าเครื่องเบาสั่นได้ในระดับที่เรียกว่าเบา...

    “ทำไมจะทำไม่ได้....กูเกือบตายตอนมึงกระโดดลงมา.....แค่นี้ไม่ทำให้ตายได้หรอก.....อยู่อย่างนี้จนถึงบ้านแล้วกัน...”

    มันพูดเสร็จพร้อมกับขับรถออกไปอีกครั้ง

     

    ผมรู้สึกปวดท้องเจ็บจิ๊ดๆ  ขนแขนลุกตั้งชั้น.. และเหงื่อก็เริ่มซึมออกมา  แม้รถคันนี้จะเปิดแอร์แรงแค่ไหน

    แต่ผมรู้สึกร้อน  อย่างบอกไม่ถูก.......ผมต้องเลื่อนตัวเองลงไปนั่งคลุกเข่าอยู่ด้านล่าง  และให้เบาะนั่งเป็นเหมือนโต๊ะที่คอยต้องเอาหน้าซบลง หรือไม่ก็ทุบที่เบาะ....เพื่อหยุดอาการแปลก ....มีเพียงสายตาของไอภูมิเท่านั้นที่มองมายังผม

    สลับกับการมองกระจกด้านหน้าเพื่อขับรถไปด้วย.......ผมทนแบบนั้นจนกระทั่งรู้ว่าเครื่องที่เปิดนั้นอยู่หยุด

    แต่ไม่ใช่เพราะมันใจดีปิด  แต่ถ่านมันหมดต่างหากและเหมือนตัวมันเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน

    ส่วนผม....จะพยุงตัวขึ้นนั่งตามเดิมก็ไม่ไหวแล้ว  ผมเลยต้องอยู่อย่างนั้นจนหลับไป.........

     

     

    มารู้ตัวอีกที่ก็ตอนมันจอดรถนั้นแหละ....รถติดไฟแดงอยู่ตรงแยกก่อนเข้าหมู่บ้าน..

    “ภูมิซื้อข้าวต้มหน่อย...”  ผมบอกมามันเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

    “ซื้อไหม  ให้นมทำให้ก็ได้...”  ดูเหมือนผมจะไม่รู้อะไรเลย...ซึ่งผมก็ไม่คิดจะบอกอยู่แล้ว

    “ได้โปรด.....”  นั้นเป็นคำขอร้องที่ผมพูดกับมันดีๆ  ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพในแบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน

    น้ำเสียงที่ผมส่งออกไปทำให้ภูมิแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด....  เขายอมที่จะจอดรถเพื่อลงไปซื้อข้าวต้มมาให้ผมจริงๆ

    ก่อนที่จะส่งมาให้ผมเพื่อเก็บเข้าไปในกระเป๋าของผม...........

     

    ผมได้รถตัวเองคืนตอนที่เราอยู่ที่หน้าบ้าน  มันลงมาจากรถแล้วบอกให้ผมขับรถเข้าไปในบ้านเอง

    ซึ่งนั้นทำให้ผมดีใจมากที่สุด  เพราะผมไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าผมมากับภูมิ....

    ผมพาตัวเองขึ้นห้อง  พร้อมทั้งเอาไอเครื่องบ้าๆ  นั้นออกจากร่างกาย

    มีน้ำเมือกสีขาวขุ่นอยู่ที่เจ้าบนตัวเครื่องบ้าๆ  นั้น......... มีบางส่วนแห้ง  บางส่วนยังคงเปียกชื้น

    ผมปามันทิ้งลงถังขยะ....ก่อนที่จะตัวเองนอนหลับพักเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกกระชุ่มกระช่วยมากขึ้น

     

    ++++++++++++

     

    ผมตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลุก...........

    ข้าวต้มทุกมื้อที่พ่อเลี้ยงทานจัดทำโดยนม ซึ่งไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลย

    และยาทุกซองที่ใส่ลงในข้าวต้ม ผมเป็นคนฉีดมันใส่เองกับมือ  ต่อหน้าพยาบาล

    ก่อนที่เธอจะออกไปจากห้องเพื่อให้ผมใช้เวลานี้ป้อนข้าวพ่อผม  แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก

    ที่เธอปล่อยให้ผมได้อยู่กับพ่อ...แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผมทำให้สิ่งที่ผมต้องทำ....

     

    ผมเคยได้ยินว่า  คนจีนมักจะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เพราะมันเป็นสัตว์ที่ให้คุณแล้ว ยังรับเคราะห์กรรมแทนเจ้าของด้วย

    นั้นทำให้ผมคิดว่า  พ่อเลี้ยงที่เลี้ยงผมมาด้วยความรักนั้น  ถึงเวลาที่ผมจะได้ช่วยเหลือท่านบ้าง

    คืนท่านให้กับลูกที่เป็นลูกของท่านอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ลูกบุญธรรมที่คอยแต่จะกอบโกย.....อย่างผม

    สภาพที่ท่านต้องทนป่วยมา 5 ปี เพราะไอยาบ้าๆ นี้

    แต่ผมเพิ่งไม่กี่เดือนเอง  .....ยัง  ยังได้อยู่......ผมรู้ตัวว่าตัวเองทนได้แค่ไหน....ถึงไงผมก็ไม่คิดจะตายเพราะไอยาบ้านี้หรอก

    สภาพพ่อที่ผอม ซูบ เซียว นั้นทำให้ผมต้องทนกลั่นเอาไว้

    เมื่อก่อนท่านเป็นคนที่จัดได้ว่าดูดี  มีสง่าราศีของคนที่เป็นผู้นำ...แต่พอมองในตอนนี้ไม่เหลือสิ่งเหล่านั้นเลย

    ข้าวต้มชุดใหม่ถูกเทลงใส่ชามก่อนที่จะถูกป้อนให้พ่อที่นอนป่วยอยู่......

    ผมออกมาจากห้องพ่อ  หลังจากที่ป้อนข้าวให้ท่านเสร็จ

    +++++++++++++++

     

    “ไอสอง....แกจะปรนนิบัติพ่อไปก็ไม่ได้สมบัติขึ้นมาหรอ...”  พี่หนึ่งที่เห็นผมเดินออกมาจากห้องพ่อ  ด่าก่อนที่จะปิดประตู ปังเข้าห้องไป

    สงสัยคงทะเลาะกับแฟน.......ผมคิดก่อนที่จะเข้าห้องตัวเองเช่นกัน.......

     

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×