คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอน5
ตอน 5
ผมไม่เคยคิดจะทำตามที่มันพูด หรือสั่งเลยสักนิด........
ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามที่มันบอก
ผมเลือกที่กลับบ้านให้น้อยลงและ อยู่ที่คอนโดแทน.....
ชีวิตให้รั่วมหาลัยปีหนึ่ง.....ทุกคนจะได้เรียนวิชาพื้นฐานก่อน ...และการเรียนก็ยังค่อนข้างเหมือน ม.ปลาย
ที่ต้องเรียนตั้งแต่เช้า.....ยังค่ำ (อาจจะหนักกว่าม.ปลายก็ได้) ผมมีเรียนตอน 7 โมงทุกวัน
กว่าจะเลิกก็ค่ำ ยังดีที่มีบางวันเลิกแค่เย็น แม้ว่าศูนย์การค้าจะอยู่ใกล้กับมหาลัย
แต่พวกเราคณะแพทย์ศาสตร์แทบไม่มีโอกาสไปเดินเที่ยวเล่นอยากคณะอื่น...เขาได้เลย
ช่วงอาทิตย์แรก ที่คณะจัดกิจกรรมสำหรับสร้างสมาธิให้กับนักศึกษาโดยการไปนั่งวิปัสสนา...ที่วัดในต่างจังหวัด
และผมก็ต้องไปด้วยเช่นเดียวกันไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น.....
ผมยังจำได้ตอนเด็กๆ พ่อเลี้ยงและแม่จะออกใส่บาตรกันทุกวันพระ
แต่ผมจำไม่ได้ว่าตอนไหนกันที่พวกเราเลิกทำ กลายเป็นให้นม กับน้อย ร่วมทั้งน้าเพ็ญออกมาใส่บาตร
ตอนนี้เพื่อนที่ผมคิดว่าสนิทและออกจะแปลกที่สุดตั้งแต่เคยมีเพื่อนมาคือ อุ้ม...คนที่เขามาทักผมตอนที่เรารับน้องกันนั้นแหละ
เธอไม่เคยโกรธที่ผมทำท่าทางไม่สนใจเธอ ...........แต่ผมรู้สึกดีเมื่อเธอมาพูดคุยด้วย...
“สอง.....ดีเนอะที่คณะจะพาไปนั่งวิปัสสนาอ่ะ....จิตใจสงบ แถมยังได้ฟังธรรมอีก ...” พูดพร้อมกับมองขึ้นฟ้าเหมือนกำลังจิตนาการถึงอะไรสักอย่าง
ผมไม่เคยนั่งวิปัสสนา หรอกครับ เลยรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่จะได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ
เราใช้เวลา 3 วันในวัดต่างจังหวัด...เป็นสถานที่ๆ สงบจริง มีพระจำพรรษาอยู่ประมาณ 8 รูป เป็นวัดเล็กๆ
ที่แต่ละรูปจะช่วยกันทำวัด ไม่เกี่ยวแม้แต่เจ้าอาวาส......
ช่วงเวลาสามวันที่ผ่านไป......เหมือนทำให้ผมเห็นความจริงในชีวิต
มีช่วงหนึ่งที่ให้พวกเรานั่งสมาธิ พร้อมทั้งอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้วย.....ตอนนั้นน้ำตาผมไหลออกมา
เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือผมของน้าเพ็ญ พ่อเลี้ยง แม่ของผม พี่หนึ่ง และภูมิ.......
การนั่งสมาธิทำให้ใจผมสงบขึ้นมาก แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
“สองมานั่งทำอะไรตรงนี้...” อุ้มถามขึ้น เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ในวัดที่เราใช้นั่งสมาธิตอนช่วงหัวค่ำ
“อุ้ม.......เราเหมือนทำอะไรบางอย่างผิด.....แต่เมื่อรู้ก็เหมือนจะสายไปแล้ว...” ผมพูดเปรยขึ้น
“สอง อุ้มไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้สองคิด...แต่ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้หรอก...”
ผมไม่เคยคิดหรือพูดอะไรที่ตรงกับความรู้สึกเลย.......
ผมไม่อยากแก้ตัวเรื่องในอดีตที่ผ่านมา.......เป็นเพราะการเทศน์ของพระวันนี้ทำให้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่เอามากๆๆ
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราต้องมีสิ่งที่ยึดจิตใจไว้......ซึ่งผมไม่เคยมีเลย....
สิ่งที่ยึดผมคือ เงิน ชื่อเสียง และฐานะ ที่ทุกอย่างมันไม่ใช่ของผมตั้งแต่แรก
พระท่านเทศน์เรื่อง ของทุกอย่างเอาไปไม่ได้ แต่ความดีที่เราทำไว้จะทำให้ทุกคนจดจำเราไว้ในใจเสมอ
เมื่อผมนั่งสมาธิพร้อมกับฟังสิ่งที่พระเทศ ผมเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง......ว่าทำไมต้องมาเกลียดภูมิด้วยในเมื่อเขาเป็นผู้โดนกระทำ
หรือเป็นเพราะความคิดผม.....ที่ทำให้ตัวเองผิดปกติ......และทำไมผมจะต้องเกลียดภูมิคนเดียว..........
“สอง...สอง...” อุ้มเขย่าให้ผมตื่นจากความคิดของตัวเอง
“อุ้ม....ถ้าเราอยากแก้ไขอดีต...ต้องทำไง..” เป็นคำถามโง่มาก....แต่ผมอยากให้อุ้มบอก....แม้ว่าจะเป็นการโกหก
“สอง เราแก้ไขอดีตไม่ได้..” อุ้มไม่คิดจะโกหก หรือพูดเข้าข้างผม เธอมักจะพูดในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ
แม้ผมกับอุ้มเราจะเป็นเพื่อน ที่เรียกว่าเพื่อนกันจริงๆ ได้ไม่นาน
ลักษณะท่าทางของอุ้มแสดงออกถึงความจริงใจอย่างเห็นได้ชัด
อุ้มมีเพื่อนหลายแบบ รวมทั้งผมด้วย....แต่เธอไม่เคยแบ่งแยก ฐานะของเพื่อนๆ ไว้เป็นระดับเหมือนผม
ซึ่งนั้นทำผมให้ผมรู้สึกผิดในตอนแรกที่คิดกับอุ้มแบบนี้
“อุ้ม ขอบใจมากนะที่ไม่โกหกเรา....”
“สอง แต่เราสามารถทำอนาคตได้...เพียงเราจริงใจนะ...” เหมือนเธอจะย้ำให้ผมฟัง
ผมว่าเธอคงรู้สึกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผมแน่ๆ หรืออาจเป็นความเห็นใจก็ได้....
3 วันนี้ ผมสบายใจมากที่ได้รู้ ได้เห็น และได้ข้อคิดอะไรมากมายเกี่ยวกับชีวิต และการทำความดี.....
ผมอยากเปลี่ยนตัวเองจัง.......
+++++++++++++++++++++++++
วันนี้ผมเลิกเร็ว เล็กตั้งใจจะกลับบ้านเพื่อไปดูความเรียบร้อยของบ้านหน่อย
ในใจก็เป็นห่วงพ่อที่ไม่สบายอยู่....เพราะตั้งแต่เริ่มเปิดเทอม แม้ว่าผมจะกลับบ้านแต่ก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเลย
ผมเดินขึ้นชั้นบนเพื่อเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน เป้าหมายของผมคือการไปเยี่ยมพ่อ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก
ผมเดินเข้ามาในห้อง ซึ่งเห็นพยาบาลกำลังเอาอะไรบางอย่างใส่ในข้าวต้ออยู่
เอ๊ะ...นั้นยาอะไร ......................
“คุณพยาบาลเชิญข้างนอกหน่อย...” ผมเรียกเขาออกมาเพื่อพาเดินไปยังห้องของผมเอง
“ผมเห็นคุณใส่อะไรไว้ในอาหารพ่อผม...” คำถามที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้สีหน้านางพยาบาลเปลี่ยนไปทันที
“ไม่มีอะไรนิค่ะ คุณสอง..ดิฉันไม่ได้ใส่อะไรเลย...” คำปฏิเสธ....ทำให้ผม ผลักตัวเขาเข้าหากำแพง
อีกมือก็ล้วงเข้าไปยังกระเป๋ากระโปรงที่นางพยาบาลใส่อยู่เป็นประจำ
“แล้วนี่มันอะไร....คุณทำอะไรพ่อผม...ถ้าคุณไม่บอกผมจะแจ้งความ...”
“ยะ....อย่านะคะ...แม่คุณให้ดิฉันทำ....ฉันเพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น..”
“มันคืออะไรบอกผมมา..ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน...”
“มันเป็นยาที่ทำให้ซึมเศร้า...แต่ดิฉันใส่สั่งนิดหน่อย..เท่านั้น.....”
“คุณผมมันมานานหรือยัง.........”
“...............”
“ผมถามว่าคุณทำมันมานานหรือยัง..........”
“ค่ะ.........ตั้งแต่คุณท่านเริ่มป่วยค่ะ........”
“ 5 ปี.... คุณทำอย่างนี้มาตลอด 5 ปี.....” ความโกรธทำให้ผมตบเธอ
“คุณสอง....แม่คุณสั่งให้ฉันทำ.....” นั้นเป็นเสียงเหมือนจะโยนความผิดให้แม่ผม...ซึ่งผมก็ไม่เคยคิดว่าแม่จะทำได้จริง
เพราะ พวกผมสามารถมาอยู่ที่นี่ได้ เพราะ พ่อกับแม่รักกัน เรามีอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะพ่อที่รักแม่
ผมยืนจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ถ้าผมสั่งให้หยุดก็จะต้องมีอะไรแบบอื่นที่ทำให้พ่อไม่สามารถฟื้นตัวได้
ผมจะทำอย่างไงดี............ความเป็นห่วงเกิดขึ้นเมื่อพูดถึงพ่อที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ แต่ผมก็รักท่านเหมือนพ่อของผมคนหนึ่งจริงๆ
ถ้าไล่พยาบาลคนนี้ออกไป แม่ก็ต้องจ้างมาใหม่ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านิสัยใจคอจะเลวเหมือนแบบนี้ หรือ ยิ่งกว่า
“คุณให้พ่อกินทุกวันเลยหรอ...” สีหน้าผมเรียบนิ่ง เหมือนกับตัวเองรับสภาพได้แล้ว
“มะ....ไม่ค่ะ อาทิตย์หนึ่งก็จะให้กินวันเว้นวัน...” เหมือนเธอจะยอมสารภาพแต่โดยดี
“นั้น.....ต่อไปนี้ คุณก็ทำเหมือนเดินนั้นแหละ ใส่ลงไปเหมือนเดิม....แต่ผมจะเป็นคนป้อนพ่อเอง....หรือคุณอยากจะติดคุกโทษฐานเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด...” ผมแกมบังคับเธอ
มีเพียงสีหน้าระคนแปลกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอเท่านั้น
หรือเธอคิดว่าผมยอมร่วมมือกับเธอจริงๆ
“จำไว้.....ว่าเรื่องนี้...อย่าให้แม่รู้เด็ดขาด....ผมเชื่อว่าถ้าแม่รู้ คุณอาจต้องถูกไล่ออก..โทษฐานทำงานพลาด..แต่ผมจะช่วยคุณเอง......” ผมชักจูงเพื่อให้เธอเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะช่วยเธอ ให้เธอคิดว่าผมคิดจะฆ่าพ่อตัวเองเหมือนกัน
ข้อตกลงของเราสำเร็จด้วยดี......ผมจะเป็นคนป้อนอาหารนั้นให้กับพ่อผมเอง.....
และวันนั้นผมก็แสดงบทบาทนั้น ผมที่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้....อาหารมื้อนั้นผมเป็นคนป้อนเองต่อหน้าพยาบาล
และพ่อที่นอนป่วยอยู่.........
ผมกลับมาบ้านวันเว้นวัน เพื่อมาป้อนมาหารให้ท่านได้ทาน โดยมีนางพยาบาลเป็นคนใส่และยืนมองอยู่ห่าง
ยิ่งผมทำมากเท่าไหร่ หัวใจของผมยิ่งบีบคั้น เหมือนคนเป็นโรคหัวใจที่เจ็บปวดอยู่
ผมทำให้เธอไว้วางใจในตัวผม ซึ่งใช้เวลานานอยู่เหมือนกันที่เธอเริ่มจะเชื่อว่าผมต้องการฆ่าพ่อเหมือนกับแม่ของผม
“ออกไปก่อน ผมมีเรื่องจะคุยกับพ่อ....เดี๋ยวผมจะป้อนอาหารเอง...” ผมสั่งพยาบาลที่ดูแลพ่อออกไป
ซึ่งเธอก็ยอมออกแต่โดยดี ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ผมจัดการอาหารมื้อนั้นด้วยตัวเอง......อาหารถูกกินเข้าในปากผมด้วยมือคู่นี้
ภายในกระเป๋าที่ผมถือไปเรียน มีข้าวต้มอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นอาหารประจำที่พ่อต้องกินเสมอ
ผมเปลี่ยนข้าวต้มเป็นของชุดใหม่ที่เตรียมมา....และป้อนพ่อผมเสียใหม่
ตอนนี้ผมใช้เวลากับพ่อมากขึ้นเพื่อจัดการอะไรบางอย่าง... แถมยังต้องคอยดูแลเรื่องบ้านอีก
แม้ว่าตอนนี้แม่ผมจะไปบ่อน 5 วันต่อสัปดาห์ก็ตาม แต่เหมือนท่านจะหยุดที่จะดูแลบ้านให้สวยใหม่ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“อาการของพ่อค่อยดีขึ้น....ซึ่งมันจะเป็นปัญหาถ้านางพยาบาลสั่งเกต.....”
ช่วงหลังมานี้ ไม่ค่อยมีใครอยู่บ้าน ทำให้สิ่งที่.......ภูมิพูดไว้เรื่อง ....
ทำให้ผมยังปลอดภัยอยู่........แม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม
ที่จริงต้องขอบคุณพี่หนึ่งมือตบของบ้าน ที่ตอนนี้เปลี่ยนแฟนใหม่..เป็นนายแบบ ทำให้เธอต้องคอยตะล่อนๆ ออกไปกับแฟนเพื่อนั่งคุมแฟนตัวเองไม่ให้นอกลู่นอกทาง.........
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา จนกระทั่งใกล้ปิดเทอม ผมมีชีวิตที่ปกติสุขดี
แม้บางครั้งภูมิมันจะขึ้นมาหาก็ตาม....แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบังคับจูบ..ซึ่งตอนแรกผมก็สู้หลังชนฝาเหมือนกัน..
แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเหมือนจะปกติสำหรับชีวิตที่ต้องโดนภูมิกดซะแล้ว
ผมคิดว่าถ้าเรื่องแค่นี้ผมรับได้ เหมือนการบริจาคทานนั้นแหละ...ให้มันรีบทำ...แล้วออกไปจากห้องผมเร็วๆ
ซึ่งมันก็ไม่เคยทำมากไปกว่าการจูบ....
เป้าหมายของผมสำคัญกว่าที่จะต้องมานั่งคิดเรื่องของภูมิ......
ผมเพียงต้องการช่วยพ่อผมเท่านั้น.....ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องติดอยู่กับไอคำว่า ...นรคุณ....ฆ่าพ่อ....
ผมเข้ามาป้อนอาหารพ่อตามปกติ ซึ่งตอนนี้เหมือนสติท่านจะกลับมาบ้างนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
ซึ่งเป็นผลดีกับผม....ตอนนี้ผมต้องค่อยๆ หาทางให้พยาบาลไม่สังเกต
ตอนนี้มันสมองของผมถูกขุดเอามาใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ..
“สะ...สอง” นั้นเสียงพ่อผม
“พ่อ รู้ตัวแล้วหรอ....” ผมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นพ่อเรียกชื่อผม
“พ่อ.....รู้ตัวจริงๆ แล้วใช่ไหม....”
มีเพียงหน้าที่พยักตอบเท่านั้น...........
“มันอาจจะฟังดูแย่หน่อย....แต่ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหม....” ผมบอกออกไป
การพยักหน้าที่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้
“นั้นช่วยทำเป็นไม่รู้สึกตัวอย่างเมื่อก่อนได้ไหม......ช่วยป่วยต่อไปอีกหน่อยได้ไหม...” คำพูดผมทำให้พ่อซึ่งเพิ่งฟื้นไข้งง
แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับ..... ซึ่งผมรู้ว่า เขาจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน เพราะตอนเด็กเขาสัญญาอะไรเขาก็จะทำตามนั้น.......
+++++++++++++++
จากที่ผมเช่าคอนโดไว้เพื่อจะได้มาพักอาศัยตอนที่ไปเรียนบ้าง กลับเป็นว่าผมกลับบ้านเหมือนเดิม
แต่อาจมีโอกาสได้มาพัก.....ถ้าวันไหนกลับไม่ไหวจริงๆ........ทั้งเรื่องเรียน เรื่องที่บ้าน ทำให้สมองของผมเหนื่อยเหลือเกิน
ตอนนี้มีเพียงอุ้มที่คอยให้กำลังใจ....และคอยอยู่เป็นเพื่อน...
ตอนนี้เราสนิดกันมาก....จนคนรอบข้างบอกว่าเราเป็นคู่รักกัน
ซึ่งผมกับอุ้มรู้ว่ามันคืออะไร.....เราสองคนไม่เคยคิดในทำนองนี้เลย....แม้ว่าอุ้มจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่นิสัยดีเป็นที่รักของเพื่อนๆ ก็ตาม
แม้ว่าผมจะมีเรื่องปรึกษาอุ้มบ้าง แต่ไม่กล้าพอที่จะเอาเรื่องที่บ้านไปพูดด้วย....
ส่วนมากผมจะปรึกษาเรื่องการเรียน ซะเป็นส่วนใหญ่
“สอง...เรากลับก่อนนะ....” เสียงอุ้มทักเมื่อเราทั้งคู่เลิกเรียนจากวิชาสุดท้ายของวันนี้ ทุกวัน พฤหัส
จะเป็นวันที่เราเลิกดึกที่สุด ดังนั้นที่นอนของผมในวันพฤหัสคือคอนโดที่เช่าอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียน
เราเดินมาที่ลานจอดรถ ผมยืนส่งอุ้มซึ่งขับรถออกไปจนสุดสายตา......ก่อนที่จะขึ้นรถตัวเองเหมือนกัน
เสียงสตาร์รถดังขึ้น เมื่อผมกำลังจะออกตัว แกร๊ก!!... ปึก!! เสียงเปิดและปิดประตูรถของผม
“อะ ไอ......ภูมิ......นายมา ทำอะไรที่คณะนี่....” ผมกำลังสงบสติ ประมาณว่าท่องพุทโธ ผมอยากเปลี่ยนนิสัยตัวเอง ถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม
“เรา...ถามว่า...นายมาทำอะไรที่คณะนี่...” ผมถามไปอีกรอบ.....อย่างที่ว่าเขาไม่เคยก้าวเส้นคำว่าจูบ ดังนั้นตอนนี้ผมเลยสบายใจเวลาที่เจอเขา
“อ้อ....ก็มารอนายบำเรอไง.....” ผมงงกับคำพูด เพราะนานแล้วที่เขาไม่ได้พูดคำนี้ออกมา
“..........................” ผมทำหน้างุนงงเล็กน้อย
“ไป....ขับรถไปสิ.......วันนี้นายจะนอนที่คอนโดไม่ใช่หรือ.....” ผมตกใจที่เขาพูดคำนี้ออกมา
“นาย...คงไม่คิดอะไรใช่ไหม.......” ผมกลืนน้ำลายก่อนที่จะถามออกไป
“ฉัน..บอกให้นายขับ ก็ขับไปสิ หรือว่าอยากจะโดนมากนัก....”
ไม่มีเสียงตอบของผม มีเพียงเสียงรถยนต์ที่ดังแฮ่มๆ เบาๆ ตลอดทาง
จนรถเลี้ยงเข้ามาจอดที่ใต้ตึกที่ผมมาเช่าอยู่
ผมถูกพาขึ้นมายังห้องพักของตัวเอง โดยมีภูมิขนาบข้างอยู่
“นายจะทำอะไร......” ผมถามก่อนที่จะดึงกุญแจออกมาไข
“เปิดประตูสิ......” เป็นเหมือนคำพูดแกมสั่ง
ผมต้องยอมเปิดประตู เพราะถึงผมไม่เปิดเอง เขาก็คงแย่งกุญแจนั้นจากผมแน่นอน
เราทั้งคู่เขามาอยู่ในห้อง.....ซึ่งไม่ได้ใหญ่นัก....มีเพียงห้องที่มีที่นอน และห้องน้ำเท่านั้น
“โอ๊ะ ...ไม่คิดนะว่า....คนอย่างนายจะมาอยู่ที่แบบนี้ได้...” เหมือนเป็นคำพูดถากถางซะมากกว่า
“นายมีอะไรก็พูดมา...แล้วกลับไปซะ....”
“โอ้โห้ เดี๋ยวนี้นายกล้าหืออีกแล้วหรอ....เห็นสงบมาตั้งนาน...”
“ภูมิ...นายมีอะไรก็พูดมา......”
“ได้...” เขาเดินสำเร็จห้องของผมก่อนที่จะเดินมาหยุดอยู่หน้าผม
“ฉันคิดวิธีเอาคืนแบบใหม่กับนายได้แล้ว......ฉันเคยบอกใช่ไหมว่าถ้าพี่นายทำใครในบ้านอีกคนที่จะเจ็บคือนาย....แต่ฉันลืมส่วนของฉันไป....ฉันต้องอดทนกับนานมาตั้งกี่ปีไม่รู้...ฉันเลยว่าจะ.........” ภูมิพูดเพียงเท่านี้ ก่อนที่จะควักบางอย่างออกจากกระเป๋าที่ถืออยู่
ผมผงะ เมื่อเห็นของให้มือมัน....... “ไม่.....ไม่....” ผมหันหลังเพื่อจะวิ่งไปยังประตู.....เพื่อจะหนีจากสิ่งที่เห็น
ผมจะพยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามยอมรับที่สิ่งครอบครัวทำไม่ดีกับมัน แต่แบบนี้ผมไม่เอา.....
มือผมเอื้อมไปจับลูกบิดประตู.....แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันหมุน คอเสื้อก็ถูกกระตุกจากด้านหลัง
ทำให้ผมต้องหงายหลัง ไปปะทะกับแขนของมัน.........
“ภูมิ.....อย่า.........” ผมพยายามร้องบอกแต่เหมือนจะไม่ได้รับความสนใจใดๆ
ผมถูกลากมายังที่นอน พร้อมเชือกที่อยู่ในมือของไอภูมิ.....ที่ถูกมัดมาที่ผม
เสื้อผ้าผมถูกไอภูมิถอดออกจนหมด เตียงที่ทำด้วยเหล็กทำให้สามารถมัดมือผมโยงไว้กันหัวเตียงได้
ขาทั้งสองข้างถูกโยงไว้กับขาเตียง ทำให้ตอนนี้ร่างกายผม ถูกกางออก.....
มีผ้าก้อนหนึ่งอัดไว้ในปากผมเพื่อให้ไม่สามารถพูดอะไรได้.........
ไอภูมิหยุดเมื่อจัดการมัดผมไว้กับเตียงได้............ผมพยายามกระชากเชือกเพื่อให้ขาด เพื่อมันก็ยิ่งรัดแน่นมากยิ่งขั้นเมื่อผมพยายามกระตุกมัน
ผมเห็นไอภูมิค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋า แล้วก็ต้องหัวใจแทบวาย....
เมื่อเห็นกล้องวีดีโอตัวเล็ก..............อยู่ที่มือของไอภูมิ
หัวผมสั่นไปมา...ทั้งแขนทั้งขาต่างพยายามกระตุกกันเป็นพลันวัน เพื่อให้หลุดจากการกระทำนี้
“สอง..นี้ถือยังน้อยไปสำหรับที่นายทำกับฉัน นายจำได้ไหม พวกนายเคยกดหัวฉันจมน้ำ ทำฉันเกือบตาย.....นี่แค่เบาะๆ เท่านั้น...ฉันเคยบอกแล้วว่าพวกนายจะได้หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แน่นอน....” ขณะที่มันกำลังพูดเพื่อเตือนความจำในวัยเด็กของพวกผม ขาตั้งกล้องก็ถูกจัดวางพร้อมทั้งกล้องวีดีโอ..ในที่ๆ เหมาะสม
“สอง....ต่อไปนี้ถ้านายกล้าหืออีก....ภาพพวกนี้จะอยู่ในอินเตอร์เน็ตแบบไม่ต้องสงสัย...ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว.....จำไว้ต่อไป...ฉันจะเป็นเจ้านายของนาย แล้วนายจะเป็นทาสฉัน........” นิ้วมือที่ชี้เพื่อแสดงความหมายของคำพูดของไอภูมิ
“โอ๊ะ วันนี้ฉันมีของเล่น..มาสอนทาสอย่างนายด้วย....” ผมเห็นมันกำลังค้นหาของบางอยากให้กระเป๋าอีกครั้ง
และสิ่งที่มันควักออกมาเป็นเป็น แท่งทรงไข่แต่ยาวกว่านิดหน่อยและมีสายคล้ายๆ เชือกยาวๆ อยู่ตรงปลาย.....
น้ำตาผมไหล.....เมื่อมันพยายามเอาไอแท่งไข่นั้น เข้ามาในตัวผม.... ผมทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งร่นร่างกายตัวเองให้ห่างจากไอแท่งบ้าๆ นั้นมากที่สุด..........มันใช้น้ำลาย...เป็นเหมือนตัวช่วยทำให้แท่งนั้นลื่นขึ้น....ซึ่งทุกอย่างที่ทำถูกบันถึงด้วยวีดีโอนั้น.......
ในที่สุดมันก็เอาไปแท่นนั้นใส่เข้ามาจนได้........... “เป็นไอสอง นายคงกลัวมากหละซิ...” มือของไอภูมิบวดนวดเคล้าคลึงอยู่บริเวณขาอ่อนของผม
ครืดๆๆๆ ครืดๆๆ อะไรอะไร ไอแท่นนั้นมันสั่นอยู่ในร่างกายของผม แต่ผมไม่เห็นอะไรที่จะพอทำให้สั่นได้เลย
แล้วมันก็หยุดลง ตอนนี้ร่างกายผมอ่อนปวกเปียก....แล้วตั้งแต่ไอเจ้าเครื่องนั้นสั่น แม้แค่เพียงแป๊ปเดียว
ไอภูมิเข้ามาเอาผ้าที่อุดอยู่ที่ปากออก ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำลายที่ฉ่ำอยู่
“เป็นไงสอง...นายรู้สึกเป็นไงบ้าง......” พร้อมทั้งหยิบสวิตท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาชู
“ภูมิ....อย่าทำเลยผมขอร้อง...” ผมพยายามร้องขอ
“อะไรแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว.....แต่ทำไมฉันยังทนพวกนายอยู่นะ.” ก่อนที่ไอภูมิจะกดสวิตท์อีกครั้ง..
ครืดๆ ครืด สั่งมอเตอร์ทำงานทำอยู่ร่างกายของผม มันสั่นและเหมือนจะเคลื่อนไหวได้
ผมพยายามกัดฟัน..เพื่อไม่ให้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่ยิ่งผมเก็บไว้เท่าไหร่เหมือนร่างผมจะแตกเสียให้ได้
“ถ้านายไม่ร้องออกมา นายจะแย่เอานะ...” เหมือนเป็นเสียงเตือน
ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าระดับการสั่งจะแรงขึ้น..... “อึก อึก” เสียงที่เล็ดลอดออกมา ก่อนที่ผมจะสลบไปเพราะแรงสั่นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆ
++++++++++++++++
ผมตื่นมาอีกที่เกือบรุ่งสาง แต่ร่างกายยังถูกผู้ไว้เหมือนเดิมมีเพียงมือข้างหนึ่งที่ถูกแกะเอาไว้ ผมเห็นเขานอนหลับอยู่ข้าง
พร้อมกับกล้องที่ตั้งอยู่ปลายเตียง........
ผมหมายจะเอากล้องนั้นมาทำลายทิ้งจริง ผมค่อยแกะเชือกที่ผูกมัดผมไว้
แต่เพราะเป็นเตียงแบบนุ่มให้ ไอภูมิรู้สึกตัว... “ไง..ตื่นได้แล้วหรอ....”
“ใช่...ปล่อยผม...”
“แหม พอมีแรงนี้ก็ตะหวาดใหญ่เลยนะ....” เขาลุกขึ้นพร้อมกับเดินขึ้นไปเก็บกล้อง
“วันนี้นายมีเรียนนี้.........ฉันก็มีเรียน...นายไปอาบน้ำซะ แล้วเราจะได้ไปเรียนกัน..”
ผมทำตาที่ไอภูมิบอก เราทั้งคู่อาบน้ำเสร็จแล้ว “เอาไป...แล้วใส่มันไว้ซะ” ไอภูมิส่งไม่แท่งนั้นมาให้ผม
“ไม่....” ผมปฏิเสธโดยอัตโนมัติ
“นายเป็นทาส..กล้าขัดเจ้านายหรอ...”
“ไม่...นายฆ่าฉันดีกว่า....ถ้าต้องเป็นแบบนี้..”
“ใครอยากจะให้นายตายตอนนี้แหละ.....ใส่มันซะไม่นั้น....นายก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..” มันชูกล้องที่ถ่ายภาพเมื่อคืนไว้ให้ผมเตือนความจำ....
“ไอ.....ไอเลว...” ผมด่าออกไปอย่างเหลืออด ก่อนที่จะถอดกางเกงแล้วยัดแท่งบ้านี่ใส่เข้าไปในตัว
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมมาเรียนด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก รถขับมาจอดที่ลานจอดรถตามปกติ ก่อนที่มันจะเดินออกไปแล้วข้ามฝั่งตรงไม่ยังคณะที่มันเรียนอยู่
“สอง........หวัดดี...” อุ้มเดินเข้ามาทักเธอให้มีตีที่หัวไหล่ผมเบาๆ
“อือ....ดี....” ตอนนี้ความรู้สึกผมมันประหลาดมาก เหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว ทำตัวไม่ถูก
และผมรู้สึกว่ามีคนมองผมแปลกๆ ตรงลาดจอดรถของคณะ นั้นยิ่งทำให้ผมเครียดมากกว่าเดิม
“ป่ะสอง....ไปตึกเรียนกัน....” เธอชวนผมขึ้นตึกเพื่อไปยังห้องเรียนวิชาแรก
“อืม อุ้มเดินไปก่อนนะ เดี๋ยวเราตามไป...” ผมพยาบาลทำให้ตัวเองเป็นปกติ และไม่รู้ว่าอุ้ม...รู้สึกว่าผมผิดปกติหรือเปล่า
นั้นเป็นเพราะไอภูมิ ผมพยายามที่จะแก้ไขสิ่งที่เคยทำกับมัน แต่นี้เป็นนอกเหนือความคาดหมาย
ผมไม่เคยคิดเลยว่า มันจะคิดได้ถึงเพียงนี้...
.........กลางวันนายเดินมาหาที่คณะฉันด้วยนะ.....ถ้านายไม่มา ฉันจะไปหาเอง.... นั้นคือสิ่งที่มันพูดตอนที่พวกเราอยู่บนรถ พร้อมมันยังกดสวิทต์เพื่อบอกว่าถ้าไม่ทำตามคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น......
ตลอดช่วงเช้าที่นั่งเรียน.....สมาธิผมไม่อยู่กับตัวเอง ค่อยแต่กังวล และนั่งไม่ค่อยจะเต็มก้นซะเท่าไหร่ เพราะไอเครื่องบ้าๆ นั้นมันยังอยู่ในตัวผม....แม้ว่ามันจะสงบเสงี่ยมอยู่ก็ตาม.....
“สองเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า...”
“อย่าจับ......” ผมหลุดปากออกไปเมื่ออุ้มจับไหล่ผมอีกครั้งตอนที่เราเลิกเรียนแล้ว
แม้สีหน้าเธอจะบอกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ ก็ตาม แต่ในภาวะนี้ผมไม่สามารถทำดีได้
“ขอโทษ..... เราไม่ค่อยสบายนะ.....เราขอตัวกลับก่อนนะ....ฝากเลคเชอร์ด้วย..”
ผมพูดเสร็จพร้อมพยายามพาตัวเองเดินมาที่ลาดจอดรถ
“อ่า อ่า อ่า.......” เสียงผมเอง ผมพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ เพื่อที่ว่า จะไม่ได้ไม่รู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา
แค่อุ้มโดนนิดหน่อยผมก็จะแย่แล้ว....ยิ่งผมต้องเดินไปหาไอภูมิให้มันเปิดสวิทต์ ต่อหน้าประชาชี ..
ผมคงต้องไปทำอะไรที่หน้าเกลียดแน่นๆๆ ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะกลับบ้านหรือไปคอนโด
สุดท้ายผมก็ต้องไปคอนโดก่อนเพื่อเอาไปของบ้าๆๆ นี่ออก และพักเพื่อเอาแรงก่อนที่จะกลับบ้าน
ก๊อกๆๆ ผมหันไปมองเสียงเคาะกระจกที่ดังอยู่ข้างๆ
ประตูรถถูกเปิดออกโดยเจ้าของเสียงเคาะนั้น
“ฉันนึกอยู่แล้วว่านายต้องไม่ไปหาแน่นๆๆ แต่ไม่นึกว่าจะโง่ขนาดหนีกลับ...”
“ไอ ไอ.......ฉันรู้สึกไม่ดีอยากกลับ....”
“อะไรแค่นี้ถึงกับทนไม่ไหวเชียวหรอ......ลงมาแล้วไปนั่งด้านนู้น...” มันสั่งให้ผมลงจากรถ
ไม่...ผมพยายามปิดประตูอีกครั้ง ครืดๆๆๆๆ เสียงเครื่องบ้าเริ่มทำงาน
“ภูมิ...อย่า..” ผมถึงกับต้องเกร็งตัว เมื่อมันเปิด.....เหมือนจะแกล้งที่ผมขัดคำสั่ง
เครื่องหยุดทำงาน เมื่อผมยอมที่จะทำตามความต้องการของมัน
ผมพาตัวเองเดินอ้อมรถ เพื่อมายังที่นั่งฝั่งตรงข้าม โดยมีไอภูมิเป็นคนขับ
รถมินิคูลเปอร์ถูกขับออกจากลาดจอดรถของมหาลัย....โดยไอภูมิ สีหน้าของมันไม่ส่อแววใดๆ ทั้งสิ้น
พวกเราขับรถออกมาได้สักพักก่อนที่มันจะเลี้ยงรถไปจอดข้างทาง
“สอง....กูนึกขึ้นได้แหละ.....ว่ามึงเคยปีนขึ้นต้นมะม่วง....แล้วกระโดดลงมาทับกูที่อยู่ใต้ต้น.....มันเจ็บนะเว้ย...”
อยู่มันก็พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ เรื่องในอดีตผมก็จำไม่ค่อยได้มากนักหรอก รู้แต่กว่าคงจะเป็นแบบที่มันพูดจริง
มันพูดเสร็จพร้อมกับเปิดสวิทต์ที่ปิดเอาไว้นาน....แม้เจ้าเครื่องจะไม่ได้สั่นแรงก็ตาม
แต่ผมก็ไม่สามารถต่อสู้กับมันในตอนนี้ได้ “ภูมิ......อย่าทำแบบนี้เลย..” ผมตะแคงตัวเองหันหน้าเข้าหาภูมิ ซึ่งอยู่ข้างๆ
เพื่อไม่ให้แรงกดทับที่ผมนั่งทับอยู่แรงขึ้น ดังนั้นการนอนตะแคงขึ้นทำให้เจ้าเครื่องเบาสั่นได้ในระดับที่เรียกว่าเบา...
“ทำไมจะทำไม่ได้....กูเกือบตายตอนมึงกระโดดลงมา.....แค่นี้ไม่ทำให้ตายได้หรอก.....อยู่อย่างนี้จนถึงบ้านแล้วกัน...”
มันพูดเสร็จพร้อมกับขับรถออกไปอีกครั้ง
ผมรู้สึกปวดท้องเจ็บจิ๊ดๆ ขนแขนลุกตั้งชั้น.. และเหงื่อก็เริ่มซึมออกมา แม้รถคันนี้จะเปิดแอร์แรงแค่ไหน
แต่ผมรู้สึกร้อน อย่างบอกไม่ถูก.......ผมต้องเลื่อนตัวเองลงไปนั่งคลุกเข่าอยู่ด้านล่าง และให้เบาะนั่งเป็นเหมือนโต๊ะที่คอยต้องเอาหน้าซบลง หรือไม่ก็ทุบที่เบาะ....เพื่อหยุดอาการแปลก ....มีเพียงสายตาของไอภูมิเท่านั้นที่มองมายังผม
สลับกับการมองกระจกด้านหน้าเพื่อขับรถไปด้วย.......ผมทนแบบนั้นจนกระทั่งรู้ว่าเครื่องที่เปิดนั้นอยู่หยุด
แต่ไม่ใช่เพราะมันใจดีปิด แต่ถ่านมันหมดต่างหากและเหมือนตัวมันเองก็ไม่รู้ด้วยเช่นกัน
ส่วนผม....จะพยุงตัวขึ้นนั่งตามเดิมก็ไม่ไหวแล้ว ผมเลยต้องอยู่อย่างนั้นจนหลับไป.........
มารู้ตัวอีกที่ก็ตอนมันจอดรถนั้นแหละ....รถติดไฟแดงอยู่ตรงแยกก่อนเข้าหมู่บ้าน..
“ภูมิซื้อข้าวต้มหน่อย...” ผมบอกมามันเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“ซื้อไหม ให้นมทำให้ก็ได้...” ดูเหมือนผมจะไม่รู้อะไรเลย...ซึ่งผมก็ไม่คิดจะบอกอยู่แล้ว
“ได้โปรด.....” นั้นเป็นคำขอร้องที่ผมพูดกับมันดีๆ ด้วยน้ำเสียงที่สุภาพในแบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
น้ำเสียงที่ผมส่งออกไปทำให้ภูมิแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด.... เขายอมที่จะจอดรถเพื่อลงไปซื้อข้าวต้มมาให้ผมจริงๆ
ก่อนที่จะส่งมาให้ผมเพื่อเก็บเข้าไปในกระเป๋าของผม...........
ผมได้รถตัวเองคืนตอนที่เราอยู่ที่หน้าบ้าน มันลงมาจากรถแล้วบอกให้ผมขับรถเข้าไปในบ้านเอง
ซึ่งนั้นทำให้ผมดีใจมากที่สุด เพราะผมไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าผมมากับภูมิ....
ผมพาตัวเองขึ้นห้อง พร้อมทั้งเอาไอเครื่องบ้าๆ นั้นออกจากร่างกาย
มีน้ำเมือกสีขาวขุ่นอยู่ที่เจ้าบนตัวเครื่องบ้าๆ นั้น......... มีบางส่วนแห้ง บางส่วนยังคงเปียกชื้น
ผมปามันทิ้งลงถังขยะ....ก่อนที่จะตัวเองนอนหลับพักเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกกระชุ่มกระช่วยมากขึ้น
++++++++++++
ผมตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลุก...........
ข้าวต้มทุกมื้อที่พ่อเลี้ยงทานจัดทำโดยนม ซึ่งไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลย
และยาทุกซองที่ใส่ลงในข้าวต้ม ผมเป็นคนฉีดมันใส่เองกับมือ ต่อหน้าพยาบาล
ก่อนที่เธอจะออกไปจากห้องเพื่อให้ผมใช้เวลานี้ป้อนข้าวพ่อผม แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานนัก
ที่เธอปล่อยให้ผมได้อยู่กับพ่อ...แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผมทำให้สิ่งที่ผมต้องทำ....
ผมเคยได้ยินว่า คนจีนมักจะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เพราะมันเป็นสัตว์ที่ให้คุณแล้ว ยังรับเคราะห์กรรมแทนเจ้าของด้วย
นั้นทำให้ผมคิดว่า พ่อเลี้ยงที่เลี้ยงผมมาด้วยความรักนั้น ถึงเวลาที่ผมจะได้ช่วยเหลือท่านบ้าง
คืนท่านให้กับลูกที่เป็นลูกของท่านอย่างแท้จริง ไม่ใช่ลูกบุญธรรมที่คอยแต่จะกอบโกย.....อย่างผม
สภาพที่ท่านต้องทนป่วยมา 5 ปี เพราะไอยาบ้าๆ นี้
แต่ผมเพิ่งไม่กี่เดือนเอง .....ยัง ยังได้อยู่......ผมรู้ตัวว่าตัวเองทนได้แค่ไหน....ถึงไงผมก็ไม่คิดจะตายเพราะไอยาบ้านี้หรอก
สภาพพ่อที่ผอม ซูบ เซียว นั้นทำให้ผมต้องทนกลั่นเอาไว้
เมื่อก่อนท่านเป็นคนที่จัดได้ว่าดูดี มีสง่าราศีของคนที่เป็นผู้นำ...แต่พอมองในตอนนี้ไม่เหลือสิ่งเหล่านั้นเลย
ข้าวต้มชุดใหม่ถูกเทลงใส่ชามก่อนที่จะถูกป้อนให้พ่อที่นอนป่วยอยู่......
ผมออกมาจากห้องพ่อ หลังจากที่ป้อนข้าวให้ท่านเสร็จ
+++++++++++++++
“ไอสอง....แกจะปรนนิบัติพ่อไปก็ไม่ได้สมบัติขึ้นมาหรอ...” พี่หนึ่งที่เห็นผมเดินออกมาจากห้องพ่อ ด่าก่อนที่จะปิดประตู ปัง! เข้าห้องไป
สงสัยคงทะเลาะกับแฟน.......ผมคิดก่อนที่จะเข้าห้องตัวเองเช่นกัน.......
ความคิดเห็น