ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    yaoi เมื่อความกลัวมาเยือน...

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอน9

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 54


    ตอน 9

     

    “อะไรว่ะ...ทำไมมันป่วยได้บ่อยขนาดนี้  ตอนเด็กออกจะแข็งแรง...”  ผมบ่นอุบอยู่คนเดียวที่เห็นน้อยเดินมาบอกนม

    ให้มาทำโจ๊กให้คุณสองหน่อย  แกไม่สบาย

    ผมได้ยินพอดี....งตอนที่น้อยเดินมาบอกนมนั้นแหละครับ   ผมว่า...ไอแค่เจาะนมก็เหมือนเจาะต้มหูนั้นแหละ

    ไม่สามารถทำให้ใครไม่สบายได้ได้หรอก....แต่ทำไมไอสองมันถึงได้อ่อนแอนัก....ทำให้ผมรู้สึกผิดไปด้วยเลย..

    ผมนั่งเล่นอยู่ในสวน.........ขณะที่น้อยเดินมาหาผมอีกรอบ

    “คุณหนูค่ะ  คุณนุชเรียกที่บ้านใหญ่ค่ะ..........”  ผมสงสัยมากที่แม่เลี้ยงใจร้ายเรียกขึ้นบ้านใหญ่

    เพราะมันไม่เคยเรียกผมอีกเลยตั้งแต่ผมขึ้น ม.แถมยังไม่ให้ผมขึ้นไปหาพ่อด้วยอีก

     

    ผมเดินตามน้อยไปที่ตึกใหญ่  เพราะอยากรู้ว่าอีแม่เลี้ยงจะเรียกผมทำไม

    ขณะที่ผมเดินเข้าบ้านใหญ่ก็มีรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านใหญ่แล้ว

    ผมเดินเข้าไปในห้องโถง ที่มีอีกแม่เลี้ยง  มีสอง  และทนายความ  แต่อีหนึ่งไม่เห็นมาหลายวันแล้ว

    “เรียกมาทำไม...” ผมถามออกไปก่อนที่จะสบตาแม่เลี้ยง  ที่นั่งหน้าตึงอยู่

     

    “คุณหนูภูมิครับ ..........”  เสียงทนายความขัดขึ้นเมื่อผมถามออกไป

    “ครับ..คุณทนาย...”

    “เชิญนั่งก่อนครับ........”  เสียงทนาย  เชิญผมนั่ง ทั้งที่เจ้าของบ้านไม่เชิญด้วยซ้ำ 

    ผมนั่งตามที่ทนายเชิญ

    “วันนี้ผมจะมาแจ้งเรื่องการเปิดพินัยกรรม......”

     

    “อะไรนะ......สามีฉันยังไม่ตายจะมาเปิดได้ไง....” เสียงอีแม่เลี้ยงแจ๋นขึ้นมาทันที

    คงเพราะจะรู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไง  ในต่อไปแน่นๆๆ

     

    “ครับ  คุณท่านสั่งให้ผมเปิดพินัยกรรมหลังจากวันเกิดอายุครบ 20 ปี ของคุณหนูภูมินะครับ....นี้ก็เหลือเวลาอีก 1 อาทิตย์ ผมเลยมาแจ้งให้ทางบ้านใหญ่ และเรือนเล็กทราบครับ อยากจะขอให้ทุกคนอยู่พร้อมหน้าในวันเปิดพินัยกรรมครับ”

    “แต่ตามกฎหมายต้องเปิดหลังจากสามีดิฉัน  เสียชีวิตเท่านั้นนี้ค่ะ” 

    ผมคิดในใจว่าอีแม่เลี้ยงนี่ก็หัวหมอห๊ะ  รู้กฎหมายซะด้วย

     

     

    “ครับ..จริงอย่างที่คุณนายว่า...แต่เรื่องนี้เป็นเหตุจงใจของผู้ทำพินัยกรรมครับ...ดังนั้นจึงถือว่าเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมายครับคุณนาย...”  เสียงทนายความโต้งกลับเช่นกัน...........

     

     

    ทนายความขอตัวกลับหลังจากแจ้งกำหนดวันเปิดพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว........

    ซึ่งผมก็ยังนั่งมองหน้าอีแม่เลี้ยงอยู่ว่าจะทำไงต่อไป

    “กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ........................”  นั้นเป็นเสียงแม่เลี้ยงที่ดังลั่นทั่วบ้าน

    คงมีเพียงผมเท่านั้นที่นั่งยิ้มเยาะอยู่

    “แม่ครับ.......หยุดก่อน.........แม่.....”

    ปึก!!!!!  เสียงนั้นทำให้ผมตกใจได้ทีเดียว     เพราะ ไอสองมันเข้ามาห้ามแม่ตัวเองที่เหมือนกำลังจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่มือจับอะไรได้ก็ปามันลงพื้นระบายอารมณ์ 

    แต่แรงแม่มันดันมีมากกว่ามันในตอนนี้นี่สิครับ (ก็อย่างที่รู้กันว่ามันไม่สบายอยู่) 

    มันเลยโดนแรงอันมหาศาลของแม่มันผลัก  ตัวเลยเซหงายหลังไปชนขอบเก้าอี้สลบไปเลย...

     

    ผมรีบลุกขึ้น  เพี๊ยะ!!  เสียงตบที่ดังออกมาจากมือผมนั้นแหละครับ 

    “มึงเลิกบ้าได้แล้ว...เห็นไหมว่าทำอะไรลูกตัวเอง...”  ก่อนที่ผมจะไปอุ้มสองไว้ในมือ

     

     

    ตอนนี้ผมเห็นใจมันจริงๆๆ  ดีนะที่หัวไม่แตก.....ถ้าหัวแตกผมจะเอาเลือดแม่มันออกเหมือนกันเลย

    ดูเหมือนตอนนี้แม่มันจะสงบได้จริงๆ  เห็นมีน้อยนั่งอยู่ข้างๆ 

    ผมจึงพาสองขึ้นข้างบน.......พร้อมกับนมที่ตามขึ้นมาด้วย.........

    ผมวางเขาลงบนเตียงของเขาเอง  โดยมีนมช่วงประคองอยู่ข้างๆ....

    ไม่เคยสังเกตมันเลย   แม้ว่าจะอยู่กับมันบ่อยๆ ก็ตาม

    หน้าตามันดูซูบๆๆ  เหมือนคนไม่มีแรงจริงๆ นั้นแหละ  หรืออาจเป็นเพราะไข้ที่มันเป็นอยู่ก็ไม่รู้

    ผมนั่งเฝ้าอยู่กับนม นานเป็นชั่วโมง  พร้อมกับคอยประคบถุงเย็นตรงที่หัวมันโนอยู่ 

    กว่าสองจะรู้สึกตัวก็เล่นหลับไป 2 ชั่วโมงเต็มๆ

     

    “สอง....สอง..”  ผมเรียกเขาเมื่อเห็นว่าขนตายาวๆ  นั้นเริ่มกระพริบ....

    “นม  สองตื่นแล้ว...”  เสียงผมเรียกนมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องของสอง

    “คุณสองค่ะ  เจ็บหัวอยู่ไหม....ไปหาหมอไหมค่ะ...” เสียงของนมที่ถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่ครับ......” ผมตอบกลับนมอย่างงุนงง    หัวผมไม่เจ็บเท่าไหร่ และรู้สึกเหมือนอยากอ้วกมากกว่า

    “นมผมอยากอ้วก...”  ผมบอกนมออกไป

    “นมรีบไปเอาถุงมาเร็ว....”  ผมบอกนม  ซึ่งทำให้นมต้องวิ่งลงไปในครัวเพื่อหาถุง

     

     

     

    “ภูมิไม่ไหว อุ้มที่  ห้องน้ำ....”  ผมพยายามบอกความต้องการ

    ภูมิอุ้มตัวผมลอย  แต่ก่อนที่ผมจะถึงห้องน้ำ.......ก็อ้วกใส่ภูมิไปเรียบร้อยแล้ว 

    ผมถูกอุ้มทั้งๆ ที่ตัวภูมิเปรอะอ้วกมายังห้องน้ำ.......ผมนั่งอยู่หน้าโถก่อนที่จะอ้วกเอาโจ๊กที่กินไปออกมา

    “วันหลังหัดเอาถุงมาไว้ในห้องบ้างนะ”  เสียงภูมิ  ผมรู้สึกเหมือนเขาจะหัวเสียกับอ้วกผมแน่นเลย

    ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่  แต่สีหน้าไม่เหมือนคำพูดซักเท่าไหร่ 

    ก่อนที่ภูมิจะถอดเสื้อ.....เพื่อล้างอ้วกที่ผมปล่อยไว้ที่เขานั้นแหละครับ

    นมกลับขึ้นมาก็เห็นพวกผมอยู่ในห้องน้ำแล้วครับ  ผมบ้วนน้ำล้างคอก่อนที่จะถูกภูมิอุ้มกลับมาไว้ที่เตียง

    ผมไม่เคยเห็นภูมิตอนถอดเสื้อเลยซักครั้ง   กล้ามเนื้อที่แสดงถึงความเป็นชาย  ซึ่งผมสู้ไม่ได้อย่างแรง

    บ่งบอกความน่าอับอายของตัวเอง......ผมคิดว่าถ้าผู้หญิงที่ผมรักล้มลง ผมก็คงจะอุ้มไม่ได้เช่นกัน

    ตอนนี้เสื้อผ้าผมก็เปรอะอ้วกตัวเองเช่นกัน......กลิ่นนี่แรงได้ใจผมมากๆ

    “นมเดี๋ยวผมเปลี่ยนเสื้อให้สองเอง  นมลงไปทำอะไรร้อนๆ ให้มันกินหน่อยสิ..” เสียงภูมิบอกกับนม

    “นั้นเดี๋ยวนม หาอะไรร้อน มาให้จะได้สบายนะคะคุณสอง.”

    ผมพยักหน้าตอบแทนคำพูด  ตอนนี้ผมแสบคอมากเพราะเพิ่มอ้วกจนตัวโกร่งไป...

    ผมรอนมออกไป แล้วหันไปมองภูมิค้นตู้เสื้อผ้าหาเสื้อตัวที่คิดว่าใส่สบายให้ผมครับ

    “อ้าว..ยกแขนยึ้น...” มันสั่งผมเป็นเจ้านายเลย

    “ไม่ต้อง ผมเปลี่ยนเองได้.....” พอได้อ้วกก็มีแรงเถียง  ผมยังจำเรื่องเมื่อคืนได้ที่มันฝากของไว้ที่ตัวผม

     

     

    “เหอะ  พอมีแรงก็ปากดีเลยนะสอง...” ผมบ่นออกปาก

    “ชิ.......”  เสียงผมพร้อมกับสะบัดหน้าหนี

    “จะเปลี่ยนดีๆ หรือจะให้เปลี่ยนนมเป็นคนมาเปลี่ยน  แล้วเห็น..............ของดี  หือ...”  ผมพูดพร้อมกับยิ้มแบบกวนๆ ให้

    และนั้นทำให้สอง ต้องยอมผมแต่โดยดี  เขายกมือขึ้นถอดเสื้อ และสวมเสื้อตัวใหม่เข้าไปแทนที่

     

    ผมมองสิ่งที่ตัวเองฝากเอาไว้บนตัวของสอง ที่มีสีแดงและรอยช้ำนิดหน่อยที่บริเวณนั้น

    “นายมองอะไร....ไป ออกไปได้แล้ว...” เหมือนผมมองเห็นสองเมื่อครั้งอดีตเลย

    “ทำไม.....จะอยู่  มีไรเปล่า..” ผมตอบขัดใจมัน

    “เออ...มึงจะอยู่  นั้นกูไปเอง...” จริงๆ ด้วยไอสองคนเดิม

    “ถ้ามึงลองขยับดูสิ  กูจะจับมึงแก้ผ้าคอยดู...ป่วยแล้วไม่เจียม...” ผมคาดโทษมันจริงๆ และตั้งใจจะทำด้วยถ้ามันยังดื้ออยู่

    ....ก็จริงอย่างที่ผมพูดไหมอ่ะ  ป่วยแล้วยังไม่เจียมตัวเอง  ขนาดแรงจะเดินไปอ้วกยังไม่มีเลย...

     

    เหมือนมันจะรู้สภาพตัวเองตัว เลยล้มตัวลงนอนหลับซะหนีผมไปซะแล้ว  แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้หลับหรอก

    “สอง....ทำไมช่วงนี้นายป่วยบ่อยจัง...” เสียงผมนุ่มนวลขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวอ่อนลง

    “.................................”  ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงแต่สายตาที่ลืมขึ้นมามองผมก่อนที่จะหลับตาอีกครั้ง

    “นายนี้ เคาะกรรมเยอะนะ  โดนรุมกระทืบแล้วยังจะโดนแม่ตัวเองอีก”

    “อย่าลืมรวมตัวนายด้วยภูมิ”  เสียงไอสองพูดก่อนที่ผมจะพูดเสร็จ  แต่มันไม่ยอมลืมตาอีกแล้ว

    ผมนั่งมองมัน...แต่ก็ไม่ชวนคุย จนนมเดินขึ้นมาอีกรอบ   แต่สองดันหลับจริง..ผมเลยไม่ปลุกปล่อยให้นอนต่อไป

     

    ผมจึงเดินลงมาข้างล่างซึ่งเงียบเป็นปกติ...สงสัยอีแม่เลี้ยงคงอยู่ในห้อง....คงกำลังคลั่งอยู่แน่นๆ  ซะใจจริงๆ

    คืนนั้นผมขอร้องให้นมมาเฝ้าไอสอง กลัวว่ามันจะไข้ขึ้น 

    คือผมไม่อยากเห็นคนตายในบ้านนะครับ...แต่ถ้าผมฆ่าก็อีกเรื่อง

     

    วันรุ่นขึ้งอีพี่ตัวดี.....กลับมาแบบหืดขึ้นคอก็ว่าได้.........ผมเห็นมันขับรถเข้ามาแล้ว 

    รู้เลยว่ามันมาเพื่อเรื่องสมบัติล้วนๆๆ  ผมยกให้วันแล้วกัน...ปล่อยพวกมันไปก่อน........

     

    ++++++++++++++

     

    “แม่...เกิดอะไรขึ้น...”

    “หนึ่ง.....แย่แล้วลูก...”

    “เมื่อวานทนายมา....ว่าจะเปิดพินัยกรรมหลังวันเกิดไอภูมิ...”

    “แล้ววันเกิดมันวันไหน......”  เป็นเสียงที่ตื่นตระหนกซะจริง

    “อีก 1 อาทิตย์ ลูก  เราจะทำไงกันดี...”

    “แม่แล้วไอสองมันอยู่ไหน  ปล่อยให้แม่อยู่เดียว”

    “เออ......สองไม่สบายนะลูกอยู่บนห้อง...” เสียงแม่เลี้ยงบอกกับลูกสาว

    “มันใช่เวลามาป่วยซะที่ไหน...ไปแม่  ขึ้นไปห้องสองมัน เราจะได้คุยว่าจะเอาไงดี..” เสียงอีพี่หนึ่ง  พร้อมกับฉุดแม่ตัวเองขึ้นห้องสอง

     

    “สอง...มันใช่เวลามานอนป่วยที่ไหน....”  เสียงของพี่หนึ่งทำให้ผมตื่นขึ้นมา...ตอนนี้ผมอาการดีขึ้นแล้ว....

    “แม่  พี่หนึ่งมาทำไรกัน....” ผมถามออกไปด้วยความแปลกใจ  ซึ่งผมก็นึกได้ว่าเรื่องอะไร

    “มาเรื่องสมบัติหรอ......ทำไมอ่ะ....” 

    “แหม  แกนี่นะ  เงินมันจะบินหนีไปแล้วแก่ยังไม่รู้สึกอีกหรอ...” เสียงพี่หนึ่งบอกด้วยความโมโห

    “พี่หนึ่ง  พ่อไม่ให้เราอดตายหรอน่า....พี่ไม่ดีใจหรอ แบ่งสมบัติกันแล้ว แม่จะได้มีเงินใช้หนี้คุณภพไง...”  ผมพยายามหาข้อดีของการเปิดพินัยกรรม

    “ไอโง่...แกไม่หน้าเกิดมาเป็นน้องชายฉันเลย....”  เสียงพี่หนึ่งด่าผม  ซึ่งถ้าผมไม่ใช่น้องชายคงต้องตบเละไปแล้ว

    “แกคิดหรอว่าเงินที่ใช้พอเอาไปใช้........เงินมันจะเหลือเท่าเดิมนะ...”

    “หนึ่งพูดเบาๆ ก็ได้ลูก  สองไม่สบายอยู่นะ...”  แม่ผมพูดเหมือนจะเกรงใจผมอยู่ในที

    อาจเป็นเพราะเมื่อวานแม่ทำผมหัวฟาดเก้าอี้ก็ได้

     

    “แม่ดูแลพ่อยังไงอ่ะ  ปล่อยให้ทนายความมาเปิดพินัยกรรมได้”  เสียงพี่หนึ่งบ่นแม่ตัวเองอยู่

    “พี่หนึ่งนั้นแม่นะพี่...”  ผมพูดเตือนสติเขา

    “พอพูดถึงพ่อ  พ่อเลี้ยงพวกแกนี้มันน่า......นัก.....”  นี้คือเสียงแม่ที่เหี้ยมผิดปกติ  ซึ่งทำให้ผมกลัวว่าเขาจะคิดอย่างที่ผมคิด  แต่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย   อีกนิดเดียวก็จะได้เป็นอิสระจากคำสาปบนกองเงินกองทองกันแล้ว

    ตอนนี้ผมอยากไปจากบ้านนี้ตอนที่ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ครับ.......

     

    “แม่ครับ.....พวกเราพอเถอะ....เราเอาของเขามาแล้ว....” ผมบอกแม่

    มีเพียงสายตาแม่ที่โต้ตอบผม  แต่ไม่ได้พูดอะไรซักอย่าง

    “แม่ครับ....คืนให้เขาไปเถอะๆ  เงินที่เหลือจากใช้หนี้ก็น่าจะมีอีกเยอะ...เราไปกันเถอะครับ..” ผมพูดโน้มน้าวแม่

     

    เพี๊ยะ!!!  มือตบของบ้านผมเองครับ  ผมโดนเต็มๆ แบบตั้งใจด้วย 

    “แกมันโง่ไอสอง....แม่จะยอมให้มันเอาของเราไปหรอ..” เสียงพี่หนึ่งที่เรียกสติแม่ผมกลับมา

    “แม่..”  “มึงหยุดพูดเลยนะไอสอง...ถ้ามึงพูดแล้วทำให้ตัวเองดูดีขึ้นหยุดเลย  กูอยากจะอ้วก...” เสียงพี่สองที่สติแตกเพราะเรื่องผมสมบัติ

     

    ศึกภายในครอบครัวผมสงบ  แบบงงๆ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกัน

     

    +++++++++++++++

     

     

    ผมรู้สึกใจไม่ดีที่เห็นสีหน้าแม่ตัวเอง...เวลาพูดถึงพ่อ

    “คุณพยาบาลเชิญข้างนอกหน่อยครับ............”  ผมเรียกเข้าออกมาที่ห้องผม

    “มีอะไรค่ะคุณสอง.........” 

    “แม่ผมเอาอะไรให้คุณใช่ไหมครับ...........”  ผมถามออกไป

    “เออ....ค่ะ  คุณรู้ได้ไง...”

    “แม่บอกผมเอง................”  ผมพูดเองผมแทบร้องไห้เองได้เลย  ที่แม่ผมจะทำกับพ่อเลี้ยงได้ถึงเพียงนี้

    “คุณเอามันให้ผมได้ไหม..........”  ผมถามออกได้......

    “ได้ค่ะ........เพราะดิฉันกลัวจริงๆๆ ที่จะต้องทำแบบนี้.....ดิฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ...” เสียงพยาบาลบอกบางอย่างที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

    “ไม่เป็นไรครับ  ผมจัดการเอง........”

    ตอนเย็นผมพอตัวเองเข้าไปหาพ่อ......ก่อนที่จะฉีกยาต่อหน้าพยาบาล  แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง

    “พ่อครับ.....”  ผมเรียกผมขึ้นมาก...ซึ่งอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด....ผมคิดว่านางพยายามคงจะเริ่มรู้อะไรบ้างแล้ว...หรืออาจเพราะเขาเริ่มมีจรรยาบรรณขึ้นก็ได้.....

     

    “อือ  สอ สอ สอง..”  สีหน้าดีขึ้น เพียงแต่ยังพูดไม่ค่อยได้

    “พ่อครับ อีก 1 อาทิตย์ ทนายจะเปิดพินัยกรรมที่พ่อทำไว้แล้วนะ.....”  ผมบอกพ่อออกไป...

    มือของพ่อมากุมที่มือผม  

    “สอ  สอ  สอง  พอ  พอ  เถอะ”  เสียงเขาที่พยายาม

    “พ่อครับอีกนิดเดี๋ยว  ผมกับพ่อก็จะได้เป็นอิสระแล้ว....ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่.....ทนอีกหน่อยนะครับ อาทิตย์เดียวเอง...”

    มีน้ำตาหยดออกมาจากดวงตาของพ่อเลี้ยง.....  “วันนี้ผมลืมเอาข้าวมา  พ่อกินกับอย่างเดียวก่อนนะ  ส่วนข้าวผมจะทิ้ง....”  ผมป้อนแกลงจืดที่นมทำให้พ่อ.....จนหมด ก่อนที่จะเอาข้าวต้มไปเททิ้ง

    แต่นางพยาบาลกลับมาไว้กว่าปกติ  ซึ่งผมเพิ่มจะเททิ้งได้ไม่นาน............

    “เออ  ข้าวต้มมันหกนะ... ผมเลยป้อนแกงจืดแทนให้แล้ว...”

    ไม่มีคำพูโตอบกลับของนางพยาบาล

    ผมออกไปจากห้องของพ่อพร้อมกับถ้วยอาหารที่กินเสร็จเรียบร้อย

    ตอนนี้ทั้งพี่หนึ่ง ทั้งแม่ไม่ได้เขามาหาผมอีกเลย  พวกเข้าอยู่แต่ให้ห้องของแม่

     

    “ภูมิ.........”  ผมโทรศัพท์ถึงภูมิ....

    “ไง  มีแรงแล้วหรอ...”  เสียงตอบกลับจากปลายสาย

    “ผมมีเรื่องรบกวน......ภายในวันมะเรื่อนี้ผมอยากให้คุณขึ้นมาดูแลพ่อคุณหน่อยได้ไหม”

    “ได้สิ  ทำไหมหรอ...”

    “เปล่า..เพียงแต่พ่อเรียกหาคุณนะ...........ผมเลยคิดว่าให้คุณมาดูแลท่านบ้างก็ดี”  ผมบอกออกไปก่อนที่จะวางสาย

     

    ++++++++++++

     

    เหลืออีก 4 วันก็เป็นวันเปิดพินัยกรรมแล้ว  ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ผมให้ภูมิเข้ามาป้อนข้าวพ่อเลี้ยง

    ผมถือถ้วยข้าวรออยู่โดยมีนางพยาบาลยืนอยู่ด้วย......

    “เออ  ภูมิพอดีผมมีเรื่องจะบอกพ่อแป๊ปนะ  คุณกับพยาบาลออกไปก่อนได้ไหม แป๊ปเดียวเดี๋ยวคุณกับมาป้อนท่าน”

    มีสีหน้าแปลใจของภูมิ  ผมรีบทำให้สิ่งที่ต้องทำ เพราะไม่กล้าที่จะทิ้งอีกแล้ว  แต่การที่ให้ภูมิกับพยาบาลออกไปก่อน

    ทำให้เธอไม่กล้าเข้ามา  ข้าวต้มถ้วยเล็กๆ ถูกเปลี่ยนเป็นถ้วยใบใหม่ และข้าวต้มถุงเล็กๆ ที่เตรียมมาก็ถูกเทใส่

    “พอครับ อีก 2 ครั้งเท่านั้นๆ”  ผมใช้เวลาเร็วกว่าปกติสำหรับทุกอย่างก่อนที่จะเปิดประตูเรียกภูมิเข้ามา  ซึ่งตามมาด้วยนางพยาบาล  ที่รอยู่หน้าห้อง...

    มีเพียงน้ำตาของพ่อที่ไหลรินอยู่  “ภูมิดูสิท่านดีใจมากที่คุณมาดูแลท่าน...”  ผมปล่อยให้ภูมิและนางพยาบาลคอยดูแลปรนนิบัติพ่อเลี้ยง และผมขอตัวออกมา....เพื่อให้เวลาส่วนตัวกับเขา

    ผมกลับไปอ้วกของที่กินเข้าไป.....อยากที่ผมบอก ผมไม่คิดจะตายแน่นอน....

    ผมไม่รู้ว่ามันเป็นยาอะไร แต่ที่รู้มันต้องแรงกว่าเดิมแน่นๆๆ ผมอ้วกเอาข้าวต้มออก  พร้อมกับดื่มน้ำตาม

     

     

     

    ..................วันสุดท้ายก่อนเปิดพินัยกรรม”””””””””””””

    มันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกผมจะได้ออกจากบ้านหลังนี้แล้ว  พรุ่งนี้ก็เป็นวันตัดสินชะตากรรมครอบครัวของผม

    อาหารมื้อสุดท้ายที่พ่อเลี้ยงผมจะได้กิน.......ผมเป็นคนป้อนเองครับ  ผมใช้เทคนิคนิดหน่อยในการสับเปลี่ยน

    ซึ่งวันนี้ก็มีพยาบาล และภูมิขึ้นมาอยู่ด้วย   เมื่อผมป้อนอาหารเสร็จผมก็อ่านหนังสือ  ให้ท่านฟังซึ่งเป็นปกติของผมที่ทำเช่นนั้น..... ก่อนเราสองคนจะออกมาจากห้องของพ่อเลี้ยง

     

    “สอง......”  ผมโดนมันลากเข้าไปจูบตรงมุมอับของห้อง

    “อะไร....” ผมถาม

    “พรุ่งนี้แล้วนะ......จะรับได้หรอ..กับชีวิตที่เปลี่ยนแปลง......”  เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ

    “ผมตั้งใจรอรับเต็มที่...ปล่อย..”  ผมผลักเขาเบาก่อนที่จะเดินเข้าห้องตัวเองและล็อคห้อง

    ผมเข้าไปในห้องน้ำของตัวเองเพื่อจะอ้วกมันออกมา.......มันคือครั้งสุดท้ายแล้ว  ผมจะได้เป็นอิสระจริงๆ ซะที

    อาการมึนเกินขึ้นนิดหน่อยกับอาหารที่กินเข้าไป  ผมเลยกินน้ำตามมากๆ 

    ผมเข้านอนเร็วกว่าปกติ.....เพื่อวันพรุ่งนี้จริงๆ..................

     

    ++++++++++++++

    ตอนนี้เวลา 9.00 น.    พวกเรามารวมกันที่ห้องโถงใหญ่ของบ้าน   คนใช้ทุกคน

    ร่วมทั้งพ่อเลี้ยงและนางพยาบาลก็มาร่วมตัวอยู่กันนะที่นี่

    ผมไม่เคยเห็นน้าเพ็ญอยู่กับพ่อเลี้ยงอีกเลยตั้งแต่ท่านหย่าขาดจากกัน

    รถของทนายความมาจอดยังตัวบ้านใหญ่............

    แล้วทนายก็เดินออกมาจากตัวรถ....ผมเอกสารที่บรรจุสิ่งที่พวกเราต้องการอยู่ในนั้น

    “สวัสดีครับคุณท่าน....”  เสียงทนายความทักพ่อเลี้ยง  ก้มหน้าคำนับทุกคนเช่นกัน

    พวกเรานั่งลงที่เหมือนจะเป็นการแยกฝั่งก็ว่าได้  มีเพียงน้อยเท่านั้นที่นั่งอยู่ด้านเรา

     

    รายละเอียดต่างๆ  ได้ถูกแจกแจงต่อหน้าทุกคนอย่างชัดถ้อยชัดคำ.....

    เป็นอย่างที่บอก คือ สมบัติ เกินครึ่งถูกยกให้เป็นสมบัติของบุตรชายที่แท้งจริงเพียงคนเดียว

    ส่วนพวกผมได้เงินสด  อาคารพาณิชย์ และหุ้นของบริษัทซึ่งรวมกันแล้...ก็มากพอที่จะใช้หนี้คุณภพได้

    บ้านใหญ่ถูกโอนเป็นชื่อ ลูกชาย คือคุณภูมิ  ส่วนเรือนเล็กเป็นชื่อของน้าเพ็ญ 

    ส่วนพวกผมพ่อเลี้ยงให้บ้านหลังหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตรั่วของที่นี้ ซึ่งผมดีใจเป็นอย่างมาก

    ส่วนคนใช้ ก็ได้ตามอายุการทำงานของแต่ละคนซึ่งเป็นเงินสด  ร่วมทั้งนางพยาบาลที่ดูแลพ่อเลี้ยงมาตลอด 5 ปี ก็ได้เงินเป็นค่าตอบแทนไม่ใช่น้อยเช่นกัน  ซึ่งผมแอบเห็นว่าเขาร้องไห้

    ก่อนที่จะทนายความจะกลับ........ท่านได้กล่าวเพียงว่า  “สมบัติของคุณท่านมีอยู่มากมายก็จริง แต่ทุกอย่างไม่สามารถเอาไปได้.....เมื่อจากโลกนี้...”  นั้นเป็นคำพูดของพ่อเลี้ยงที่เขียนไว้ในพินัยกรรม   ก่อนที่ทนายความจะกลับ

     

    ทุกอย่างอยู่ในความสงบ     เหมือนจะอึ้งๆ เมื่อทนายจากไปแล้ว

    “กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณแม่ทำไหมคุณพ่อทำแบบนี้  อย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของคุณแม่สิ...” พี่หนึ่งเป็นเสียงแรกที่ดังฝ่ากลางวง

    ผมเดินมายังพยาบาล กระซิบบอกให้เขาพาพ่อเลี้ยงขึ้นข้างบน

    “คุณพ่อ ยังไม่ไหนไม่ได้ กลับมาก่อน ทำไหมถึงทำกับหนูแบบนี้”  พี่หนึ่งพยายามจะดึงพ่อมานั่งอย่างเดิม

    “พี่หนึ่งพ่อไม่สบาย...ปล่อยท่านไปเถอะ...”

    “ไม่  ไม่ ต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน... “  เหมือนจะเกิดเหตุปะทะระหว่างผมกับพี่หนึ่งจริงๆ 

     

    “หยุด  หยุด  กูบอกให้หยุดไง...” เสียงภูมิสั่งขึ้น ด้วยเสียงอันทรงพลัง

    “ปล่อยพ่อ....” ภูมิสั่งขณะที่พี่หนึ่งกำลังจะดึงพ่อให้ลงมานั่ง

    ตอนนี้พ่อถูกพ่อพาขึ้นข้างบนเรียบร้อยแล้ว

     

    “แก  แก  ไอภูมิ  แกคิดหรอว่ามันจะจบ....แกก็ไอลูกที่พ่อไม่รักนั้นแหละว่ะ”  เสียงพี่หนึ่ง

    “....................” ไม่มีเสียงตอบกลับ

    นั้นคือสิ่งที่พี่หนึ่งทำได้คือ การอาละวาด และด่าไปทั่ว  แต่ไม่มีมือตบเกิดขึ้น......

    ดูเหมือนแม่ผมจะอึ้งไม่หายเช่นกัน  ผมจึงพาแม่ขึ้นไปข้างบน แล้วปล่อยให้พี่หนึ่งโวยวายอยู่คนเดียว

    ซึ่งทุกคนก็แยกย้ายไม่สนใจสิ่งที่พี่หนึ่งพูด

     

    ผมพาแม่ขึ้นข้างบน  “สอง   สอง  มันไม่พอ...” เหมือนแม่จะละเมอ

    “อะไรแม่ เราได้ตั้งมากมาย  .....”  ผมเถียง เพราะทุกสิ่งที่เรารวมแล้วเพียงพอจริงๆ ครับ แม้ว่าจะใช้หนีแล้วก็ตาม

    “สอง......แม่.....แม่  อืออออออ”   เสียงแม่ร้องไห้.....

    “แม่เป็นอะไรบอกสองสิ...........”  ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงร้องไห้

    “สอง   สอง  แม่ผิดไปแล้ว.......” 

    “อะไร  แม่ผิดอะไร  บอกสองซิ”

    “แม่....เล่นเสีย...............”

    “ฮะ.....เส่นเสีย...........แม่เล่นเสียอีกเท่าไหร่...........”

    “แม่........”  “เท่าไหร่...............”  ผมคาดคั้นจากแม่

    12 ล้าน  แม่แค่อยากจะเอาคืนเท่านั้น แต่ไม่รู้เมื่อไร่......พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นหนีแล้ว...อือ...”

    ผมแทบหมดแรงทรุดลงไปกองตรงนั้นจริงๆ  “แม่พี่หนึ่งรู้ไหม.........”  มีเพียงศีรษะที่ส่ายไปมาเท่านั้น

    ผมอยากจะบ้าตาย  เงิน 22 ล้าน สูญเพียงพริบตาเพราะการพนันของแม่..........  ผมจะจดจำว่าการพนันไม่เคยให้อะไรตอบแทนเลย  ผมจะจำได้จนวันตาย และผมจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับมันแน่นอน

    “เงินที่พ่อให้ ประมาณด้วยตาเปล่า รวมๆ เกือบ 30 ล้าน  ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า..........พวกผมเป็นเศรษฐีได้เลย 

    แต่ตอนนี้ เงินสดแทบไม่เหลือแล้วด้วยซ้ำ  คงเหลือแค่อสังหาริมทรัพย์

    ผมเริ่มกลัว   ขึ้นมาแล้วซิ ว่าตัวเองจะอยู่ได้ยังไง  พวกผมไม่เคยอยู่แบบลำบากเลย

    “สอง......แม่ขอโทษ.......”

    ผมถอนหายใจก่อนที่จะขอคำสัญญาจากแม่  “แม่สัญญากับผมได้ไหมว่าต่อไปจะเลิก....ถ้าอยากเล่นบอกผม  ผมจะพาแม่ไปเอง....แต่แม่ห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด.....” ผมที่เพิ่งสัญญากับตัวเองเมื่อกี้ ต้องผิดคำพูด..ยังไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ 

    มีเพียงการพยักหน้า  “แม่พูดซิ...”   “แม่สัญญา...”  เพียงเท่านี้ผมก็ดีใจแล้วครับ

     

    พี่หนึ่งออกจากบ้านโดยที่ไม่กลับเข้ามาอีกเลย  ผมโทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์......

     

    แต่น้อยได้ใจผมอย่างมาก..  น้อยจะขอตามพวกผมไปบ้านใหม่  ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจต้องเจอกับงานที่หนักกว่าอยู่ที่นี่

    และอาจต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ของของพี่หนึ่งด้วย  แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่ด้วย  ซึ่งผมได้รับน้ำใจจากเธอ และบอกว่าจะดูแลน้อยอย่างดีเช่นกัน........

    พวกเราขนของที่จำเป็นออกจากบ้านใหญ่ในวันรุ่งขึ้น..........เราไม่ได้เอาอะไรมาด้วยนอกจากเสื้อผ้าเท่านั้น

    บ้านใหม่ที่เรามาอยู่ เป็นมีบ้าน 2 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ กว่าๆ  ได้  ซึ่งนั้นก็เพียงพอสำหรับเรา 4 คนแล้วครับ

    ตอนนี้แม่ผมเงียบจนผิดปกติ...........มีอาการซึมๆ  ซึ่งคงได้ผลกระทบการเรื่องต่างๆ  เพราะแม่ผมก็อายุมากแล้ว

     

    ก่อนผมออกจากบ้าน ผมเข้าไปลาพ่อเลี้ยง  และขอคุยเป็นการส่วนตัวกับนางพยาบาล

    ผมบอกเธอว่าจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น  ผมอยากขอให้เธอดูแลพ่อเลี้ยงต่อไป ให้สมกับค่าจ้างที่เธอได้รับมากโขนั้น

    ผมขอให้เธอสัญญาว่าจะไม่คิดว่าแบบนี้อีกเป็นเด็ดขาด......ผมบอกว่าถ้าพ่อเลี้ยงเป็นอะไรผมจะแจ้งความกับเธอ

    ซึ่งเธอกับปากผม พร้อมกับขอโทษที่คิดสั้นทำโง่ๆ  เพียงเพราะเงิน  ซึ่งเธอบอกว่าจะไม่คิดทำอีกเด็ดขาด

     

    ++++++++++++++++

     

    ตอนนี้สภาพพี่หนึ่งย่ำแย่มาก  เธอกลับมาพร้อมกลิ่นเหล้าทุกคืน

    ส่วนหนี้ต่างๆ  พวกผมได้ชดใช้ให้หมดแล้ว.........ส่วนมากจะเหลือที่ดิน กับตัวอาคารซึ่งพวกเราประกาศขาย

    ส่วนหุ้นผมขายคือให้กับบริษัทของพ่อเลี้ยง..............ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องการคือผมเงิน  มากว่าชื่อเสียง  หรือ บ้านที่ใหญ่โต

    และเงินที่เหลือ  ถ้าพวกเราไม่ฟุ่มเฟือยเหมือนเมื่อก่อน  ก็มีเพียงพอที่จะใช่ครับ เพราะถือว่าไม่คลาดแคลน...

    ผมตั้งใจจะตั้งใจเรียน  พอจบมาก็จะใช้วิชาความรู้หาเลี้ยงแม่...ซึ่งการเป็นหมอเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะเลยที่เดียว

    นั้นคือความคิดผมให้ตอนนี้

     

    ++++++++++++

      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×