คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3
อรัญญานียิ้มพรายหันมามองเพื่อนรอบตัว
กรีดปลายนิ้วที่เล็บถูกย้อมสีแฟชั่นหยิบกระเป๋าถือใบหรูออกมารูดซิป ควักเอาตุ๊กตาบาบี้ซึงมันก็คือโหงพรายโยนลงไปหน้าห้อง
พลันควันหมอกตลบฟุ้ง แสงจากสปอตไลท์พุ่งจับเป็นจุดเดียว ทุกคนครางฮือเมื่อปรากฏร่างของสาวน้อยแสนสวย
เจ้าของรอยยิ้มหวานจับใจ ดวงตาเป็นประกาย ในมือยังถือไมค์ในชุดนักร้องป็อบ พอเริ่มการแสดงเท่านั้น โหงพรายบาบี้ทั้งร้องทั้งเต้นประกอบเสียงดนตรีดังกระหึ่ม
นักศึกษาทุกคนโยกเอวขยับตามจังหวะ คล้ายจะมีคอนเสิร์ตเล็กๆ เกิดขึ้นที่นี่ ทำเอาอาจารย์ปู่สก
ผู้มีปลัดขิกนับร้อยรอบเอวหัวเราะโฮะๆ ชอบใจใหญ่กับไอเดียสร้างสรรค์ของลูกศิษย์
เห็นจะให้คะแนนเต็มร้อยโดยไม่ต้องคิดนาน
นักศึกษาคนต่อๆ
มา ต่างนำผลงานของตนเองที่หน้าชั้นเรียนตามลำดับแต่ก็ยังไม่มีใครทำได้โดดเด่นเท่าอรัญญานี จนมาถึงคราวของเวทย์ เขานิ้วแตะเลื่อนเปิดโหมดเล่นสื่อสามมิติ
หน้าห้องเรียนบังเกิดฉากถนนและกำแพงสีสเปรย์พ่น สัญลักษณ์ของเมืองนิวยอร์ก ดินแดนอันเป็นจุดกำเนิดของพวกฮิปฮอป
เวทย์ล้วงหยิบขวดออกมาจากย่าม คนหน้านิ่งมาตลอดปั้นยิ้มให้ทุกคน
นิ้วโป้งดันจุกขวดออก แสงสีรุ้งวูบหนึ่งพุ่งออกตรงไปยังฉากเวที ทุกสายตาจ้องเป็นจุดเดียว
เห็นเป็นเด็กผู้ชายน่ารักในชุด B-boy สวมแว่นดำอันใหญ่โก้เก๋ ยืนยิ้มอวดฟันให้ทุกคน
“อาร์
ยู เร ดี้”
“เย้ๆ”
“โย้ว
ๆ”
นักศึกษาเล่นขานเสียงโต้ตอบรักยมบีบอยของเวทย์
รู้สึกว่ากำลังจะได้ดูโชว์ที่สนุกอีกเป็นแน่ ทันทีที่เสียงเพลงเร้าใจในจังหวะฮิปฮอปดังขึ้น
รักยมบีบอยเริ่มจัดระเบียบร่างกายวาดลีลาเต้นสับแข้งสับขา
หมุนตัวพลิ้วไปตามสเต็ปเพลง
“โย่วๆ
เอาเต็มที่เลยลูกพ่อ”
เวทย์เผลอชูมือร้องออกไปแล้วยิ้มแหย
ทุกคนพลอยขำกันหมด พากันตบมือตามจังหวะ แล้วก็ต้องครางฮือ ในท่วงท่าเพาเวอร์มูฟที่รักยมใช้ท่อนแขนกับข้อศอกเป็นฐานหมุนตัว
พอทิ้งตัวลงใช้แผ่นหลังเป็นฐานหมุนติ้วด้วยความเร็วปานเครื่องจักร
“เฮ้ๆ
เวทย์ ไอเดียดีนี่”
เพชรจากเก้าอี้หลังยื่นหน้าเข้ามา
พร้อมชูนิ้วโป้งให้
“ดีกว่ารักยมแป๊ะยิ้มของกินนรอีก
โผล่มาเชิดสิงโตอะไรไม่รู้ ตะลุ่งตุ้งแช่ เสียงกลองเสียงฉาบจีนดังน่ารำคาญชะมัด”
กินนรอาคุงโดนนินทาเผาขน
ถึงหันขวับมาทำตาขวาง
“เฮ้ยๆ
มันก็ดีกว่ารักยม บ็อบ มาร์เลย์ ของแกละกัน ออกแบบฉากก็ห่วยอีก มีแค่ชายหาดกับทะเล
ทำไมไม่ให้ยืนอยู่ในดงกัญชาไปเลยวะ แล้วร้องเพลงอะไรไม่รู้ เสียงเพี้ยนชิหาย พอๆ
กับเจ้าของเลย”
พูดเท่านี้เป็นของขึ้น
เพชรพญาธรผุดขึ้นยืนกำหมัด “แกกล้าดูถูก บ๊อบ มาร์เลย์ ฉันอุตส่าห์อัญเชิญดวงวิญญาณของเขามาสิงสถิตเซียวนะเว้ย”
เวทย์กางแขนกั้นทั้งสองคน
“พอๆ ก่อนขอรับ ขอดูโชว์ของบีบอยก่อนขอรับ”
โชว์กำลังสนุก
นักศึกษาในห้องต่างครางฮือ เมื่อรักยมใช้ทั้งมือ ศอก หลัง ไหล่ ไปจนถึงหัว
มาเป็นฐานในการหมุนตัวทำท่าต่างๆ ซึ่งเป็นท่าที่ยากมาก โดยเฉพาะท่าสุดท้าย
ที่ต้องใช้หัวต่างเท้าเป็นฐานหมุนติ้ว หัวดันหลุดกลิ้งออกมาแลบลิ้นปลิ้นตา
ทำเอาทุกคนหัวเราะลั่นกันทั้งห้อง อาจารย์ปูสกหัวเราะโฮะๆ จนปลัดขิกกระเพื่อม
ไม่นึกว่าเวทย์เป็นคนเรียบร้อย จะปลุกเสกรักยมมาแนวนี้ช่างสรรหาไอเดียมาทำ
คะแนนที่ให้คือ 100 เต็มโดยไม่ต้องคิดนาน
เวทย์ยิ้มแหยให้กับเพื่อน
“ขออภัยขอรับ
ยังแก้ไขข้อต่อคอไม่หาย มันชอบหลุดทุกที”
เขาช่างเก่งกล้า
สามารถปลุกเสกรักยมที่ดีเลิศขนาดนี้ นางตะเคียนสาวยิ้มหวานหยดมองมา “เท่านี้คะแนนก็ได้เยอะแล้วล่ะเวทย์
คนอื่นเห็นอาจารย์นิ่งๆ แต่รักยมของเวทย์ เห็นอาจารย์แกหัวเราะเสียงดังมาก
คงจะให้คะแนนเยอะกว่าใครแน่” พอพูดจบ อรัญญานีวางมือเท้าคาง ผ่อนลมหายใจจากริมฝีปากแดงอวบอิ่ม
มืออีกข้างกวาดลูบเส้นผมดำเงาให้เห็นใบหน้าหวานกับลำคอระหง ส่งสายตาหวานฉ่ำ
เท่านี้อาคุงกับเพชรเหมือนถูกอำนาจสะกด ให้วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง ด้วยฤทธิ์มนต์มหาเสน่ห์
“สุริยัน”
อาจารย์ปู่สกขานเรียกชื่ออีกหลายที
เจ้าตัวดูหน้าตื่นทำท่าพะอืดพะอม ลังเลเรื่องที่จะเอารักยมที่ปลุกเสกจากไม้มะยมมาแสดงต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนทุกคน
ชักช้าจนกินรีหมวยลี่เอากระดาษขยุ้มเป็นก้อนปาใส่
“รู้แล้วน่า!”
แล้วก็ตะคอกใส่เพื่อน
สุริยันสีหน้าบูดบึ้ง เร่งนิ้วรูดบนกระดานชนวน เปิดโหมดเล่นสื่อสามมิติ
ที่หน้าห้องบังเกิดเป็นผืนป่าแห่งสมรภูมิรบเวียดนาม ทหารเวียดกงถือปืนอาก้าวิ่งกันพล่าน
โดยมีซาวด์แทรคประกอบฟังน่าอึดอัด เวทย์นิ้วแคะหูแล้วเบิกตากว้างดีดนิ้วดังแป้ก! รู้แล้วนี่จะต้องเป็นฉากและซาวด์แทรคประกอบในหนังบู๊แอ็กชั่นสุดคลาสิก
เรื่อง First Blood Part II โดยมีตัวละครนามว่า จอห์น แรมโบ้ เป็นตัวเอกดำเนินเรื่องราว
สุริยันเรียนวิชาคงกระพันชาตรี จะต้องชื่นชอบ จอห์นแรมโบ้เป็นขุนทหารจอมใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“เร็ว หน่อย เธอใช้เวลาเช็ตฉากนานไปแล้วนะ”
อาจารย์ปู่สกเร่งมา
“ขอเวลาหน่อยจารย์
รับรอง รักยมแรมโบ้ของผม เจ๋งสุด”
“โย้วๆ
เจ้ายักษ์ มีอะไรดีๆ ก็รีบโชว์ออกมาเลย โย้วๆ” รักยมบีบอยยังไม่กลับลงขวด
ได้ทีโผล่พรวดมาแขวะใส่
“รู้แล้วไอ้เด็กบ้า!”
“อย่าตะคอกใส่เด็กนะ”
อรัญญานีตาขุ่นเขียว
มือกวักเรียกรักยมเข้ามากอดซบ แล้วจูบแก้มปลอบขวัญ รู้สึกว่าจะหลงในความน่ารักของเด็กน้อยแก่นแก้วเข้าให้แล้ว
ทำเอาสุริยันตาร้อนผ่าว เวทย์จะต้องใช้รักยมเป็นสื่อเข้าหาหญิงแน่
ตนเองจีบไม่ได้ก็อย่าหวังใครจะจีบได้เลย
หยิบขวดขนาดจิ๋วออกมา สุริยันยิ้มแยกเขี้ยวอย่างมั่นใจในทีเด็ดของตนเองมันจะต้องได้คะแนนนำหน้าทุกคนอย่างแน่นอน
ในขวดที่ข้างในมันคือไม้มะยมตายซากนำมาปลุกเสกเป็นรักยม
หล่อเลี้ยงด้วยน้ำมันจันทน์ ทันทีที่แสงวาบพุ่งออกจากขวดลงไปในฉาก
นักศึกษาทุกคนต้องครางฮือกับเด็กยักษ์ตัวโตในคราบคล้ายแรมโบ้
เสียแต่ที่มีพุงใหญ่ไปหน่อย ในมือถือถุงขนมขบเคี้ยว สุริยันเร่งกดคำสั่งยิกๆ
หน้าคร่ำเครียด รักยมแรมโบ้ไม่ตอบสนองคำสั่ง เอาแต่เคี้ยวขนมแล้วยังหัวเราะแฮะๆ จมูกมีน้ำมูกคา
น้ำลายยังไหลเป็นทาง จนอาจารย์หันมามองหน้า ทำไมรักยมเหมือนไม่สมประกอบ
วิ๊ดๆๆ
เพื่อนๆ
เริ่มเป่าปากแซวมาแล้ว
“เฮ้ย
เมือไหร่จะแสดงซักทีวะ”
“รู้แล้วล่ะน่า! ขอเวลาฉันปรับโปรแกรมมันอีกที”
แก้ไขไปเท่าไหร่ก็ยังไม่ตอบสนองต่อคำสั่ง
สุริยันแทบคลั่ง ในเมื่อรักยมเอาแต่ยืนโงนเงนหัวเราะคนเดียว
จนเพื่อนักศึกษาคนหนึ่งชี้ลงไปปนหัวเราะ รู้แล้วสาเหตุมันเกิดจากอะไร
ทำไมไม่แสดงความสามารถเสียที
“ยมเอ๋อ
นี่หว่า”
“เออใช่
เอ๋อ!”
ทุกคนพากันหัวร่อ
ชี้นิ้วมายมเอ๋อกับเจ้านายของมัน ยิ่งยมบีบอยถอดหัวเอามาหมุนเล่นเรียกเสียงฮา
สุริยันหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่ก ทั้งโกรธทั้งอายที่ตนเองต้องกลายเป็นตัวตลกขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของเวทย์คนเดียว
ที่ทำคะแนนเกินหน้าเกินตาหวังประจบอาจารย์ คนอื่นทำรักยมปัญญาอ่อนออกมา
ไม่ยักโดนหัวเราะเยาะทำไมตนเองโดนอยู่คนเดียว นึกแล้วเขี้ยวยักษ์ก็งอกยาวออกมาอีก
“ก็ฉันปลุกเสกมันจากไม้มะยมตายซาก
ตามที่อาจารย์สอนแล้วไง จะโทษฉันคนเดียวได้ยังไงวะ” แล้วก็แสดงนิสัยพาลออกมา ชูนิ้วกลางให้กับทุกคนไม่เลือกหน้าอย่างหยาบคายที่สุด
อาจารย์ปู่สกโกธรจนหนวดกระดิกย่องเข้ามาด้านหลัง ถือปลัดขิกอันเท่าแขนเคาะหัวโดยแรงเข้าให้
สุริยันถึงกับครางอูย.. ลงไปนั่งกุมกบาล
“นี่แน๊ะ!”
“โอ๊ย! จารย์ มาตีหัวผมทำไม”
“วิชานี้เธอติด F”
รู้แล้วมือมืดที่แอบเอาย่าฆ่าหญ้า
ไปราดโคนต้นมะยมหน้ามหาวิทยาลัย จนมันยืนต้นตายซาก แล้วเอามาปลุกเสกรักยม
ตอนนี้อาจารย์รู้แล้วคือสุริยันนี่เอง ในสมองช่างโง่เง่านัก
ไม้มะยมที่จะนำมาปลุกเสกรักยม ต้องเป็นไม้ที่หมดอายุขัยเท่านั้น
“พรายน้อย!”
อาจารย์ขานชื่อนักศึกษาคนสุดท้ายที่ต้องส่งงาน นักศึกษาคนหนึ่งแจ้งว่าเจ้าตัวขาดเรียนมาหลายวันแล้ว
เวทย์เองถือสนิทกับพรายน้อยอยู่เหมือนกัน พักหลังมาพรายน้อยมาปรับทุกข์ด้วยบ่อย
เรื่องที่บ้านมีปัญหาการเงิน
ผีพรายน้ำพ่อของเขาไปกู้เงินจากปู่โสมเอามาเปิดร้านขายโลงศพ แต่เจอเรียกดอกเบี้ยแพง
ทบต้นทบดอกพอกพูนจนจ่ายไม่ไหว พรายน้อยเลยต้องออกหาทำงานพิเศษเพื่อช่วยอีกแรง
เมื่อหลายคืนก่อนยังเห็นขับรถมอเตอร์ไซด์ส่งพิซซ่าให้พวกมนุษย์
หรือว่าจะหยุดเรียนมาหางานเสียแล้วกระมัง ยังไงตนเองก็ต้องหาโอกาสไปพูดคุยด้วยเพื่อหาทางออกให้จงได้
“ในห้องใครสนิทกับพรายน้อยที่สุด
ช่วยไปตามเพื่อนด้วยนะ”
“กระผมจะไปตามเอง
ขอรับ”
เวทย์ยกมือเสนอตัว
อาจารย์พยักหน้ารับ รู้สึกพอใจในความมีน้ำใจกับเพื่อน
“ฝากด้วยนะเวทย์”
“ขอรับ”
ดูมันเอาหน้ากับอาจารย์อีกแล้ว
สุริยันนั่งตัวสั่นกัดฟันกรอดๆ เหลือบตาขุ่นเขียวมาที่เวทย์ คอยดูเถอะถ้ามหาวิทยาลัยเป็นของปู่โสมเมื่อไหร่
จะให้ปู่โสมไล่อาจารย์ที่ลำเอียง สองมาตรฐานกับลูกศิษย์ออกให้หมด
หลังเลิกเรียน
สุริยันประกาศว่าจะเอายมเอ๋อไปปล่อยวัด
ไม่ต้องการจะเลี้ยงดูเด็กปัญญาอ่อนให้ขายขี้หน้าอีก เวทย์เลยขันอาสารับไว้เอง
ดีเสียอีกยมบีบอยของเขาจะได้มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน
“ตามใจ! แต่แกอย่าเอามัน
มาให้ฉันเห็นหน้าอีกละกัน”
ยักษ์สุริยันเขี้ยวงอกออกมาอีกครั้ง
จ้องตาเวทย์ด้วยมีจิตอาฆาตแรง
พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมตึก
เงาร่างยักษ์หนุ่มทอดยาวที่ทำท่าจะเดินออกไปจากห้องกลับยืนนิ่ง เวทย์เห็นแสงทิวากาลสุดท้ายลับเหลี่ยมตึก
รู้ว่าหมดวาระที่เพื่อนนักศึกษาอีกคนจะมาแล้ว ร่างกายของสุริยันหดเล็กลง
เอวคอดมีส่วนเว้าโค้งเป็นหญิงสาว ใช่แล้ว “จันทรา” คือน้องสาวร่วมร่างของสุริยัน ที่จะปรากฏตัวออกมาได้
ในเวลาเข้าสู่ราตรีกาลเท่านั้น แม้พี่ชายจะรูปลักษณ์ดุดันไม่พึ่งยล
หากน้องสาวรูปโฉมงดงาม
“เมื่อกี้ที่สุริยันทำหยาบคายคายกับคุณเวทย์ไว้
ฉันต้องขออภัยแทนด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร
ขอรับ”
ยักษ์สาวหันหน้ามาด้วยรอยยิ้ม
เธอดูสวยงามละมุนละไมและเป็นมิตรกับเวทย์ผิดกับอีกร่างมาก พอเข้ามาใกล้ สองมือยื่นกล่องของขวัญรูปหัวใจ
ที่ข้างในมี ช็อกโกแลตให้ชายหนุ่มที่เธอหลงรักมานาน
“ให้ผมหรือขอรับ”
“ได้โปรดรับไว้
แทนคำขอโทษด้วยนะคะ”
เห็นดวงตาใสซื่อปริ่มจะร้องไห้ยามเขาลังเลจะรับดีไหม
จะยังไงก็ปรับตัวกับสองพี่น้องร่างเดียวไม่ถูกเสียที คนหนึ่งร้าย คนหนึ่งรัก เวทย์ได้แต่ก้มหน้าปลง
ยอมรับของไว้ ตอบขอบคุณพลางถอนใจ
เขาทำท่าจะขอตัวกลับ
ยักษ์สาวทักเสียงใสให้หยุดก่อน “ช่วงนี้สุริยันวางแผนร้ายบางอย่างกับปู่โสม
ยังไงคุณเวทย์ก็ต้องระวังตัวให้ด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรคืบหน้า จันทราจะรีบมาบอก”
“ขอรับ”
เมื่อสั่งความจบสิ้นแล้ว
พ่อเทพบุตรจากเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ยืนนิ่ง มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ จากนั้นจึงได้พูดขอตัวเพื่อเดินทางกลับ
พอได้เห็นแผ่นหลังจากร่างเท่ๆ แล้ว จันทรามือกุมแนบอก รู้สึกปลื้มมาก ด้านหลังยังมีอรัญญานียืนกอดอก
แผ่นหลังพิงผนัง มองมาด้วยสายตาเฉยชา เกลียดสุริยันก็ตรงนี้แหละ
เป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย
หนทางกลับวัดต้องผ่านซอย
ยามค่ำเช่นนี้ดูเปลี่ยวมาก บรรยากาศสุดเงียบเหงา เวทย์รู้สึกวันนี้จะเหนื่อยพิกล
อาจเป็นเพราะครุ่นคิดถึงเรื่องของพรายน้อย พอเปิดขวดปล่อยรักยมออกมาหวังแก้เหงา
เด็กสองคนเอาแต่ร้องเย้วๆ ที่ได้เพื่อนใหม่ พากันวิ่งนำหน้าเข้ามาในอาณาเขตของวัด
พระเณรแง้มประตูหน้าต่างมองออกมา พอเห็นเท่านั้น พากันปิดประตูลงกลอนเก็บตัวเงียบอยู่ในกุฏิ
แกวก...แกวก...
ที่หน้าอาคารเมรุ
นกแสกยืนกางปีกคร่อมกล่องกระดาษสีน้ำตาลใบหนึ่ง ผงกหัวประหลกๆ
เมื่อเห็นเจ้าของพัสดุมาถึงแล้ว เวทย์ยิ้มหน้าบาน รู้ได้ทันทีคุณพ่อส่งของมาให้อีกแล้ว
รักยมทั้งสองรีบวิ่งหน้าตั้งนำหน้าไปเอาของมาให้นาย พลันต้องผงะเมื่อถูกจะงอยปากและปีกของนกแสกจิกตี
“ปล่อยนะ! เจ้านกบ้า นี่มันพัสดุของนายพวกฉันนะ”
รักยมบีบอยกับยมเอ๋อต่างร่วมใจเข้าไปยื้อยุดพัสดุ
หวังชิงของจากกงเล็บนกแสกมาให้ได้ โดนปีกนกฟาดเข้าให้ ยมเอ๋อแรงเยอะกว่าเข้ามาผลักนกแสกปลิวหวือ
มันไม่มีทางยอมถอยแน่ ส่งเสียงแกวกๆ
ใช้ทั้งจะงอยและปีกเข้าโรมรันจนฝุ่นตลบ เวทย์รีบวิ่งมาถึงเห็นท่าไม่ดี
นึกได้มีขนมติดตัวอยู่
“เอ้านี่! รางวัลของแก”
พอเขาโยนบิสกิตออกไป
นกแสกไวมากใช้จะงอยปากงับได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจมันกระพือปีกบินขึ้นฟ้าไป แล้วอันตรธานไปในอากาศ เพื่อข้ามไปอีกมิติหนึ่ง
พวกรักยมยังฉุนเฉียวไม่หาย ทั้งลูกตาและใบหูโดนจิกหลุดเหวอะไปไม่น้อย
ยังไม่โต้ตอบให้สาสมเลย ศัตรูเผ่นหนีไปเสียก่อน เวทย์เข้ามาซ่อมแซมให้และอธิบายให้พอเข้าใจ
นกแสกจะไม่ยอมส่งมอบพัสดุกับใครอื่นนอกจากตัวผู้รับเท่านั้น
“ทีหลังอย่าไปทะเลาะกับนกแสกอีกนะ
นกแสกเป็นพาหนะของยมทูต จะโดนจับเอาไปลงนรกเอาได้นะ”
การกระทำของเวทย์
และตัวตนของสองรักยมต้องอยู่ในสายตาของหญิงสาวคนหนึ่งที่ซุ่มดูอยู่ โชคดีที่ระยะค่อนข้างห่าง
และมืดพอสมควรจึงเห็นเหตุการณ์ไม่ชัด เธอก้าวเดินออกมาจากข้างเมรุตรงดิ่งเข้ามา
เวทย์ใจหายแวบเรียกชื่อนานิ ไม่นึกว่าเธอจะมาปรากฏตัวเอาในเวลาเช่นนี้ได้
“หวัดดีค่ะ”
“เออ
สวัสดี ขอรับ”
น้ำเสียงของเขาสั่น
คล้ายคนติดอ่าง
“ฉันมา
เห็นความลับอะไรของเธอหรือเปล่า”
“ไม่เชิงขอรับ”
คราวนี้น้ำเสียงของเวทย์ใส
มีความร่าเริงอยู่ในที นานิเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ที่แก้มมีลักยิ้ม
เดินเอามือไพล่บิดไหล่ไปมา นึกขำกับคนที่ชอบพูดจาเชยๆ แถมยังขี้อาย นึกว่าจะไม่มีเพื่อนกับเขาแล้ว
ที่ไหนได้มาคบกับเด็กนี่เอง พอเดินมาหยุดตรงหน้ารักยมบีบอย เห็นแต่งตัวได้น่ารักมาก
เหมือนพวกนักเต้นบีบอย เธอคุกเข่าลงขอจับมือเขย่าเล่นด้วย
“น่ารักจัง
น้องชื่ออะไรคะ”
“มายด์เนม
ยม บีโบย”
เธอยิ้มหัว
สำเหนียงอังกฤษชัดมาก
“เหรอ
ขื่อแปลกจัง แล้วอีกคนล่ะ”
“ชื่อยม
เออ เร่อ ขอรับ”
ตั้งชื่อให้ไม่ทัน
เวทย์เกือบหยาบคายเข้าให้แล้ว
นานิร้องยี้
“error ใช่ไหม ทำไมชื่อแปลกกันจัง
เวทย์หันมาทำตาเพ่งใส่รักยม
ห้ามไม่ให้พูดอะไรให้เผยพิรุธออกมา
“นี่ก็ค่ำมืดแล้ว
ทำไมน้องๆ ถึงยังไม่กลับบ้านอีก”
เงียบ..
“ทำไมไม่ตอบพี่ละคะ”
“เด็กสองคนนี้
พักอยู่กับผมขอรับ”
“อ้าว
เป็นเด็กวัดหรอกเหรอ”
ฟังกระแสเสียงเขาเริ่มนิ่ง
นานิเริ่มประหม่าหรือว่าจะไม่ชอบที่เธอโผล่มาแบบนี้
“ต้องขอโทษด้วยที่โผล่แบบนี้
คือฉันพึ่งจะย้ายมาใหม่ บ้านอยู่ข้างๆ วัดนี่เองมันว่างก็เลยออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่
ข้ามถนนมาหน่อยก็เข้ามาในวัดแล้ว”
เวทย์มองนานิพูด
แล้วเธอก็ชี้ไปที่บ้านตึกในสวนสวยที่พึ่งสร้างเสร็จ เจ้าของย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
ไม่นึกว่าจะเป็นครอบครัวของเธอ ค่ำแล้วเปิดไฟประดับพราวสะพรั่งทำให้ดูหรูหราในสไตล์ยุโรป
ที่ในโรงรถมีรถยุโรปคันงามจอดอยู่หลายคัน
คงเป็นบ้านของคนฐานะดีที่สุดในละแวกนี้แล้ว ดูเธอไม่เย่อหยิ่งเลย ไม่ได้มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามที่เป็นแค่เด็กวัด
“ไม่เป็นไรขอรับ
มาเดินได้ตลอดเลยขอรับ พระประธานที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ ขอพระอะไรก็ได้ตามนั่น
หรือจะเสี่ยงเซียมซีทำนายดวงชะตา ทางวัดก็มีบริการ”
“ฉันรู้แล้วล่ะ
คุณพ่อเป็นกรรมการวัดนี้เอง สมัยก่อนคุณพ่อเคยเป็นศิษย์วัดนี้มาก่อน
หลวงพ่อเจ้าอาวาสส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือจนจบ มีการงานทำจนตั้งตัวได้
คุณพ่อตั้งใจว่าจะมาสร้างบ้านใกล้ๆ วัดเพื่อดูแลหลวงพ่อและวัดแห่งนี้”
“เป็นศิษย์พี่ของกระผมเอง
หรือขอรับ”
เป็นประโยคที่เวทย์ลั่นออกมา
นานิขำจนน้ำตาเล็ด นี่เขาจงใจเล่นคำให้เธอขำหรือไงนี้
เจ้าตัวเอามือเกาท้ายทอยรู้สึกเขิน ไม่รู้ปล่อยไก่ออกไปกี่ตัวแล้ว
เธอครางตอบดังอืมๆ
สองมือกุมอก ไม่กล้าสบตาด้วยเลย พึ่งจะได้คุยกับเขาอย่างเป็นเรื่องราวก็ครั้งนี้เอง
นึกว่าจะเป็นคนขี้อาย คุยด้วยแล้วอึดอัดซะอีก นี่ถ้าหันไปเอาดีกับกับการเป็นนักแสดงละครหลังข่าวท่าจะรุ่ง
มันดีกว่ามาเก็บตัวอยู่ในวัดแบบนี้
“ฉันชื่อนาคินีค่ะ
เรียกนานิก็ได้”
“ผมชื่อ
เวทย์ จอมไตร ขอรับ”
ต่างก็รู้จักชื่อกันมาก่อนแล้ว
เธอมากับผู้ใหญ่ เวทย์ได้ยินเรียกชื่อนานิ จนจำได้ติดหู
ส่วนเธอรู้จักชื่อของเขามาจากปากของสัปเหร่อเฒ่าเช่นกัน ในเย็นนี้ยิ่งมาเห็นป้ายแปลกๆ
ติดบนต้นไม้ที่มีข้อความว่า ‘นักสืบคุณไสย’ เธอไม่รู้มันจะหมายถึงพวกนักสืบทั่วไปที่รับสืบคดี
เช่นสามีแอบไปมีเมียน้อยหรือเปล่า เวลากว่าจะค่ำ ลองมาเดินเล่นละแวกบ้านใหม่ดีกว่า
เดินตามลูกศรในป้ายชี้เข้ามาในวัด จนมาพบเวทย์กับเด็กๆ โดยบังเอิญ
เวทย์ได้ฟังพลอยเบิกตากว้าง ยิ้มเห็นฟัน ป้ายพวกนั้นเขาเป็นคนเอาขึ้นไปติดเอง
กะว่าจะหารายได้พิเศษในระหว่างเรียน
“ผมเองขอรับ
ที่ขึ้นป้ายพวกนั้นเอาไว้”
“ใช้จริงด้วย
แล้วจะสืบกันยังไง ใช้นั่งทางในตรวจหา หรือใช้มนต์ดำทำวิชา”
นานิพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เหมือนได้เจอเรื่องแฟนตาซีเลย เวทย์มือกุมขมับ คอนเซปงานของเขามันไม่ใช่แบบนั้นเลย
อธิบายไปตอนนี้เธออาจไม่เข้าใจ
“พรุ่งนี้เช้าผมจะไปติดตามดูอาการของลูกค้าที่พึ่งโดนคุณไสย
เขาเป็นหลานชายของคุณยายร้านอาหารตามสั่ง
ในซอยหน้าวัดนี่เองขอรับ
คุณนานิถ้าอยากรู้การทำงานของนักสืบคุณไสยว่าทำกันยังไง มาติดตามดูได้ขอรับ”
ลูกสาวเศรษฐีข้างวัดเธอดูแบ่งรับแบ่งสู้
จากที่ยืนตัวตรง เอามือไขว่หลังบิดไปมาด้วยอาการเขิน ดูเหมือนเขาจะชวนเธอจริงด้วย “เออ
วันพรุ่งนี้ฉันต้องสอบเก็บคะแนนแต่เช้า
ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยตามที่คุณแม่ต้องการไม่ได้ ฉันต้องโดนคุณแม่บ่นว่าไปสามวันเจ็ดวันแน่
แต่แล้วคิดๆ ดูแล้ว ฉันสนใจอยากจะจ้างสืบคดี ตอนนี้ยังคิดไม่ออกจะให้สืบคดีอะไร
เอาไว้คิดทบทวนแล้วจะมาบอกนะ”
“พรุ่งนี้ใช่ไหมขอรับ”
เขาโพล่งขึ้นมา
“เออๆ
ไว้พรุ่งนี้ละกัน”
คนอะไรไม่รู้
บทจะพรวดพราดขึ้นมา
ทางด้านศาลาบำเพ็ญกุศลศพ โปรเฟรสเซอร์บุญคำพึ่งเสร็จสิ้นหน้าที่ พอเห็นลูกศิษย์พึ่งกลับมาก็กวักมือเรียกไหวๆ เวทย์รู้สึกผิดไม่น้อยคร่าที่กลับมาช้า ไม่ได้อยู่ช่วยงานท่านเลย นานิทำจมูกฟุตฟิตได้กลิ่นแอลกอฮอส์มาแต่ไกล สัปเหร่อเฒ่าร่างผอมเดินโซเซ ยิ้มแทบไม่หุบ ในมือถือขวดเหล้าแดงติดมาด้วย ด้วยคนตายจากโรคตับแข็ง ตอนมีชีวิตอยู่ ของโปรดที่สุดคือเหล้านอก ไม่ว่างานบวช งานแต่ง งานกุศล งานอกุศลดื่มมันไม่ยั้ง แม้ลูกเมียห้ามยังไม่ฟัง จนจบเสียชีวิตด้วยวัยเพียงวัยห้าสิบต้นๆ จากไปโดยทิ้งลูกเมียให้นั่งร้องไห้หน้าศพอย่างน่าเวทนา ทำได้แค่เซ่นไหว้หน้าศพด้วยของโปรด หวังเป็นอุทาหรณ์ให้ครอบครัวอื่นเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง
พอรูปหมดดอกเท่านั้น สัปเหร่อมองตาเป็นมัน
รีบมาฉวยเอามันมาเป็นของตัวเอง เจ้าภาพเลยสัมมนาคุณให้เงินแกอีก 500 บาท บอกให้เอาไปซื้อของดีๆ
กิน
“กลับมาพอดี
ศิษย์รัก ไปหากับแกล้มมาให้ที”
โปรเฟรสเซอร์เป็นโรคตับแข็งระยะสุดท้าย
ยังไม่นับพาอีกหรือนี่ เวทย์สีหน้าสลด รู้สึกสะเทือนใจ
รู้ดีท่านต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน เพียงแต่อยากถนอมให้มีเวลาอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด
“จะดื่มอีกไม่ได้นะขอรับ เพลานี้สุขภาพของท่านกำลังย่ำแย่”
แกร้องฮึ้ย
ลมหายใจมีกลิ่นเหล้าหึ่ง โบกมือที่ซอกนิ้วโป้งมีแบงก์สีม่วงเหน็บอยู่ “เกิด แก่
เจ็บ ตาย ใครมันห้ามได้วะอ้ายศิษย์รัก มันสำคัญตอนมีชีวิตอยู่โว้ย
ขอดื่มให้สุขบรมหน่อยเถอะ”
“ดื่มเหล้าในวัด
ผิดกฎหมายนะคุณลุง” นานิร้องเตือนมาบ้าง
“อ้าว
นังหนูนี่ใคร” แกสะอึกเหล้าชะโงกหน้าเข้ามามองดูหน้าให้ชัด
เป็นสาววัยรุ่นที่หน้าตาน่ารักทีเดียว แข้งขาเหี่ยวๆ ดูไมน่าจะทรงกายได้นาน
แต่แกก็แกร่งมาตลอดชีวิต ทนทานต่อการดูถูกอาชีพอันต่ำต้อย เวทย์สุดจะอายที่เพื่อนใหม่ต้องมาเห็นคนที่เขาเคารพ
อยู่ในสภาพที่ไม่น่ามอง
“ฮั่นแน่
มีแฟนแล้วก็ไม่บอก”
“เพื่อนขอรับ
ครอบครัวของเธอพึ่งจะย้าย มาอยู่ข้างวัดนี่เองขอรับ”
“เพื่อนอารายกาน
ข้าเห็นเอ็งมองตามันเชื่อมเลย”
นานิรีบกระเถิบออกห่าง
รู้สึกคนแก่จะเมาจนเลอะเทอะแล้ว
“มะขามเปียกใช่ไหมขอรับ
กระผมจะไปเอามาให้”
เวทย์รีบตัดบท
“ฮึ้ย
เสียยี่ห้อเหล้าหมด”
แล้วสัปเหร่อเฒ่าก็ยื่นแบ้งค์ห้าร้อยในมือของตนเอง
ยัดใส่มือของลูกศิษย์
“เอ็งออกไปซื้อคอหมูย่างที่ปากซอยด่วน
งานนี้เจ้าภาพเขาทิปมาให้ข้าอีกห้าร้อย คืนนี้รวยแล้วโว้ย ไอ้บุญคำรวยแล้วโว้ย”
เป็นอันว่าเพื่อนใหม่ต้องหยุดการเสวนา เวทย์เดินมาส่งเธอถึงหน้าบ้าน ต่างโบกมือให้กัน คุณนายเจ้าของบ้าน
หรือก็คือคุณแม่ของนานิที่สวมชุดคลุมหรู บนหัวมีที่กลอดัดผม พอเห็นเข้าเท่านั้นดวงตาเขียวปั๊ด
ปรี่ไปหักกิ่งมะยม แล้วเดินจ้ำอ้าวมากระชากประตู เห็นทีจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
ยิ่งบ้านมาอยู่ใกล้วัดด้วย คงจะเข้าหากันทุกวันแน่
“แม่บอกแล้วใช่มั้ย
ห้ามยุ่งกับเจ้าเด็กวัดนั่น”
นานิยกมือปางห้ามญาติ รีบกระเถิบให้พ้นรัศมีไม้เรียวก้านมะยม “ทำไมละคะ
ถึงเป็นเด็กวัด ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรนี่”
“คนชั้นต่ำล่ะไม่ว่า!”
“แต่แม่คะ
คุณพ่อก็เคยเป็นเด็กวัดมาก่อน”
“อย่ามาย้อนใส่แม่นะ!”
พอจะชี้หน้าด่าเจ้าหนุ่มที่ทำให้แม่ลูกต้องทะเลาะกัน
กลับกลายเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ใส่ชุดเหมือนพวกนักเต้นบีบอย ที่ตอนนี้กำลังยืนเงยหน้ามองคุณนายด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
คุณนายต้องย่อตัวลงมามอง แสงไฟบริเวณนี้ไม่พอ ใบหน้าเด็กดูมืดๆริมฝีปากดูหรือจะกว้างออกๆ
โครงใบหน้าเป็นรูปเหลี่ยม แก้มย่นเป็นริ้วๆ รูปตาเรียวเหมือนหมาจิ้งจอก
คุณนายสะบัดหน้าแรง ดูอีกทีหรือก็เด็กธรรมดา แล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเจ้าแชมป์สุนัขที่เลี้ยงไว้
มันเห่าหอนเสียงยาวเยือกเย็นกับสิ่งน่ากลัว
“หนูคบกับ
ยมบีบอยไม่ได้หรือคะ” นานิย้อนถามมา น้ำเสียงสงบลง
“ก็เมื่อกี้แม่เห็น
เป็นคนโต” คุณนายเสียงสั่น ขนทุกเส้นในกายลุกชัน
“คงเป็นยมเออเร่อ
เห็นเค้าตัวโตแบบนั้น สมองเท่ากับเด็ก 7 ขวบเองนะคะ”
เริ่มรู้สึกร้อนๆ
หนาวๆ คุณนายทำท่าจะเป็นไข้ ลูกสาวช่วยประคองเข้ามาในรั้ว พอหันมาอีกที ยมบีบอยก็หายไปแล้ว
ไม่คิดว่าจะวิ่งกลับเข้าวัดได้ไวขนาดนี้
บรู้วว์...บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์....!!!
หมาในวัดประสานเสียงหอนข้ามฝั่งถนนมาแข่งกับหมาที่บ้านคุณนาย เสียงดังเย็นซ่านไปทุกรูขุมขนของคนที่ได้ยิน ตามบ้านคนรีบปิดประตูหน้าต่างเสียงดังตึงตัง พอหมาสงบลง บนหนทางในซอยเปลี่ยว ร่างเป็นเงาตะคุ่มของเวทย์ที่เร่งเดินกลับจากซื้อคอหมูย่างจากร้านปากซอยผ่านเข้าเขตวัด
บ้านพักสัปเหร่อที่อยู่เลยโกดังเก็บศพไปหน่อย
เห็นสัปเหร่อเฒ่านอนแอ้งแม้งอยู่บนแคร่ เวทย์มาถึงหยิบกล่องไม้ขีดไฟจัดแจงจุดตะเกียง
เข้าครัวไปหยิบจ้านช้อน กลับออกมาพร้อมคอหมูย่าง เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ
หวังให้โปรเฟรสเซอร์บำรุงร่างกาย รายนั้นนอนยกขาเกยเข่ากระดิกปลายเท้า แล้วพร่ำแต่บทเพลงเก่าๆ
ในยุควิทยุธานินทร์ครองเมือง
“เสร็จแล้วขอรับ
ลุกขึ้นมากินเถอะขอรับ”
“เอ็งกินไปเถอะ
ข้าสั่งเพื่อเอ็งนั่นแหละ”
ร่างผอมลุกขึ้นนั่ง
เอาผ้าขาวม้าพัดวีไล่ยุง แสงตะเกียงวอมแวมพอให้ศิษย์รักเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ข้าดื่มนิดหน่อยเอง
หมอที่โรงบาลเขาเตือนแล้วว่าอย่าดื่มหักโหม ข้าน่ะรู้วาระของตัวเองดีต้องไปวันไหน
ถ้ายังสอนเอ็งจนหมดไส้หมดพุง รับรองจะยังไม่ตายง่ายๆ”น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลบวกกับรอยยิ้ม
แสดงว่าท่านไม่ได้เมามายอย่างที่คิด เวทย์ยิ้มหน้าบาน จานสังกะสีในมือสั่น มองน้ำสีอำพันในขวดมันพร่องไปนิดเดียวเอง
“มาทานพร้อมกันเถอะขอรับ
นิดหน่อยก็ยังดี”
“เอ็งก็เรียก
รักยมมากินพร้อมกันด้วยสิ”
“ได้ขอรับ”
เด็กทั้งสองโผล่ออกจากขวดร้องเย้วๆ
รีบมาเกาะแคร่สูดเสพอาหารดังซู้ดๆ
สองศิษย์อาจารย์ใช้ช้อนตักหมูย่างส่งให้กัน นั่งเคี้ยวข้าวด้วยใจสุขล้น
“พวกเอ็งสองตัวกินอิ่มแล้วก็ไปเล่นทางอื่นสิวะ”
โปรเฟรสเซอร์โยนลูกบอลพลาสติกออกไปทางลานปูนหน้าโกดังเก็บศพ เด็กรักยมร้องเฮ้! วิ่งไปไล่เตะกันอย่างสนุกสนานไม่ต่างจากเด็กในโลกมนุษย์
พระจันทร์เสี้ยวลอยเคว้งอยู่บนฟ้า
เวทย์มองสัมผัสความงาม พึ่งจะรู้มันงามเช่นนี้เอง เมื่อทอดสายตาต่ำลงมาบ้านพักที่ประกอบขึ้นมาจากเศษไม้
มีไม้ฝาโลงเป็นต้น สภาพเก่าทรุดโทรม เลยออกจากนอกรั้วของวัด คือบ้านตึกหลังงามของเศรษฐีที่รวยที่สุดในละแวกนี้
ห้องของนานิที่อยู่ชั้นสองได้ปิดไฟลงแล้ว ดูท่าเธอจะนอนไว
ไว้พรุ่งนี้พบกันนะขอรับ..
คนแก่มองตามก็พอรู้หัวใจของคนหนุ่ม
“ในโลกนี้เอ็งเป็นแค่เด็กวัด
หลานสัปเหร่ออย่างข้า ต้องรู้จักทนเข้าไว้นะเวทย์”
“ผมชินแล้ว
ขอรับ” เป็นคำตอบที่ธรรมดา
แฝงไว้ซึ่งความหนักแน่นของคนพูด สัปเหร่อพยักหน้ารับแช่มช้า
ช่างเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งเหมือนพ่อเสียจริง
“การเรียนของเอ็ง
เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขอรับ
สอบผ่านได้ A ทุกวิชา
จบเทอมนี้ก็จะเรียนจบแล้วขอรับ”
หน้าผากแกย่น
ตาจะถลนออกมา แค่เรียนวิชาสัปเหร่อยังได้ A ขนาดนี้ จริงอยู่ตอนเวทย์ช่วยงาน
เป็นคนหัวไวมาก แม้งานมันจะดูต่ำต้อยในสายตาผู้คน แต่เด็กคนนี้ทำอย่างเต็มใจ และมุ่งมั่นทำให้ดีที่สุด
ไม่ต่างคนเป็นพ่อเลย มองกับข้าวเลิศรสตรงหน้า ปกติรอกินแต่ข้าวก้นบาตร
ในห้องพักมีแต่มาม่ากับปลากระป๋องที่พระเณรในวัดเอามาให้ จากลูกชาย ส.ส.
เมืองหิมพานต์ที่ต้องมาใช้ชีวิตอัตคัดเช่นนี้ จนร่างกายผ่ายผอมไปไม่น้อย
นึกถึงวันเวลาที่พ่อของเวทย์มาเป็นลูกศิษย์ของตนเมื่อหลายสิบปีก่อน
คนนิสัยดูเฉิ่ม ๆมักน้อย สมถะ
แม้จะโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยาม กลับไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต ซึ่งต่างจากตัวแกเองที่จมกับเสียงดูถูกเหยียดหยามมาทั้งชีวิต
จนต้องระบายด้วยเหล้า สุดท้ายมันก็จะคร่าชีวิตของตัวแกเองไปในไม่ช้านี่แล้ว
“เออ
วันเวลามันเร็วจริง เอ็งจะเรียนสำเร็จ และจากข้าไปอีกไม่นาน”
“โปรเฟรสเซอร์ก็ตามไปอยู่กับผมสิขอรับ
รับรองจะเลี้ยงดูอย่างดี” เวทย์เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ พูดจาประสาซื่อ
มือเหี่ยววางช้อนลง แกยังไม่ตาย คงตามไปอีกโลกไม่ได้
“เออ ดีๆ ขอแค่เอ็ง ตระหนักรู้ว่าเท้าของเอ็งเหยียบยืนอยู่บนพื้นดิน เอ็งถึงจะมองสูงขึ้นไปได้ ทำกิจการงานที่ยิ่งใหญ่ต่อไปในวันหน้าได้ การเรียนของเอ็งจึงจะถือว่าไม่เสียเที่ยวตามเจตนาของพ่อเอ็ง ในโลกนี้ยังมีคนอีกมาก ที่ไม่เคยเลยที่จะหยุดมองดูเท้าของตัวเอง ว่ามันยืนอยู่ระดับไหน คิดแต่ว่ามันต้องอยู่สูงเหนือหัวคนอื่น สุดท้ายแล้วก็ต้องหล่นลงมายังจุดเดิม
ในเมื่อโลกนี้ยังมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนล้วนยืนอยู่บนพื้นเสมอภาคกันหมดทุกผู้ทุกนาม
นี่คือสิ่งยืนยัน
ในเมื่อเอ็งใช้ชีวิตเช่นคนต่ำต้อยที่สุดได้
โดยที่จิตใจยังดีงามไม่เคยเปลี่ยน กลับไปบ้านเมือง เอ็งจะเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้”
เวทย์พนมมือไหว้
คำสั่งสอนของโปรเฟรสเซอร์
นี่สินะที่คุณพ่อต้องการให้เขามาเรียนรู้ชีวิตบนโลกมนุษย์.
ความคิดเห็น