คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2
เช้าวันจันทร์
เวทย์แต่งตัวจะไปเรียน ได้เจอเอากับคุณยายคนหนึ่งมาดักรอที่หน้าวัด
แกมีสีหน้าทุกข์ใจมาก เล่าเรื่องที่หลานชายของแกโดนของ อยากให้ไปช่วยแก้ให้ เคยขอให้สัปเหร่อบุญคำแก้ของให้มาครั้งหนึ่งแล้ว
พอเจอตัวเช้านี้เห็นกำลังขับรถ บอกไม่ว่างจะไปรับศพ แต่ให้ลูกศิษย์ทำให้ได้
คุณยายมองการแต่งเนื้อตัวเวทย์
ยังเป็นคนหนุ่มอยู่เลย ดูเป็นคนมีการศึกษา ที่แปลกคือหนีบกระดานชนวนที่คนสมัยเก่าใช้เรียน
กับสะพายย่ามแบบกะเหรี่ยงมีสีสันยุกยิก เข้าใจว่าคนสมัยใหม่กลับมานิยมของเก่า
เวทย์ตกลงจะไปดูให้ อาชีพของคุณยายคือขายอาหารตามสั่ง ที่ทุกวันนี้คนเข้าร้านน้อยมาก
เมื่อก่อนเคยขายดี แต่โดนคู่แข่งทำคุณไสยใส่จนขายไม่ออก ซ้ำหลานชายยังมาโดนของอีก
เจ็บป่วยจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว
“อีช้อยร้านข้าวแกงข้างๆ
มันต้องทำของใสฉันแน่ๆ เมื่อก่อนมันขายของสู้ไม่ได้ ตอนนี้มันแย่งลูกค้าไปหมด หลานชายยังไปติดหลานสาวของมันด้วย
คงไม่พอใจเลยทำของใส่อีกคน พ่อหนุ่มต้องช่วยยายนะ ยายหมดที่พึ่งจริงๆ” ยายพูดไปผ้าซับน้ำตาไป
เวทย์ได้ยินแล้วรู้สึกสงสาร วันนี้เห็นทีต้องยอมเสียเวลา อาจไปมหาวิทยาลัยสายกว่าทุกวัน
“ใจร่มๆ
ขอรับ เรื่องมันอาจไม่ได้เลวร้ายเช่นนั้นก็ได้”
พอไปถึงดูอาการคนป่วยที่นอนแหมบอยู่บนเตียง
เวทย์ลากเก้าอี้มานั่ง สำรวจตรวจดูคนไข้เป็นคนหนุ่มอายุไล่ๆ กับเขา
สีหน้าเซียวซี้ด ปากแห้งเหมือนคนขาดน้ำแล้วเริ่มสอบถามถึงอาการ รู้มาว่าเมื่อคืนเขาคนนี้ได้ถ่ายท้องทั้งคืน
“จะให้พาไปส่ง
โรงพยาบาลไหมขอรับ”
“ไม่ต้อง
ขอผมพักผ่อนมากๆ เดี๋ยวก็หาย”
“ไปโรงบาลก็เหมือนเดิม
พอกลับมามันก็โดนของอีก ขี้แตกแบบนี้มาหลายรอบแล้ว
พ่อหมอต้องช่วยหลานชายของฉันด้วยนะ” ยายพูดขัดมา หลานชายสั่นหน้า
“โดนของอะไรกันยาย
ผมขี้เกียจอธิบายแล้วนะ”
คนป่วยยันกายขึ้นมานั่งเองได้
แล้วรินน้ำผสมเกลือแร่มาดื่มดึงเอื้อกแล้วถอนหายใจ ดวงตายังแจ่มใสอยู่ เวทย์เห็นพอโล่งใจ
คงไม่เป็นอะไรมากเพราะรู้วิธีชดเชยการเสียน้ำให้ตัวเองได้ ท้องเสียครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
และครั้งสุดท้ายแน่ หลานชายก้มหน้าพูดด้วยความรู้สึกท้อ พอเวทย์สอบถามคุณยาย เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนก็เคยเป็น
ท้องเสียทั้งคืนแบบนี้ ดีที่ได้โปรเฟรสเซอร์บุญคำมาช่วยแก้ให้
“เมื่อเย็นวาน
ทานอะไรไปขอรับ พอจำได้ไหมขอรับ”
“กะเพราไข่ดาว”
“ใช้เนื้อหมู
หรือเนื้อไก่ขอรับ”
“กะเพราไก่”
“ใช่ๆ
ยายทำกะเพราไก่ให้กินเอง” คุณยายชิงตอบมา
“ของที่ปรุง
ทำสะอาดไหมขอรับ”
คนป่วยเบิกม่านตา
แล้วเหล่มาที่ยายตัวเอง
“เมื่อคืนวานไฟเกิดดับ
ของสดพวกหมูไก่ผักสดในตู้เย็นมันเลยเน่า”
คนไข้พูดมาได้เท่านี้
เวทย์ครางเออ หันมาถามคุณยาย
“แล้วเอาของไปทิ้งไหมขอรับ”
“จะเอาไปทิ้งทำไมล่ะพ่อหนุ่ม
ของมันยังทำขายได้”
“อะอ้าว”
เวทย์มือคลำท้ายทอย ที่โต๊ะข้างเตียงยังเห็นจานกะเพราไก่อยู่เลย เวทย์หยิบเอามาดม
ได้กลิ่นตุ๊ๆ ไม่ใช่อาหารมันบูดแต่เนื้อไก่เหมือนเน่าจริง
“ขอไปดูครัวหน่อยนะขอรับ”
ยายพาไปดูในครัว
เวทย์ได้กลิ่นอับๆ สภาพเครื่องมือทำครัวทั้ง มีด เขียง หม้อดูเขลอะไปด้วยคราบไขมันกองไว้ในอ่างยังไม่ได้ล้าง
ในถังขยะมีเศษเนื้อเศษผักที่แมลงวันตอมหึ่ง หยอดไข่ขาวเป็นแพ เวทย์สำรวจเปิดดูตามท่อระบายน้ำ
มีไขมันลอยเป็นแพ คงทิ้งเศษอาหารลงไป โดยไม่มีที่ดักเศษดักคราบไขมัน
ที่ร้ายคือมีพวกแมลงสาบวิ่งกันว่อน พวกหนูกับแมลงทำรังอาศัยหากินมาเนิ่นนาน
“ผีห่า
มันลงร้านคุณยายแล้วขอรับ”
เวทย์สีหน้าตื่นวิตก
น้ำเสียงแหบแห้ง
“อะไรนะ!? ผีห่าเหรอ”
คุณยายปากสั่น
แทบเข่าอ่อน เวทย์ต้องประคองไปนั่งและให้ดมยา
“ใช่ขอรับ
หากไม่รีบแก้ไข ผีห่ามันจะกินเครื่องในหลานชายของคุณยาย”
“ยายไม่เชื่อหรอก
พ่อหนุ่มอย่ามาหลอกยาย”
เวทย์สีหน้าขรึม
มองไปรอบตัว แล้วชี้ให้ดู
“ดูสิขอรับ
พวกมันเข้ามาหาอาศัยอยู่ในบ้านเต็มไปหมด ขืนไม่ขับไล่ ต่อไปคนในบ้านจะมีอันเป็นไปทั้งหมด”
พูดจบ
เวทย์กลับเข้าไปพูดคุยกับคนป่วย เขารับปากจะให้เทศบาลมาล้างท่อ รวมทั้งจะดูแลเรื่องความสะอาดในร้าน
คุณยายช่วงหลังมานี่จะเลอะๆ หลงๆ ทำอาหารไม่สะอาดจนลูกค้าหนีหมด ตัวเขาเองยังเรียนอยู่อาทิตย์จะกลับมานอนบ้านที
หวังกินอาหารฝีมือยาย เป็นได้ท้องเสียทุกที พอมองไปที่ตัวคุณยายนั่งอยู่ในครัวด้วยอาการคิดมาก
สมัยที่แกยังเป็นเด็ก
เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง บางนี้เคยเกิดโรคห่าระบาด คนตายเกือบหมดบาง ศพพวกนั้น
ญาติเอาไปทำพิธีไม่ไหว บ้างเอาศพไปทิ้งวัด หรือไม่ก็ทิ้งลงน้ำให้เปื่อยเน่าไปเอง ในยามค่ำคืน
พวกฝูงผีห่ามันออกมาร้องโหยหวนร้องไห้หาส่วนบุญ เด็กน้อยในตอนนั้นต้องรีบปิดประตูลั่นดาน
กลัวผีห่ามาก
“พวกผีห่า
มันยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรือ พ่อหนุ่ม”
“ยังขอรับ
พวกมันต้องการคนตายแทน ถึงจะไปเกิดใหม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น
พวกผีห่าจะเอาหลานของฉันไป”
เขาส่ายหน้า
“ไม่มีทาง ผมจะจัดการพวกผีห่าเอง”
หลังจากนั้น
เขาขอไข่ใบหนึ่งมาเป็นอุปกรณ์ไล่ผี เอามานวดคลึงตามแขนของคนป่วยไล่ตั้งแต่ต้นแขนจนสุดปลายมือ
ทำเสร็จก็เลื่อนไปอีกข้าง เสร็จจากแขนก็มานวดคลึงที่ขาทั้งสองข้างต่อ
ระหว่างที่ทำก็สวดว่าคาถาไปด้วย
“เสร็จแล้วขอรับคุณยาย”
เขายื่นไข่ใบนั้นให้ สั่งให้คุณยายเอาไข่ไปใส่หม้อต้มที่กำลังเดือดพล่าน
หลังจากทำพิธีผีไข่สำเร็จแล้ว พอไข่สุกคุณยายก็รีบนำมาแกะปอกเปลือกให้เห็นต่อหน้า
ข้างในไข่มีจุดสีดำปะปนอยู่ด้วย คุณยายท่านยิ้มหน้าบานดีใจยกใหญ่
ในที่สุดหลานชายของแกก็ปลอดภัยแล้ว เมื่อผีถูกขับออกจากร่างกายมาอยู่ในไข่ และถูกกำจัดโดยการต้ม
เวทย์ยังเอาหม้อดินเผาใบหนึ่ง มาขีดเขียนด้วยชอล์กเป็นรูปกากบาท เขียนวงกลมเล็กๆ
สองดวงให้เป็นรูปตา เสร็จแล้วนำไปแขวนไว้หน้าบ้าน
“เสร็จแล้วขอรับ ขุนพลหม้อตาล รับรองต่อไปผีห่าจะไม่กลับมาอีก”
เวทย์ปฏิเสธอามิสสินจ้าง คุณยายเอามือประนมท่วมหัวรู้สึกซาบซึ้งใจ
ที่มีพ่อหมอแสนดีมาช่วยเหลือ อาการป่วยไข้ของหลานชายของแกถึงได้ทุเลา พอแหงนมองหม้อดินเผาที่ห้อยสูงไว้ที่หน้าบ้าน
พึ่งจะจำได้ว่าตอนเป็นเด็ก เคยเห็นพวกผู้ใหญ่ทำของแบบนี้ไว้ป้องกันผีห่า นึกไม่ถึงคนรุ่นใหม่ ยังไม่หลงลืมภูมิปัญญาคนสมัยก่อน
“แว๊ก!” เพลาผ่านไปชั่วโมงแล้วหรือเนี่ย ”คุณยายขอรับ
กระผมต้องขอตัวไปก่อนนะขอรับ”
“จ้ะ
ขอให้เดินทางปลอดภัยนะพ่อหมอ”
เวลาวารีไม่คอยท่าแล้ว
เวทย์คว้าย่ามได้ รีบวิ่งอ้าวไปป้ายรถเมล์ที่ปากซอย ทันขึ้นรถก่อนประตูไฮโดรลิคจะปิดเสียอีก
บรื้นๆๆๆ...
‼
“มันจะติดไปทั้งชาติหรือไงวะ!”
คนขับรถเมล์เหยียบเบิ้ลคันเร่งน้ำมัน
ทั้งที่ข้างหน้ายังมีรถขวางอยู่เต็ม พอออกตัวเหยียบคันเร่งมิด
ผู้โดยสารที่ฝากชีวิตไว้คอแทบหักกับจังหวะรถกระชาก
“ใครขวางกูชนเว้ย!”
เอี๊ยด…‼
รถเมล์คันหน้าจอดเทียบป้ายอยู่
คนขับกัดฟันกรอด
“จอดซ้อนมันเลย
ใครกล้าร้องเรียนกู!”
อากาศก็ร้อน
ก่อนออกจากบ้านมา ยังโดนเมียด่า พขร.ระบายอารมณ์เต็มที่กับคันเร่งน้ำมันแตะเบรกไม่มียั้ง
แม้รถยนต์จะแออัดบนถนนในชั่วโมงเร่งด่วน ดังระงมไปด้วยเสียงแตรรถดังสับสน
เคลื่อนตัวไปได้ไม่เร็วนัก คนขับรถเมล์อาศัยความชำนาญ ขับปาดซ้ายปาดขวา
กระชากรถน่าดู เด็กหนุ่มถอนใจดังเฮื้อก
คงไปถึงมหาวิทยาลัยทันเวลาอยู่หรอก เบาะนั่งคนเต็มมีแต่ที่ยืน ลุงคนหนึ่งยืนโหนไม่ถนัด
แม้จะใช้สองมือจับเหล็กยึดไว้มั่น พอรถกระชากแทบหงายหลังหัวทิ่ม
เวทย์ช่วยรับไว้ได้หวุดหวิด
“มีคนลุกแล้ว
ไปนั่งเถอะขอรับ”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม”
เล่นเอาลุงขาสั่นเลย
หันมามองนักศึกษาหนุ่มดูสีหน้าสบายดี คงชินกับชีวิตผาดโผนในเมืองหลวงแล้ว
รถเบนซ์คันหรูขับแล่นตามมา
นานินั่งรถมากับคุณแม่ ทันทีที่รถเมล์จอดป้าย เธอลดกระจกลง ทันเห็นเวทย์โดดลงมา
วิ่งอ้าวมุ่งหน้าไปยังทิศทางวัดเจดีย์ภูเขาทอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาด้วยอาการเดิมๆ
เคยแม้กระทั่งสั่งให้คนขับรถขับสะกดตามรอย แล้วก็เห็นวิ่งหายเข้าไปวัดทุกที
หรือว่ามหาวิทยาลัยของเวทย์จะอยู่แถวนี้
แต่ทำไมต้องเข้าไปในวัดทุกวันนะ มันเป็นคำถามในใจที่นานิจะต้องหาคำตอบให้จงได้
“เห็นไหมลูก
คนจนยังไงก็เป็นคนจน ถ้าอนาคตลูกไม่อยากลำบากก็อย่าไปคบคนกระจอกพรรค์นี้นะ
แม่ขอเตือน”
“ทางเดียวกัน
ขึ้นรถคันเดียวกันสิคะแม่ เวทย์เขาขึ้นรถเบนซ์เหมือนกัน มีคนขึ้นด้วยตั้งเยอะ
ช่วยลดมลพิษโลกด้วย”
“ลูกแม่เดี๋ยวนี้ความคิดแปลกๆ
ขึ้นทุกวัน” คนเป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจยาว แล้วส่ายหน้า
แฮ่กๆๆ
“แย่แล้ว! วันนี้แรม 9 ค่ำ เดือน 1
ต้องส่งงานให้อาจารย์ปู่สกด้วย ต้องไปให้ทันให้ได้” คะเนจากดวงอาทิตย์บนฟ้า
เวลาตอนนี้คือ 08.25 นาที ยังเหลือเวลาอีก 5 นาทีจะเริ่มเรียน
ชาวหิมพานต์นครไม่พึ่งพานาฬิกาแต่อาศัยดูเวลาอย่างแม่นยำจากดวงดาวบนฟ้า
นับเดือนเป็นค้างขึ้นค้างแรม
เวทย์ต้องชะลอฝีเท้าลง
ที่ทางเข้ามหาวิทยาลัย เจอคนต่อแถวเข้าคิวยาวเหยียด
มีรถเข็นขายกล้วยแขกจ้าวประจำขายอยู่ที่นี่ แม่ค้าตัวอ้วนใหญ่ผิวดำเป็นเมี่ยง ยืนทอดกล้วยอยู่หน้ากระทะจนใบหน้าเป็นมันเยิ้ม
เวลาแกพูดทีเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าเวลาสั่งลูกค้าให้เข้าคิวตามระเบียบ แม่ค้าชื่อน้ำอ้อย หรือที่ใครๆ
เรียกชื่อลับหลังพังน้ำอ้อยเพราะหุ่นใหญ่เหมือนช้าง ข้างๆ ที่นั่งเก้าอี้สนามหลบแดดอยู่ในร่มหุบใบใหญ่
เอาแต่แต่งแต้มริมฝีปากด้วยลิปสติก แถมย้อมผมสีเขียวอ่อนดัดเป็นลอนสลวย
แต่งองค์ด้วยชุดใส่สายเดี่ยว กางเกงยีนส์ขาสั้นรัดรูป โชว์ความขาวอวบอัดยั่วลูกค้าหนุ่มๆ
ให้เห็นมาแต่ไกล เธอเป็นลูกจ้าง ชื่อน้ำตาล
พอกล้วยทอดสุกได้ที่
ถูกนำมาเทกองสุมบนถาด น้ำตาลค่อยนวยนาดลุกขึ้นมาตักกล้วยใส่ถุงให้ลูกค้า
ดวงตาแพรวพราวชม้อย ชม้ายชายตาหว่านเสน่ห์ให้ลูกค้าหนุ่มแก่ที่ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
บ้างจุ๊ปากซี้ดซ้าด ตามองตะลึงเมื่อได้เห็นร่องอกอวบขาวผ่อง
น้ำอ้อยได้แต่เหล่ตามองเคืองๆ ลูกค้าต่อคิวยาวเหยียด จะมัวอ่อยผู้ชายไปถึงไหน
จะดุด่าก็ต้องทำใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นตัวเรียกลูกค้า จากเดิมแกขายคนเดียว
วันหนึ่งขายได้ไม่กี่ร้อยบาท ภายหลังจากได้น้ำตาลมาช่วย ขายได้เป็นหลักหมื่น
บางวันขายได้ถึงแสนบาทก็ยังมี ด้วยกลยุทธ์ขายของไม่ถอนเงินให้ลูกค้า ไม่ว่าจะจ่ายด้วยแบงก์ห้าร้อยหรือแบงก์พันจนขึ้นชื่อลือชา
ลูกค้าก็ล้วนพวกผู้ชายชีกอที่หวังได้ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันทั้งนั้น
ใครมือไวเป็นโดนตบจนคอเคล็ด หล่อนเฮี้ยนไม่น้อยเลย
น้ำตาลเป็นนางตานี
อาศัยอยู่ในสวนหลังบ้านของน้ำอ้อยนั่นเอง เป้าหมายของเธอคือเก็บเงินให้ได้
2 โกฏิเบี้ยเพื่อที่จะซื้อบ้านในเมืองหิมพานต์นคร ยกระดับจากภูตพรายบ้านนอก สู่สาวชาวกรุงผู้ศิวิไลซ์
เพียงแต่สกุลเงินของชาวหิมพานต์นครคือเบี้ย 2 โกฏิเบี้ยเท่ากับ 2 พันล้านบาท
ตักกล้วยได้ไม่เท่าไหร่
สาวสวยระดับนางฟ้าก็บ่นเมื่อยข้อมือ บอกให้ลูกค้ารอก่อน นั่งเอนหลังกับเก้าอี้ระบายลมหาย
รู้สึกท้อมาก หล่อนจะต้องทำงานหนักอีกแค่ไหนถึงจะเก็บเงินได้จนครบ เผอิญสายตาเหลือบไปเห็นนักศึกษาหนุ่มกำลังแทรกแถว
เขาไม่ได้มีเจตนาจะซื้อกล้วยทอด เพียงแค่เดินทางผ่านมา ดูฤาจะมีเพียงผู้ชายคนเดียว
ที่พ้นจากเสน่ห์พรายนางตานีของหล่อนไปได้
“ไงจ๊ะ
พ่อรูปหล่อ จะรีบไปไหนกัน”
น้ำตาลเข้ามากอดแขนเวทย์
ทำเอาเขาทำสีหน้าอึดอัดจนปากสั่น เห็นสายตาแฟนคลับของแม่นางตานีแสนสวยเข้าแล้ว
เขาอาจโดนสหบาทาได้ในบัดดลด้วยฤทธิ์ความหึ่งหวง
“ปะปล่อยเถอะขอรับ
เพลานี้กระผมต้องรีบไปเรียนขอรับ”
“ปล่อยก็ได้
แต่ทีรักต้องช่วยซื้อกล้วยแขกด้วยน๊า แค่ 20 เบี้ยเอง”
เวทย์กะพริบตาปริบ
คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินเบี้ยกับเงินบาท
“20
เบี้ย เท่ากับ 20.000 บาท แพงไป สำหรับกล้วยแขกถุงเดียวขอรับ”
“อุ๊ยตาย
รวยแล้วยังงกอีก เงิน 20 เบี้ยในเมืองหิมพานต์ ซื้อกล้วยแขกได้ถุงเดียวเหมือนกันนี่นา
ไม่เห็นต้องคิดเยอะหรอก” น้ำเสียงหล่อนออดอ้อนเหลือประมาณ
แถมสัมผัสนุ่มนิ่มจากทรวงอก ที่แนบชิดกับต้นแขนทำเอาชายหนุ่มเกือบเข้าภวังค์
“เราต้องใช้จ่าย
ตามค่าครองชีพของประเทศที่เราอาศัยอยู่ จึงจะถูกนะขอรับ”
“แต่คนงก
ไปอยู่ที่ไหน นิสัยไม่เคยเปลี่ยน”
เวทย์ก็พอรู้น้ำตาลต้องทำงานเก็บเงิน
ไหนจะเป็นหนี้ปู่โสมอีกมาก หล่อนมีนิสัยใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย
ใช้จ่ายกับเครื่องสำอางกับเสื้อผ้าแฟชั่นแพงๆ “น้ำตาลต้องรู้จักใช้เงินประหยัดๆ
หน่อยสิขอรับ จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก หาเงินจนเกินตัว”
หล่อนตีต้นแขนเวทย์ดังเพี้ยะ! เริ่มงอนแล้ว“ก็ฉันขายกล้วยทอดให้พวกมนุษย์แค่ถุงละเบี้ยเอง
มนุษย์โลกจนจะตาย แค่เศษเบี้ยมันยังจะมาบ่นอีก ดีแค่ไหนไม่ควักลูกตาทิ้ง
ฐานลวนลามฉันด้วยสายตา” มนุษย์โลกยากจนไม่มีดี หล่อนเกลียดที่สุด
ร่างอรชรเดินนวยนาดเดินวนขวางหน้าไม่เลิก
ฟันขบปลายเล็บ มองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะนักศึกษาหนุ่ม รู้สึกสยิวเหมือนโดนนางเสือในฤดูผสมพันธุ์จ้องเอาเลย
เพียงหล่อนเอื้อมมือไปจับหัวไหล่แล้วย่อตัวลง
ยกสะโพกงอนขึ้นด้วยท่วงท่าสุดเซ็กซี่คล้ายหญิงโหนเสา
ผู้ชายพวกนั้นถึงกับเอออาชี้เข้ามา เจ้าหนุ่มหน้าใสนี่เป็นใครถึงกล้ามาชิงตัดหน้า
เวทย์สีหน้าเลิกลักทำสั่นมือ ปากสั่นบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรด้วย น้ำตาลย่นจมูกใส่
คนอะไรอ่อยให้แล้วยังทำทึ่มอยู่ได้
รอยยิ้มซ่อนเล่ห์
เอามือเท้าแขนแอ่นอกอย่างท้าทาย เวทย์หลับตาปี๋ไม่กล้ามองร่องอกอวบสุดยั่วยวน อยู่ดีๆ
ริมฝีปากอวบอิ่มก็หยักรั้งขึ้นกลายเป็นขบขัน ปล่อยก๊าก ออกมา มือกุมหน้าท้องขำ เวทย์ทำหน้าบ้องแบ๊วไม่รู้หล่อนจะมาไม้ไหนอีก
“อยู่ดีๆ มาหัวเราะทำไมหรือขอรับ”
หากเขามีตบะไม่แข็งแกร่งพอ
คงหลงรักนางตานีแสนสวยตนนี้ไปนานแล้ว
มาสายอีกแล้วนะ
ลืมไปแล้วหรือไง วันนี้อาจารย์เข้มเข้าสอนคาบแรก ป่านนี้คงกำลังถือหวายลงอาคมไว้ลงโทษคนมาสายอยู่แน่”
สมน้ำหน้าผู้ชายอะไรเล่นตัวดีนักวันนี้ได้โดนอาจารย์จอมเฮี้ยบเล่นงานแน่
“แย่แล้ว!”
เวทย์ฉากหลบได้ก็สาวเท้าวิ่งหน้าตั้ง เขาไม่น่าหลงกลปล่อยให้หล่อน
แกล้งถ่วงเวลาจนสายขนาดนี้
กว่าจะสลัดน้ำตาลที่พัวพันเป็นตังเมมาได้แทบแย่
พ่อสอนไว้ว่าไม่ให้คบค้ากับแม่ค้าที่ขายของโก่งราคา ตั้งแต่จากเมืองหิมพานต์นครมา เขาสัญญากับตัวเองจะไม่คิดข้องแวะกับผู้หญิงให้เสียการเรียน
คณะมหาเวทย์ มหาวิทยาลัยใต้ภูเขาทอง
เวทย์
จอมไตร นักศึกษาเอกสัปเหร่อ เข้ามาถึงห้องเรียนท่ามกลางเศษกระดาษที่เพื่อนนักศึกษาปั้นขยำเอามาปาใส่กัน
เสียงกระทืบเท้า โห่ฮาป่าอย่างคึกคะนองดังลั่นห้อง พวกนี้ล้วนแต่เป็นลูกหลานของชาวหิมพานต์นคร
ที่อพยพตามผู้ปกครองเข้ามาทำมาหากินในโลกมนุษย์
หนึ่งในนั้นคือนักศึกษาสาวในชุดรัดรูป
ทรวดทรงงามระหงสุดเซ็กซี่บาดใจ เหมือนนักศึกษาในโลกภายนอก ยามมือเสยเส้นผมยาวคลุมแผ่นหลัง
เงางามเหมือนเส้นไหม เธอชื่ออรัญญานีเป็นนางตะเคียน วิชาเอกมนต์มหาเสน่ห์ และเป็นดาวมหาลัยของที่นี่
ที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างกันคือสุริยันเป็นยักษ์
วิชาเอกคงกระพันชาตรี ที่คอยเบียดคอยแซะนัยว่าตามจีบ นิสัยกร่างอยู่ไม่น้อยด้วยเป็นหลานชายของปู่โสมผู้บริจาครายใหญ่ของมหาวิทยาลัย
“ไงนักศึกษาดีเด่น
มาสายกับเขาเป็นเหมือนกันเรอะ”
สุริยันทักมาปนเหน็บ เวทย์เพียงหันไปมอง
ไม่ได้ตอบกลับว่ากะไรเพราะรู้ดีว่าจ้องปีนเกลียวตนเองอยู่ไม่น้อยเรื่องอรัญญานี
เพียงมือจับเนกไทให้แน่น เชิ้ตขาวต้องอยู่ในกางเกง ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเธอเลย วันๆ
เอาแต่ก้มหน้าเรียน
“อาจารย์ปู่สกยังไม่มาเลย
เมื่อกี้ฉันผ่านห้องอธิการบดี เห็นพวกอาจารย์กำลังประชุมกันอยู่”
“ขอคุณขอรับ
ที่บอก” เขาจำใจต้องตอบกลับไปด้วยมารยาท
อรัญญานีพูดจาหวานเสียงใส
มือเท้าคางแลยิ้มมาให้น้อยๆ มองลูกชาย ส.ส.
เมืองหิมพานต์ที่ยอมมาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยบ้านนอก นิสัยดีไม่ถือตัวเลย
ยามมือเธอเสยเส้นผมยาวเคลียไหล่ให้สยายเป็นประกายวิ้งๆ มนต์เสน่ห์ของเธอมีมากกว่าน้ำตาลที่เป็นนางตานีเสียอีก
เวทย์หลบตาแวบ ต้องรีบทำใจให้นิ่ง เมื่อครู่เกือบโดนมนต์มหาเสน่ห์เข้าให้แล้ว สุริยันเห็นสาวที่ตนเองหมายปองไปชม้อยชม้ายชายตาให้ชายอื่น
ทำเอาหัวร้อนเขี้ยวงอกขึ้น ทีกับตนเองไม่ยักพูดจาดีแบบนี้เลย
“อย่ามายุ่งกับแฟนข้านะโว้ย! ไม่งั้นมีเรื่องแน่”
“ไหน!ใครแฟนนาย อย่ามามโนเองนะ” สาวสวยหันมาตวาดแว้ดใส่
มือผลักหัวไหล่สุริยันตกเก้าอี้ดังโครม ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลผิดกับรูปร่างบอบบางนัก
แม้มาสายยังโชคดีที่มาก่อนอาจารย์
เวทย์ถอนหายใจยาว ก่อนจะไปนั่งเก้าอี้ข้างกินนรกินรีชื่ออาคังกับหมวยลี่ วิชาเอกมนต์มหาลาภ คู่แฝดกินจุที่บนโต๊ะต้องมีถุงขนมขบเขี้ยว
รูปร่างขาวอวบ ดวงตาตี่ด้วยมีเชื้อจีน ที่เก้าอี้ด้านหลังเป็นของคนธรรพ์ชื่อเพชร ที่สวมยีนมาเรียน
ไว้ทรงผมแอฟโฟรกลมๆ เป็นดอกเห็ด ในมือมีกีตาร์โปร่งกำลังดีดเล่นสายกับร้องเพลงคลอเบาๆ
ด้วยเรียนวิชาเอกนาฏศิลป์
“อาจารย์ปู่สกมาแล้ว!”
นักศึกษาคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ทุกคนต่างเข้าประจำที่นั่งกันพรึบพรับ หยิบเอากระดานชนวนกับชอล์กขีดเขียนขึ้นมา เพียงสไลด์หาโน้ตประจำวิชา
มันสามารถบรรจุข้อมูลตัวอักษรได้นับโกฎิGB เหมือนไอแพดของนักศึกษาในโลกมนุษย์ หากแต่ล้ำสมัยกว่า
สามารถเล่นสื่อมีเดียได้ด้วยระบบสามมิติ
อาจารย์มาถึงก็ตรงไปหยิบชอล์กไปขีดเขียนข้อความบนกระดานดำ
บอกหัวข้อสำหรับการเรียนในวันนี้
“เอาล่ะ
นักศึกษาทุกคน ที่อาจารย์สั่งงานให้ไปทำ วันนี้คงพร้อมส่งแล้วนะ”
อาจารย์ปู่สกประจำวิชาปลุกเสกของขลัง
เป็นอมนุษย์ร่างอ้วนเหมือนผลชมพู่ เส้นผมหนวดเคราและคิ้วยาวจนคลุมถึงหัวเข่าปกคลุมร่างกาย
โดยเฉพาะปลัดขิกขนาดไฟฉายสากส้มตำขนาดนิ้วก้อยนับร้อยผูกรอบเอว
ทำให้ดูเข้มขลังยิ่งนัก
ความคิดเห็น