คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1
ผู้คนในชุดแต่งดำไว้ทุกข์
ต่างต่อแถวทยอยกันเข้ามารับขันน้ำจากเจ้าภาพเพื่อรดน้ำศพ ข้างๆ ร่างอันไร้วิญญาณมีสัปเหร่อหนุ่มแก่ยืนเคียงกันอยู่ด้วยอาการสำรวม
พอเสร็จสิ้นพิธีรดน้ำต้องมัดตราสัง สองสัปเหร่อช่วยกันขมีขมัน คนแก่ร่างเล็กศีรษะล้านผิวหน้าเหี่ยวย่น
อายุประมาณ 60 ชื่อบุญคำ แกทำหน้าที่ประจำวัดแห่งนี้มานาน ส่วนเด็กหนุ่มพึ่งมาทำหน้าที่ผู้ช่วย
รูปร่างของเขาสูงโปร่ง สวมเชิ้ตสีขาวผูกไทต์
กางเกงขากระบอกสีกรม การแต่งกายเหมือนพวกนักศึกษา
ในงานมีคุณแม่กับนานิมาด้วย
คุณแม่ยังอดมองเขาอย่างแปลกใจไม่ได้
“น่าเสียดายจัง อายุยังน้อย หน้าตาก็ออกดี
น่าจะเลือกไปทำอาชีพที่มันดีกว่านี้”
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่คะแม่
เขาเหมาะเป็นสัปเหร่อดีออก”
“ลูกรู้จักเขาเหรอ”
“ค่ะแม่ เขาชื่อเวทย์ จอมไตร ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย
แต่ใช้เวลาว่างช่วยคุณลุงทำศพ เป็นคนไม่ห่วงภาพ ผิดกับเด็กสมัยนี้”
คุณแม่ของนานิครางอืมๆ มองดวงตาลูกสาวที่ใสแจ่มมองดูเด็กหนุ่มคนนั้น
กลัวใจลูกสาวจะไปหลงเข้าให้ “อย่าไปสุงสิงด้วยมากนะลูก
ลองถ้ามาทำแบบนี้ฐานะทางบ้านคงจนมาก”
“เวทย์ไม่ได้จนนะคะแม่ โบสถ์ วิหาร
รวมทั้งศาลาหลังนี้ด้วย คุณพ่อของเขาเป็นคนบริจาครายใหญ่เลยนะคะ ฐานะคงจะดีไม่น้อย”
ได้ยินว่าวัดนี้
หมดค่าก่อสร้างโบสถ์กับวิหารไปหลายสิบล้าน เจ้าภาพใหญ่บริจาคคนเดียว
คุณแม่กลอกตาไปมาแล้วเอนหลังกับเก้าอี้อย่างอ่อนระทวย “แม่ไม่อยากเชื่อเลย
ลูกแม่โดนคารมผู้ชายหลอกมาแน่ ต่อไปอย่าไปคบอีกนะ แม่ขอสั่งห้าม”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ” นานิมือหนุนคางอมยิ้ม
มองไปยังเวทย์ ความพิเศษของเขาที่เธอยอมคบหาด้วย ไม่ใช่ที่ฐานะกับหน้าตา
มันมีดีกว่านั้น
นานิ หรือชื่อเต็ม นาคินี อายุ 18 ปี
เธอเกิดมามีญาณวิเศษติดตัวสามารถมองเห็นสิ่งลึกลับมาตั้งแต่เด็ก การที่เธอเคยได้พูดคุยกับเวทย์จนคุ้นเคยสนิทสนม
ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนที่พิเศษกว่าใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ดวงตาคู่นั้นที่ใครอื่นอาจมองดูว่ากำลังเหม่อลอย แท้จริงกลับลึกล้ำ
ยามใดที่เธอสบตาด้วย รู้สึกตนเองกำลังจมดิ่ง
ก่อนนำศพลงโลง
สัปเหร่อต้องทำพิธีมัดตราสังด้วยสายสิญจน์
เวทย์เป็นลูกมือที่ต้องคอยจดจำทุกขั้นตอน ในเวลามัดต้องบริกรรมคาถาไปด้วย
ปากของบุญคำขมุบขมิบตลอดเวลา ผูกหัวแม่มือของศพที่พนมถือกรวยดอกไม้ธูปเทียน
นำมาวางไว้ที่หน้าอก แล้วโยงสายสิญจน์มาที่เท้า ทำเป็น
ทำเป็นบ่วงผูกข้อเท้าทั้งสองให้ติดกัน
“ทำไมต้องมัดสายสิญจน์แน่นขนาดนี้ด้วยครับ
โปรเฟรสเซอร์”
เวทย์ถามขึ้น
นี่คือศพแรกที่เขาได้ลงมือปฏิบัติจริง หลังเรียนรู้ภาคทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยมาหลายปี คำเรียกโปรเฟสเซอร์คือคำนำหน้าที่แสนภูมิใจ
ท่านเงยหน้ามามองตอบด้วยรอยยิ้ม อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ตอบคำถามของลูกศิษย์หนุ่มด้วยสำเนียงนุ่มนวล
“ศพนี่ถูกหมอผ่าชันสูตรมาก่อน
ถึงจะเย็บกลับเข้าที่เดิมแล้ว แต่เส้นเลือดแตกอยู่ข้างใน พอเขาฉีดน้ำยารักษาศพ
มันตกอยู่ข้างใน ไม่กระจายไปทั่วตัว อากาศช่วงนี้มันร้อนด้วย
ศพจะขึ้นอืดอย่างรวดเร็ว เราจะต้องช่วยกันมัดให้แน่นที่สุด เพื่อป้องกันโลงแตก
แล้วด้ายพวกนี้มันยังช่วยซับน้ำเลือดน้ำเหลืองได้ดีด้วย”
คำตอบนั้นทำเอาเด็กหนุ่มเบิกตากว้าง จะร้องโอ้โห
พยักหน้าหงึกๆ
“เป็นความรู้ใหม่ ของกระผมเลยขอรับ”
“เออ ดีแล้ว เอ็งเป็นคนหัวไวดี”
สัปเหร่อเฒ่ายิ้มหัวชอบใจ เอี้ยวตัวชักมีดหมอที่เหน็บเอวออกมา
บริกรรมคาถางึมงำ ห่อริมปากจู๋แล้วเป่าพ่วงๆ ไปที่คมมีด เวทย์หลบกระแสน้ำลายแวบ แกบอกขั้นตอนต่อไปจะทำพิธีเบิกโลง
โดยใช้มีดสับไปที่ปากโลง เวทย์เป็นคนหัวไวจดจำทุกอย่างที่สอนได้ในเพียงครั้งเดียว
เช่นเดียวกับสมัยที่พ่อของเวทย์ได้มาเป็นลูกศิษย์ของโปรเฟรสเซอร์เฒ่าผู้นี้
มือผอมเส้นเลือดปูดโปน
กำปมผ้าขาวห่อศพมัดเป็นปมด้านศีรษะแน่นเพื่อที่จะสะดวกในการยกศพลงโลง พอเสร็จแล้วช่วยกันยกลงบรรจุเป็นอันเสร็จพิธี เวทย์พอหันมายังทันเห็นนานิประคองแม่ลงบันไดศาลา
เธอหันมายิ้มให้ด้วย ก่อนจะลับหายลงบันไดไป
คืนเดือนมืดอันแสนวังเวง
บ้านพักของเวทย์อยู่ห่างจากโกดังเก็บศพไม่ถึงร้อยเมตร
นกแสกตัวใหญ่บินมาเกาะต้นมะขามเก่าแก่
หันคอไปมามองหาเป้าหมายบางอย่างในราตรีนี้ แล้วส่งเสียงร้องแกวก
แกวก..ฟังดูวิเวกเย็นเยียบ
เวทย์นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่บนแคร่หน้าห้องพัก
มีเพียงตะเกียงน้ำมันริบรี่เป็นเพื่อน พอเบื่อก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง
ที่เป็นภาพเขียนของแม่ออกมาดู แม่จากเขาไปแล้ว
มีเพียงภาพเขียนจากความทรงจำเท่านั้น ชาวหิมพานต์นครมีกฎห้ามการถ่ายภาพ
เพราะมันจะดูดเอาวิญญาณเข้าไปในภาพ เขาจึงมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น
การตายของชาวหิมพานต์ร่างกายจะสลายเป็นอากาศธาตุทันที
ไม่เหลือร่างกายให้ญาติได้ทำพิธีล่ำลาเหมือนคนในโลกนี้
แกวก..แกวก..
“พัสดุของพ่อมาแล้ว!”
เวทย์ยิ้มร่าเมื่อเห็นเจ้านกแสกบินโฉบลงมา พร้อมกับกล้องกระดาษใบใหญ่
ในที่สุดมันก็หาเขาจนเจอ
แกวก..แกวก..
เจ้านกแสกกางปีกคร่อมพัสดุอย่างสุดหวง
ดวงตากลมโตจ้องมองเขานิ่ง ไม่มีทางที่จะเอาของจากมันไปได้ง่ายๆ
หากยังไม่ได้สิ่งแลกเปลี่ยน
“ขอบใจแกมาก เอ้านี้ บิสกิตของแก”
เขาโยนขนมออกไป เจ้านกแสนรู้ใช้จะงอยปากคาบ แล้วกระพือปีกบินหายไปในความมืดทันที
เขาไม่สนใจหรอก เจ้านกจะมาตอนไหนและกลับไปยังไง ตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับของที่พ่อส่งมาให้จากเมืองหิมพานต์นคร
พอเปิดกล่องออกก็พบควายธนูทองแดง ควายธนูสีผึ้ง ควายธนูดินเหนียวจากดินเจ็ดป่าช้า
รักยมที่เขาเลี้ยงไว้ปรากฏร่างออกมา เป็นเด็กธรรมดาไม่มีจุกบนหัว วัยประมาณเด็กประถม มองควายธนูตัวจิ๋วบนอุ้งมือเจ้านาย
ดวงตาโตจนหลุดจากเบ้า ชี้นิ้วดิกๆ มา
“โอ้โห! นี่มันควายธนูรุ่นล่าสุดจากบริษัท Buffalo
flying สุดยอดไปเลยขอรับเจ้านาย
ผมพึ่งเห็นมันออกโปรโมทขาย ในนิตรสารของหิมพานต์นิวส์ ไม่ถึงอาทิตย์มานี่เอง เจ้าตัวนี้เหาะได้ด้วยความเร็วแสง+3
รวมทั้งแปลงร่างเป็นพาหนะอื่นก็ได้ ราคาของมันสูงถึง 10 โกฏิ (มาตรานับเท่ากับ 10
ล้าน) คุณพ่อของเจ้านายช่างเป็นคนใจดี และร่ำรวยอะไรขนาดนี้”
“ของมันจำเป็นต้องซื้อ ต้องใช้นะ
ไม่ใช่ของเล่นฟุ่มเฟือยซะหน่อย”
เวทย์อมยิ้มน้อยๆ
กับความช่างพูดของรักยม ปกติคุณพ่อสอนให้เขารู้จักใช้เงินอย่างรู้คุณค่า แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องเอาออกมาใช้จ่าย
ตอนนี้เวทย์กำลังฝึกงานเป็นสัปเหร่อ จำเป็นต้องมีควายธนูคู่ใจ
“นั่น
เจ้านายจะเอาไปเก็บหรือขอรับ”
“ฉันขออ่านหนังสือเรียน
ให้จบบทก่อน”
ใบหน้าอ่อนใส จมูกโด่ง มือเสยผมหันมายิ้มให้เด็กน้อยแลดูอ่อนโยน
ก่อนจะลุกเอาของไปเก็บในห้อง
“ถ้างั้น
ขอยืมไปขี่เล่นก่อน นะน๊า..”
รักยมยิ้มแป้นแบมือขอ
เวทย์หันข้างให้ ทำตาขุ่นๆ
“ไม่
ได้”
“ขี้
งก”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก
ยังขับขี่เจ้านี้ไม่ได้ มันอันตราย”
“แต่หนู
ไม่ใช่เด็กธรรมดา”
รักยมกออดอกหันข้างให้
งอนแล้ว นายไม่ยอมตามใจ เวทย์ถอนใจ ก็เขาเป็นคนออกแบบให้รักยมช่างพูด ขี้เล่น
และเจ้าแง่เจ้างอนเพราะอยากมีน้องชาย
“ยังไม่ได้เทสต์ไดรฟ์เลย
เกิดควายธนูไม่เชื่องขึ้นมา ของมันจะเข้าตัวเอาได้นะ”
“แหมๆ
หวงก็ไม่บอก ชักอิจฉาลูกคุณหนูจริงจริ๊ง อยากได้อะไรก็ได้“
“เอาล่ะ
ไว้ขออ่านหนังสือเพลาเดียวนะ แล้วเราไปเทสต์เจ้านี่กัน”
“เย้ๆๆ
เจ้านายใจดีจังเลย”
รักยมตัวน้อยกระโดดเหยงรอบตัวของเขา
หัวบางทีหัวก็หลุดจากบ่า เขาต้องช่วยจับมาต่อให้ ไม่รู้ใช้วัสดุผิดประเภทหรือไงนะถึงได้หลุดบ่อย
เรื่องหลอกหลอนก่อนหน้านี้ ความจริงรักยมเป็นเด็กดี
เห็นเด็กมาเล่นโดดหนังยางในวัดก็เลยอยากไปเล่นด้วย โดดทีเดียวหัวก็หลุดเลย
เด็กพวกนั้นวิ่งกันป่าราบไม่คิดชีวิต
โปรเฟรสเซอร์บุญคำได้ยินเสียงเด็กเจี๊ยวจ๊าว
เดินออกมาจากโกดังเก็บศพ ใบหน้าเฉยชาเหมือนซากศพ ในมือถือขวดเหล้าขาวเซ่นผีติดมือมาด้วย
แกหัวเราะในลำคอ พอมีรอยยิ้มดูเป็นคนแก่ใจดีทันที เจ้ายมมันช่างพูดช่างแหย่เสียจริง แต่ก็ดีที่ไม่ทำให้ที่นี่เงียบเหงาเกินไปนัก
อาชีพสัปเหร่อไม่ค่อยมีใครใคร่อยากจะคบหานักหรอก แกเข้ามานั่งเคียงบนแคร่ ใช้ผ้าขาวม้าพัดวีไล่ยุงไปด้วย
“ไปได้อะไรมาละนั่น”
“ควายธนูขอรับ”
เวทย์ยิ้มหน้าบาน แบบมือให้ดูของในมือ คนแก่ต้องหาแว่นมาใส่เพื่อดูให้ชัด พอรับของมาจับพลิกไปมา
สับหน้าหงึกๆ ครางอือในลำคอ
“ของดีเลยนะนี่
รู้สึกอาถรรพ์ของมันจะแรงไม่น้อย แล้วเอ็งไปได้มาตอนไหน ก่อนหน้าไม่เคยเอาออกมา”
“คุณพ่อพึ่งส่งมาทางไปรษณีย์
เพลานี้เองขอรับ” เขายิ้มเห็นฟันทุกซี่ โปรเฟรสเซอร์บุญคำพยักหน้ารับหงึกๆ
เหมือนเจ้านกแสกไม่มีผิด
“มิน่า
ของดีขนาดนี้ ท่าน ส.ส. ส่งมานี่เอง”
“ตาแก่
ควายธนูของดีใช่ม๊า” จู่ๆ รักยมก็โพล่งขึ้นมา มือเท้าสะเอวทำท่าขึงขัง สัปเหร่อบุญคำจะง้างเท้าถีบเข้าให้
เจอโดนหลบแวบ เข้ามาหลบหลังเวทย์ไวปานลิง
“ฮึ๋ย! ไอ้เด็กผี”
“จุ๊
จุ๊” เวทย์ทำนิ้วจุ๊ปาก ไม่ให้รักยมขัด
“ควายธนู
รุ่นล่าสุด 2019
VIP class มันก็เหมือนรถซูเปอร์คาร์ของโลกมนุษย์
เซียวนาเอ็ง ตอนไปเรียนเอ็งให้มันแปลงเป็นรถยนต์ขับไปก็ได้ ไม่ต้องลำบากโหนรถเมล์อีกแล้ว
เจ้านี่ยามเร่งความเร็วสูงสุด ทำความเร็วแสง+3
จานผี UFO ของเจ้าเปโตรทำความเร็วได้หนึ่งเท่าความเร็วแสง
ชิดซ้ายไปเลย ท่าน ส.ส.เสียเบี้ยเสียอัฐให้ลูกชายเท่านี้มันเล็กน้อย
ไม่ทำให้เงินในหีบของท่านพร่องลงหรอก”
“โปรเฟรสเซอร์ลองมันหน่อยไหมขอรับ
ได้ยินว่าเป็นเทสต์ไดร์ฟที่ชำนาญ เผื่อควายธนูตัวนี้มีข้อบกพร่อง
จะได้ส่งกลับไปแก้ไขที่บริษัท”
คนแก่พลอยเห็นดี
อ้าปากยิ้มเห็นฟันหลอ พอจะบริกรรมคาถาควบคุมควายธนูดินเจ็ดป่าช้า ทันใดของมันดวงตาแดงก่ำราวกับถ่านไฟ
ทำเอาสัปเหร่อผู้ช่ำชองคาถาอาคมยังต้องผงะ มือลูบสีข้างครางซี้ด
ยอมคืนให้เจ้าของแต่โดยดี
แล้วกระเถิบห่างออกไปนั่งปลายแคร่
“พอแล้ว
พอๆ แค่นี้ก็โดนมันขวิดสีข้าง ฤทธิ์มันร้าย ดีที่มันเชื่องกับเอ็ง”
ดูโปรเฟรสเซอร์จะเจ็บพอดู
เวทย์สั่นหัวไม่น่าเลย
“ถ้างั้น
ผมจะบีบนวดให้โปรเฟรสเซอร์นะขอรับ นอนลงสิครับ”
“เออดิว่ะ
เอ็งมันศิษย์กตัญญูดีแท้”
เวทย์เป็นคนอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์
ข้อดีตรงนี้เหมือนคนเป็นพ่อไม่มีผิด โปรเฟรสเซอร์บุญคำลงไปนอนคว่ำให้บีบนวดหลัง
“ดูท่าควายธนูไม่เชื่อง
กระผมคงต้องส่งมันกลับ ไปให้บริษัทตรวจดูนะขอรับ”
“ไม่ต้องส่งกลับไปบริษัทดอก
ของแบบนี้เขาเทสต์จนแน่ใจมันใช้งานได้ถึงส่งมอบให้ลูกค้า เรื่องจะใช้งานได้ดีแค่ไหน
อยู่ที่คนใช้ ขอแค่ร่ายคาถากำกับอย่าให้ผิดอักขระตามคู่มือที่บริษัทเขาส่งมาให้ รับรองไม่มีปัญหา
เมื่อกี้ข้าใช้มนต์อีกบทที่ใช้กับควายธนูของข้า เลยโดนดีไป
ควายธนูของข้ามันรุ่นเก่าตกรุ่นไปนานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น
เอาของกระผมไปใช้นะขอรับ”
“ไม่ต้อง
ไอ้แก่ของข้า มันไม่เคยเกเรนะ” สายตาของแกมองไปยังโรงรถที่มีรถกระบะดัสสัน 720
สีขาวจอดอยู่ สภาพของมันเก่าคร่ำครา สีขาวกลายเป็นสีเปลือกไข่ กลางวันใช้ขับไปรับศพที่โรงพยาบาล กลางคืนหากพวกภูตผีปีศาจมากล้ำกรายหมายปองร้าย
มันจะกลายเป็นควายธนู ออกต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์เพื่อปกป้องเจ้าของ
เวทย์บีบได้น้ำหนักมือ
ทำเอาโปรเฟรสเซอร์ครางอี้ๆ แยกเขี้ยว
“แรงไปไหมขอรับ”
“กำลังดีเลย”
แกเป่าปากฟู่ เพราะเวทย์คลำโดนเส้น “คืนนี้เดือนมืด เอ็งเอาไปลองได้เลย
รับรองไม่มีมนุษย์คนไหนเห็น รับรองพริบตาเดียวถึงดาวเสาร์
หรือจะไปให้ถึงแกแลคซี่อันโดรเมด้าของเจ้าเปโตรก็ยังได้
แต่อย่าไปทำเหมือนเจ้าเปโตรเซียวนา รายนั่นมันเที่ยวขับไอ้จานผีท่องไปทั่วโลก
ไม่ดูตาม้าตาเรือจนโดนมนุษย์ถ่ายภาพได้”
คราวนี้บีบเข้าเส้นบั้นเอวตรงจุด
เล่นเอาคนแก่ครางอี้ๆๆ
“ตรงนั้นแหละ
ย้ำแรงๆ อีกที”
“สีหน้าเหมือนจะเจ็บนะขอรับ”
“เอ็งไม่ต้องกลัวข้าเจ็บ
กดแรงๆ เลย”
กว่าจะนวดเสร็จ
รักยมไปนั่งหลับไปแล้ว หัวหลุดหล่นกลิ้งไปบนพื้น เวทย์พาโปรเฟรสเซอร์ไปส่งห้องนอน ภายในไม้กระดานฝาห้องล้วนเอาไม้ผาโลงมาตอกตะปูต่อๆ
กันพอได้กันแดดกันฝน ด้วยฤทธิ์เหล้า 45 ดีกรีที่ดื่มเข้าไป พอได้เอนหลังบนฟูกโปรเฟรสเซอร์บญคำก็กรนดังทันที เวทย์จัดการเหน็บมุ้งให้เรียบร้อยกันยุ่งเข้า
มุ้งเก่ามากมีรอยขาดต้องเย็บบ่อย เห็นทีต้องหาซื้อมาให้ใหม่แล้ว
ท่านเป็นคนประหยัดใช้สอย เงินที่หามาได้จากงานสัปเหร่อ เอาไปบริจาคช่วยวัดไม่น้อย
สร้างผลบุญเป็นอันมาก อีกไม่นานท่านจะหมดอายุขัย ไปบังเกิดในเมืองหิมพานต์นคร
เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าพ่อของเขา
เวทย์เดินออกมาเงยหน้าดูท้องฟ้า
พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆ หากแต่ดวงตาของเขายังคงใสแจ่ม
ริมฝีปากขมุบขมิบ พร่ำถึงใครคนหนึ่ง ป่านนี้คงเข้านอนไปแล้ว พอหันมาในความมืด ที่หน้าโกดังเก็บศพ
ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดาะลูกบอลเล่นดังตุบๆ
ๆ พอขยี้ตาเพ่งดูก็เห็นเค้าร่างเหมือนเด็กเล็ก
หากแต่ร่างนั้นกลับปราศจากศีรษะ ที่เดาะอยู่นั่นก็คือศีรษะที่ขาดจากคอ
เวทย์มือกุมท้ายทอยถอนหายใจ บางทีเหม่อๆ เห็นเข้าเล่นเอาตกใจเป็นเหมือนกัน
“นี่ต่อไปอย่าเล่นแผลงๆ
แบบนี้อีกนะ คนในวัดมาเห็นเข้าจะกลัวเอา”
“ก็ยมเบื่อ”
เสียงใสเย็นของรักยมตอบมา
“ถ้างั้น
เราไปเทสต์ควายธนูกัน”
“เย้ๆๆ
ได้ขี่มันแล้ว”
ที่เมื่อครู่พูดถึงเปโตร
เขาคิดว่าชวนไปเทสต์เจ้าควายธนูนี่ด้วยกันดีกว่า ดึกดื่นเยี่ยงนี้ พวกพระเณรเด็กวัดคงไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่าน
ด้วยเคยโดนฤทธิ์เดชของรักยมเล่นงานจนครั่นคร้ามมาแล้ว
สถานที่หลังวัดเปลี่ยวร้างมาก
เดิมทีเคยเป็นป่าช้าเก่า ต้นไม้สูงใหญ่แข่งกันขึ้นร่มครึ้ม
พอเปลี่ยนมาใช้เมรุเผาสมัยใหม่ มันยิ่งถูกปล่อยทิ้งร้าง ทำให้หญ้าขึ้นรกชัฏ เวทย์ยืนหายใจดังเฮื้อก ด้วยอากาศในนี้มันอับ
ตะครั่นตะครอจะเป็นไข้เอาได้ง่ายๆ
ในความเงียบวังเวงชนิดใบไม้หล่นใบเดียวยังได้ยิน
ในวงแสงไฟฉายที่เวทย์ถือสาดแสงไปมา เห็นเพียงซากปรักหักพังของศาลเจ้าที่
ตุ๊กตาคอหัก ของบูชาที่พังแล้ว ที่ถูกชาวบ้านนำมาทิ้งกองกันไว้ ยามลมโซยวูบมาที ได้กลิ่นสาบธูปเทียน
เครื่องเซ่นที่แห้งกรังติดจานสังกะสี
ลมแรงพัดมาฮือใหญ่
กิ่งใบของโพธิ์ใหญ่ดังครืนซู่ซ่า เส้นผมของเวทย์ปลิวต้องใช้แขนป้องหน้า
ทั้งฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวตลบ หูคลับคล้ายจะได้ยินเสียงหวีดหวิวลอยมาตามลม
แรกเบาก่อน จากนั้นมันจึงดังขึ้นๆ คล้ายเสียงคนกรีดร้องเสียงอันน่าขนลุก
เวทย์ยิ้มพยักหน้ากับรักยม คืนนี้เปโตรอยู่ในวัดแน่นอน นึกว่าติดธุระไปทางอื่นเสียอีก รีบสาวเท้าไปทางต้นเสียงทันที
ที่พักของเปโตรอยู่ที่ดงต้นตาล
พื้นด้านล่างอุดมไปด้วยของบูชาที่หักพัง เช่นศาลเจ้าที่คนนำมาทิ้งไว้ พวงมาลัย
ของเซ่นไหว้ที่ทุกต้นเดือนและครึ่งเดือนพวกคอหวยจะนำมาสักการะ ต้นไม้เก่าแก่แต่ละต้นมีแป้งลูบขอเลขเด็ดติดเต็ม
พอตกกลางค่ำกลางคืนจะมีพวกคนแอบมาเสพยา รวมทั้งซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
สร้างความหนักใจให้พระในวัด พอเปโตรมาพำนักเท่านั้น ทำเอาคนพวกนี้เผ่นกันกระเจิง
ไม่กล้าเหยียบย่างเข้ามาภายในวัดอีกเลย
เปโตรนั่งหลังพิงตาลต้นหนึ่ง
รูปร่างผอมแห้ง บนหัวแทบไม่มีเส้นผม ทั้งเนื้อตัวมีเพียงผ้าปิดของสงวนเพียงผืนเดียว
รักยมโดดไปมารอบตัวด้วยพบเจอตัวแล้ว
“เย้ๆๆ
เจอตัวเจ้าเปรตโตแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้น
เปโตรเป็นคนมาจากโลกอนาคตนะ” เวทย์ดุ รักยมพลอยเงียบหน้าจ๋อยไปเลย
ร่างนั้นยังคงนั่งกอดเข่าก้มหน้า
ผอมจนเห็นชายโครงพะงาบๆ เวทย์รู้สึกว่าคืนนี้เพื่อนเปโตรของเขาจะหงอยเหงาเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
เปโตรเป็นนักศึกษาปริญญาโท
เดินทางมาจากโลกอนาคต จากกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน เพื่อมาศึกษาความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอดีต ด้วยร่างกายเป็นมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนมีร่างกายใหญ่โต
เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในดาวที่มีแรงดึงดูดมากกว่าโลกมนุษย์ บริโภคแต่อาหารเหลวจึงมีปากที่เล็กมาก
เลือกมาพำนักในวัดเดียวกับเวทย์จึงได้เป็นเพื่อนคุยกันทุกคืน ทั้งสองมักเสวนากันในหัวข้อ
ทำไมมนุษย์ในยุคนี้ถึงได้ใช้ทรัพยากรในโลกอย่างสิ้นเปลืองจนเกิดมลพิษ
ทำให้ในอนาคตต้องดิ้นรนไปอาศัยในดาวดวงอื่น
“เป็นอะไรไปอีกขอรับ
หรือว่าคิดถึงบ้านอีกแล้ว” เวทย์ถาม
อสูรกายตาแดงเหมือนถ่านไฟ
ใช้มือเท่าใบตาลยันกายลุกขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนเท่าต้นตาล เงยหน้าส่งเสียงกรีดร้องแหลมจากปากเท่ารูเข็ม
ดังหวีดๆๆ แสยงไปทุกรูขุมขน ชนิดที่เวทย์ต้องเอามืออุดหูเอาไว้
“พอแล้วขอรับ! ลงมาพูดคุยกันก่อน”
เขาไม่ชอบแหงนคอพูดอย่างนี้เลย
รักยมดอดมาขวางหน้าเจ้านายไว้ มือเท้าสะเอวชี้หน้า แล้วเตะที่ต้นขาอันสูงยาวหลายป๊าบ
ไม่ต่างอะไรจากมดไปสะกิดสะเกา
“ลงมาพูดกับเจ้านายของข้าดีๆ
เลยนะเจ้าเปตรโต”
เครื่องมือชนิดหนึ่งในมือเท่าใบลาน
มีแสงไฟกะพริบปริบๆ ถูกนำมาแปะที่ลำคอเพื่อแปลภาษา ปากเท่ารูเข็มของเปโตรไม่สามารถใช้พูดได้
ต้องใช้เครื่องมือ อิเลกโทรนิคแปลข้อความส่งตรงจากคลื่นสมองผ่านออกทางลำโพงอีกที
“เงียบเลยนะ
เจ้าเด็กผี” คำพูดแรกของเปโตร
“เป็นอะไรไปขอรับ
เมื่อกี้เหมือนจะร้องไห้”
ร่างสูงค่อยหดเล็กลงมายืนในระดับเดียวกันกับเวทย์
รักยมยังฉุนเฉียวเข้ามาเตะต่อย จนเขาต้องเปิดจุกขวดเรียกกลับเข้ามาเก็บไว้ก่อน
เปโตรมีน้ำตาซึม แหงนคอมองไปบนท้องฟ้า มองไปยังกลุ่มดาวอันโดรเมด้ารูปม้าบิน ซึงเป็นบ้านเกิดของตนเอง
“ฉันเหงา
และคิดถึงบ้านด้วย”
“อะ
อ้าว ก็มีกระผมเป็นเพื่อนไงขอรับ”
“ไม่ใช่
เวทย์เป็นชาวหิมพานต์นคร ฉันอยากได้เพื่อนเป็นมนุษย์โลกจริงๆ”
ร่างของเปโตรลงมานั่งกอดเข่าอีกครั้ง
ขอบตามีน้ำตาซึม “เมื่อตอนหัวค่ำฉันเห็นพวกเณรเล่นซ่อนแอบกัน มีเณรน้อยรูปหนึ่งหลงเข้ามา
ที่นี่มันรกแล้วยังมีงูพิษด้วยเป็นอันตราย ฉันเลยทักทายหมายจะพาออกไปส่ง เท่านั้นแหละเณรน้อยวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตเลย
แล้วฉันผิดอะไร ทำไมต้องหนีด้วย”
เวทย์กะพริบตาปริบๆ
ว่าจะขำก็เกรงใจเพื่อนอยู่ไม่น้อย “อย่าคิดมากสิขอรับ เพลานี้มนุษย์โลก ยังไม่เข้าใจตัวตนของเปโตร
ต้องค่อยๆ ปรับเข้าหากันไปนะขอรับ”
ว่าแล้วเวทย์ก็ฉีกยิ้ม
แบมืออวดควายธนูทองแดงให้ดู เชิญชวนให้ไปทดลองขับเจ้านี่กัน
ดวงตาโตปากจู๋เท่ารูเข็มขยับเอียงหน้าไปมา พอปลายนิ้วชี้ไปใกล้ ดูมันจะสะบัดเขาใส่ดังเพี้ยะ! ถึงกับครางซูด ฤทธิ์มันร้ายจริง
ด้วยถึงกับกางมือบอกไม่เอาด้วย เขาหลับตานิ่งเริ่มร่ายมนตร์คาถา ให้กลายเป็นรถแลมโบกีนี่สีดำแวววาว
ยามเปิดประตู มองดูเบาะหนังเป็นมันระยับ
เปโตรเป่าปากปี๊ดๆ มันหรูระยับเลย สมกับเป็นของเล่นลูกคนรวย ดีที่เวทย์ไม่ถือตัว ตนเลยมีวาสนาได้นั่งมัน
เสียงเครื่องยนต์ทำเอารักยมทนไม่ไหวดันจุกขวดออกมา เข้าประจำเบาะหลังร้องเย้ๆ
จะได้ลองมันแล้ว
ทันทีที่เขาลงไปนั่งมือกุมพวงมาลัยเหยียบคันเร่ง
รู้สึกถึงความเกรี้ยวกราดของเครื่องยนต์ควายธนู
“โอ้
มันพยศจริงๆ แน่ใจนะจะคุมมันอยู่” ปากจู๋ของเปโตรขมุบขมิบเหมือนปากปลาเข็ม
แต่เสียงพูดดังออกมาจากลำโพง ดวงตาคมของเวทย์หันมา มุมปากมีรอยยิ้มตอบ ยามเข้าเกียร์เดินหน้า
หน้ารถเหินขึ้นแทนที่จะไปในแนวระนาบ
“เราไปเทสต์เจ้านี่
แถวแกแลคซี่อันโดรเมด้ากันเถอะ หินโสโครกอวกาศมีเยอะ จะได้ขับหลบหลีก เข้าโค้งให้มันส์ไปเลย
แล้วฉันจะได้แวะเยี่ยมบ้านด้วย”
เจอคำขอของเพื่อนเข้า
เวทย์เป็นคนอยู่ในกรอบในระเบียบ รู้สึกอึดอัดใจเลย
“ถ้าจะกลับบ้าน
ต้องใช้ความเร็วแสงนะขอรับ เราจะไปถึงดาวอันโดรเมด้าในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า
แสงดาวที่เห็นในปัจจุบัน อันโดรเมด้ายังเป็นดาวร้างอยู่เลย
ตัวผมยังไม่มีใบอนุญาตขับขี่ข้ามกาลเวลาด้วย หากถูกพวกกรมเมืองจักรวาลจับได้ จะยุ่งเอานะขอรับ”
“ฮึ้ย! พวกนั้นเห็นรถแพงๆ ไม่ลูกคนรวยขับ
ก็ลูกเจ้าใหญ่นายโตขับ คงไม่กล้ามายุ่งด้วยหรอก”
“เราควรปฏิบัติตามกฎวินัยจราจร
ของจักรวาลนะขอรับ”
“ถ้างั้น
ให้ฉันขับเอง ฉันมีใบอนุญาต”
พอสลับที่นั่งเท่านั้น
เปโตรเหยียบคันเร่งน้ำมันยังต้องครางอูย เครื่องยนต์มันพยศมากเลย ปากบอกแบบนี้แหละทำให้คึกคัก
ดวงตาคู่ที่เคยเหงาหงอย หันมาทางเวทย์ ยิ้มแยกเขี้ยวอย่างสะใจ เวทย์ต้องรีบรวนหาเข็มขัดนิรภัยมาคาด
ได้เวลาซิ่งกันแล้ว จมูกของกระบือโลหะพ่นไฟพรึบพรับตามจังหวะเหยียบคันเร่งน้ำมัน
เตรียมทะยานขึ้นฟ้าเต็มที่ พระเณรในวัดเปิดไฟออกมาดูที่หน้าต่าง
ที่ท้ายวัดมีใครที่ไหนมาเบิ้ลเครื่องยนต์รถเล่น
ทันใดนั้นก็เห็นแสงวาบขึ้นฟ้าคล้ายผีพุ่งไต้
ความคิดเห็น