ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    somewhere someone (1827)

    ลำดับตอนที่ #2 : สบตา

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 53


     ตั้งแต่ก้าวแรกที่สึนะเหยียบย่างเข้ามาในหมู่บ้าน เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าบรรยากาศรอบข้างแห่งความหวาดกลัวฟุ้งกระจายราวกับเป็นส่วนหนึ่งของอากาศที่ไหลวน รถม้าเคลื่อนที่บนถนนดิน ก่อนหยุดหน้าโบสถ์ใกล้จัตตุรัสกลางเมือง

     "ถึงแล้ว" ร่างเล็กของทารกอัลโกบาเลโน่ไม่ทันรอให้รถม้าจอดสนิท ก็กระโดดลงจากที่นั่ง พร้อมเคาะห่วงเหล็กหน้าประตู ปลุกคนที่อาศัยอยู่ข้างใน

     "นั้นใครนะ" ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็มีเสียงตอบรับออกมาจากหลังประตูเหล็ก

     "เราเป็นคนของสภา มาตามคำเชิญ" 

     ประตูไม่เปิดออก แต่ช่องรูแมวเล็กๆ กลับถูกเลื่อนจากข้างในแทน

      "มีหลักฐานมั้ย" เสียงคนแก่สั่นแสดงความไม่มั่นใจ และความระแวดระวังร้องขอหลักฐานยืนยันตัวตนของผู้มาเยี่ยมเยือนยามวิกาลขนาดนี้ 

     รีบอร์นไม่พูดอะไร เพียงแต่หยิบม้วนกระดาษออกจากกระเป๋าที่สะพายและส่งลอดช่องเล็กไปให้คนที่อยู่ข้างในได้พิจารณา 

     ไม่นานประตูเหล็กก็เปิดแง้มออกมา ปรากฎร่างของคนแก่ร่างเล็กในชุดบาทหลวงท่าทางใจบุญ ส่งรอยยิ้มต้อนรับแขกผู้มาเยือน

     "ท่านคงเป็น ฟาเธอร์มอนตินาโก้" 

     "ใช่แล้ว ต้องขออภัยในความไร้มารยาทเมื่อครู่ด้วย หลังเหตุการณ์ร้ายเกิดทำให้ทุกคนต้องระวังตัวเองกันมากขึ้น เข้ามาข้างในกันก่อนสิ" แม้จะเป็นการเชิญชวนที่ถูกต้องตามมารยาท แต่สึนะกลับรู้สึกว่าการรีบเร่งเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะเจ้าบ้านไม่อยากที่จะอยู่ภายนอกอาคารเท่าไรนักมากกว่า  

     ทั้งหมดเข้ามานั่งพักผ่อนในห้องทานอาหารของโบสถ์ ก่อนที่เจ้าบ้านจะขอตัวเพื่อไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้าน ในไม่ช้าหลวงพ่อก็กลับมาพร้อมชายหนุ่มสูงวัยแต่ร่างกายยังคงกำยำแข็งแรง

     "นี้คือ ฟาเลียติ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่นี้" 

     "ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยเหลือพวกเรานะครับ" น้ำเสียงของผู้มาใหม่แสดงออกอย่างเด่นชัดว่าดีใจเพียงใดกับการมาเยือนของพวกเขา  

     หลังจากการแนะนำตัวเสร็จสิ้น ฟาเธอร์มอนตินาโก้กับฟาเลียติช่วยกันสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 

     คดีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อกลางปีก่อน เหยื่อกลุ่มแรกเป็นพวกช่างไม้ที่เข้าไปเบิกฤกษ์ตัดไม้และหาของป่าในป่าลึกหลังหมู่บ้าน ปกติแล้วป่าในแถบนั้นพวกชาวบ้านจะไม่กล้าเข้าไป เพราะเชื่อกันมาตั้งแต่รุ่น ปู่ ย่าว่า เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ แต่หน้าหนาวปีนี้ค่อนข้างแล้งจัดและหนาวนาน จนต้นไม้ในป่าใกล้ๆล้มตายกันเป็นแถวๆ ทำให้ไม่มีฟืนพอเพียง  

     หลังจากเกิดเหตุกับเหยื่อกลุ่มแรก ก็มีพวกวัยรุ่นคึกคะนองอยากลองดีเข้าไปในเขตป่าดังกล่าวอีกหลายคน แต่สุดท้ายทุกคนก็กลับออกมา (หามออกมา) ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก คือ กระดูกหักทั่วร่างราวกับถูกฟาดด้วยท่อนไม้ บางคนก็มีรอยเล็บที่เหมือนรอยเล็บของสุนัขปรากฎอยู่บนร่างกาย 

     จำนวนเหยื่อเพิ่มมากขึ้นพร้อมความน่ากลัวที่ทวีตาม ตอนนี้ผู้ที่ถูกทำร้ายไม่ใช้เพียงแต่คนที่ลุกล้ำเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ที่เฉียดเข้าไปใกล้เขตดังกล่าวด้วย จะบาดเจ็บมากน้อยก็แล้วแต่เวรกรรมของแต่ละคนกันไป แต่ที่น่าแปลกที่สุดก็คือแม้จะมีคนโดนทำร้ายจำนวนมาก แต่ไม่มีใครที่เสียชีวิตเลยสักคน อย่างไรก็ตามความหวาดกลัวที่เพิ่มมากขึ้นของชาวบ้าน ทำให้เมืองที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงาราวกับเมืองร้าง พอตกเย็นทุกคนก็พากันปิดประตูเข้าบ้าน ไม่ออกมาสังสรรค์กันอย่างเคย

     "พอแค่นี้ละ ที่เหลือเราจะจัดการกันเอง" รีบอร์นเอ่ยเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องอาหาร

     "พ่อเตรียมห้องนอนไว้ให้แล้ว เชิญทุกท่านไปพักผ่อนกันได้" ฟาเลียติลากลับไปบ้าน ส่วนหลวงพ่อเป็นคนนำทางไปยังห้องนอนบนชั้น 2 แต่ก่อนที่จะเข้าไปในห้อง รีบอร์นกระชากคอเสื้อของสึนะไว้ก่อนบอกหน้าที่ที่เขาจำต้องปฎิบัติในวันพรุ่งนี้ "พรุ่งนี้นายไปสืบเรื่องราวกับชาวบ้านเรื่องปีศาลด้วยละ" 

     รุ่งเช้า หลังการรับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้ ทุกคนก็แยกย้ายไปตามหน้าที่ที่รีบอร์นมอบหมาย สึนะกับหลวงพ่อต้องไปสอบถามชาวบ้าน ส่วนดีโน่ โรมาริโอ้ และฟาเลียติเข้าป่าไปแถบเขตป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูหลักฐานการทำร้าย 

     ด้วยหน้าตาที่ใสซื่อ รอยยิ้มกระจ่าง และการยกยอราวกับเขาเป็นพระมาโปรดของหลวงพ่อผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของหมู่บ้าน ทำให้สึนะกลายเป็นจุดสนใจในไม่ช้า ตลอดเช้าสึนะเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ ถามข้อมูลเกี่ยวกับปิศาล ซึ่งเรื่องที่เขาได้รับฟังก็ไม่ต่างกับที่หัวหน้าหมู่บ้านเล่าให้ฟังเมื่อคืนมากนัก จะมีข้อมูลใหม่ก็คือ รูปพรรณของปิศาล 

     ชาวบ้านบางคนก็ว่า ปิศาลตนนี้สูงเกือบ 3 เมตร มีขนสีดำรุ่งรังไปทั่วร่าง เขี้ยวยาวออกมานอกปาก เล็บแหลมคมพอที่จะฉีกคนร่างเล็กขนาดเขาออกเป็น 2 เสี่ยงได้ภายพริบตา บางคนก็บอกว่า เคยเห็นกองกระดูกของมนุษย์ ที่เป็นเหยื่อถูกปิศาลจับกินมาแล้ว
     สึนะรู้ดีว่าความกลัวทำให้เรื่องเล่าที่ออกมาเกินความเป็นจริง จึงไม่ได้ใส่ใจคำให้การดังกล่าวมากนัก แต่จินตนาการที่เกิดขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ก็ทำให้เขารู้สึกเกรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

     เมื่อออกจากประตูบ้านชาวบ้านล่าสุดที่ได้เข้าไปพูดคุย ลางสังหรณ์บอกให้รู้ว่าเขากำลังถูกจ้องมอง เมื่อไม่แน่ใจ สึนะจึงแกล้งเดินวนไปรอบๆบริเวณ แต่ความรู้สึกว่ามีสายตาคมจากที่ใดที่หนึ่งกำลังจับจ้องก็ตามไปอย่างไม่ลดละ พร้อมกับอาการร้อนวูบวาบเหมือนตอนที่สบตากับดวงตาคู่สวย ก็เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน

     อาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นไม่หยุด จนสึนะคิดว่าเขาคงเป็นไข้ หลวงพ่อเห็นอาการผิดปกติจึงบอกให้เขานั่งรอตรงม้านั่งใกล้ๆ ก่อนจะไปหยิบยาที่โบสถ์ คล้อยหลังหลวงพ่อ สึนะมองไปรอบๆ บริเวณ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ยืนอยู่ไกลออกไป ดูเหมือนคนๆนั้นจะจ้องเขามาก่อนหน้านี้ สายตาของทั้งคู่ยังมองกันละกันอย่างไม่วางตา แต่ความห่างไกลทำให้สึนะเห็นร่างดังกล่าวไม่ชัดเจนนัก 

      " เออ ..." ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำถามใดออกไป หลวงพ่อก็กลับมาพร้อมขวดยาเรียกความสนใจของสึนะออกไปได้ชั่วคราว แต่เมื่อร่างบางมองกลับไปที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ก็ไม่ปรากฎร่างของผู้ใดอีกต่อไปแล้ว 

     "อ้าว ไปไหนแล้วละ"

     "ใครหรือ ลูก" หลางพ่อถามอย่างงุนงง ด้วยความสงสัย 

     "ไม่มีอะไรหรอกครับ หลวงพ่อ" สงสัยร่างที่เห็นเมื่อครู่จะเป็นหนึ่งในชาวบ้านเสียละมั่ง แต่ทำไมแม้เขาจะแน่ใจว่าไม่เคยพบชายคนนั้นมาก่อน แต่จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดขนาดนี้

      ห่างออกไปในเขตป่าศักดิ์สิทธิ์หลังหมู่บ้าน ดีโน่และพรรคพวกกำลังสำรวจลานกว้างกลางป่าที่เกิดเหตุทำร้ายชาวบ้านกลุ่มแรก แต่กาลเวลาได้พาหลักฐานให้เสื่อมสลายลงไปไม่น้อย แทบจะไม่เหลือร่องรอยอะไรให้สืบนัก แต่ดีโน่ก็ยังคงเดินไปดูรอบๆ บริเวณ ค้นตามพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ในที่สุดเขาก็พบหลักฐานชิ้นหนึ่งก็คือ ท่อนไม้กลมเรียบเกินจะเกิดจากธรรมชาติ ที่มีรอยแตกออกเหมือนทุกหักด้วยแรงกระทำบางอย่าง 

     "อ้าก !!! " เสียงโรมาริโอ้ร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ดีโน่จึงต้องรีบวิ่งกลับมาพร้อพบภาพแปลกประหลาดที่สุด

     คนของเขานอนราบไปกับพื้นดิน ที่หัวมีเลือดซึมออกมาแสดงว่าคงถูกตีจนหัวแตก ไม่ไกลกัน ฟาเลียติ นั่งก้นจ้ำเป้า ดวงตาแสดงว่าหวาดกลัวสุดขีด จับจ้องร่างสูงที่ยืนค้ำหัวพร้อมแขนที่มีทอนฟาอาวุธชนิดหนึ่งประดับติดที่วาดขึ้นสูงจนน่ากลัวว่าจะรุนแรงแค่ไหน ถ้ามันหดลงมาใส่คนที่อยู่เบื้องล่าง

     "ฉันเตือนพวกแกแล้ว ว่าอย่าเข้ามาใกล้บริเวณนี้เด็ดขาด" เสียงห้าว ทุ้ม เข้ม เอ่ยกับร่างเบื้องล่างราวกับผู้ใหญ่ที่สั่งสอนเด็กเวลาทำความผิด ก่อนที่จะฟาดท่อนไม้ลงมา แต่ก่อนที่ทอนฟาจะได้กระทบกับร่างของฟาเลียติ ดีโน่ก็ใช้แส้ม้าพยศอาวุธคู่กาย หยุดท่อนแขนได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทำเอาร่างสูงหันหน้าจากเหยื่อตรงหน้า มองผู้ที่บังอาจขัดขวางการกระทำของเขา ส่วนฟาเลียติอาศัยจังหวะนี้รีบวิ่งหนีกลับเมืองไป

     เหมือนคน แต่ต้องไม่ใช้คนแน่นอน? นี้เป็นสิ่งที่ดีโน่คิดเมื่อได้เห็นเต็มตา ร่างแปลกหน้าเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย โครงสร้างเหมือนมนุษย์ทุกประการ ดูอายุน่าจะใกล้เคียงสึนะ อย่างมากก็มากกว่ารุ่นน้องเขาไม่เกิน 1-2 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ดีโน่มั่นใจว่าร่างนี้ต้องไม่ใช้คนทั่วไป ก็คือ หูสีนิลที่ตั้งขึ้นชูเหนือเรือนผมสีดำสนิท และเล็บยาวแหลมคมที่ออกยื่นออกมาจากฝ่าเท้าทั้งสอง

     สายตาพิจารณาต้องหยุดการตรวจสอบชั่วคราว เพราะทอนฟาให้มือของอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น "เวลาแบบนี้ ถ้าไม่ตั้งใจสู้ คงเป็นการเสียมารยาทสินะ" สิ้นเสียงพูด สงครามระหว่างแส้กับทอนฟาก็เริ่มต้น เสียงหวดลมของแส้และเสียงสับอากาศของทอนฟาดังต่อเนื่องแทนเสียงลั่นกลองเปิดศึก สลับกับเสียงหักพังของต้นไม้รอบบริเวณ ที่กลายเป็นเหยื่อของสงครามดังกล่าวอย่างหลบไม่พ้น 

     "นายนี้เก่งจริงๆ" คำชมจากใจของว่าที่หัวหน้าตระกูลคาบัคโรเน่ นี้ขนาดเขาฝึกวิชาต่อสู้กับทั้งรีบอร์นและนักสู้คนอื่นๆ จนมั่นใจว่าทั่วประเทศคงจะมีไม่ถึง 10 คนที่สามารถสู้กับเขาได้แล้วนะ แต่ร่างตรงหน้าคงจะต้องเป็นคนที่ 11 ในสารบทของเขาแน่นอน

     "แกก็ไม่ใช้ไอ้พวกสวะกินพืชธรรมดาเช่นเดียวกัน แต่ฉันจะขย้ำแกให้ตายเอง" 

     ว่ากันว่าชกกันหนึ่งหมัด สื่อความหมายได้ดีกว่าการพูดล้านคำ เสียงต่อสู้ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนจะรู้ผลแพ้ชนะกัน ฟาเลียติ ก็ตะโกนก้องวิ่งเข้ามาในลานกว้างพร้อมชาวบ้านกลุ่มใหญ่อาวุธครบมือ 

     "ชิ" เมื่อเห็นสภาพการณ์ ร่างผมดำก็กระโดดขึ้นต้นไม้ พร้อมหายไปกับสายลม

     "คุณดีโน่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ฟาเลียติ ถามอย่างร้อนรนพลางสำรวจร่างกายผู้มีพระคุณช่วยชีวิต
     "ไม่เป็นอะไรหรือครับ" หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก โรมาริโอ้ก็พื้นคืนมา แต่สติดูเหมือนจะยังไม่กลับมา 100% จำเป็นต้องได้รับการรักษา ทั้งหมดจึงพากันกลับไปยังหมู่บ้าน 

     เมื่อกลับมายังหมู่บ้าน สภาพของดีโน่ที่มีแผลตามตัวกับโรมาริโอ้ที่เลือดออกหัว สร้างความตกใจให้กับสึนะไม่ใช้น้อย และสึนะก็ต้องแปลกใจอีกเมื่อรู้ว่าหมอคนเดียวของหมู่บ้านนี้หนีกลับเมืองหลวงไปหลังจากเกิดเหตุการทำร้ายขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของเขา ที่เป็นนักเรียนฝึกหัดวิชาพยาบาลที่ต้องดูแลคนทั้งคู่ สำหรับดีโน่ อาการไม่น่าเป็นห่วงมีเพียงรอยพกช้ำ และแผลแตกบางจุด ที่ทำความสะอาดเสร็จก็เรียบร้อย ส่วนโรมาริโอ้ แม้หัวจะแตกแต่อาการไม่รุนแรง ส่วนอาการมึน ถ้าได้นอนพักสักคืนก็คงจะกลับมาเป็นปกติได้ 

     หลังจากฟังดีโน่ โรมาริโอ้ และฟาเลียติ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สึนะก็ได้แต่ภาวนากับพระผู้เป็นเจ้าว่าอย่าให้ตนได้เจอเหตุการณ์เช่นนั้นเลย เพราะคนอ่อนแออย่างเขาคงได้แต่เป็นศพอีกศพที่จะโดนปิศาลฆ่าเสียมากกว่า แต่หารู้มั้ยว่าพระเจ้าไม่ฟังคำภาวนาแม้แต่น้อย เพราะร่างสูงผมดำ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดยืนอยู่เหนือหลังคาโบสถ์รอเวลาที่จะตัดสินกับดีโน่ให้รู้ดำรู้แดงกันไปอีกครั้ง 

     ตกดึก เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มกลับสู่ความสงบ ชาวบ้านแยกย้ายกันออกไปนอนตามบ้านของตนเอง รวมถึงสึนะที่เหน็ดเหนื่อยจากการพยาบาลโรมาริโอ้ ก็กลับห้องพักผ่อน แต่สำหรับดีโน่และรีบอร์น เหมือนจะรู้ว่าศึกครั้งนี้จะยังไม่จบ เพราะก่อนที่รีบอร์นจะแยกไปนอนบ้างนั้น ได้หันกลับมาพูดกับกับเจ้าม้าพยศลูกศิษย์ 

     "อย่าตายซะก่อนละ ฉันขี้เกียจต้องไปคุยกับตระกูลแก" ดีโน่ยิ้มรับคำ ก่อนออกมานั่งรออยู่ตรงจัตุรัสหน้าโบสถ์ สึนะที่ยังไม่ทันได้เข้านอน เห็นร่างรุ่นพี่คนสนิทออกไปนั่งข้างนอกผ่านหน้าต่างชั้น 2 ก็สงสัยและแอบตามออกมาห่างๆไม่ได้  

     "หมดคนกวนแล้ว ออกมาเถิด" ม้าพยศพูดกับอากาศรอบๆ เบาๆ 

     "บ้าดีเหมือนกันนี้" เสียงตอบดังลงมาพร้อมร่างประหลาดที่กระโดดลงมาจากหลังคาโบสถ์สูง

     "นั้นสิ หลายคนก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน" 

     แส้และทอนฟาถูกเตรียมความพร้อมอีกครั้ง ก่อนที่สงครามยกที่ 2 จะเริ่ม เสียงปืนก็ดังขึ้นมาหนึ่งนัดแทนที พร้อมเสียงตะโกนของฟาเลียติ ร่างสูงผมดำยืนนิ่งก่อนจะงอตัวลงด้วยความเจ็บปวดเมื่อกระสุนวิ่งผ่านร่างไป

     ไฟจากคบเพลิงในบ้านหลายหลังพลันสว่างขึ้น พร้อมร่างของชายฉกรรจที่วิ่งออกมาจากตัวบ้าน 

     "แก หลอกฉันหรือ" ดวงตาสีนัตติกาลมองไปยังคู่ต่อสู้ผมทองอย่างคลั่งแค้น

     ตัวดีโน่ก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาไม่รู้มาก่อนว่าจะยังมีคนตื่นอยู่ คนผมทองตะโกนให้ฟาเลียติอย่ายิงและกั้นชาวบ้านอย่าได้เข้ามาใกล้
     ก่อนที่ร่างสูงจะหมดสติลงไปด้วยความเจ็บปวด สายตาพลันมองเห็นร่างเล็กผมสีน้ำตาลที่ยืนหลบมุมอยู่ใกล้กำแพงของโบสถ์ คนบาด
    เจ็บจากลูกปืนรวบรวมกำลังเท่าที่เหลืออยู่กระโดดไปยืนประชิดข้างหลังร่างบางดวงตาสีพระอาทิตย์ยามเฟหกงเป็นตัวประกันไปกับฉัน" 

     เมื่อมีตัวประกันอยู่ ชาวบ้านก็ไม่กล้าทำอะไรพลีพลาม ร่างสูงจูงกึ่งอุ้มสึนะหลบไปตามซอยต่างๆในหมู่บ้าน ก่อนกระโดดหายเข้าไปในทิวต้นไม้สูงติดชายป่าลึกหลังหมู่บ้าน

     เมฆที่คลื้มบังท้องฟ้าให้หมองมัวตั้งแต่ช่วงค่ำ เริ่มโปรยปรายสายน้ำลงสู่พื้นพิภพ

     เสียงหอบทุ้ม ปนเสียงหายใจหนักหน่วยก้องในโสตประสาท สลับเสียงฝีเท้าและเสียงหักพังของกิ่งไม้ที่ผ่านการเหยียบย้ำ สายฝนกับสายลมที่ต้องร่างเหมือนเป็นคมมีดเล็กๆ ที่กรีดไปทั่ว บ่งบอกถึงความเร็วในการเดินทางแม้ร่างสูงจะอุ้มร่างเล็กพาดบ่าอยู่ นั้นเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่สึนะสามารถรับรู้ได้ในขณะนี้ หลังจากที่เขาพยายามดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง จนผู้ลักพาตัวหมดความอดทนฉีกเศษผ้าจากเสื้อคลุมสีดำปิดตา ปิดปาก และมัดแขนขาป้องกันการหลบหนี

     สายลมที่พัดผ่านร่างเริ่มอ่อนโยนขึ้น ความเร็วในการเดินทางเริ่มชะลอและลดลงอย่างกระทันหัน "คงจะเป็นข้างในถ้ำ?" สึนะคาดเดาจากอากาศรอบตัวที่เย็นลงและชื้นมากขึ้น การเคลื่อนไหวทุกสิ่งหยุดลง ก่อนที่ร่างเล็กของสึนะจะสัมผัสถึงความเย็นของพื้นหินอีกครั้ง
     หลังจากที่สามารถประคองตัวเองได้ สึนะดิ้นรนจากเครื่องพันธนาการร่างกาย จนสุดท้ายก็สามารถปลดออกมาได้ทั้งหมด สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในเนตรประสาทหลังจากที่ผ้าผูกตาหลุดเลื่อนออกไป คือ คูหาในถ้ำขนาดไม่ใหญ่ แสงเพลิงจากกองไฟกลางห้อง และคบเพลิงที่กระจายอยุ่เป็นจุดๆ ส่องสว่างให้เห็น โต๊ะ เตียง ตู้ และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ สภาพเก่า ที่วางอยู่อย่างระเกะระกะ
     ทำไมข้าวของเครื่องใช้ของมนุษย์ จึงมาอยู่ในที่แบบนี้ละ? แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤตของชีวิต แต่สึนะยังคงอดสงสัยไม่ได้ 

     "นี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะคิดเรื่องนี้สิ" ร่างบางหันตัวกลับ พยายามหาทางออกจากคูหาแห่งนี้ และความตั้งใจก็สำเร็จในไม่ช้าเมื่อเห็นทางออกอยู่ไม่ไกล 

     "ถ้าแกคิดว่าออกไปแล้ว จะไม่หลงป่าหรือตกเหวตายก็ออกไปได้เลย"  เสียงห้าว หยุดการก้าวออกนอกเขตอย่างกระทันหัน สึนะหันกลับไปมองเจ้าของเสียง

     ร่างสูงใหญ่ เจ้าของผมและหูสีนิล ยินพิงผนังถ้ำอย่างอ่อนเรียวแรง ดวงตาสีดำสนิท รุ่งโรจน์ไปด้วยประกาย จ้องมองการกระทำอย่างไม่สนใจว่าตัวประกันของเขากำลังจะหลบหนี  

     จินตนาการมนุษย์หมาป่ากินคน สั่งให้สึนะไม่สนใจคำทัดทานใดๆ ที่จะออกมาอีกต่อไป ร่างบางวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดกลางสายฝนของป่าสุดกำลังเท่าที่มี ถ้าให้เลือกระหว่างหลงป่า กับอยู่กับปิศาลกินคน เขาขอเลือกไปตายดาบหน้าดีกว่า 

     "วิ่งออกมาไกลแล้ว ไม่มีเสียงฝีเท้าตามมาด้วย รอดแล้วมั่งเรา" สึนะหอบตัวโยนยืนพักเหนื่อยกับต้นไม้ใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินหาทางออกจากป่าในความมืดต่อไป 

     ร่างเล็กก้าวข้ามพุ่มไม้เล็กๆที่ขวางทางอย่างไม่ประสา ทำไมพื้นที่เหยียบมันโล่งๆหว่า? ความไม่มั่นคงแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขากำลังเหยียบอยู่บนอากาศ!!! อ้าก!!! ความมืดหลอกตาทำให้ไม่รู้ว่าพ้นจากเขตพุ่มไม้เล็กๆไป จะกลายเป็นเขตของเหวลึก 

     ก่อนที่จะผลัดตกลงไปถึงก้นเหว มือแข็งแกร่งดึงร่างสึนะขึ้นมาจากความตายที่รออยู่เบื้องล่าง ภาพชายหนุ่มผู้อุ้มร่างเขากับพื้นหลังพระจันทร์ที่ส่องสว่างกลางฝน งดงามจนลืมหายใจ ดวงตาคู่นี้ มันเป็นคู่เดียวกับที่เขาเห็นบนหลังรถม้าเมื่อคืนก่อน ดวงตาที่เป็นต้นเหตุของอาการผิดปกติช่วง 1-2 วันของเขาที่ผ่านมา สึนะดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า จนไม่รู้สึกตัวว่าถูกพากลับมายังถ้ำเดิมอีกครั้งหนึ่ง และถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี

     "อยู่ตรงนั้น อย่าไปไหน และถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามา" ร่างสูงกำชับก่อนหายเข้าไปในคูหาข้างๆ ห้องใหญ่
     ประสบการณ์เฉียดตายทำให้สึนะเลิกคิดหนีไปตอนนี้แล้ว หลังพักจนหายตกใจ สึนะได้มีโอกาสสำรวจร่างกายตัวเองครั้งแรก ร่างยังอยู่ครบถ้วน 32 ประการ ไม่บาดเจ็บตรงไหน แต่ทำไมเสื้อเขาถึงเปื้อนอะไรที่หนืดขนาดนี้ละ ไม่น่าใช่ละอองฝน น้ำจากพิรุณไม่น่าจะหนืดขนาดนี้ สึนะก้มลงแตะสิ่งที่เปื้อนอยู่ตามร่างกาย ก่อนจะเอามาส่องสว่างกับแสงไฟจากกองเพลิงกลางห้อง

     เลือด!! เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แปลว่าเลือดนี้ต้องเป็นของ...

     ทำไมงั่งได้ขนาดนี้ ถูกยิงจนทะลุแล้วแทนจะพักให้บาดแผลปิด ดันออกไปตามหาไอ้งี่เง่าตัวนั้น จนเสียเลือดเพิ่มขึ้นไปอีก? มนุษย์หมาป่าตัวร้าย คิดพลางทำแผลตัวเองด้วยความยากลำบาก เขาเจ็บระบบไปทั่ว จนแม้จะจับผ้าพันแผลให้แน่นยังทำไม่ได้เลย

     ประสาทสัมผัสที่ไวกว่าคนปกติ บ่งบอกว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาในห้อง ทอนฟาถูกเสยงัดคางผู้บุกรุก 

     "ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาไง ไม่เข้าใจหรือ" เสียงห้าว ขู่ตะคอกร่างที่ถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ฟังคำสั่ง

     ผ้าผันแผลเปื้อนเลือดที่อยู่ระหว่างการสับเปลี่ยน บอกถึงความจริงที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี เลือดบนเสื้อเขาเป็นของคนที่แบกเขามาจริงๆ ด้วย สึนะก้มหน้ามองเลือดที่ซึมออกมาตามผ้าที่พันกลางลำตัว นี้คงเพราะช่วยเขาไว้ แผลเลยปริสิ

     "ผมทำแผลให้นะครับ" สึนะว่าพลางดึงข้อมือร่างใหญ่กว่าตัวเองออกไปนั่งข้างกองไฟกลางห้องใหญ่ เพื่อที่เขาจะได้เห็นแผลชัดเจนมากขึ้น ก่อนวิ่งหยิบกล่องสัมภาระอุปกรณ์การแพทย์ในเป้ใบเล็กที่ติดตัวมาด้วย เย็บแผลให้อย่างชำนาญงาน 

     "ผมชื่อซาวาดะ สึนะโยชิ แล้วคุณละครับ" นั่งพยาบาลใกล้ๆอย่างนี้ โดยไม่พูดกันเลย มันก็เงียบไป ไม่นับรวมกับความร้อนวูบวาบที่เกิดไม่ยอมหยุดตั้งแต่เมื่อครุ่ทำให้สึนะหาวิธีแก้เขินด้วยการพูดคุยกับคนไข้จำเป็นของเขา

     "แกไม่จำเป็นต้องรู้" 

     ประกายในดวงตาสึนะสลดลงทันที แม้จะคาดอยู่แล้วว่าคงได้คำถามประมาณนี้ แต่ก็ไม่นึกว่าจะตัดรอนกันขนาดนี้ ใจคอจะไม่ให้เขารู้จักชื่อคนที่ลักพาตัวมาเลยหรือไง แม้จะเสียใจแต่ร่างบางก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

     "เคียวยะ ฮิบาริ เคียวยะ"  ทำไมถึงบอกบอกชื่อตัวเองไป แค่เขาเห็นสีหน้าคนตัวเล็กสลดลงหน่อย ก็แทบไม่ได้แล้ว นี้คนใจแข็งอย่างเขาเป็นอะไรไป  ฮิบาริ เริ่มไม่เข้าใจตัวเองอีกครั้ง

     "อะ" สึนะยิ้มกระจ่าง หลังจากที่คนไข้ส่วนตัวยอมเปิดเผยชื่อตัวเองแล้ว 

     ก่อนที่การพยาบาลจะเสร็จสิ้น สายตาของสึนะพลันเห็นสายสร้อยเงินที่มีล็อกเก็ต ระดับอยู่บนหน้าอกแกร่ง จึงถือวิสาสะแตะต้องโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ก่อนที่จะทันได้พิจารณา ลำคอเรียวเล็กก็ถูกบีบรัดด้วยมือแข็ง จนอากาศหายใจค่อยๆลดลง น้ำตาเริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตากลมโต

     "อย่า! ได้! บัง! อาจ! มา! แตะ! ต้อง!" เสียงตะคอก ดังชัด ทุกถ้อยคำ กรอกเข้าสู่โสตประสาทของสึนะ แต่เจ้าตัวเริ่มสติลางเลือนไปแล้วจากการขาดอากาศหายใจ ก่อนที่สึนะจะหมดสิ้นสติ เจ้าของมือแกร่งที่รัดรอบลำคอกลับเป็นฝ่ายสิ้นสติไปแทน เพราะแผลที่สึนะทำให้ปริแตกจนเลือดทะลักออกมาอีกครั้งจากการถูกเตะซ้ำจากร่างเล็กที่ขัดขืน

     "แฮ่กๆ" รอดจากความตายหวุดหวิด สึนะรีบคลานหนีออกไปริมผนังถ้ำ สูดอากาศเข้าปอดอย่างรีบด่วน เขาไม่น่าใจดีกับปิศาลตัวนี้เลยจริงๆ แค่ขอดูของนิดหน่อยก็จะฆ่ากันแล้ว ไม่เอาแล้วเขาจะต้องหนีออกไปให้ได้ อยู่ตรงนี้เขาต้องถูกฆ่าตายแน่ๆ สึนะรีบลุกขึ้นยืนเตรียมวิ่งออกนอกถ้ำไปอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะก้าวพ้นอาณาเขต เสียงครางอย่างเจ็บปวดของคนข้างในก็ทำให้สึนะต้องใจแข็งย้อนกลับมา
     
    เลือดทะลักออกจากแผลเป็นลิ่มๆ จนน่ากลัว ผ้าผันแผลที่เขาพึงเปลี่ยนใหม่ ชุมโชกไปด้วยโลหิต แรงเตะของเขาเมื่อกี่ทำให้นอกจากแผลจะปริออกมาแล้วยังฉีกขาดมากขึ้นอีก ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ไม่เกินชั่วโมงเตรียมสวดส่งร่างตรงหน้าได้เลย แม้จะถูกกระทำให้เฉียดพบยมทูต แต่สึนะก็ไม่อาจปล่อยให้คนๆหนึ่งตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยเหลือ แม้จะเป็นปิศาลก็ตาม 

      "ถือว่าที่ช่วยชีวิตผมเมื่อกี่นี้ เราหายกันละกันนะ " มือเล็ก สาละวนกับการยื้อชีวิตคนตรงหน้าอีกครั้ง 

    ********* ที่หมู่บ้านวองโกเล่ **************

     เสียงทุบโต๊ะดังลั่นห้องทานข้าวในโบสถ์ 

     "ไม่ต้องไปช่วยหรอกดีโน่ เดียวสึนะมันก็กลับมาเองและมันจะเป็นคนที่ปราบปิศาลด้วย" รีบอร์นพูดอย่างไม่ใส่ใจสวัสดิภาพของลูกศิษย์คนที่ 2 แม้น้อยนิด

     "งานนี้ฉันไม่ฟังนายแล้ว นายไม่ไป ฉันก็จะไปเอง" ปกติถ้ารีบอร์นพูดอะไร ดีโน่มักจะเชื่อฟังเสมอๆ แต่คราวนี้เขาคงจะปล่อยศิษย์น้องไปตามยถากรรมไม่ได้ สาเหตุที่สึนะถูกจับตัวไปเพราะเขาเองแท้ๆ 

     "ไอ้คนเลือดร้อนเอย" เมื่อห้ามไม่ได้ ก็คงช่วยไม่ได้ รีบอร์นส่ายหน้าระอาความใจร้อนของลูกศิษย์ 

    ***************

    ตอบเมนต์

    สาหวัดดีครับ เป็นน้องไม่ใหม่นักของเด็กดี 

    เรื่องนั้เป็นฟิคเรื่องแรกของเราแต่งไว้เกือบ 2 ปีแล้วค่ะ เคยขึ้นบอร์ดรีบอนด์อย่างที่เพื่อนบอกไว้ แต่ขอขุดขึ้นมาที่นี้ด้วย อย่างไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะก้าบ สาบานว่าไม่ดองแน่ๆ เพราะมันแต่งจบแล้ว แต่ความเร้วในการอัพขึ้นอยู่กับเมนต์นะครับ อิอิ

    ปล.สาเหตุที่ดองไว้นานเนื่องจาก ............................ ลืมวิธีขึ้นตอนใหม่ก้าบ 5555555555555 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×