คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แรกพบ
Title : Somewhere Someone
Pairing : 1827
Rating : เอาแน่เอานอนไม่ได้
ตอนที่ 1
ณ ห้องประชุมใหญ่ในปราสาท ภายนอกอากาศหนาวเย็นจากหิมะสีขาวที่กำลังโปรยปราย แต่การประชุมสภา ซึ่งเป็นการสุดยอดของผู้ปกครองสูงสุดของอาณาจักรรุ่นที่ 9 และบรรดาคนสนิททั้งองค์รักษ์ บิชอป นักรบ หรือแม่ทัพผู้เกรงกล้าได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความหวาดวิตกและเคร่งเครียดของบางคนจนออกนอกหน้า
แม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นการประชุมของแกนนำหลักผู้ค้ำจุนประเทศ จนเรียกได้ว่าเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำ แต่ประเด็นการสนทนาหาใช้นโยบายการบริหารประเทศ หรือ แผนการชิงอาณาจักรกับเมืองอื่นไม่ แต่กลับเกี่ยวข้องกับเมืองชนบท ห่างไกลความเจริญและตัวเมืองหลวงเท่านั้น
"มายังไม่ครบก็จริง แต่ก็คงเริ่มได้แล้วล่ะ นี้เป็นภาพเหยื่อรายที่ 5 ของเดือนนี้ พร้อมจดหมายเล่าเหตุการณ์และขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าหมู่บ้านและหลวงพ่อประจำเมือง" ภาพถ่ายขนาดใหญ่ของชาวบ้านที่นอนเข้าเฝือกบนเตียง สภาพคล้ายถูกนักเลงรุมยำจนไม่เหลือชิ้นดี แต่สิ่งที่แตกต่างจากคนที่ถูกการรุมกระทืบของบรรดาหัวโจกทั้งหลายก็คือรอยเล็บที่เปอะเปื้อนตามเนื้อตัว ดึงเลือดให้ไหลซึมออกจากแผลต่อเนื่อง ภาพพร้อมจดหมาย 2 ฉบับ ถูกส่งจากมือของโป็บแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมได้อ่านอย่างทั่วถึง
"ถ้ารวมทั้งหมดตอนนี้มีเหยื่อที่โดนทำร้ายแล้ว 10 กว่าคน เราคงจะไม่สามารถละเลยปัญหานี้ต่อไปได้แล้วละ"
" แล้วเราจะทำอย่างไงดี หรือจะลองส่งคนเข้าไปกำจัดปัญหาอีกกลุ่มหนึ่ง" เสียงสั่นๆของผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกมา แต่เจ้าของเสียงกลับพยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ใครจะอาสาบ้าง" ผู้ที่นั่งหัวโต๊ะ สอดสายสายตามองไปยังผู้คนที่เข้าร่วมประชุม แต่หาได้มีใครสบตาไม่ ทุกคนรวมทั้งต้นเสียงเจ้าของความคิดดูราวกับจะไม่ต้องการรับผิดชอบกับภาระดังกล่าวอย่างสุดหูรุด เสียงถอนหายใจของประธานที่ประชุมดังขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ชอบกับอาการเหล่านี้ แต่ก็เข้าใจถึงสาเหตุที่บรรดาคนสนิทและนักรบทั้งหลายต่างหันหน้าไม่ยอมสบตากับเขา
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่กลางปีก่อน เมื่อมีจดหมายจากบาทหลวงที่ประจำโบสท์ในเมืองวองโกเล่ เมืองเล็กๆ ทางใต้ของประเทศ ส่งมาถึง เพื่อเล่าความผิดปกติในเมือง สภาพของเหยื่อรายแรกๆ นอกจากนี้ในจดหมาย ยังบรรยายถึงปากคำของชาวบ้าน ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัวเองถูกปิศาลทำร้าย ในช่วงต้นสภาไม่ได้ให้ความสนใจกับข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น คิดว่าเป็นเพียงความเพ้อฝันของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง หรือเรื่องล้อเล่นเท่านั้น แต่เรื่องร้องเรียนก็ยังถูกส่งมาไม่หยุด และทุกครั้งดูเหมือนข้อสันนิฐานเกี่ยวกับการทำร้ายของปิศาลจะยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกทีๆ
จนในที่สุดเมื่อ 3 เดือนก่อน สภาได้ตัดสินใจส่ง ทีมกวาดล้าง ซึ่งรู้กันในวงในเท่านั้นว่า เป็นทีมผู้มีหน้าที่หลักในการกำจัดอาชญากร หรือ ผู้ก่อการร้ายในประเทศ
ไปยังหมู่บ้านดังกล่าว เวลาผ่านไปได้ไม่นานปรากฎว่าทีมถูกส่งกลับมา ในสภาพแทนที่จะเข้าไปกำจัดปิศาล กลับถูกปิศาลกำจัดแทน ตอนนี้ลูกทีมทั้งหมดยังรักษาตัวอยู่ในแผนกผู้บาดเจ็บหนัก และยังไม่มีใครที่สมบูรณ์พอให้ปากคำ 100% ได้ แต่จากการสอบถามผู้พอยังมีกำลังและสติในการตอบคำถามเหลืออยู่บ้าง ก็จับใจความได้เพียงแต่ "ปิศาล" เท่านั้น หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้ แม้จดหมายและภาพเหยื่อจะยังส่งเข้ามาให้ทางสภาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จนปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้
"ไม่มีใครอาสาบ้างเลยหรือ" รุ่นที่ 9 ลองหยั่งเชิงถามดูอีกครั้ง แต่ความเงียบยังคงเป็นคำตอบหนึ่งเดียวที่ได้รับกลับมา
"ฉันไปเอง" เสียงเล็กๆราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้น ประตูหนาหนักเริ่มเปิดกว้าง ปรากฎร่างเล็กในชุดดำสนิทพร้อมหมวกสไตล์หรู "ขอโทษที่เข้าประชุมสาย พอดีมันอยู่ในช่วงนอนกลางวันพอดี"
"แน่ใจแล้วหรือ รีบอนด์" แม้ภายในใจจะดีใจที่นักฆ่าผู้เก่งกล้า ยอมแสดงตัวไปเอง โดยไม่ต้องร้องขออย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรกแต่ด้วยความเป็นหัวหน้าที่ดี จึงจำเป็นต้องถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง
"แต่ฉันขอผู้ติดตามไปด้วยละกัน" รอยยิ้มเล็กๆเหยียดยาวขึ้นมา ผู้ไม่ใกล้ชิดอาจจะไม่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มเย็นดังกล่าว แต่สำหรับผู้ที่คุ้นเคยรู้ดีว่าเป็นรอยยิ้มที่แสดงความพอใจถึงขีด และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งปวงที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
ตุบ!
เด็กหนุ่ม ร่างบาง ผมและตาสีสวย ราวท้องฟ้ายามเย็นใกล้พลบค่ำขณะนี้ สะดุดหกล้มหน้าคว่ำไปกับผิวหญ้า พร้อมกับการปรากฎกลุ่มชายหนุ่มที่วิ่งตามหลังมาในระยะกระชัดชิด ก่อนที่จะล้อมผู้ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัดเป็นวงกลม
"จะหนีไปไหน" เสียงขู่ปนกระโชกดังใกล้หูเด็กหนุ่ม ผู้ที่กำลังตกอยู่ในสภาพที่เรียกอย่างไม่ปิดบังว่า "หมาจนตรอก"
"หมดทางวิ่งแล้วสินะ อย่างแกจะหนีไปทำมั้ย เป็นกระสอบทรายไว้ให้พวกฉันซ้อมกันก็ดีแล้วนี้" มือหยาบหนาของชายหนุ่มคนหนึ่ง จิกผมสีทองขึ้นอย่างไม่ปรานีปราสัยก่อนที่จะตบสั่งสอนร่างบางอย่างแรงจนหน้าหัน
"อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผมยอมทุกอย่างแล้ว" เสียงหวานสั่น อันเป็นผลมาจากการถูกตบและการวิ่งหนีพวกคนเกเรไปทั่วบริเวณ วอนขออย่างเหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ
"ไอ้ห่วยสึนะอย่างแก จะไปทำอะไรได้นอกจากเป็นกระสอบทรายให้พวกฉัน" เสียงหวิดของลมที่วิ่งเข้ามาตามแรงหมัด เป็นสัญญาณแสดงถึงความเจ็บปวดที่ร่างเล็กจะต้องทนรับในไม่ช้าดังขึ้น แต่เสียงต่อมาแทนที่จะเป็นเสียงของหมัดที่กระทบร่างกาย กลับเป็นเสียงฟาดอากาศของแส้ที่หยุดแรงที่จะกระทำต่อร่างเล็กทุกอย่างได้อย่างชะงัก
"ฉันว่า ฉันเคยบอกพวกแกแล้วใช่มั้ยว่า อย่าได้บังอาจมายุ่งกับรุ่นน้องของฉันอีก" แม้ว่าเสียงที่ดังขึ้นของเจ้าตัวผู้หยุดเหตุการณ์ทั้งหมดจะไม่ได้ก้องกังวาล หรือขู่ตะคอก แต่สายตาที่เป็นประกายสะท้อนถึงการเอาจริง กลับเรียกเหงื่อจากหนุ่มอกสามศอกที่อยู่ในเหตุการณ์ได้มากโข จนทั้งหมดยอมปล่อยร่างเล็ก และวิ่งหนีหายออกไปอย่างรวดเร็ว
"ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยสึนะ"
"ผมไม่เป็นไรครับ ขอบคุณคุณดีโน่มากนะครับที่ช่วยผมไว้" ร่างบางพยายามแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืน แต่ขาเรียวเล็กที่ผ่านการวิ่งหนีมานาน ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของเจ้าของร่างแต่อย่างใด
"ฉันบอกนายแล้วไง ถ้าโดนไอ้พวกนั้นแกล้งอีก ก็ให้บอกฉัน นี้ดีนะที่ฉันกำลังตามหานายพอดี จึงช่วยเอาไว้ทัน" ดีโน่ พูดพลางพยายามหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อและร่องรอยการถูกทำลายบนใบหน้าหวานของคนที่ยังลุกไม่ขึ้น
" ...." สึนะพูดไม่ออก จึงได้แต่เงียบเสียดีกว่า
"นายก็เหมือนกัน หัดทำตัวให้มันเข้มแข็งกว่านี้ จะดีมากเลยรู้มั้ย" มืออบอุ่นลูบหัวปลอบประโลมราวพี่ชายกับน้องชาย ช่วยเรียกรอยยิ้มของสึนะกลับมาได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความสมเพศความอ่อนแอของตัวเองในใจลดน้อยลง
" เมื่อกี้คุณดีโน่ บอกว่าตามหาผม มีธุระอะไรหรือครับ" เสียงหวานดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อแรงและสติเริ่มกลับคืนมาบางส่วน
" ใช่ เจ้าครูใหญ่ มันถามหาพวกเรา 2 คนนะ บอกว่าให้ไปพบตอนนี้เลย แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน ว่าแต่เรารีบไปกันเถิด ชักช้าไม่รุ้ว่าจะถูกเล่นงานอะไรอีกบ้าง"
สึนะเดินตามหลังดีโน่ เข้าไปในตึกอย่างว่าง่าย ท่ามกลางสายตาของบรรดานักเรียนที่กำลังเดินหอพักหลังเลิกเรียนพอดี สึนะรู้ตัวว่าตอนนี้คงมีคนกำลังนินทาอยู่แน่นอนก็เจ้าห่วยอย่างเขา เล่นเดินตามหลังท่านประธานนักเรียนคนเก่งของโรงเรียนนี้
ความจริงคนอย่างเค้าไม่มีแม้แต่สิทธิในการจะเหลือบมองหน้าประตูโรงเรียนแห่งนี้ด้วยซ้ำไป เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าที่นี้เป็นโรงเรียนสำหรับคนระดับชั้นหัวกระทิ หรือไม่ก็ต้องเป็นพวกลูกคนหนู เศรษฐีประจำเมือง หรือลูกผู้ครองแคว้นและผู้ทรงอิทธิพลเท่านั้น ที่จะมีสิทธิได้เหยียบย่างเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนประจำชั้นยอดที่สุดในโลก ซึ่งผลิตบุคลากรคุณภาพในแวดวงต่างๆ มากมาย ศิษย์เก่าของที่นี้ล้วนแต่เป็นผุ้มีหน้ามีตาในสังคมและการปกครองของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่สุด หรือ กษัตรย์ผู้ครองแคว้นในปัจจุบันก็ตาม ล้วนแต่เป็นศิษย์ของที่นี้ทั้งนั้น
การที่คนที่ไม่คู่ควรอย่างเขาได้เข้ามาเรียนก็เพราะครูใหญ่คนปัจจุบันกับพ่อของเขา ซาวาดะ อิเอสึมิ ดันรู้จักกันและฝากฝังให้เข้ามาเรียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ตอนนี้เขาก็ยังสงสัยว่า ทำไมคนอย่างครูใหญ่ของโรงเรียนอันดับ 1 ดันไปรู้จักมักจี่กับคนเร่ร่อนอย่างพ่อของเขาได้) และดันเลือกจะรับเค้าเป็นนักเรียนในที่ปรึกษาอีกต่างหาก นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักกับดีโน่ คุณชายของตระกูลคาบัคโรเน่ ศิษย์พี่ปีสุดท้ายและนักเรียนในที่ปรึกษาของครูใหญ่เช่นเดียวกัน คุณดีโน่เป็นเหมือนพี่ชายที่แสนดี ผู้คอยดูแลเขาในทุกสถานการณ์ แต่ก็ได้ข่าวเหมือนกันว่าคุณดีโน่ก็สามารถรั่วได้ทุกสถานการณ์เช่นเดียวกัน
นอกจากฐานะและความรู้จะไม่คู่ควรกับโรงเรียนแล้ว ยังสนิทกับครูใหญ่และประธานนักเรียนสุดฮอตมากกว่าคนอื่น ทำให้นักเรียนในชั้นต่างพากันหมั่นไส้เขามากยิ่งขึ้น จนแทบไม่มีใครคุยกับเขา และพัฒนากลายมาเป็นการกลั่นแกล้งที่ต้องเผชิญอยุ่ทุกวี้วัน
เสียงเคาะประตู ดึงสึนะกลับออกมาจากห้วงความนึกคิด
"เข้ามาได้"
" เรียกพวกเรามา มีอะไรหรือรีบอร์น" ดีโน่ทักขึ้นเมื่อได้พบกับร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโต หลังโต๊ะที่มีป้ายสีทองอร่ามตั้งอยู่ว่า "อาจารย์ใหญ่" แม้ว่าอายุของครูใหญ่คนนี้จะยังไม่ถึง 2 ขวบ แต่ก็เป็นหนึ่งในทารกอัลโกบาเลโน่ กลุ่มทารกที่มีความสามารถพิเศษสุดแกร่ง ทำให้นอกการนั่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว รีบอร์นยังเหมาควบอีก 2 ตำแหน่งคือ นักฆ่าอันดับ 1 ของอาณาจักรกับหนึ่งในสมาชิกสภาของประเทศ
"พวกแกจะต้องไปฝึกวิชาพิเศษกับฉัน เตรียมตัวให้ดี เราจะไปกันพรุ่งนี้ตอนเช้า"
"วิชาพิเศษ วิชาอะไรหรือรีบอร์น แล้ววิชาปกติที่ต้องเรียนละ นี้ก็ใกล้สอบแล้วด้วย" สึนะถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะว่าตามจริงแม้เขาจะเป็นนักเรียนในที่ปรึกษา แต่รีบอร์นไม่เคยสอนวิชาอะไรให้เลยแม้แต่วิชาเดียว แถมตัวเขาเองก็พึ่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ได้ไม่นาน ยังไม่ถึงเวลาที่จะออกไปฝึกวิชานอกสถานที่สักหน่อย
ด้านดีโน่ แม้จะสงสัยในคำสั่งดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่การที่เป็นนักเรียนในที่ปรึกษาของรีบอร์นมานาน ทำให้รู้ว่าค้านไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ที่แน่ๆ ร่างสังหรณ์มันบอกว่างานนี้คงจะไม่ใช้การฝึกวิชาพิเศษแบบปกติแน่นอน
"ไม่ต้องถามมากความ เรื่องวิชาอื่นฉันจัดการให้พวกนายเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวก็แล้วกัน รถม้าจะออกพรุ่งนี้ตอนสิบโมง หมดธุระแค่นี้ สึนะออกไปได้แล้ว ส่วนดีโน่อยู่ก่อนฉันมีเรื่องจะคุยด้วย" ร่างเล็กไม่สนใจตอบคำถามแรกของสึนะ แถมยังไล่ออกจากห้องไปอย่างไม่ใยดี
เมื่อออกมาจากห้องของอาจารย์ใหญ่ สึนะมองออกไปนอกหน้าต่าง อาทิตย์ไม่ได้ฉายแสงแล้ว แต่กลับมาแสงนวลของดวงจันทร์เข้ามาแทนที เย็นขนาดนี้แล้วหรือ เขายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ถึงว่าทำไมได้ยินเสียงท้องร้อง ตอนแรกคิดว่าจะชวนคุณดีโน่ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่ดูจากที่ท่าของรีบอร์นเมื่อครู่แล้ว สงสัยจะต้องคุยกันอีกนาน สึนะคิดพลางเดินอย่างเงียบเหงาไปยังแคนทีน ซึ่งเปิดบริการอาหารให้แก่นักเรียนตลอด 24 ชม. ก่อนที่จะกลับไปยังหอพักเพื่อจัดข้าวของใส่กระเป๋าเป้เตรียมพร้อมก่อนการเดินทาง
กว่าสึนะจะจัดเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงมาถึงกลางดึก ยิ่งดึก ท้องฟ้าก็ยิ่งสว่าง แต่ความสว่างนี้ไม่ใช้แสงจากดวงจัทร์เพียงอย่างเดียว แต่มีแสงจากดาวที่กระจ่างเต็มท้องฟ้าเข้ามาช่วยเสริมให้ท้องฟ้าที่เคยมืดมิด มีสีสันสวยงาม สึนะตัดสินใจขยับมานั่งใกล้หน้าต่าง มองทุ่งดาวบนท้องฟ้า ฉับพลันนั้นก็ปรากฎแสงสีสวยขีดแแต่งแต้มบนพื้นฟ้าสีดำสนิท
ว่ากันว่าใครที่ขอพรกับดาวตกแล้วจะสมหวัง "ขอให้ผมเข้มแข็งและได้พบใครสักคนที่เข้าใจตัวผมจริงๆนะครับ" สึนะรีบเอ่ยคำวิงวอนต่อดวงดาว เมื่อปรากฎแสงเหนือท้องฟ้าอีกครั้ง "สงสัยคงจะมีแต่เราคนเดียวนั้นละ ที่เชื่อเรื่องงมงายพรรณนี้ด้วย" แม้ว่าปากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่สึนะก็ยังนั่งมองท้องฟ้าอยู่อย่างไม่รู้เบื่อ
ห่างออกไปไกลจากตัวเมืองหลวง ดวงตาสีนัตติกาลอีกคู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าผืนเดียวกัน
"ชิ"
เสียงสำทับดังขึ้น ก่อนที่ภาพสะท้อนดวงดาวจะหายไปจากดวงตาคู่สวยที่เคยมองจับจ้องขึ้นไปยังนภากว้าง
ถึงเวลานัดหมาย ทุกคนพร้อมกันที่สนามหน้าโรงเรียน ดีโน่และโรมาริโอ้คนสนิทกำลังวุ่นวายอยุ่กับการจัดเตรียมของ ร่างบางพยายามจะเข้าไปให้ช่วยเหลือ แต่คนแขนเล็กอย่างเขามีหรือจะช่วยเหลืองานที่ต้องใช้กำลังกายอย่างการขนของได้ แทนที่จะช่วยเหลือจึงกลับเป็นภาวะและเกะกะการทำงานมากกว่า
"สึนะ ไม่เป็นอะไรหรอก พวกนี้เดียวพวกฉันจัดการกันเอง ไปยืนรออยู่ใกล้ๆ นี้ก่อนละกันนะ" ดีโน่ว่าพลางปลดกระเป้าเป้ใบเขื่องจากร่างบางโยนเข้าไปกองอยู่ท้ายรถม้าด้วยกัน
ด้านรีบอร์นนั้น ยืนออกไปไม่ห่างกันมาก กำลังพูดคุยกับชายแปลกหน้า 2-3 คนในชุดองค์รักษ์สีแดงสด สึนะเดินเข้าไปใกล้ หวังจะจับใจความสิ่งที่พูดคุยกันบ้าง แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป เพราะวงสนทนาเมื่อครู่แตกออกไปแล้ว หลังสิ้นเสียงของร่างเล็ก "เดียวหมดเรื่องแล้ว จะติดต่อไปเอง"
"พร้อมแล้วสินะ ไปกันได้สายมากแล้ว" รีบอร์น พูดดักคอขึ้นมาทันที เมื่อเห็นสึนะอ้าปากถามคำถาม พลางพนักหน้าให้ดีโน่ ที่ส่งสัญญาแสดงความเรียบร้อยหลังจัดการขนข้าวของเสร็จสิ้น
ขบวนเดินทางของคน 4 คน จึงเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากหน้าโรงเรียน โดยดีโน่และโรมาริโอ้นั่งอยู่ด้านหน้าเป็นคนกุมบังเหียนรถม้า ส่วนสึนะกับรีบอร์นนั่งอยู่ภายในรถม้าที่พ่วงตามหลัง สำหรับโรมาริโอ้ไม่ได้เป็นนักเรียนเหมือนอย่างสึนะ แต่เป็นคนสนิทของดีโน่จากตระกูลคาบัคโรเน่ ซึ่งเขามักจะพบดีโน่อยู่กับโรมาริโอ้เสมอๆ ทำให้เขาสนิมสนมกับคนๆนี้พอสมควร
"รีบอร์น เราจะไปไหนกัน แล้วตอนนี้บอกได้หรือยังว่าไอ้วิชาพิเศษที่จะสอนเนี้ยมันคือวิชาอะไร" สึนะรวบรวมความกล้าถามวัตถุประสงค์ในการเดินทางกับรีบอร์นอีกครั้ง แต่ร่างเล็กก็รุดหน้าไปหนึ่งขั้น ด้วยการชิงนอนหลับไปก่อน สึนะรู้ดีว่าถ้าปลุกรีบอร์นขึ้นมาตอนนี้ อะไรจะเกิดขึ้น เพราะเคยมีประสบการณ์เฉียดตายจากความพยายามในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จึงทำได้แต่เงียบและมองภาพโรงเรียนที่อยู่เบื้องหลังเล็กลงทุกที ๆ
ชั่วชีวิตเขาไม่เคยออกไปท่องเที่ยวไหนเลย ตั้งแต่เด็กสึนะก็อยู่กับแม่มาโดยตลอด ส่วนพ่อนั้นนานๆครั้งจะกลับมาที่บ้านสักครั้ง การที่เขาอยู่กับแม่เพียงสองคน ทำให้เขาไม่เคยทิ้งแม่ออกไปไหน อย่างมากก็เพียงแต่ออกไปเรียนหนังสือในโบสถ์ใกล้บ้านเท่านั้น
จนมาวันหนึ่งที่พ่อกลับมาบ้าน พร้อมรีบอร์น วิถีชิวิตเขาก็เปลี่ยนไป ต้องจากบ้าน จากแม่ มาอยู่ในโรงเรียนประจำ ที่ไม่ค่อยจะมีคนชอบเขามากนัก แม้ว่าจะมีคุณดีโน่ และโรมาริโอ้ ที่พอจะเป็นเพื่อนคุยได้บ้าง แต่การที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว กลางโรงเรียนกว้าง ทำให้ความเหงาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในจิตใจสึนะบ่อยครั้ง การที่เขาได้ออกมาข้างนอกและมองย้อนกลับไปเห็นโรงเรียนเป็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่ง จึงทำให้สึนะรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
"หาว~" อากาศตอนสายที่อบอ้าวและผลจากการนั่งมองดาวเมื่อคืนเป็นระยะเวลานานเริ่มพ่นพิษกลับมาให้ร่างบางบ้างแล้ว สึนะพล้อยหลับไปพร้อมกับภาพโรงเรียนที่กลายเป็นเพียงจุดเล็กๆในทุ่งกว้าง
"ตื่นได้แล้วสึนะ" เสียงปลุกจากคนผมทอง ร่างสูง ดึงให้สึนะหลุดจากภวังค์ นี้เขาหลับไปนานแค่ไหน รถม้าจอด เรียบถนนเล็กๆ ริมชายป่ากว้าง บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นลง นี้เขาคงเผลอหลับไปหลายชั่วโมงทีเดียว สึนะงัวเงียมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นโรมาริโอ้กำลังง่วนอยู่กับการก่อกองไฟ ในขณะที่รีบอร์นหายออกไปแล้ว
"แล้วนี้รีบอร์นไปไหนแล้วละ"
"เห็นออกว่าร้อน อยากอาบน้ำ เลยไปที่ธารน้ำใกล้ๆนี้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก" ไม่ใช้ว่าร่างบางจะไม่รู้ว่าทารกคนนั้นเก่งขนาดไหน แต่การที่รีบอร์นเป็นเหมือนคนดูแลคนเดียวของเขาในขณะนี้ทำให้อดกังวลไม่ได้
" วันนี้ คงจะต้องพักกันที่นี้ละจะเย็นแล้วด้วย เออ สึนะนายหุงข้าวเป็นหรือเปล่าอะ" สีหน้าดีโน่ บอกได้ถึงความจน
ปัญญาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสึนะก้าวลงจากรถม้าก็เห็นความวิบัติที่เกิดขึ้นกับหม้อหุงข้าวสนาม 2 ท่อน ที่ดีโน่คงพยายามหุงข้าวมาก่อนหน้านี้ ส่วนโรมาริโอ้ ก็ทำสีหน้าปลงตกไม่ต่างกัน
สมกับเป็นลูกหนูจริงๆ ความคิดร้ายเล็กๆ ดังขึ้นมาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
"ไม่เป็นอะไรครับ ผมทำเอง" ดีว่าตอนที่อยู่กับแม่ที่บ้าน สึนะต้องช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง จนเขาทำกับข้าวและทำงานบ้านได้ดีกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก
ร่างบางสาระวนอยู่กับการหุงข้าว และทำเตรียมอาหาร ดีโน่มองความคล่องแคล้วอย่างปัจจุบันทันด่วนของสึนะอย่างงๆ นี้เขาไม่เคยรู้เลยว่ารุ่นน้องคนนี้จะเก่งเรื่องงานบ้าน งานเรือนขนาดนี้ แม้ว่าหน้าตาจะออกไปทางผู้หญิงเสีกเยอะก็เถิด ไม่นานนักกลิ่นหอมของอาหารก็ตลบไปทั่วบริเวณ พร้อมร่างเล็กของรีบอร์นที่ปรากฎขึ้น ณ ริมชายป่า
"อาหารคงเสร็จเรียบร้อยแล้วสิ" ทุกคนไม่พูดพล้ำทำเพลงกันต่อไป วงกินข้าวก็เกิดขึ้นใกล้ป่ากว้าง
"คงสงสัยว่าฉันจะพานายไปไหนจริงมั้ย" ประโยคสนทนาที่คาดไม่ถึง ดังขึ้นมาจากร่างเล็กที่กำลังง่วนอยุ่กับการกินอาหาร
"เราจะไปที่หมู่บ้านวองโกเล่ เพื่อสอนพวกนายวิชาการปราบปิศาล ตอนนี้ที่นั้นกำลังมีปิศาลตัวหนึ่งอาละวาด พวกเรามีหน้าที่ไปปราบมัน" เสียงราบเรียบของร่างเล็กดังต่อเนื่องไม่ขาดช่วง หรือแสดงความวิตก ราวกับบอกแค่ว่าพวกเราจะออกไปซื้อของที่ตลาดเท่านั้น ดีโน่และโรมาริโอ้สีหน้าเรียบเฉย แสดงให้เห็นว่ารู้จุดประสงค์การเดินทางมาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
"เฮ้ย !!" สึนะอุทานหน้าซีด ไม่ตกใจสิแปลก สำหรับรีบอร์นกับดีโน่อาจไม่น่าห่วง รีบอร์นนั้นเป็นนักฆ่าอันดับ 1 ส่วนดีโน่เองก็เป็นถึง ว่าที่หัวหน้าตระกูล ฝีมือในการต่อสู้มันต้องมีอยู่แล้ว แต่เขานี้สิไม่เคยต่อสู้เลย แถมยังอ่อนแอราวกับหนูแฮมสเตอร์อีกต่างหาก ถ้าให้ไปสู้กับปิศาลก็เหมือนส่งเขาไปตายมากกว่า
"ไม่ต้องห่วงฉันก็ไม่ได้บอกให้นายต้องออกไปสู้ นายมีหน้าที่ในการหาข้อมุล และสอบปากคำชาวบ้านเพื่อหาเบาะแสจะสืบไปถึงที่อยู่ของปิศาลตัวนั้น " รีบอร์นเอ่ยขึ้นมา ราวกับอ่านใจของสึนะออก
"จริงนะ" สีหน้าของร่างบางเริ่มมีสีมากขึ้น สบายใจขึ้นมาหน่อยแค่เป็นคนสืบข่าวเท่านั้น สึนะยิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง "งานหาข่าวหรือ น่าสนุกดีนี้" ก่อนก้มหน้าก้มตาตักกับข้าวต่อ แต่สึนะคงจะยิ้มไม่ออกแน่ๆ ถ้าจะทันได้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ ของร่างเล็กเสียก่อน
รุ่งเช้ามาถึง ขบวนเดินทางเคลื่อนตัวไปยังจุดมุ่งหมายต่ออย่างราบรื่น ระหว่างทางสึนะกระตือรือร้นกับการทำหน้าที่ผู้หาข่าวมาก พยายามสอบถามข้อมูลจากผู้ร่วมขบวนทั้ง 3 แต่ก็ได้ข้อมูลมาเพียงน้อยนิด ตามปากคำของชาวบ้านในจดหมายของหัวหน้าหมู่บ้านและหลวงพ่อประจำเมืองเท่านั้น
"คุณรีบอร์นครับ ผมคิดว่าเราคงจะถึงหมุ่บ้านวองโกเล่ได้ทันคืนนี้นะครับ" เสียงโรมาริโอ้ตะโกนกลับเข้ามายังที่ห้องผู้โดยสารในรถม้า
"อืม รู้แล้ว" ร่างเล็กรับคำอย่างไม่สนใจมากมายนัก
ยิ่งใกล้หมู่บ้านเท่าไรความตื่นเต้นก็ยิ่งทวี พลันอาทิตย์ก็ลาขอบฟ้าไปอีกครั้ง เวลาล่วงมาจนยามดึก รถม้าหยุดพร้อมเสียงของโรมาริโอ้ที่ดังขึ้นมา "เรามาถึงที่หมายแล้วครับ" แสงไฟจากตะเกียวของคนข้างหน้า ส่องให้เห็นป้ายไม้เก่าๆ พร้อมลูกศรชี้แสดงว่า เมืองวองโกเล่ให้ตรงไป ปักอยู่ข้างถนน สึนะยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างมองอย่างอยากรู้อยากเห็น
แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงดังตุบ! บนหลังคารถม้าของพวกสึนะ ร่างบางที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวาดสายตาขึ้นไปยังบนหลังคารถ โชคไม่ดีที่เมฆเข้ามาบังแสงจันทร์พอดี ชั่วพริบตานั้นจึงได้เห็นเพียงเงาตะคุ้มๆของร่างๆหนึ่งบนหลังคา ก่อนที่กระโดดราวกับไม่ใช้แรงมนุษย์ไปยังยอดต้นไม้ที่อยู่ใกล้ แม้ว่าจะไม่ทันได้เห็นชัดเจน แต่ชั่ววินาทีนั้น สึนะรู้ว่าตัวเองได้สบตากับดวงตาคู่สวยที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น แต่ช่างเป็นดวงตาที่เศร้าสร้อย เหมือนรับความทุกข์ทั้งมวลในโลกไว้บนบ่าของตัวเอง
"สึนะ เป็นอะไรหรือเปล่า" ดีโน่ กับ โรมาริโอ้ รีบวิ่งลงมาจากตอนหน้าไต่ถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไม่ต้องห่วง" ร่างบางแม้จะยังเบลอ แต่ก็ตอบกลับไปให้ทั้งสอง แต่ตอนนี้สึนะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพียงสบตากับดวงตาคู่นั้นทำไมจึงร้อนวูบวาบไปทั้งตัวขนาดนี้
"เมื่อกีมันอะไรนะ" โรมาริโอ้ ถามอย่างคาดหวังว่าสึนะจะทันได้เห็นอะไรบ้างเพราะอยู่ใกล้ที่สุด
"ผมก็มองไม่ทันเหมือนกันครับ"
"ช่างมันเถิด ไปกันต่อได้แล้ว" รีบอร์นตัดบทการสนทนา ก่อนจะเร่งขบวนให้เดินทางต่อ
รถม้าจึงได้เคลื่อนตัวไปตามถนนแคบๆ สู่แสงไฟของเมืองวองโกเล่ที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกลอย่างช้าๆ
ความคิดเห็น