ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันน่ะร้าย อย่าหวั่นไหวนะคุณชายน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่6 ฉันมาในฐานะว่าที่ “แฟน”

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 56


    เมื่อตรวจสอบดูของเครื่องใช้จำเป็นต่างๆในกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วฉันก็โทรบอกนายเฉิ่มเชยและนายหน่อมแน้ม ยามของโรงแรมขึ้นมาช่วยขนกระเป๋าไปใส่รถตู้ของโรงแรม เนื่องจากประเป๋าฉันมีหลายใบมากถ้าเอาขึ้นรถฉันไปคงยัดใส่ได้ไม่หมดฉันก็เลยให้รถตู้ของโรมแรมไปส่งแทน เมื่อบอกทางไปบ้านคุณชายให้นายคนขับรถตู้รู้แล้ว ฉันก็ขึ้นรถมินิสีเหลืองสดของตัวเองขับตามออกไปในทันที

    เมื่อขับรถมาถึงที่หมาย ฉันก็แทบหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมองเห็นความหรูหราอลังการของบ้านว่าที่สามี(???)ฉันรีบลงจากรถแล้วตรงไปหากริ่งเพื่อกดเรียกให้คนมาเปิดประตู แต่หายังไงก็หาไม่เจอ ฉันเรียกคนขับรถของโรงแรมให้มาช่วยหากริ่งก็ปรากฎว่ายังหาไม่เจอเหมือนเดิม แต่แล้วจู่ๆประตูราคาแพงที่ฉันเดาว่าน่าจะทำมาจากไม้สักเลื่อมทองซึ่งสูงกว่าสองเมตรก็เปิดอ้าออก  ฉันมองไปที่ประตูอย่างงุนงงแต่ก็รีบขึ้นรถแล้วขับเข้าไปข้างในพร้อมกับรถตู้ที่ตามมาติดๆ ฉันสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกายที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสหลากหลายสายพันธุ์ มีลานน้ำตกอยู่ตรงใจกลางและถนนก็ทำด้วยหินอ่อนดูแล้วธรรมชาติสุดๆ แล้วถนนก็มาสิ้นสุดลงตรงหน้าคฤหาสน์สีขาวสะอาดตาที่สูงตระหง่านเทียมฟ้ามีหลังคาเป็นรูปโดม ให้ตายสิ คืนนี้ฉันจัดการตีหัวคุณชายแล้วลากไปพรากผู้เยาว์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า อยากเป็นสะใภ้บ้านนี้อ่ะ > <(เยาวชนอายุต่ำกว่า18ปีไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ)

    พอลงมาจากรถแล้วฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่เคยรู้สึกเสียเซลฟ์เท่านี้มาก่อนเลยจริงๆปกติถ้าเวลาฉันลงจากรถไม่ว่าจะที่ไหนๆจะมีคนมากมายมาต้อนรับขับสู้อย่างดี แต่ที่บ้านนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาคน  ระหว่างที่มองหาสิ่งมีชีวิตที่คาดว่าน่าจะสิงสถิตอยู่ในบ้านฉันก็แทบผงะหงายหลังเมื่อคุณชายเดินออกมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

    “คุณมาทำอะไรที่นี่” คุณชายถามขึ้น ฉันที่เตรียมจะมาขออาศัยแบบเนียนๆถึงกับสะอึกเมื่อจู่ๆก็ลืมข้ออ้างที่จะมาขออยู่คฤหาสน์กับเขาชั่วคราวไป ก็แล้วจะให้ฉันบอกเขารึไงเล่าว่าฉันมาที่นี่เพื่อมาอ่อยเขาน่ะ

    “ใช่!!  เอ๋?? นี่ผู้อ่านตอบฉันดังเข้ามาถึงในนิยายเลยหรือไงกัน +[]+??

    ฉันมองหาที่มาของเสียงก็เหลือบไปเห็นใบหน้าขาวเนียนของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนขนาบข้างเกาะแข้งเกาะขาอีตาคุณชายอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ฉันมองหน้าผู้หญิงคนนั้นกับอีตาคุณชายอย่างงงๆ นี่หมอนี่แอบมีเมียเก็บงั้นหรอเนี่ย??

    “เธอมาที่นี่ทำไม” ยัยหน้าขาวไข่ปอกที่หุ่นโคตรกระจอกมองฉันอย่างเหยียดๆตั้งแต่หัวจรดเท้า  ที่แท้ก็ยัยนี่น่ะเองที่พูดตะกี๊ ก็นึกว่าคนอ่านอินจัดซะอีก =__= ฉันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอดหมวกและแว่นที่สวมอยู่ตั้งแต่แรกออกแล้วส่งยิ้มเย็นไปให้ยัยชะนีไข่ปอกนั่นก่อนจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

    “ฉันชื่อแคมปิราห์ พิราพัฒน์ หรือแคมเปญมือกีต้าร์เจ้าของฉายาเซ็กซี่เกิร์ลของวงแนะแนว”  ฉันมองหน้ายัยนั่นอย่างเป็นต่อ ส่วนเจ้าหล่อนก็หงอในทันทีเมื่อฉันแนะนำตัวเสร็จ ฉันรีบเดินไปเบียดแทรกกลางระหว่างคุณชายกับยัยชะนีน้อยนั่นให้ห่างออกจากกันแล้วตวัดหางตาไปถามยัยนั่นบ้าง

    “แล้วหล่อนล่ะเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้มาเกาะแขนว่าที่สามีในอนาคตของฉัน” ฉันยัดเยียดตำแหน่งให้โดยที่เจ้าตัวที่ถูกพาดพิงถึงถึงกับหน้าแดง ส่วนแม่นั่นก็มองฉันกับคุณชายอย่างช็อคๆก่อนจะออกอาการดราม่า

    “ ฮึกๆ ฮือ พี่ชายใหญ่มีแฟนแล้ว แล้วทำไมถึงได้ให้ความหวังนีน่าล่ะค่ะ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามีแฟนแล้ว” อ้อ ที่แท้ก็ชื่อนีน่า ตายละแคมเปญหล่อนทำสาวสวย(น้อย)ร้องไห้น่ะ เสียใจจังเลย ฉันเหล่ตามองคุณชายที่มีสีหน้าลำบากใจ แล้วก็เดาได้ในทันทีว่าคุณชายไม่ได้ชอบยัยนี่แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธด้วยเช่นกัน ดีละ คราวนี้ถึงตาฉันบ้างนะแม่(ชะ)นีน่า

    “นี่ สาวน้อย เธอลองมองหน้าพี่ชายใหญ่หรือว่าที่สามีฉันในอนาคตให้ดีๆนะ” ฉันพูดอย่างจงใจเน้นไปที่คำว่า “ว่าที่สามีในอนาคต”อย่างขี้ตู่สุดๆ แล้วเอ่ยต่อ

    “มองเข้าไปลึกๆในตาของเขา มองดูแล้วเธอจะเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่ปลายเล็บและที่เขาไม่บอกว่ามีแฟนแล้วหนึ่งก็เพราะว่าเธอไม่ใช่คนสำคัญ ไม่จำเป็นต้องบอกแล้วก็ข้อที่สองเขาลำบากใจกลัวว่าเธอจะรับไม่ได้แล้วอาจจะไปฆ่าตัวตาย ทำให้เขายุ่งยากใจเสียเปล่าๆ และที่สำคัญ” ฉันเว้นช่วงในการพูดก่อนจะเน้นเสียงไปที่ประโยคสุดท้าย
    “เธอไม่ใช่สเป็กของเชเลยสักนิด” ฉันเหยียดยิ้มมุมปากอย่างมีชัย ส่วยยัยชะนีหน้าขาวไข่ปอกนั่นก็วิ่งป่าราบไปพร้อมกับคราบน้ำตาอย่างน่าสงสาร  แต่ฉันไม่สงสารอ่ะ
    !!

    “คุณไม่ควรพูดทำร้ายจิตใจนีน่าแบบนั้น”คุณชายหันมาต่อว่าฉันทันทีที่ยัยนั่นวิ่งออกไป

    “ทำไมล่ะ นายไม่ได้ชอบเธอไม่ใช่หรอ นี่ฉันอุตส่าห์ช่วยเลยนะ” ฉันพูดเอาดีเข้าตัวเพื่อให้สมกับตำแหน่งนางเอกที่มีความดีติดตัวอยู่น้อยนิด

    “แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” คุณชายมองหน้าฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าๆ

    “ถ้างั้น เดี๋ยวฉันไปบอกคุณนีน่าละกันนะ ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ฉันเตรียมจะตามนีน่าไปส่วนอีตาคุณชายก็คว้าข้อมือฉันไว้อย่างถือวิสาสะ

    “ไม่ต้องหรอก ถึงยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ” ฉันเหลือบตามองข้อมือของฉันที่คุณชายยึดไว้ก่อนจะส่งสายตาดุๆไปให้ คุณชายชักข้อมือกลับอย่างเร็วก่อนจะหันหน้าหนีฉันไปทางอื่น

    “นี่ เมื่อกี้ตอนมาฉันเดินหากริ่งแทบบ้าก็หาไม่เจอ แต่แล้วจู่ๆประตูเปิดออกได้ไงอ่ะ” ฉันถามเมื่อนึกขึ้นได้

    “บ้านผมไม่มีกริ่ง” อีตาคุณชายตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ

    “ไม่มีกริ่งให้ตายสิแล้วคนอื่นเขามีธุระแล้วจะเข้าบ้านนายยังไง”

    “กล้องวงจรปิดจะส่งภาพมาที่มือถือผม ถ้าใครที่ผมอยากให้เข้าก็จะสั่งให้ประตูเปิด แต่ถ้าไม่อยากให้ใครเข้าประตูก็จะไม่มีทางเปิดออก”  =[]= ล้ำอ่ะ บอกตรงๆ

    “ทั้งๆที่เห็นหน้าว่าเป็นใคร แล้วทำไมนายถึงได้เปิดประตูให้นีน่าเข้ามาล่ะ หรือว่าที่จริงแล้วนายก็ชอบเธอ” ฉันตั้งประเด็นอย่างสงสัยใคร่รู้ ก็จากที่ฉันดูท่าทางแล้วเขาไม่ได้ประทับใจอะไรยัยนั่นเป็นพิเศษสักหน่อย

    “นีน่าจิตไม่ปรกติ ผมสงสารเธอ”

    “จิตไม่ปรกติ???  หมายถึงโรคจิตน่ะเหรอ” ฉันถามคุณชายด้วยความไม่ค่อยจะเชื่อ ถึงฉันจะอคติกับยัยนั่นแต่ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสาวน้อยวัยใสจะกลายเป็นเด็กที่สังคมไม่ค่อยยอมรับ

    “เพราะงี้นี่เอง นายถึงได้ไม่อยากให้ฉันทำหล่อนฝันสลาย แล้วทำไมไม่ให้เขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลล่ะ”

    “นีน่าไม่ยอม เธอไม่ยอมรับว่าตัวเองมีอาการอย่างว่า” น่าสงสารแฮะ แต่ฉันสงสารแค่ห้าวิพอ เผอิญมีอะไรต้องทำต่ออีกเยอะ

    “แล้วไหนล่ะ ห้องพักฉัน” ฉันเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆอย่างหน้าด้านๆส่วนอีตาคุณชายก็เปลี่ยนจากการทำหน้านิ่งไร้อารมณ์มาจ้องหน้าฉันเขม็ง

    “คุณหมายความว่ายังไง”

    “ก็หมายความตามที่พูด” ฉันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทำทีเป็นเดินหยิบนั่นสำรวจนี่ในบ้านของเขา

    “คุณจะมาอยู่ที่นี่งั้นหรอ” คุณชายที่ยังไม่หายงง ถามย้ำฉันอีกรอบ

    “ตามนั้น”  ฉันแอบมองหน้าอีตาคุณชายที่ทำหน้าในแบบที่ฉันอธิบายไม่ถูก เอาเป็นว่าหน้าหล่อๆก็แล้วกัน

    “ในฐานะอะไรล่ะ” คุณชายมองหน้าฉันอย่างรอคอยคำตอบ ฉันยิ้มสดใสให้เขาก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเขา

    “ในฐานะว่าที่แฟนของนายไง” ฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปจนถึงใบหูกับคำพูดและการกระทำของตัวเองส่วนอีตาคุณชายก็ทำหน้านิ่งใส่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แล้วเขาก็เดินออกไปก่อนจะหันกลับมาพูดกับฉัน

    “ตามมาสิ” ฉันมองหน้าคุณชายอย่างงงๆอยู่พักใหญ่ ทำไมหมอนี่ง่ายจังเลยอ่ะ แต่ก็ดี จะได้ไม่เสียเวลาชักแม่น้ำทั้งร้อยห้ามาหว่านล้อมให้ยุ่งยาก ฉันหันไปพยักหน้าให้กับคนขับรถเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เขาแบกกระเป๋าสัมภาระอันประกอบไปด้วยกระเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้าและรองเท้ามาแน่นสองใบใหญ่ เป้สะพายบรรจุขีปนาวุธที่ยัยคริสตัลบังคับให้นำติดตัวมาเพราะกลัวว่าอีตาคุณชายจะทำมิดีมิร้ายฉัน ถึงฉันจะยืนกรานว่าคนที่สมควรจะใช้มันไม่ใช่ฉันแต่เป็นเขาก็เถอะ แล้วก็กระเป๋าเครื่องสำอางอีกสามใบถ้วน อย่างที่บอกแหละว่าคนสวยเยอะเป็นเรื่องปกติ ส่วนใครที่หน้าตาไม่ดีก็อย่าเยอะล่ะ มันดูมิดี

    เช้าวันต่อมา

    หลังจากที่กินและนอนอยู่ที่บ้านคุณชายไปหนึ่งวันเต็มๆ โดยที่ไม่มีอะไรคืบหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับอีตาคุณชายตายด้านนั่น ฉันจึงตัดสินใจว่าจะสั่งให้กองถ่ายเริ่มเปิดกล้องในวันนี้ เพราะอีตาคุณชายให้เวลาในการพิชิตใจแค่30วัน นี่ก็ผ่านไปสองวันละ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักนิดเดียวและฉันก็คงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ไม่ได้

    (ว่าไงนะคะคุณแคมเปญ ให้เปิดกล้องวันนี้เนี่ยนะคะ)

    “มีปัญหาอะไรงั้นหรอคะ” ฉันถามในเชิงขู่เพื่อปิดโอกาสในการเลื่อนวันของเจ๊ออดี้ ผู้กำกับคนดังที่ได้รับมอบหมายให้มากำกับMV.ประกอบโปรเจ็กต์นี้

    (ไม่กล้ามีหรอกค่ะ ถึงยังไงเจ๊จะรวบรวมทีมงานไปอำนวยความสะดวกให้คุณแคมเปญให้ได้มากที่สุดนะคะ) เสียงปลายสายพูดกระแทกกระทั้นใส่อย่างประชดประชัน แต่ฉันหาได้แคร์ไม่

     “ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะเพราะถ้าไม่ คงรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ฉันขู่สำทับไปอีกหนก่อนจะกดวางโดยไม่สนใจเสียงโหยหวนของเจ๊ออดี้อีกต่อไป ที่เหลือก็แค่รอให้ทางกองถ่ายโทรไปตามตัวอีตาคุณชายแล้วฉันค่อยตามไปทีหลังอย่างเนียนๆเท่านั้น

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    “เข้ามา ประตูไม่ได้ล็อค” ฉันตะโกนบอกคนที่กำลังเคาะประตูอยู่หน้าห้องอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็จิ้มโทรศัพท์เล่นต่อไปโดยไม่เงยหน้ามองผู้มาใหม่ที่กำลังเดินเข้ามา

    “คุณหนูคะ คุณชายให้มาถามว่าคุณหนูจะไปที่กองพร้อมคุณชายหรือจะขับรถไปเองคะ”  ฉันเงยหน้ามองแม่บ้านที่สวมชุดทำความสะอาดปกปิดมิดชิดสีเทาตุ่นๆไร้รสนิยมชมชอบ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปว่า

    “ไม่ บอกให้เขาไปก่อนเดี๋ยวฉันตามไป” ฉันพูดก่อนจะก้มลงเช็คกระแสตัวเองต่อโดยไม่ใส่ใจว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ในการเดินทางไปที่กอง ต่อให้ฉันไปวันรุ่งขึ้น ใครหน้าไหนจะกล้ามาแหย็มคุณหนูแคมเปญผู้ร้ายกาจได้ล่ะ จริงมั้ยJ(ภูมิใจในความเลวบริสุทธิ์ของตัวเอง)

    และในที่สุดฉันก็แซะตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาที่บ้านคุณชายได้สักที นี่ก็เลยเวลานัดมานานมากแล้ว คือถ้าฉันไปก่อนหรือตรงเวลานัดเป๊ะๆมันจะดูแปลกสักหน่อย ฉันก็เลยอ้อยอิ่งคงความไม่ตรงต่อเวลาไว้เพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ที่ไม่ดีไม่งามของฉันเดี๋ยวคนอื่นไม่รู้ ว่าฉันคือแคมเปญ และเมื่อเดินทางไปถึง เจ๊ออดี้ก็วิ่งหูตั้งมาทางฉันในทันที

    “คุณน้องขา คุณน้องบอกให้เจ๊นัดทีมงานทุกคนมารวมตัวกันในเวลาสามโมงเช้าเก้านาฬิกา แล้วทำไมคุณน้องถึงได้โผล่มาซะเที่ยงเลยล่ะคะ โทรไปก็ติดต่อไม่ได้เลย นึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณน้องซะอีก” เจ๊ออดี้พ่นคำบ่นปนด่าอย่างอ้อมๆใส่ฉัน และฉันก็หันไปจิกตาใส่เจ้าตัวทันที

    “เดี๋ยวนี้เจ๊มีหน้าที่สอบปากคำฉันหรอ เปลี่ยนงานตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันยังไม่อนุญาตให้ใครไล่เจ๊ออกเลยนี่” ฉันพูดกระทบเจ๊ออดี้ที่รีบก้มหน้างุด

    “เจ๊ซอรี่ค่ะ แต่คุณน้องมาก็ดีแล้วรีบแต่งตัวเตรียมเข้าฉากได้แล้วค่ะ เสียเวลาไปเยอะแล้ว” แม้ปากจะบอกว่าเสียใจแต่ในคำพูดของเจ๊แกก็ยังแอบแขวะฉันอยู่ดี อย่างนี้มันต้องโดนไล่ออกเนอะ แต่ไล่ไม่ได้หรอกเพราะยัยเพื่อนบ้าทั้งหลายไม่ยอมให้ฉันไล่ ซ้ำยังอ้างเหตุผลว่ากว่าจะหาคนที่อดทนกับพวกเราทุกคนในวงได้แทบพลิกแผ่นดินหา แล้วถ้าเจ๊ออดี้ออกไป ต่อให้เงินดีขนาดไหนก็คงไม่มีผู้กำกับคนไหนอยากทำงานให้เราหรอก

    แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอดหมั่นไส้ยัยกะเทยควายนี่ไม่ได้อยู่ดี

    “ขอดูชุดก่อนนะ ถ้าไม่เป๊ะ ไม่ใส่และจะไม่ถ่ายด้วย” ฉันพูดอย่างท้าทายในอำนาจของตัวเอง(เพื่อ??)ก่อนจะหันไปยักคิ้วอย่างกวนๆชวนกระทืบให้เจ๊ออดี้ที่มองฉันอย่างเดือดจัดแล้วสะบัดหน้าเดินตรงไปที่ห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×