คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4 ค่ำคืนนี้ มีเพียงสองเรา(??)
ฉันเริ่มมีอาการกระวนกระวายกระสับกระส่ายไม่เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากยังตกลงปลงใจไม่ได้ว่าจะใส่ชุดไหนไปดินเนอร์กับคุณชายของตัวเองดี(เป็นของตัวเองไปโดยปริยายโดยที่ผู้ชายมิอาจรู้ตัว-_-^^) ฉันโทรไปขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆในวงของตัวเองเพราะเพื่อนฉันแต่ละคนมีแต่พวกอินเทรนด์ล้ำสมัย คิดใหม่และไม่ซ้ำ ล้วนแล้วแต่โก้หรูกันทั้งนั้น
ฉันโทรหาเมโลดี้เป็นคนแรกเพราะคิดว่าการมองโลกในมุมที่คนอื่นเขาไม่มองกันของยัยนี่จะทำให้เจ้าหล่อนมีความคิดสร้างสรรค์มานำเสนอให้ฉันพิจารณา แต่ว่าสิ่งที่ยัยนั่นแนะนำมา มันทำให้ฉันแทบอยากร้องไห้T_T
“ใส่เสื้อคอกระเช้า แมตต์กับผ้าถุง รองเท้าแตะไง เหมาะกับป้าดีนะ” เอาไปบอกให้ป้าที่บ้านแกใส่เถอะ ยัยสมองเลอะเลือน -__-**
หลังจากคิดได้ว่าพึ่งอะไรจากคนสติไม่ดีไม่ได้ฉันก็เปลี่ยนใจต่อสายไปหาคนมีสติอย่างเบเกอรี่แทน
“ใส่ให้มิดชิดปกปิดตั้งแต่คอหอยถึงรอยส้นเท้าแตกเลย จะได้ดูไม่โป๊” ถ้าจะให้ฉันแต่งแบบนั้นไม่ส่งตัวฉันไปบวชชีเลยล่ะแม่คุณ -__- เมื่อแม้แต่คนที่ค่อนข้างสมประกอบอย่างเบเกอรี่ยังมีไอเดียที่ไม่เข้าท่าฉันก็เลยกดโทรหาสมาชิกกิตติมศักดิ์ของวงอย่างเจ๊แฟนตาซีที่ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุด และได้รับคำตอบกลับมาว่า
“ฉันไม่ว่างมานั่งคิดชุดให้เธอหรอกนะ มีงานสำคัญต้องสะสางอีกมากมาย” เข้าใจแหละนะว่าฉันมันไม่สำคัญเท่างานของผู้จัดการคนสวยหรอก (น้อยใจ) ฉันถอนหายใจให้ความบ้างานของเจ๊ก่อนจะกลั้นใจกดเบอร์ไปหายัยตัวแสบอย่างคริสตัลที่เป็นดั่งมันสมองของวงและก็ได้รับเสียงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวกลับมา
“มีสมองก็คิดเอาเองเซ่!! เสียเวลานั่งนับมดฉันหมดเนี่ย” บางทีคนฉลาดก็มีปมนะ ดูอย่างเพื่อนฉันสิ เขามีปมเกี่ยวกับมดแหละ(ประชด!!) หลังจากที่โทรหามาหมดแทบทุกคนที่เป็นเพื่อนกัน ฉันก็รู้สึกท้อในทันที รู้งี้ฉันน่าจะเปิดใจคบเพื่อนใหม่ที่ดีกว่ายัยพวกนี้ แบบที่ว่ามีสติสตังครบสมบูรณ์อ่ะนะ และผลสุดท้ายฉันก็ต้องกัดฟัน กลั้นใจโทรไปหายัยอลิซ ตัวเลือกสุดท้ายที่จะโทรไปปรึกษาและในใจก็ได้แต่คาดหวังว่ายัยนั่นจะมีไอเดียดีๆมาพรีเซ้นต์ฉันและคำตอบที่ได้รับคือ
“ไม่ต้องใส่ แก้ผ้าไปเลย เปิดเผยซึ่งความจริงใจให้เขาได้รู้” ฉันไม่น่าไปคาดหวังอะไรจากมันเลยจริงๆ -__- ^ และที่สุดของที่สุดฉันก็ไม่ได้อะไรจากการขอความช่วยเหลือในครั้งนี้เลย นอกจากความไร้สาระ เสียเวลาและเสียค่าโทรศัพท์ เอาเป็นว่าฉันสวย รวย เอ็กซ์ เพอร์เฟคอยู่แล้วต่อให้จะใส่ชุดไหนก็มีค่าเท่ากันนั่นก็คือสวยเหมือนเดิม คิด(อย่างหลงตัวเอง)ได้ดังนั้นฉันก็คว้าเอาชุดเดรสแนบเนื้อสีแดงเพลิงที่ด้านหลังเว้า ด้านหน้าเป็นเกาะอกมาสวมแล้วรีบบึ่งเฟอรารี่สีดำตรงไปยังภัตตาคารเพอร์เฟคต์ตามนัดในทันที ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะว่าจะทำเรื่องง่ายอย่างการเลือกชุดใส่ให้มันใหญ่โตวุ่นวายเดือดร้อนคนอื่นทำไมกัน( ก็รู้ตัว)
ภัตตาคารเพอร์เฟคต์,
เมื่อเลี้ยวรถมาจอดเทียบที่ลานจอดรถของภัตตาคาร ฉันก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเก้าเท้าลงจากรถด้วยท่วงท่าน่าจับตามองไม่ต้องหาว่าฉันเยอะหรอก คนสวยน่ะเค้าเยอะกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว เนื่องจากฉันนั้นสวยมากก็เลยต้องเยอะมากแม้กระทั่งท่าลงจากรถนั่นแหละ ฉันรีบคว้าหมวกใบใหญ่เท่ากระทะมาปกคลุมศรีษะและใบหน้าก่อนจะสำทับด้วยแว่นตาสีดำสนิทอีกทีโดยที่มิได้สนใจเวลาในขณะนี้ว่ามันเป็นตอนกลางคืน แล้วรีบสาวเท้ายาวๆตรงไปยังโต๊ะว่างแถวๆนั้นนั่งก่อนจะถอดหมวกออกแล้วใช้ผ้าคลุมไหล่มาปกปิดใบหน้าไว้แทน รู้สึกว่าอีตาคุณชายจะนัดฉันไว้สองทุ่มไม่ใช่เหรอ แต่นี่มันก็จะสองทุ่มครึ่งอยู่แล้วนะทำไมถึงไร้สัจจะแล้วก็ไม่ตรงต่อเวลาแบบนี้ รู้ไหมว่าคนที่รอมันเซ็งเนี่ย ฉันนั่งสบถอยู่คนเดียวอย่างโมโห นี่ถ้ามีคนมาเห็นฉันเข้าแล้วจำหน้าฉันได้ล่ะก็ ซวยกันพอดี แต่แปลกนะทั้งที่ที่นี่เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารหรูที่พวกไฮโซแถวนี้ชอบแวะเวียนมาไม่ขาดสายเพราะความอร่อยและแพงลิบลิ่วแต่ขี้ประติ๋วมากสำหรับคนพวกนั้น ทำให้ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีของใครหลายๆคนแต่วันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว จะมีก็แต่พนักงานเสิร์ฟที่นั่งตบยุงและหาวกันป็นแถบๆนี่ถ้าไม่เคยมามาก่อน ฉันคงจะคิดว่าที่นี่มีแต่อาหารที่ไม่ผ่านมาตรฐานสากลคนและโลกหรือไม่ก็กำลังประสบโรคระบาดทำให้ผู้บริโภคขยาดและไม่กล้ามา ฉันที่มัวแต่นั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียวก็แทบสะดุ้ง เมื่อจู่ๆไฟก็ดับลงไปอย่างไร้สาเหตุ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ฉันตะโกนถามอย่างตกใจ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย คนนัดก็ไม่มา ไฟก็ไม่มี ซวยที่สุดเลย ฉันตัดสินใจว่าจะไม่อยู่รออีตาคุณชายไร้ความรับผิดชอบนั่นอีกต่อไปและเตรียมที่จะเดินออกจากร้านก็แทบสะดุ้งรอบสองเมื่อได้ยินเสียงปุ้ง ปั้งที่ดังอยู่ทางด้านหลังก่อนจะพบว่าที่มาของเสียงเหล่านั้นเกิดจากพนักงานในภัตตาคารนี่เอง ว่าแต่จุดพลุทำไม คริสต์มาสแล้วหรอ?? ฉันได้แต่ถามตัวเองอย่างงุนงงในใจ แล้วฉันก็ตรัสรู้ได้ด้วยตัวเองทันทีเมื่อมีป้ายไฟเลื่อนลงมาตรงเวทีที่อยู่ด้านหน้าสุดของที่นี่ ป้ายไฟนั้นมีอักษรที่เรียงตัวกันอยู่อ่านได้ว่า
“HAPPY BIRTH DAY TO CAMPAIN” อ๋อออ~ ที่แท้ก็วันเกิดฉันนี่เอง ^O^
เฮ้ย!!! O[]O นี่วันเกิดฉันหรอเนี่ย ทำไมฉันลืมสนิทมิดใจได้ขนาดนี้ ฉันมองไปรอบๆตัวอย่างถึงบางอ้อในทันที ที่แท้ที่ไม่มีใครเข้ามานี้ก็เพราะวันนี้มีปาร์ตี้แสนพิเศษนี่เอง เห็นแล้วอยากเห็นหน้าคนจัดจังเลย ใครกันที่มันใส่ใจคนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากสวยและรวยมากอย่างฉันขนาดนี้กันนะ ก่อนที่จะได้สงสัยอะไรฉันก็เหลือบไปเห็นเวทีที่เคยว่างเปล่าแต่บัดนี้ กลับมีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนั่งหันหลังมาทางที่ฉันยืนแต่หันหน้าไปทางเปียโนหลังใหญ่ ด้วยความอยากรู้ว่าใครจะเซอร์ไพรส์อะไรอีก ฉันจึงมองการแสดงนั่นด้วยความสนใจเกินความจำเป็น ฉันนั่งมองมือเรียวยาวของเขาไล้ไปตามเปียโนอย่างนุ่มนวลอ่อนละมุน และเงี่ยหูฟังเสียงร้องนุ่มๆ ทุ้มลึก และฟังดูเศร้าจับใจ ผู้ชายคนนี้ขนาดหันหลังยังมีเสน่ห์ซะขนาดนี้ อยากจะรู้ซะแล้วสิว่าหน้าตาจะเป็นยังไง พอฉันคิดเท่านั้นแหละ ผู้ชายคนนั้นก็หันมาเมื่อได้เห็นหน้าหมอนั่นฉันอึ้งไปประมาณสามวินาที ก่อนจะเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา
“คุณชายเช” ฉันมองหน้าคุณชายอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ว่าหนึ่งคือหมอนี่รู้วันเกิดฉันได้ยังไง และสองทั้งที่ฉันร้ายกาจกับเขามากขนาดไหนแต่เขากลับเป็นคนที่จำวันเกิดที่แม้แต่เจ้าของวันเกิดอย่างฉันเองยังจำไม่ได้แต่เขากลับจำมันได้แถมยังทำเซอร์ไพรส์ฉันซะด้วย ให้ตายเถอะเขากำลังจะทำให้ฉันหวั่นไหวอีกแล้วนะ ไม่ได้ๆ เป้าหมายของฉันคือการทำให้คุณชายตกหลุมรักไม่ใช่ไปติดกับดักที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมาแบบนี้ >O<
“นาย รู้วันเกิดฉันได้ยังไงน่ะ” ฉันถามขึ้นเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้
“ก็อย่างที่ผมบอกว่าคุณเป็นคนดัง ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณหาง่ายๆได้ตามท้องตลาด” หมอนั่นตอบหน้าตาย
“จะบ้ารึไงข้อมูลส่วนตัวของฉันไม่ใช่ไข่ไก่นะยะ จะได้หาตามท้องตลาดได้น่ะ” ฉันแว้ดๆใส่เขาเพื่อกลบเกลื่อนอาการดีใจที่คนหล่อสนใจไว้ให้มิดชิด บางทีฉันก็อยากมีสัมผัสพิเศษเหมือนเจ๊แฟนซีนะจะได้รู้ว่าอีตาคุณชายเย็นชานี่กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ พูดถึงเจ๊แฟนซีฉันก็นึกถึงเพื่อนในวงของตัวเองทันที รู้สึกจี๊ดมากที่เพื่อนๆของฉันจำวันสำคัญของฉันไม่ได้ เสียใจนะเนี่ย T^T ดูเหมือนว่าคุณชายจะเดาใจฉันออกว่ากำลังคิดอะไร ก็เลยพูดขึ้น
“คุณไม่ต้องน้อยใจเหล่าผองเพื่อนของคุณหรอก เพราะงานนี้น่ะพวกเพื่อนๆของคุณก็ช่วยจัดช่วยตกแต่งกันทั้งหมดแต่ผมเป็นคนขอให้พวกเขากลับไปเพื่อจะได้ ที่ได้ ได้ เอ่อ .....” เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันเห็นคุณชายพูดประโยคยาวๆแบบนี้ แถมยังพูดแบบตะกุกตะกักไม่มีความมั่นใจซะด้วย*0*
“เอ่อๆ อยู่นั่นแหละ ชาตินี้ฉันจะรู้ไหมว่าพวกเพื่อนตัวดีหายไปไหนกันหมดน่ะ” ฉันตะคอกเขาอย่างหมดความอดทน ก็หมอนี่มัวแต่อึกๆอักๆอยู่นั่น จะพูดอะไรก็ไม่พูดสักที รู้ไหมว่าฉันใจร้อน!!
ความคิดเห็น