ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฉันน่ะร้าย อย่าหวั่นไหวนะคุณชายน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3 อสูรงามกับเจ้าชายน้ำแข็ง

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 56


    ฉันโยนบทลงบนโต๊ะประชุมพร้อมทั้งกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วหาวหวอดๆ ก่อนจะหันมาพบกับสายตาจับผิดของเพื่อนร่วมวง  ยัยอลิซถามฉันขึ้นเป็นคนแรก

     “แกทำอะไรกับบทน่ะ หวังว่าแกคงไม่ได้เปลี่ยนตอนจบให้พระเอกตกเครื่องบินตายเหมือนมิตรชัย บัญชาหรอกนะ”

    บางทียัยนี่คงจะอยู่ใกล้เมโลดี้มากไปเลยติดนิสัยชอบคิดอะไรไม่เข้าท่ามา -_-*

    “นี่ แกหัดมองฉันในแง่ดีบ้างก็ได้นะยัยลิซ ถึงฉันจะร้ายกาจ เหวี่ยง วีนแค่ไหนก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดฆ่าคนหรอกย่ะ เช้ามาก็หาเรื่องเลยเนี่ย คนยิ่งง่วงๆอยู่” ฉันบ่นพร้อมบิดตัวไปมา

    “นี่อย่าบอกนะ ว่าแกมัวแต่แก้บทจนไม่ได้หลับได้นอนแล้วปล่อยให้ตัวเองโทรมดูไม่ได้ขนาดนี้น่ะ” คริสตัลยื่นกระจกมาตรงหน้าฉันเพื่อให้ฉันมองเห็นหลินปิงภาคสวย ที่หนังตาย้วยและขอบตาดำปี๋ 

    “อือ” ฉันพยักหน้าตอบแบบไม่ใส่ใจพร้อมทั้งปัดมือที่ถือกระจกอยู่ออกห่างไปจากใบหน้า เพราะว่าทนดูไม่ได้ T_T         ให้ตายสิ ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้นี่แหละว่าตัวเองก็มีมุมขี้เหร่กับเขาเหมือนกัน

    “นี่แหละป้าเปญ ดิไอดอล ฆ่าได้หยามไม่ได้ ตรรกะคุณป้าเขาล่ะ”  เมโลดี้พูดพร้อมทำท่าทางหลงใหลได้ปลื้มฉันเสียเต็มประดา เจ๊แฟนซีมองหน้าฉันสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น

    “แคมเปญ เธอน่ะมีทั้งชื่อเสียงซุปตาร์ทั้งหน้าตาลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง จะทำอะไรนึกถึงตัวเองให้มากๆด้วยล่ะ” เจ๊แฟนซีที่อ่านใจฉันทางสายตาเตือนฉัน   ดูเหมือนเจ๊ซิกส์เซ้นส์ของเราจะเดาทางฉันถูกแล้วสินะ

    “ถึงฉันจะไม่มีสัมผัสพิเศษเหมือนเจ๊ แต่ฉันรู้นะว่าแกคิดจะทำอะไร แล้วถ้าพลาดมาเมื่อไหร่ฉันนี่แหละที่จะเหยียบแกซ้ำเป็นคนแรก” ดูเหมือนว่ายัยตัลก็คลำทางมาถูกเหมือนกันแต่ก็อย่างที่เมโลดี้ว่านั่นแหละคนอย่างแคมเปญฆ่าได้หยามไม่ได้  อีตาคุณชายจะต้องได้รับบทเรียน!!  ส่วนอลิซที่ดูเหมือนจะเดาใจฉันไม่ออกมองตามเพื่อนคนอื่นๆอย่างงงงวย

     “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกคิดจะทำอะไร แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือทำไมคนอื่นรู้แต่ฉันกลับดูไม่ออกวะ” อลิซบ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียวแล้วเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงตามเพื่อนๆที่เหลือไป      อีกไม่นานหรอกอลิซเดี๋ยวแกก็จะรู้ว่าฉันคิดจะทำอะไรนายคุณชายจองหองนั่น

    หลังจากเดินทางไปลบรอยดำคล้ำรอบดวงตาที่วู้ดดี้ซักแล้วฉันก็พาน้องเชอร์รี่สีแดงสด(ชื่อรถ)ของตัวเองตรงมายังกองถ่ายของค่ายไฮโซซิสที่วงของฉันสังกัดอยู่ทันที จะว่าไปในย่านโอเวอร์ทาวน์เมืองของชาวไฮโซแถวหน้านี้(แต่ชาวโลโซก็มาได้ถ้าไม่อายและไม่กลัวว่าจะโดนดูถูกทางสายตา) ที่ๆมีความงามล้ำอลังการนอกเหนือจากโรงแรมTHE NAEWที่สมาชิกในวงแนะแนวสิงสถิตอยู่แล้วก็มีที่ไฮโซซิสนี่แหละที่แลดูเข้าตาฉันเป็นที่สุด เมื่อมาถึงป้อมยามฉันลดกระจกลงแล้วยื่นบัตรไปสแกนจากนั้นประตูไฟฟ้าที่สูงราวๆห้าเมตรก็เปิดออก ฉันขับรถผ่านพรมแดงที่ปูไว้ให้คนจนอิจฉาเล่นแล้วแล่นรถตรงไปยังลานจอดรถที่เต็มไปด้วยรถหรูหราราคายี่สิบล้านอัพจอดอยู่ เอาเป็นว่าที่โอเวอร์ทาวน์นี้ทุกอย่างแลดูโอเว่อร์สมชื่อนั่นแหละ  -__-;: ฉันเดินเข้าไปในโกลด์พาร์คหรือให้เสียงภาษาไทยโดยแคมเปญว่าสวนทอง คือฟังแค่ชื่อก็น่าจะรู้แล้วว่าลักษณะมันก็คงจะเต็มไปด้วยทองและของมีค่า ราคาแพงลิบลิ่วอะไรประมาณนั้น ในขณะที่ฉันเดินตัวปลิวเบาหวิวและเริงร่าอยู่ดีๆก็แทบจะสะดุดล้มหัวคะมำเมื่อเหล่าสต๊าฟและฝ่ายต่างๆในกองถ่ายรีบวิ่งมาเอาอกเอาใจฉันกันใหญ่เพราะกลัวว่าถ้าฉันไม่พอใจอะไรขึ้นมากองถ่ายอาจจะพังพินาศด้วยน้ำมือฉัน แต่พวกนี้จะรู้มั้ยว่ายิ่งทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอึดอัด และอาจจะทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าได้อย่างง่ายดาย

    “ถอยออกไปห่างๆฉันได้แล้วทุกคน ฉันจะไปเปลี่ยนชุด” ฉันบอกปัดคนพวกนั้นอย่างสุดแสนจะรำคาญแล้วลุกขึ้นเดินเชิดหน้าดุจนางพญาก่อนจะสะดุดตากับใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนที่นั่งอยู่ริมขอบสระ ฉันพุ่งตัวไปหาเขาด้วยความเร็วสูงจนไม่ทันระวัง ทำให้ส้นรองเท้าที่สูงกว่าหกนิ้วหักออกเป็นสองท่อนส่วนตัวเองก็สะดุดหน้าทิ่มลงไปในสระที่น้ำลึกท่วมหัว ฉันตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำและร้องขอความช่วยหลือแต่ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันไม่มาช่วยฉัน ฉันที่ตะกรุยน้ำและร้องกรี๊ดๆจนจะหมดแรงค่อยๆจมลงในสระน้ำดำดิ่งลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง ขณะที่สติเริ่มเลือนรางเพราะหายใจไม่ออก ฉันก็รู้สึกถึงแรงดึงที่มือและสัมผัสที่ริมฝีปากเมื่อได้รับออกซิเจนฉันก็เริ่มลืมตาขึ้นได้ก่อนจะเห็นใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ได้ชัดเจนขึ้น ฉันกระโดดกอดคอคุณชายทันทีที่เราโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ด้วยความตกใจฉันเลยเผลอร้องไห้ออกมา

    “ฉันกลัว พาฉันขึ้นไปที” ฉันกอดคุณชายไม่ยอมปล่อยแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามแกะมือปลาหมึกของฉันออกแต่ยิ่งแกะฉันก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นจนคุณชายแทบขยับตัวไม่ได้

      “นาย ไม่คิดจะพูดอะไรปลอบใจฉันหน่อยเหรอ ฉันขวัญเสียอยู่นะ” ฉันเริ่มโวยวายเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นิ่ง  

    “แชมป์กีฬาว่ายน้ำสามสมัยอย่างคุณคงไม่ต้องการให้ผู้ชายที่ตัวเองเกลียดปลอบใจหรอก”หมอนั่นพูดก่อนจะค่อยๆแกะมือฉันออก

    “นายรู้เหรอ” ฉันถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่คิดว่าแผนแรกจะแตกเร็วขนาดนี้

    “คุณเป็นคนดัง เป็นซุปตาร์ระดับโลกทำไมผมถึงจะไม่รู้ล่ะ เรื่องของคุณน่ะหาง่ายกว่ายาสามัญประจำบ้านซะอีก” หมอนั่นพูดอย่างรำคาญฉันนิดๆ   หรืออาจจะไม่นิด(?)

    “นายก็พูดได้นี่ พูดจากวนส้งติงด้วย เห็นนายไม่ยอมพูดนึกว่าเป็นใบ้ซะอีก” ฉันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันเพราะกลัวคุณชายจะจับได้ว่าฉันทำแบบนี้ไปเพราะต้องการให้เขาช่วย แต่กลับโดนจับได้ก่อน ไอ้ที่ลงทุนแกล้งจมน้ำพร้อมทั้งกำชับคนในกองว่าปล่อยให้คุณชายเป็นคนไปช่วยฉันเนี่ยไม่ได้ทำให้คุณชายมีความรู้สึกอยากปกป้องฉันเลยสักนิด  เอ?? แต่เมื่อกี้หมอนี่บอกว่าเรื่องของฉันหาง่ายกว่ายาสามัญประจำบ้านงั้นหรอก็หมายความว่าเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวฉันน่ะสิ แล้วเขาจะหาข้อมูลฉันไปทำไมกันถ้าเขาไม่ได้    สนใจฉัน!!!!  >O<

    “นายชอบฉันหรอ?” ฉันถามเข้าประเด็นในทันทีเมื่อคิดเองเออเองเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว

    “หา!!!

    “ไม่หาหรอก เพราะยังไงก็ไม่เจอ ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าคนหยิ่งๆอย่างนายเนี่ยจู่ๆมาตกปากรับคำเป็นพระเอกให้วงพวกฉันทำไมทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้เคยปฏิเสธมาทุกงานแต่ตอนนี้ฉันรู้ละว่าทำไม เพราะนายชอบฉันนี่เอง” ฉันมองหน้าคุณชายอย่างจับผิด ขณะที่อีกฝ่ายก็ตีหน้าตายไร้อารมณ์ร่วม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธฉันก็เข้าสู่โหมดคิดเองเออเองอีกรอบ

    “ถ้านายชอบฉันทำไมไม่บอกฉันตรงๆล่ะ มาทำเป็นเย็นชาใส่อยู่ได้ หรือว่าทำไปเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน   แหม แผนสูงเหมือนกันนะนายเนี่ย” ฉันชี้หน้าอีตาคุณชายอย่างล้อเลียน หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างไม่ค่อยเข้าใจก่อนจะพูดออกมา

    “ถ้าคุณคิดอย่างนั้นแล้วมีความสุข ก็ตามสบาย” หมอนั่นพูดก่อนจะหันหลังเดินออกไปทิ้งให้ฉันยืนตีความหมายคำพูดของเขาอยู่คนเดียวอย่างงงๆ? เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าคุณชายต้องการสื่อสารอะไรฉันเลยเลิกใส่ใจและเตรียมจะหมุนตัวกลับไปเปลี่ยนชุดบ้างก็ชะงักทันทีเมื่ออีตาคุณชายหันกลับมาและพูดขึ้นว่า

    “เย็นนี้สองทุ่มเจอกันที่ภัตตาคารเพอร์เฟกต์นะ”

    “เมื่อกี้ว่าไงนะ” ฉันถามซ้ำอีกครั้งเพราะคิดว่าตัวเองหูฝาด

    “ถ้าคุณไม่ไปผมก็ไม่บังคับ” หมอนั่นพูดและเตรียมจะเดินออกไป

    “ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปซะหน่อย ฉันแค่จะขอให้นายพูดมาสามคำเพื่อเป็นการเชิญชวนให้ฉันไปดินเนอร์กับนายเท่านั้นเอง” ฉันรีบแก้ตัวเพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจไม่ชวน นี่เป็นโอกาสอันดีที่ฉันจะอ่อยหมอนั่นเลยนะ เขาหยุดเดินก่อนจะพูดสามคำตามที่ฉันขอออกมาแต่กลับไม่หันมามองหน้าฉันที่รอฟังอยู่

    “ผมจะรอ” พูดจบครบสามคำ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่สนใจอะไรฉันอีกเลย นี่คงเป็นวิธีจีบสาวของเขาสินะ ไอ้การทำให้อยากแล้วจากไปน่ะ แต่ก็ดีเหมือนกันแหละยิ่งถ้าแผนการของฉันสำเร็จเร็วแค่ไหนฉันก็จะได้ไปให้ไกลจากเขาเร็วเท่านั้น เพราะหมอนั่นมีบางอย่างที่ส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจที่ไม่ค่อยจะใสสะอาดและปราศจากซึ่งความดีงามของฉัน เขาทำให้ฉันหวั่นไหวและไขว้เขว >///<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×