คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ฆาตกรใกล้ตัว ตอนจบ
ภูวดลกับนพรัตน์เข็นรถเข็นวางกล่องนิรภัยมาในห้องแล็ปแล้วทั้งสองก็เปิดกล่องนำพระพุทธรูปโบราณออกมาว่างบนโต๊ะในแล็ปเล่นเอาคนทั้งแล็ปหันมาดูกันเพราะความงามขององค์พระที่เป็นศิลปะขึ้นเอกของประเทศเลยก็ว่าได้ ทั้งคู่ถอดเครื่องทรงออกมาเรียงบนโต๊ะและแยกประเภท มนัสเดินเข้ามาดูและร้อง
“ว้าว นี้เหรอของที่คุณหาอยู่”
“ใช่ พระพุทธรูปสมัยต้นรัตนโกสินทร์”
“ด๊อกเตอรือยู่คงได้ฟังเรื่องเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์แน่”
“แล้วหัวหน้าเป็นไงบ้าง” นพรัตน์ถาม
“ยังไม่ฟื้นเลย”
“สิบเจ้ดครั้ง หนักเอาเรื่องนะ” ภูวดลพูด “แต่ว่าเราจะตรวจยังไงไม่ให้เสียหาย”
“ผมว่าผมมีวิธี” มนัสพูดและยิ้ม
ณัฐพัชร์ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์เดินเข้ามาในห้องพักของกรวิก กรวิกนอนอยู่บนเตียงคนไข้มีสายต่างๆเต็มตัวไปหมด มีสายออกมาจากปาก จมูกจนคนเป็นหมออกจะตกใจเหมือนกัน ณัฐพัชร์ว่างดอกลิลลี่สีขาวบนโต๊ะหัวเตียงและหันมาพูดว่า
“ดอกลิลลี่สีขาวมีความหมายแทนสุขภาพที่ดี ผมเลยเอามาเยี่ยม คุณเป็นไงบ้างมันเป็นคำถามที่บ้ามากใช่ไหม” ณัฐพัชร์จับมือกรวิกขึ้นมากุมไว้ “ผม...ผมน่าจะไปบ้านคุณเมื่อวานนี้ผมคงพอจะช่วยคุณได้ กรผมไม่ขออะไรมากขอร้องที่รักตื่นทีเถอะ คุณนอนมานานแล้วนะ ตื่นเถอะ”
ณัฐพัชร์ก้มหน้าและพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแต่มันก็ไหลออกมาอย่าหยุดไม่ได้ ทันใดนั้นเองมือของกรวิกก็ขยับและตาเขาก็ค่อยลืมตื่นแลเกิดอาการสำลัก ณัฐพัชร์ตาโตด้วยความดีใจรีบคว้าเครื่องกดสัญญาณถึงพยาบาล พยาบาลก็วิ่งเข้ามาทันที
เบญญาภารีบเดินมาในโรงพยาบาล วีรภาพยืนรออยู่ที่หน้าห้องพัก เบญญาภามาถึงก็พูดว่า
“เป็นไงบ้าง”
“ฟื้นแล้วแต่ว่ายังพูดอะไรไม่ได้นะดูเหมือนจะเป็นอัมพาตชั่วคราวด้วย แต่สติสัปชัญญะครบถ้วน ฟังนะ กรยังไม่พร้อมจะบอกอะไรทั้งนั้นต่อรอไปอีกสองสามวันกว่าเขาจะพูดได้คุณจะรีบไปหรือเปล่า”
“ฉันว่ากรคงใจร้อนพอๆกับฉันนั้นแหละ”
“แต่ผมว่าไม่”
“ทำไม”
“เดี๋ยวคุณก็รู้ แต่ว่าผมตรวจสอบคำพูดของเกียรติศักดิ์แล้วเขาไม่ได้โกหก”
“ไม่แน่ เขาอาจกลบร่องรอยเก่งก็ได้ ฉันจะหาคำตอบเอง” วีรภาพยอมแพ้ปล่อยในเบญญาภาเดินเข้าไป กรวิกนอนอยู่บนเตียงมีเครื่องช่วยหายใจและท่อที่สอดเข้าไปในคอ ร่างกายขยับไม่ได้มีรัฐพัชร์ที่นั่งเช็ดตัวอยู่ข้างๆ กรวิกส่งสายตาให้เบญญาภาสูดหายใจรวบรวมสติและพูดว่า
“กร พี่อยากให้กรช่วยอะไรหน่อย พี่จะให้ดูรูปผู้ต้องสงสัยถ้าใช่ก็พยักหน้าบอกนะ” กรวิกได้แต่กระพริบตาให้ เบญญาภาพยักหน้าและชูรูปเกียรติศักดิ์ กรวิกหลับตาและส่งสายตาว่าไม่ ทำเอาเบญญาภามองหน้าวีรภาพที่ยิ้มให้อย่างมีชัยว่าเขาถูก เบญญาภาชูรูปคนอื่นแต่กรวิกก็บอกไม่จนมาหยุดที่รูปของนิตยา พี่สาวคนโต กรวิกดูจะอึดอัดมากและนิ่งอยู่นานเพื่อตัดสินใจว่าจะตอบยังไงดีและพยายามหลบสายตาของเบญญาภาก่อนส่งสายตาว่าไม่ใช่ เบญญาภามองวีรภาพที่เห็นเหมือนกันก่อนพูดว่า “ขอบใจพักผ่อนเถอะ” ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องก่อนที่จะพูดพร้อมกันว่า
“กรโกหก”
“เกียรติศักดิ์เขาพูดจริงวี แต่นิตยานี้สิไม่น่าเลยนะ”
“ใช่มันแปลกมากพยานรู้เห็นเหรอ”
“ไม่รู้สิ สืบเรื่องเธอดู”
“ได้”
นพรัตน์กับภูวดลกำลังตรวจลายนิ้วมอที่ได้จากพระพุทธรูปด้วยฟีมือการส่องไฟหลายสีของมนัสที่ไม่ทำลายศิลปวัตถุโบราณ ทั้งสองเจอรายชื่ออีกสามคนซึ่งเป็นเด็กวัดในนั้นเอง
“เอาละหนึ่งในนี้คงบอกเราได้ เพราะนายณนคงต้องไปอยู่ศรีธัญญาเป็นการถาวร”
“เด็กวัดทั้งหมด นายคิดว่าไงนพ”
“เกลือเป็นหนอนเหรอ”
“เดี๋ยวนะเด็กที่เป็นพยานให้เราบอกว่ามีพระห้ารูปกับเจ้าตัวที่รู้เรื่องนี้”
“แต่ไม่มีลายนิ้วมือของเด็กคนนั้นนะ”
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้รู้เห็นเป็นใจซะหน่อย”
“หนุ่มๆ” พนิดาเดินเข้ามา “อยากฟังข่าวหรือยัง”
“พอดีทีเดียวว่ามา”
“ฟังนะเด็กพยานของเรายอมพูดบ้างอย่างออกมา เขาถูกซ้อมให้บอกความจริงและหัวโจกคือพระมหาสัญญา รองเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสผู้นี้มีชาวบ้านเห็นว่าท่านอยู่วัดในเวลาที่เกิดเหตุแต่ไม่มีใครเห็นท่านไปทำวัตรเย็น”
“มุสา ศีลพื้นฐานก็ผิดแล้ว”
“เพราะเขาเป็นคนบ่งการไงเพื่อน แม็กเราต้องการดีเอ็นเอลึกลับที่นายพบฉันว่าเราหาได้”
“นายจะหายังไง”
“วิธีของสารวัตรจิรายุ เรามีลายนิ้วมือของคนทั้งวัด” และทั้งคู่ห็พูดพร้อมกัน
“มันมีดีเอ็นเอ”
ปาราตีเดินเข้ามาในห้องทำงานของเบญญาภาและพูดว่า
“พี่เบญ เป็นอะไรไปเหรอค่ะ”
“พี่คาใจเรื่องปฏิกิริยาของกร ทำไมเขาต้องโกหก เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย”
“กรอาจจะมีเหตุผลก็ได้นะ”
“เหตุผลอะไรพี่ไม่เข้าใจ”
“นี้อาจจะทำความเข้าใจได้บ้าง หมอวิแยกดีเอ็นเอจากกองเลือดของกรปรากฏว่ามีดีเอ็นเอที่ไม่ใช่ของกร แต่มีคู่โครโมโซนที่คล้ายกรแต่เป็นผู้หญิงและมีอาการของคนที่ป่วยเป็นเบาหวาน”
“เบาหวาน”
“ใช่”
“มิน่ากรถึงโกหก”
“รู้แล้วเหรอ”
“ถูก เข้าใจมากเลยละ” เบญญาภากดโทรศัพท์และพูดว่า “วี ไปที่บ้านนิตยาเดี๋ยวนี้เธอเป็นคนร้าย คนทำร้ายกรชื่อนิตยา”
นพรัตน์กับพนิดาเดินลงจากรถและตรงไปที่ศาลาการเปรียญอย่างรวดเร็ว พระมหาสัญญารองเจ้าอาวาสที่กำลังเทศน์นักเรียนที่มาเข้าค่ายอยู่ นพรัตน์กับพนิดาเดินไปถึงและนพรัตน์ก็พูดว่า
“สอนคนอื่ได้แต่ดูเหมือนว่าท่านจะลืมสอนตัวเองนะครับ” หมดหันไปมองทีเดียว
“โยมพูดอะไร”
“ก็กำลังพูดความจริงไงครับว่าผมกำลังจะจับท่านในข้อหาฆาตกรรม จ้างวานจัดหาและลักลอบขนย้ายขายโบราณวัตถุอันมีค่าของแผ่นดิน”
“ดยมคงจับอาตมาไม่ได้”
“แต่อาตมาทำได้” เสียงสมเด็จพระวันรัตเจ้าคณะหนกลางใหญ่เดินทางมากด้วยตัวเองด้วยตำแหน่งอำนาจ พระสัญญาต้องลงมาจากเวทีมากราบตามฐานะ “ท่านทำผิดอันมิอาจให้อภัยในทางสงฆ์ได้ อาตมาจึงนำคำตัดสินมาทางทัณฑ์แก่ท่านให้อาบัติปราชิกออกจากคณะสงฆ์ไปซะอาตมาจะเป็นคนลาสิกขาเอง” พระสัญญาหมดท่าได้แต่เดินตามไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาท่ามกลางเสียงพูดที่สนใจกับเหตุการณ์ข้างหน้าพอสึกเสร็จ สวมเสื้อผ้าออกมาพร้อมตำรวจที่คุมพนิดาก็คว้ากุยแจมือมาสวมและพูดว่า
“คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด คำพูดของคุณจะเป็นหลักฐานในชั้นศาล ไปได้”
“สามสิบพรรษา” นพรัตน์พูดหลังจากอ่านประวัติในห้องสอบสวนของสัญญา “ไม่ได้ทำให้คุณมีจิตใจอันสูงส่งได้เลย”
“เกิดอะไรขึ้น ผ้าเหลืองมันอดอยากขนาดนั้นเลยหรอต้องฆ่าพระที่ดีอีกห้ารูปเลยเหรอ”
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“เราเลิกโกหกกันเถอะ ผมพบหลักฐานที่บอกว่าคุณเป็นคนทำไอ้เด็กที่คุณจ้างมาร่วมหัวจมท้ายกับคุณสารภาพแล้วแต่รู้ไหมไม่ทันจะได้รับโทษก็เป็นบ้าแล้วสอง ตายระหว่างหนีหารจับกุมผมว่ามันเป็นกรรม คุณก็เหมือนกันแต่จะมากหน่อยเพราะคุณเป็นพระ เอาเถอะน่าอย่าให้ผมต้องสาธยายต่อเถอะ คุณทำทำไม”
“ผม ผมต้องหาเงินผมเป็นหนี้เลยต้องหาเงินผมบอกให้พวกเขาขายแต่ก็ไม่ยอมอะไรนักหนาก็ไม่รู้”
“คุณเลยต้องลงมือถอดรากถอนโคน”
“ผมรับผิดทุกอย่าง”
“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะได้เจอมารศาสนาตัวจริง”
นิตยานั่งอยู่ในห้องสอบสวนต่อหน้าเบญญาภา เธอมองสายตาที่เสียใจสุดๆเช่นกัน
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นคุณ พี่สาวที่รักดูแลและคอยเป็นกาวใจให้พ่อกับน้องชายคนเล็ก พี่สาวที่กรเคารพที่สุด”
“คุณจะพูดอะไรฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“เลิกโกหกสักที ฉันมีหลักฐานคุณมาที่บ้านกรตอนตีสอง เป็นธรรมดาที่เขาจะรับแต่คุณไม่ได้มีเรื่องปรึกษาคุณใช้ความวางใจของเขาทำร้ายเขาเพราะคุณอยากได้มรดกมากกว่านี้”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ต่อนะ ฉันพบดีเอ็นเอคุณในที่เกิดเหตุมันเป็นเลือดใช้เวลานานอยู่แต่ก็หาเจอ แต่ว่าฉันก็หาเจอภาพคุณในก้องของหมู่บ้านในเวลาเกิดเหตุและมีดที่คุณเก็บซ่อนในบ้านคุณฉันเจอมันเต็มไปด้วยเลือดของกรและลายนิ้วมือคุณ คุณมีแผลที่มือคงเกิดจากตอนที่คุณพยายามดึงมีดออกจากร่างของกรก่อนจะแทงซ้ำ”
“ฉันไม่ได้ทำ ฉันไปเยี่ยมเขาด้วย”
“คุณไม่ได้ไปเยี่ยม คุณไปดูว่าเขาตายหรือยัง” เบญญาภาลดเสียงลง “ไม่เอาพอเถอะคุณรู้เรื่องพินัยกรรมของกรท่าเขาตายคุณเป็นผู้รับมรดกเพียบเลย คุณเลยต้องการมันทำไม คุณทำได้ไง”
“ฉันต้องทำ”
“ทำไมล่ะ คุณได้ไปตั้งร้อยล้านไม่พอเหรอ”
“ฉันอยู่ตัวคนเดียว ฉันทุ่มเทดูแลพ่อและครอบครัวมานาน ฉันป่วยและไม่มีคนสนใจฉันฉันต้องมีหลักประกันให้ตัวฉันสิ มรดกฉันกลายเป็นของสามีเก่าเพราะกระดาษแผ่นเดียวที่ฉันเซ็นตอนหย่านั่นมันของๆฉัน ฉันต้องได้”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่นิตที่ฉันรู้จักกลายเป็นแบบนี้ได้”
“ความจริงกรก็ไม่มีความผูกพันกับพวกเราอยู่แล้วเขาไม่ควรได้ด้วยซ้ำ”
“แต่มันเป็นของเขา เป็นของกร ฉันจะบอกอะไรให้นะ กรรักคุณมากนะเขาบอกว่าเขาจะเอาคุณมาดูแลที่บ้านเขาเพราะคุณอยู่ตัวคนเดียว ส่วนทรัพย์สินของคุณกรกได้คืนมาหมดแล้วฉันเดาว่าตอนที่คุณจะทำร้ายเขาเขากำลังจะบอกคุณพอดี” นิตยาตาโตด้วยความตกใจ “ส่วนลูกชายคุณที่ร่ำเรียนเมืองนอกเวลานี้กรเป็นคนส่งเสียให้ไม่ใช่สามีหรือพ่อคุณ คุณทำร้ายคนที่รักคุณเพราะความโลภเท่านั้นเอง” นิตยานั่งอย่างตกใจและน้ำตาไหลออกมา เบญญาภากลืนน้ำลายและพูดว่า
“ที่สำคัญตอนที่ฉันสอบสวนเขาเขาไม่พูดด้วยซ้ำว่าคุณเป็นคนทำ”
“พระเจ้า” นิตยาร้องไห้ออกมา
“ฉันจะปล่อยให้คุณคิดอะไรสักพักก่อนก็แล้วกัน ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุณถูกจับข้อหาพยายามฆ่า ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเกือบถึงแก่ชีวิต” เบญญาภาพยักหน้าและเดินออกจาห้องปล่อยให้นิตยาร้องไห้อยู่ตรงนั้น
กรวิกฟื้นตัวได้มากเขาพูดได้แล้วแต่ยังไม่สามารถขยับร่างกายได้มากและเป็นอัมพาตท่อนล่างด้วยซ้ำซึ่งแพทย์บอกว่ามันเป็นชั่วคราวเท่านั้นต้องทำกายภาพบำบัดก็จะกลับมาเดินได้ กรวิกนั่งอยู่บนรถเข็นออโต้เมติกที่ควบคุมด้วยจอยสติ๊กบนที่เท้าแขนและปุ่มต่างๆอยู่ที่ระเบียงของโรงพยาบาล เบญญาภายืนคุยกับเขาอยู่
“พี่จับได้นะว่ากรโกหก”
“พี่รู้จักผมดีที่สุด”
“แต่พี่รู้ว่าทำไม กรคงทำใจยากสิใช่ไหม”
“ผมเข้าใจเขานะ ผมเองก็ชั่งใจไม่รู้จะทำยังไงแต่ว่า ผมแค่...ช่างมันเถอะมันผ่านไปแล้ว”
“ต่อจากนี้คงหนักสำหรับกรนะ”
“ผมเจออะไรมามากพี่ แต่ตอนนี้ผมต้องไปพัก พักยาวเลยทีเดียว”
“ใช่และกรจะไปอยู่ไหน บ้านกรท่วมแล้วนี้”
“ผมมีที่อยู่ก็แล้วกัน” ณัฐพัชร์เดินมานั่งลงข้างเขาและส่งแก้วมีหลอดให้เขาดูดน้ำและพูดว่า
“คุณคงไปอยู่บ้านผมไม่ได้แล้วละ”
“ทำไม”
“มีคนมารับคุณนะสิ” กรวิกจับคันโยกหมุนรถกลับ วีรภาพ ภูวดล วิภาดา นพรัตน์ ปาราตี พนิดายืนดูเขาอยู่และก็หลีกทางให้สุภาพสตรีร่างท้วมสวมผ้าไหมสีชมพูอ่อนถือกระเป๋าสีขาวราคาแพงที่มองด้วยกรวิกด้วยสายตาอบอุ่นอย่างที่เคยได้รับตลอดมา ไม่ต้องบอกกกรวิกก็รู้ว่าเขาคือแม่ที่เลี้ยงเขามาศาสตราจารย์มาลินี พิสิษฐวงศ์ กรวิกยิ้มพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า มาลินีเดินเข้ามาลูบหัวก่อนประคองกอดอย่างแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความรักที่มหาศาล
“แม่มารับลูกไปเชียงราย บ้านแม่ที่นั้นอากาศกำลังดีเลยไม่เถอะนะ ไปอยู่กับแม่”
“ครับ” กรวิกหันมาส่งสายตาให้กับเบญญาภาก่อนที่วีรภาพจะเข้ามาเข็นรถไปส่งกรวิกขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้ไปสนามบิน ทุกคนยืนมองเขาอย่างดีใจที่เพื่อนของเฟื้นตัวได้ และกรวิกก็ได้อยู่กับผู้หญิงที่รักเขาอย่างแท้จริงแน่นอน
ความคิดเห็น