ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่เป็นชินอ๋องทั้งทีไม่ขอเป็นพระรองได้ไหมครับ?

    ลำดับตอนที่ #3 : ถ้าเป็นไปได้ก็อยากใส่แค่บ็อกเซอร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 48
      0
      4 ส.ค. 64

     ตลอดทางเดินไปสู่อุทยานที่ใกล้ตำหนักชินอ๋องที่สุด หวังจื้อหรงถูกขุนนางทักไปแล้วนับสิบคน นางกำนัลและขันทีหยุดคำนับมากกว่านั้นอีกเท่าหนึ่ง

    อินโทรเวิร์ตผู้หนึ่งในร่างผู้สูงส่งรู้สึกอึดอัดสุดชีวิต จึงใช้สิทธิ์ผู้ยอมค้อมหัวให้เพียงคนผู้เดียวในแผ่นดินไม่ตอบคำใคร กางพัดบังครึ่งหน้าบดบังจมูกแดงเรื่อเอาไว้เห็นแก่ภาพลักษณ์หวังจื้อหรงคนเก่า ทุกย่างก้าวสัมผัสได้ถึงความเฉยชาทำอย่างกับผู้คนรอบข้างเป็นเพียงฝุ่นธุลีดิน แต่เหล่าผู้ติดตามด้านหลังเขาก็ไม่มีผู้ใดว่าอะไร ราวกับเคยชินพฤติกรรมนี้ของชินอ๋องอยู่แล้ว

    ไม่สนใจเรื่องอะไรนอกจากงานในและนอกราชสำนัก คือคำอธิบายเดียวที่ชัดเจนที่สุดเมื่อพูดถึงหวังจื้อหรงเหอซั่วชินหวัง

    แต่กับนายข้าวปั้นน่ะไม่ใช่ เขาเดินหนีเพราะคุยกับใครไม่เก่งต่างหาก

    นักเลงคีย์บอร์ดตัวยงอย่างเขา จะให้สนทนากับคนที่ไม่ได้สนิทใจด้วยต่อหน้าตรงๆ นั้นเป็นไปไม่ได้

    แต่ลึกๆ แล้วข้าวปั้นก็สัมผัสได้ ว่าหวังจื้อหรงเองก็ไม่ชอบสนทนาไร้สาระอะไรกับใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเช่นกัน

    การคีพคาร์เป็นหวังจื้อหรงจึงไม่ยากอย่างที่คิดเท่าไหร่

    ล่ะมั้ง?

     

     

     

    กว่าจะถึงศาลากลางบึงบัว บึงเดียวกันกับเมื่อวานก็เสียพลังงานให้กับการวิ่งหนีคนชวนคุยไปแล้วหลายส่วน

    หวังจื้อหรงรีบหย่อนตูดลงกับเก้าอี้หินอ่อน โดนอาการป่วยไข้ถ่วงไว้ทำเอาแค่เดินมานั่งที่ศาลากลางน้ำก็เหนื่อยเสียแล้ว แถมเข้าฤดูร้อนอย่างนี้ถูกบังคับให้ใส่ชุดอย่างกับอยู่ในหน้าหนาวอีกก็ทำลมแทบจับแบบนี้ไม่รู้อู๋กงกงมันคิดอะไรยังไงของมัน จะห่วงกันหรือจะฆ่ากันต้องเลือกสักอย่าง! 

    ก่อนตายนายข้าวปั้นก็เป็นแค่หนุ่มชาวไทยวันๆ ใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินโทงเทงไปทั่วหอพักแสนจะสบายตัวไม่ยักจะมีใครว่า จะให้มาแต่งตัวเหมือนเป็นขนมชั้นแบบนี้ นายข้าวปั้นไม่โอเค! 

    หวังจื้อหรงจึงถอดผ้าคลุมขนสัตว์และเสื้อตัวนอกบุหนาออกสองตัวโยนให้อู๋กงกง มือข้างหนึ่งรวบผมขึ้นสูง มืออีกข้างโบกพัดอย่างแรงตามซอกคอจนคอปกเสื้อกะพรือไหวเห็นความขาววับๆ แวมๆ ยิ่งจมูกโด่งรั้นนั่นขึ้นสีแดงเรื่อ ใต้ตาเหมือนถูกทาชาดแดงก่ำ เม็ดเหงื่อน้อยผุดตามไรผม พวงแก้มส่งสีชมพูอ่อนจากพิษไข้และอากาศอบอ้าวยิ่งส่งใบหน้าหล่อเหลาดูให้ยั่วยวนขึ้นมาสิบส่วนโดยไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์อะไรมาก 

    บ่าวไพร่แตกตื่นตาโต นางกำนัลเขินขวยเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองชินหวังผู้หลงเหลือเพียงเสื้อบางเบาลู่ลงตามสัดส่วนสวรรค์ประทานนั้น

    "ชินอ๋อง! ไม่ได้ ไม่ได้ เช่นนี้ไม่เหมาะสม!" อู๋กงกงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้รีบโดดเข้าตะครุบเอาเสื้อนอกชั้นหนึ่งมาคลุมให้ชินอ๋องทันที แต่กลับถูกชินอ๋องหันมาถลึงตาใส่

    "โอ๊ย ไม่เหมาะสมอะไร เสื้อยาวเฟื้อยขนาดนี้มันจะเอาอะไรมาโป๊ แล้วเสื้อผ้าหนาอย่างกับกำแพงวังอย่างนี้คิดจะอบกันทั้งเป็นหรือยังไ-"

    ราวกับมีสิ่งใดดลใจให้หวังจื้อหรงมองข้ามผ่านไหล่กว้างของอู๋กงกงไป พลันชินอ๋องกลับสบเข้ากับสายตาใครบางคนไกลๆ บนกิ่งต้นไม้ใหญ่ริมขอบบึงฝั่งตรงข้ามพอดี สายตาคู่นั้นค้างเติ่งราวกับงงงวยอยู่ได้ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าต้องซ่อนตัว ชายตัวใหญ่ในชุดดำจึงพุ่งหายไปอย่างรวดเร็วเห็นเป็นเพียงเส้นสีดำสายหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ไม่เห็นตัวอีกแล้ว

    หวังจื้อหรงกระพริบตาปริบๆ สิ่งเดียวที่แล่นเข้าสมองเมื่อได้เห็นสายลับโผล่แค่ตาคนนั้น คือเหล่าภาพประกอบสปินออฟอุบัติรักทรราชเล่มสาม

    คู่ของตัวหลัวเป้ยเล่อหรือน้องสี่กับสามีนักฆ่าในเงามืดสุดจะหล่อเท่ของเขา

    หวังจื้อหรงขนลุกเกรียว เพิ่งคิดได้ว่าการทำตัวรุ่มร่ามอย่างเมื่อกี้อาจก่อให้เกิดอีเว้นท์ปักธงบทพระรองในเนื้อเรื่องฝั่งน้องสี่เอา และอาจส่งผลให้เกิดเรื่องวุ่นวายในอนาคตก็เป็นได้ จึงรีบสวมเสื้อคลุมใหม่อย่างเรียบร้อยโดยไม่ต้องรอให้อู๋กงกงเอ่ยปากบ่นได้อีกคำ

    แม้จะไม่ทันแล้วก็ตามที

     

     

    เอ่อ แต่ว่า ซ่อนแบบนั้นมันเนียนจริงๆ หรอวะ

    เสื้อดำท่ามกลางต้นไม้เขียว พี่เขาเอาสมองส่วนไหนมาคิดว่าควรใส่เสื้อตัวนี้กันหนอ

    หรือพี่เช็คดวงว่าวันนี้สีมงคลเป็นสีดำพี่เลยใส่มา

    หรือสกิลซ่อนตัวแนบเนียนมันจะใช้ได้กับทุกคนยกเว้นกับนายเอกและพระรองตัวซวยอย่างเขา?

     

    หวังจื้อหรงเกิดปวดกบาลในทันใด เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งวันกว่าๆ ยังไม่ทันจะรู้เรื่องรู้ราวในวังหลวงดีก็มาป๊ะเข้ากับหนึ่งในพระเอกเข้าเสียแล้ว

    ฤกษ์ไม่ดี ฤกษ์ไม่ดี ออกจากบ้านโดยไม่ดูฤกษ์ยามโดยแท้ 

    ผู้สูงส่งฟาดพัดเข้าขมับตนดังแป๊ะ มือหนึ่งกระชับเสื้อคลุมผืนหนาแล้วหมุนตัวเต็มวงกลมก้าวออกจากศาลากลางบึง

    "เฮ้อ ช่างเถิด ช่างเถิด ข้าจะกลับตำหนักแล้ว ปวดหัวยิ่งนั-"

    "ชินอ๋อง!! ชินอ๋อง! เกิดเรื่องพ่ะย่ะค่ะ!!"

     

    ก็บอกว่ากูจะกลับตำหนั๊ก!!!

     

    ปลายเท้าหยุดชะงัก ดวงตาหงส์หรี่ลงมองผู้ถลาเข้ามายอบกายแนบเท้า เป็นขันทีชราไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่ง ดูแล้วไม่น่าจะอยู่ในสังกัดการทำงานภายใต้อำนาจของเหอซั่วชินหวัง แต่กลับรีบร้อนวิ่งหาหวังจื้อหรงเช่นนี้หากไม่มีใครเอาการเอางานพอให้ฟ้องก็ย่อมเป็นอีเว้นท์เรื่องน่าปวดหัวในวังหลวงมาให้พระรองช่วยแก้ไขเป็นแน่

    คิดแล้วก็หงุดหงิดจนปิดไม่มิด กระแสความรู้สึกแผ่ออกมาผ่านสายตาเล็กน้อยพอจับได้ ขันทีชรารับรู้จึงตัวสั่นงันงกอย่างน่าสงสาร

    "วัง... วังหลังขอรับ วังหลัง"

    ขันทีชรามัวแต่หอบไม่ยอมพูดให้ความกระจ่าง อู๋กงกงจะออกปากเอ็ดให้รีบพูด กลับถูกหวังจื้อหรงห้ามไว้ด้วยการยกมือเพียงครั้งเดียว

    "ผู้อาวุโสใจเย็นก่อน พักหายใจให้ทั่วท้องเสียก่อนแล้วค่อยพูด"

    หวังจื้อหรงถอนหายใจบางเบา เขารู้ว่าการระบายความหงุดหงิดไปลงผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก(แต่กับอู๋กงกงก็ไม่แน่ ไม่รู้ว่าไปมันเขี้ยวอะไรเขาเหมือนกัน)โดยเฉพาะกับผู้อาวุโสกว่าตน ไม่ใช่แค่กับตำแหน่ง แต่ย่อมหมายถึงช่วงอายุด้วย

    ผู้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินแต่อยู่ใต้คนหนึ่งเดียวจึงคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง ใบหน้ารับแสงสะท้อนจากบึงบัวขับให้ดวงหน้าหวังจื้อหรงนุ่มนวลขึ้นสองส่วน พัดหรูหรากางออกพัดโบกให้ขันทีเฒ่าผู้นั้น เผลอทำตามความเคยชินของชาติเก่าที่ไม่อาจทนเห็นคนเฒ่าคนแก่ลำบากได้โดยไม่ทันยั้งคิด

    ข้าวปั้นสงสารขันทีเฒ่าจับใจ อายุปูนนี้แล้วยังต้องวิ่งเต้นไปมาในวังอีก ใครหนอช่างแกล้งคนแก่ได้ลงคอ

     

    ทั่วบริเวณเงียบกริบ บริวารรอบข้างไม่แน่ใจว่าวันสองวันที่ผ่านมาหวังจื้อหรงเหอซั่วชินหวังผู้นี้สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเขามาแล้วกี่ครั้ง ทำให้ตาเบิกโตมาแล้วกี่ครั้ง เกิดข้อสงสัยต่อชินหวังมาแล้วกี่ประการ

    แต่หนนี้ แม้แต่บ่าวที่เหินห่างจากหวังจื้อหรงที่สุด ยังพูดได้เต็มปากว่าชินอ๋องแตกต่างจากที่เคยเป็นยิ่งนัก

    "ชินอ๋องโปรดอย่าลดตัวเช่นนี้ กระหม่อมเพียงนำปัญหามาแจ้ง ขอเพียงพระองค์ทรงเมตตาช่วยแก้ไข"

    ได้ยินอย่างนั้นข้าวปั้นก็เพิ่งนึกได้ว่าตนกำลังOOCสุดโต่ง จึงตบพัดเก็บแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เต๊ะท่าปัดมือไขว้หลังให้ขันทีเฒ่าเงยหน้ามองตนอย่างองอาจ

    จะคีพคาร์ก็ต้องคีพให้สุดสิวะพงศธร แซ่เฉิน!

     

    "อย่าพูดมากให้เปลืองน้ำลาย บอกธุระเจ้ามาเสีย"

    "เอ่อ... พระสนมพ่ะย่ะค่ะ เหล่าพระสนมเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันพ่ะย่ะค่ะ"

    "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ"

    เออ อันนี้สงสัยจริง เมียพี่ตีกันแล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้องรอง?

    ขันทีเฒ่าอึกอักไม่ยอมพูดต่อ ท่าทางเป็นทุกข์อย่างหนักแต่ปากไม่อาจเอ่ยออกมาได้เต็มปากเต็มคำ อีกส่วนก็ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมชินอ๋องจึงได้ตอบกลับแบบนี้

    "หนึ่งในพระสนมเหล่านั้น เป็นพระสนมเพศชายที่กระหม่อมถูกมอบหมายให้รับใช้พ่ะย่ะค่ะ"

    หวังจื้อหรงคิ้วกระตุก สัมผัสได้ถึงลางมรณะมาแต่ไกล

    อีหรอบนี้ดูยังไงก็น่าจะเป็นพล็อตนายเอกน้อยน่าสงสารถูกขายเข้าวังมาเป็นเมียฮ่องเต้ตัวโง่งมโดยไม่เต็มใจ แถมยังโดนกลั่นแกล้งจากสนมคนอื่นๆ ในวังหลังชัดๆ 

    "แต่ข้าไม่ใช่ขันทีจะให้เข้าเขตวังหลังได้อย่างไร"

    "ไม่มีปัญหาอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ พระสนมเองก็มิใช่ขันทีเช่นกัน"

    โอ๊ย ปวดกบาล

    "เฮ้อ ก็ยังไม่เกี่ยวกับข้าอยู่ดี เหตุใดไม่ไปแจ้งกับจงเจิ้ง[1]หรือกับคนของฮ่องเต้โดยตรงเล่า"

    "ฝ่าบาททรงบรรทมอยู่พ่ะย่ะค่ะ"

    "... ว่าไงนะ"

    "พระองค์ทรงฟังไม่ผิด ฝ่าบาทบรรทมยังไม่ตื่นเลยไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าถึงพระตำหนักพ่ะย่ะค่ะ ส่วนจงเจิ้ง..."

    ขุนนางเฒ่าเหลือบมองชินอ๋องหวาดๆ

     

    "มิใช่ว่าจงเจิ้งเป็นหนึ่งในกรมขุนนางที่พระองค์ทรงดูแลด้วยพระองค์เองหรือพ่ะย่ะค่ะ"

    จงเจิ้ง[1] - จงเจิ้งเป็นหนึ่งในตำแหน่งขุนนางที่มีหน้าที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับพระญาติ เป็นขุนนางที่มีความเกี่ยวข้องกับงานธุรการ เป็นสมุห์บัญชีจดรายนามลำดับของพระญาติพระวงศ์และมีหน้าที่ตัดสินคดีที่เกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์โดยส่งจงเจิ้งไปไต่สวนและตัดสินก่อนและส่งรายงานมาในภายหลัง

     

     

     

     

    สิ้นคำนั้นชินอ๋องจึงเดินตามขุนนางเฒ่าไปโดยไม่คิดถามอะไรอีก แต่ลอบทำหน้าง้ำหน้างออยู่ในใจ บ่นหวังจื้อหรงคนเก่าไร้เสียงไม่หยุดปาก คิดจะขยันก็ขยันให้มันมีขอบเขตหน่อยไม่ได้หรอ รับกรมนั้นกรมนี้มาดูแลเองหมดอย่างนี้จะไม่ให้โดนโยนบทพระรองให้จนได้กินแต่อาหารหมาเป็นของว่างไปทั่ววังได้ยังไง 

    จะบ้างานยังไงก็ได้ แต่จะยื่นมือไปยุ่งย่ามกับเรื่องเมียพี่ไม่ได้!

    ทำไมแค่นี้ก็ไม่รู้จักคิด

    ไอ้บุคคลตัวอย่าง!

    ไอ้ปูชนียบุคคล!

    ไอ้คนดีไม่เข้าเรื่อง!

    ลำบากมาถึงอั๊วะที่ต้องมาตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวลื้อ!

     

    ขบวนเหล่าบ่าวของหวังจื้อหรงเหอซั่วชินหวังเคลื่อนผ่านหน้าเขตท้องพระโรงอย่างว่องไว แต่ก็มีเวลามากพอให้เหล่าขุนนางใหญ่รวมถึงเจ้ากรมวังหนีงานที่จับกลุ่มกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องได้เห็นทันว่าผู้ใดกำลังเร่งรีบเดินผ่านไป

    "นั่นมิใช่หวังจื้อหรงเหอซิ่วชินหวังของเราหรอกหรือ"

    "ท่านสมุหกลาโหมสายตาเฉียบแหลมเป็นอย่างยิ่ง! ระยะไกลเช่นนี้ข้าเพ่งไม่เห็นว่าผู้นำขบวนนั้นเป็นใครแม้แต่น้อย"

    "โอ๊ย ไม่ต้องเพ่งให้ปวดตาหรอกท่านเจ้ากรมวัง เห็นความยาวแถวผู้ติดตามก็รู้แล้วว่าคนผู้นั้นเป็นใคร"

    "จริงแท้ จริงแท้ อำนาจเบ็ดเสร็จหนึ่งเดียวของวังหลวง" เสนาบดีกรมขุนนางพยักหน้าหงึก

     

    ขุนนางใหญ่กับอีกหนึ่งของแถมพูดคุยถึงชินอ๋องกันสนุกปาก มีเพียงผู้ตำแหน่งใหญ่สุดที่มองไปยังขบวนผู้ติดตามของชินอ๋องแล้วเงียบไป ท่านสมุหกลาโหมและสมุหนายกจึงชะโงกหน้ามองตามแล้วเอ่ยทัก "ท่านมหาเสนาบดีมีอันใดหรือ?"

    เจ้าของตำแหน่งนั้นหันกลับมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พินิจสิ่งที่กำลังจะพูดอยู่ชั่วครู่ จึงได้ระบายยิ้มออกมาบางเบา

    "ข้าเพียงสังเกตว่าทิศที่ขบวนของเหอซั่วชินหวังกำลังมุ่งไปคือทิศวังหลังเท่านั้น"

    "วังหลัง? เหอซั่วชินหวังหรือจะมีธุระใดกับวังหลังได้"

    "นั่นน่ะสิท่านมหาเสนาบดี พูดเช่นนี้ระวังหัวจะหลุดออกจากบ่าเอาได้นา"

    "จริงด้วย เป็นข้าที่พลั้งปาก ไม่ดี ไม่ดี ฐานคอข้ามันหวิวๆเสียแล้ว" มหาเสนาบดีส่ายหัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ บุคคลที่เหลือจึงกลั้วหัวเราะออกมา

    "แต่เอ ไม่ใช่ว่าเหอซั่วชินหวังทรงประชวรอยู่หรอกหรือ เหตุใดจึงทรงมีแรงเดินไวจนชายผ้าปลิวเช่นนั้นได้"

    เจ้ากรมวังหัวเราะ "อาจมีเรื่องด่วนเร่งแก้ไข มิใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใดหรอก ไพร่ฟ้าหน้าใสต่างก็รู้ว่าเหอซั่วชินหวังทรงงานหนักกว่าใครในแผ่นดิน จะยอมเสียเวลาพักผ่อนส่วนพระองค์ก็ไม่น่าแปลกใจอันใดแล้ว!"

    สมุหกลาโหมเสริม "มีเหอซั่วชินหวังแล้วสบายเราแท้"

    เสนาบดีกรมขุนนางตาม "สบายยิ่งนัก"

     

    "ท่านทั้งสาม ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้วผู้แซ่จางผู้นี้จำเป็นต้องแยกไปก่อน สัญญากับคนครัวเอาไว้ว่าหนนี้จะรีบกลับไปซดน้ำซุปไข่ใส่มะเขือเทศให้ทันก่อนมันจะเย็นชืด คนครัวจวนข้าใจร้ายนักหากพลาดเวลาอาหารแล้วจะไม่ยอมอุ่นอาหารให้อีก และหากไม่ได้ลิ้มรสตอนยังร้อนหนนี้มีหวังข้าคงซึมเศร้าไม่มีแรงใจทำงานไปอีกหลายวัน เช่นนั้นข้าขอตัว"

    มหาเสนาบดีพล่ามทั้งยาวทั้งไวไม่ทิ้งช่วงให้หายงุนงง รู้ตัวอีกทีร่างใหญ่มั่นคงของมหาเสนาบดีก็ก้าวยาวออกนอกเขตท้องพระโรงไปเสียแล้ว ทั้งสามจึงมองหน้ากันแล้วยักไหล่

    "ข้าว่าท่านมหาเสนาบดีประหลาดนัก"

    "ไม่ใช่แค่ท่านที่คิดเช่นนั้นหรอก"

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×