ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่เป็นชินอ๋องทั้งทีไม่ขอเป็นพระรองได้ไหมครับ?

    ลำดับตอนที่ #1 : 1 บรีฟสุดท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 66
      0
      4 ส.ค. 64

    แสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสามเครื่องเรืองรองอยู่ในห้องพักคับแคบห้องหนึ่ง เจ้าของห้องพักนั้นไม่คิดแม้แต่จะลุกขึ้นมาเปิดไฟเพื่อถนอมสายตาตน มีแต่นั่งหลังงองุ้มอยู่หน้าจอขนาดใหญ่ไม่ขยับไปไหน มือหนึ่งใช้ปากกาขีดเขียนบนหน้าจอนั้นอย่างว่องไว อีกมือหนึ่งหยิบเครื่องดื่มชูกำลังเทลงแก้วกาแฟพลาสติกจนหมดขวด ใช้นิ้วยาวคนส่วนผสมเข้าด้วยกัน ดูดคราบรสขมประสมหวานปร่าบนนิ้วจนเกลี้ยงแล้วกระดกทั้งแก้วลงท้องอย่างรวดเร็ว แล้วชายหนุ่มผู้นั้นก็กลับไปก้มหน้าก้มตาขีดเขียนบนหน้าจออีกครั้ง จนชะงักเข้ากับจุดหนึ่งของภาพ ตาแห้งผากขาดน้ำจึงตวัดขึ้นมองจอหนึ่งซึ่งเปิดบรีฟงานทิ้งไว้โดยเฉพาะ

    "เชี่ย กวานลายนกเฟิ่งหวงมันคือยังไงวะ"

    "พิมพ์มาแต่ละอย่างไม่เคยเลย ไม่เคยคิดจะแปะเรฟ ทำเหมือนกูรู้ทุกอย่างงี้ เห็นกูเป็นอะไร ห๊ะ เห็นกูเป็นอะไร"

    เลื่อนดูในบรีฟก็ไม่เห็นภาพเรฟเฟอเรนซ์กวานลายนกฟงๆ เฟิ่งๆ ที่ว่าเลยสักนิด ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับตัวเอง ยิ่งหงุดหงิดยิ่งรู้สึกอึดอัดอยู่ในอกเบาๆ จึงทุบอกไปสองสามที

    ประเภทลูกค้าที่เขาเกลียดที่สุดคือลูกค้าที่ชอบสั่งงานเร่ง ไม่รู้จักบรีฟให้ชัด รูปเรฟไม่แปะ อธิบายไม่ละเอียด หวังให้นักวาดเติมแต่งจินตนาการให้ตนอย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าเมื่อออกมาไม่ตรงใจก็สั่งแก้เป็นสิบหน บอกมันไม่ใช่ ไม่ใช่ ยังไม่ใช่ ยังได้มากกว่านี้

    ไม่ใช่อะไรละครับ แล้วแบบที่ใช่มันเป็นยังไงล่ะโว้ย พูดมาสิพูด!

    อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาไปแล้วว่าถ้าอยากให้งานออกมาตรงใจก็เขียนบรีฟมาให้ดี นักวาดไม่ใช่หมอดูนะโว้ย ถึงจะเดาใจได้ทุกอย่าง

    'ข้าวปั้น' จินตภาพตนกำลังเขย่าคอเสื้อนักเขียนปริศนาอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์อยู่ในหัว

    ในใจเดือดดาลแต่ใบหน้ากลับนิ่งเฉยติดบิดเบี้ยวจากอาการมึนหัวปวดอกเล็กน้อย วางเมาส์ปากกาลงเกาตอหนวดที่ไม่คิดใส่ใจจะโกนออกของตน เลื่อนหาแชทนักเขียนเจ้าของบรีฟ จัดการพิมพ์ถามด้วยถ้อยคำใจเย็นนุ่มนวลแต่จังหวะกดแป้นรุนแรงดิบเถื่อน

    'คุณนักเขียนครับ ไม่ทราบว่าคุณนักเขียนมีภาพตัวอย่างประกอบของกวานรูปนกเฟิ่งหวงไหมครับ'

    แนบสติ๊กเกอร์แมวขาวเหงื่อตกหน้าตาออดอ้อน

    'ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นยังไง กลัวจะวาดกวานท่านเสนาบดีบิดๆ เบี้ยวๆ น่ะครับ'

    ชายหนุ่มเคาะปุ่มเอนเทอร์ ระหว่างรอคำตอบที่ไม่รู้จะได้มาเมื่อไหร่ ระหว่างนี้ก็ยังจัดการวาดส่วนอื่นต่อไม่ได้เพราะติดขัดอยู่แค่จุดกวานนกอะไรนั่นก่อนจะส่งดราฟนี้ให้เช็คไฟนอล นายข้าวปั้นจึงเอนหลังลงเก้าอี้เกมมิ่ง บิดเอวสองสามทีให้ส่งเสียงกรอบแกรบสบายหูพลางนวดขมับตนเบาๆ

    ดีเหมือนกันที่ได้เอนหลังสักนิด นายพงศธร แซ่เฉินผู้นี้ไม่ได้เอนหลังอย่างเป็นสุขแบบนี้มาวันแล้ว ซ้ำยังไม่ได้หลับตานอนมากว่า48ชั่วโมงได้ รวมทั้งสัปดาห์ก็ได้หลับตานอนรวมกันไม่ถึงห้าชั่วโมง หลังมีนักเขียนเจ้าปัญหาผู้นั้นจ้างวานงานด่วนให้วาดภาพปกและภาพประกอบนิยายเรื่อง อุบัติรักทรราช นิยายวายจีนโบราณที่หล่อนเขียนอยู่และกำลังจะต้องส่งเล่มให้สำนักพิมพ์ในอีก24ชั่วโมงข้างหน้าแล้ว

     

    ข้าวปั้นเคยลองสอบถามดูว่าทำไมถึงได้มาหานักวาดในเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ จึงได้ความว่าหล่อนถูกนักวาดคนก่อนเบี้ยว จ่ายเงินเต็มราคาเสียหายไปหลายหมื่นด้วยความไว้ใจ พอจะถึงวันเดดไลน์นักวาดคนนั้นกลับระเบิดแอคโซเชี่ยลตนเองหายวับไปกับสายลม นักเขียนเสียเวลาดำเนินคดีอยู่นานกว่าจะนึกได้ว่าต้องหาปกมาทนแทนก่อนสำนักพิมพ์จะเขกกบาลเข้าก็ป่านนี้เสียแล้ว

    นายข้าวปั้นเกิดเห็นใจ(ประสมเห็นแก่เงินค่าเร่งงานที่จะได้ในอนาคต)เลื่อนคิวปกอื่นๆ ที่ไม่ได้รีบอะไรไปท้ายเดือน แล้วจึงยกคิวของเธอขึ้นมาวาดให้แทน

    แต่ใครจะไปรู้ว่างานที่เธอจ้างวานจะไม่ได้มีแค่เพียงเล่มเดียว เมื่อทวนอ่านบรีฟอย่างถี่ถ้วนดันพบว่ายังมีภาคสปินออฟอื่นๆ ของเหล่าพระอนุชาอีกสองเล่ม ภาพประกอบอีกเล่มละสามภาพ สิริรวม12ภาพรอให้เขาวาดอยู่ นายข้าวปั้นจึงมีชะตากรรมนั่งงอเป็นกุ้งอยู่อย่างนี้

    เสียรู้ให้เพราะความสงสารโดยแท้

    ข้าวปั้นกล้ำกลืนความทุกข์ใจลงคอ ถือซะว่าถึงวิถีชีวิตแบบนี้จะเหมือนนรก แต่ก็เป็นนรกที่เขาเลือกก้าวเข้ามาเอง

    ใช้ชีวิตเป็นนักวาดฟรีแลนซ์วันนอนอยู่แต่ที่บ้าน ตื่นตอนไหนก็ได้ นอนตอนไหนก็ได้ แม้ดูเหมือนจะสบายแต่ก็ยังต้องประสบปัญหากับลูกค้ากับการทำงานไม่ต่างจากงานประจำอื่นๆ การจัดการตารางทำงาน เก็บสถิติการจ้างงาน จ่ายภาษี และประกันสังคมล้วนแล้วก็ต้องทำด้วยตนเองชวนให้ปวดหัวอยู่ทุกเดือนไป

    แม้รายได้เขาค่อนข้างจะมั่นคงจากงานวาดปกนิยายที่ถูกว่าจ้างทั้งจากสำนักพิมพ์และเหล่านักเขียนรายย่อยหลายต่อหลายภาพต่อเดือน แต่เมื่อไหร่ที่เดือนนั้นเป็นขาลง นายข้าวปั้นมักจะต้องวิ่งหาทางทำกินอื่นมาหาเงินโปะหนี้สิน ค่าประกันสังคม ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ผ่อนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าเน็ต ค่าอนลี่แฟ- อะแฮ่ม ค่าความบันเทิงฟุ่มเฟือยอื่นๆเพื่อเติมเต็มความต้องการมนุษย์ตนเองจนหัวหมุน

    และประการสุดท้ายที่ฟุ่มเฟือยที่สุดคือค่าหมอนวดและค่าจัดกระดูกรายเดือน

    โรคออฟฟิศซินโดรมนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ค่าใช้จ่ายนั้นก็สูงใช่ย่อย เรื่องนั้นนายข้าวปั้นประสบกับตัวเองย่อมรู้ดี ถึงได้รับงานทุกงานที่ถูกเสนอให้ แม้กระทั่งพวกปกนิยายวายเขาก็ยอมรับมาแม้ตนจะไม่ได้พึงใจกับคอนเทนต์ชายรักชายเลยก็ตามที

    ไม่เลือกงานไม่ยากจนน่ะ เคยได้ยินมั้ย

     

    ข้าวปั้นเอนตัวพักสายตาอยู่ได้ไม่นาน เสียงแชทจากนักเขียนคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งเรียกให้นักวาดหนุ่มต้องยกตัวขึ้นจากเก้าอี้ขึ้นมาสวมแว่นสายตา ปากก็ส่งเสียงโอดโอยจากอาการปวดหัวแทบขาดใจ ทั้งการอาการป่วยอย่างประหลาดเริ่มจุกขึ้นคอ

    'สักครู่นะคะ'

    แนบรูปภาพวาดโบราณรูปนกสีแดงตัวหนึ่ง กวานเงินทรงฉวัดเฉวียนดูซับซ้อนอีกภาพหนึ่ง

    'อยากได้เบสกวานเป็นแบบภาพสองค่ะ แต่มีลายนกสีเงินแปะไว้บนหัว ขอแบบดูทรงพลังแต่ไม่เว่อร์มากได้มั้ยคะ เสนาแกไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยโอ้อวดน่ะค่ะ'

    'อ้อแล้วก็ พูดถึงเสนา'

    'เราว่าจะคอมมิชปกที่เสนาแกเป็นพระเอกด้วยน่ะค่ะ คิวเดือนหน้ายังว่างมั้ยคะ?'

    พลันคิ้วขมวดเข้าหากันทันที

    "ยังมีอีกปกหรอวะ จบๆกับกูไปสักทีเถ๊อะ จะไปวาดนมแล้-"

     

    ยังไม่ทันจะบ่นจบคำ ยังไม่ทันได้เปิดดูคิวเดือนหน้า

    ก้อนเนื้อในอกกลับรู้สึกถึงแรงบีบรัดอย่างหนัก บีบเข้าจนรู้สึกว่าหัวใจของเขามันฟีบแบนเป็นแผ่นแป้ง ข้าวปั้นทรุดหัวกระแทกลงกับหน้าจอวาดขนาดใหญ่ ลมหายใจหอบถี่รุนแรงจากความรู้สึกหน่วงจนเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงแผ่นอกของเขาเอาไว้

    จะพยายามขยับตัวไปพิมพ์ขอความช่วยเหลือจากแชทล่าสุดก็ไม่อาจทำได้อีกแล้ว ทุกอากัปกิริยานำพาความเจ็บปวดมาให้จนน้ำตาซึม จากเจ็บปวดสู่กระแสชาตั้งแต่ปลายเท้าแผ่แล่นมาถึงสมอง จากชาหนึบมาสู่ในเวลานี้ที่ทั่วร่างไม่รู้สึกถึงอะไรอีก สมองข้าวปั้นเหมือนมีโคมม้าวิ่งหมุนอยู่ในหัว สิ่งที่วิ่งไปมานั้นไม่ได้เป็นประสบการณ์ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแต่อย่างใดมีเพียงคำว่า

    กูยังไม่ได้ค่าจ้าง ไอ้นักเขียนมันยังไม่จ่ายส่วนที่เหลือให้เลย สองหมื่นห้ามันยังไม่จ่าย!!

    ไฟล์ก็ยังไม่ได้ส่ง!!!

     

    สายตาที่แนบอยู่กับจอวาดสว่างวาบค่อยๆ หม่นแสงลง ภาพที่เห็นภาพสุดท้ายคืออิตาลุงเสนาบดีถือดาบจ่อคอชินอ๋องกลางท้องพระโรงท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้ และนายเอกตัวน้อยบนตักของเขา

    "หน้าไม่อายเอ๊ย" ใกล้ตายแล้วยังไม่วายกัดฟันด่าฮ่องเต้ในภาพ ก่อนสติก่อนสุดท้ายจะจางหายไปสายตาก็เหลือบไปบนหัวเสนาบดีที่ยังคงว่างเปล่า

     

    "จะว่าไปแล้วไอ้กวานนกเฟิ่งหวงนี่มันเป็นยังไงวะ"

     

    ความมืดค่อยๆเกาะกินวิสัยทัศน์จนมิด

    ลมหายใจผะแผ่วหยุดลง

    มือที่กำอยู่บนแผ่นอกเปลือยเปล่าร่วงลงข้างตัว

    นายพงศธร แซ่เฉินเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในวัย29ปี ด้วยสภาพใส่บ็อกเซอร์ลายแมวดำผอมกะหร่องตัวเดียว ผมเผ้าไม่สระ หัวจุ่มจอวาดอย่างน่าอนาถ

     

     

     

     

     

    กลิ่นหอมดอกซุนอีเฉ่า[1]ผสานต้นอันซู่[2]กำจาย กลิ่นเย็นเฉพาะตัวพืชสองชนิดตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นคละเคล้ากับละอองน้ำจากน้ำตกจำลองไม่ใกล้ไม่ไกลกัน เหล่านี้ล้วนสร้างความสดชื่นผ่อนคลายให้แก่บุคคลผู้อยู่บริเวณนั้นยิ่งนัก

    ดวงตาเรียวกะพริบถี่ เบิกกว้างขึ้นทีละนิด เผยสีตาราวกับม่านฟ้าใสกระจ่างขึ้นเหมือนคนผู้นั้นเพิ่งตื่นจากการหลับใหล สายตานั้นดูง่วงงุ่น ทันทีที่ดวงตาพร่านั้นปรับสายตาตนเองได้ มันกลับเบิกโตขึ้นอย่างกระสับกระส่ายไม่รู้ความ งุนงงเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่คุ้นเคยมาก่อน

    ร่างสูงสะโอดสะองหมุนไปรอบกายอยู่กลางศาลากลางน้ำ เตะผ้าระเท้า สบัดแขนเสื้อเนื้อดีซ้ายทีขวาที จับเส้นผมดำยาวระสะโพกขึ้นดม ลูบเอวลูบไหล่ตนเองซ้ำๆ บิดเอวโยกซ้ายโยกขวา ทดลองกระโดดเตะลมไปหนึ่งที พอไม่เจ็บไม่ปวดอะไรก็ดูงงกว่าเก่าเสียอีก บ่าวไพร่รอบกายหลายชีวิตเงยหัวขึ้นมองหวาดหวั่นแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อพฤติกรรมประหลาดซึ่งนายตนเองกำลังแสดงออกมาในขณะนี้

    ตอนแรกยังยืนอย่างสง่างามเยือกเย็น พริบตาเดียวกลับเขวี้ยงแขนเขวี้ยงขาเก้งก้างดูแล้วไม่เรียบร้อยยิ่งนัก บ่าวไพร่บางคนจึงเบนหน้าหนีไม่อาจทนมองได้

    ขันทีผู้หนึ่งวิ่งถลามาแต่ไกล ก่อนหยุดคำนับนอบน้อมอยู่ปลายบันไดศาลา

    [1] ซุนอีเฉ่า - ดอกลาเวนเดอร์

    [2] อันซู่ - ต้นยูคาลิปตัส

     

    "ชินอ๋องขอรับ ท่านมหาเสนาบดีขอเข้าเฝ้า แจ้งว่าต้องการหารือสอบถามเกี่ยวกับงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ขอรับ"

    "..." ชินอ๋องหันขวับ จ้องขันทีเขม็งแล้วเลื่อนสายตาไปยังบ่าวโดยรอบ เรียกเหงื่อเหล่าบ่าวไพร่ให้เปียกซ่กกันเป็นแถบ

    "..."

    "...ว่าไงนะ" ได้ยินชินอ๋องไม่อาจพูดฉะฉานทรงอำนาจดังเก่า ขันทีผู้นั้นรีบโงหน้าขึ้น เห็นใบหน้าขาวซีดดูตื่นตระหนกบนใบหน้างามของผู้สูงศักดิ์จึงแปลความได้อีกแบบว่าชินอ๋องท่านนี้หวาดหวั่นจากการมาถึงของมหาเสนาบดีราวกับความลับบางสิ่งอาจถูกเปิดโปงได้หากพบหน้าเขา ไม่ต้องรอคำตอบ ขันทีจึงรีบคำนับลงอีกครั้ง

    "เช่นนั้นกระหม่อมจะเร่งนำความไปแจ้งท่านมหาเสนาบดีว่าชินอ๋องประชวลหนักมิอาจให้เข้าพบได้ในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ"

    ขันทีผู้นั้นถ่อมาก็ปรี่กลับว่องไวยิ่งกว่าลม ทิ้งคำถามเอาไว้ในร่างระหงริมน้ำมากมายนับไม่ถ้วน

    ชินอ๋องนิ่งค้างไปนาน เมื่อรู้ตัวก็พุ่งตัวไปปีนระเบียงศาลา ชะโงกหน้าลงน้ำจนแทบร่วงหล่นลงไปทั้งตัวทำเอาปลากระเจิดนกกระเจิง เหล่าบ่าวน้อยใหญ่กรีดร้องลั่นทั่วบริเวณบึง ใช้จังหวะนี้พุ่งเข้าไปเกาะขยำชายผ้าอันสูงส่งเต็มมือกันเป็นพัลวันอย่างไม่กลัวหัวหลุดออกจากบ่า

    "ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะชินอ๋อง โปรดอย่าทรงโถมพระองค์เองลงน้ำ โปรดทบทวนใหม่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!"

    "ชินอ๋องเพคะ หากพระองค์คิดปลิดชีพตัวเองแล้วผู้ใดจะดูแลราชสำนักเจ้าคะ!"

    "จะเห็นความตายดั่งเห็นมาตุภูมิ[3]เช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! ราษฎรทั้งหลายอยู่ในกำมือพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ"

    "หากพลั้งเผลอนำงบประมาณราชการมาเป็นสมบัติตนเองส่วนหนึ่งก็ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงหรอกเพคะชินอ๋อง เพียงบอกท่านมหาเสนาบดีว่าท่านจัดเตรียมโครงการราชดำริหนึ่งอยู่ท่านมหาเสนาสบดีย่อมไม่ว่าอันใดแน่ เช่นนั้นแล้วอย่าคิดสั้นเลยเพคะ!"

    "เหอซั่วชินหวัง[4] ได้โปรดทบทวนใหม่ด้วยเถิด!"

    "ฮือๆๆ ชินอ๋อง ชินอ๋องของบ่าว"

    ชินอ๋อง ผู้ชะโงกหัวอยู่ริมน้ำตาเบิกโตเป็นไข่ห่าน เวลานี้สองมือไม่ได้จับขอบระเบียงอีกต่อไป เขาลูบใบหน้าดึงผมบี้จมูกตัวเองไม่หยุด

    นี่ไม่ใช่หน้าเขา

    หน้าของนายพงศธร แซ่เฉินไม่เคยนวลเนียนขนาดนี้

    ไม่เคยไร้ตอหนวดเขียวครึ้มตามกรอบหน้าขนาดนี้

    ไม่เคยผมสลวยยาวเกินไปกว่าบ่า ไม่แม้แต่จะหยักศกสักเส้นแบบนี้

    ไม่เคยใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามยาวเฟื้อยขนาดนี้

    ไม่เคยหล่อเหลาเหนือจริงขนาดนี้

     

    ทรงคิ้วแบบนี้ ทรงตาแบบนี้ ทรงผมแบบนี้ กวานลายเมฆประดับเม็ดทับทิมแบบนี้

    นี่มันหน้าไอ้ชินอ๋องหน้าขาวจากเรื่องอุบัติรักทรราชที่เขาวาดมามากกว่าสี่ภาพไม่ใช่หรือไง!

    แล้วทำไมต้องเป็นไอ้ชินอ๋องวะเนี่ย!!!!

     

    ภาพล่าสุดที่เขาวาดทิ้งเอาไว้แล่นเข้าสมองทันที

    มหาเสนาบดีผู้ไร้กวานจะสวมกำลังถือดาบคมปราบจ่อคอชินอ๋องกลางท้องพระโรง

    พลันพงศธร แซ่เฉินในร่างชินอ๋องตกตะลึงอย่างหนัก มัวแต่จ้องเงาสะท้อนบนผิวน้ำไม่ได้รู้ตัวว่าร่างกำลังไหลไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ขันทีคนสุดท้ายที่รั้งชายผ้าไว้ได้เหงื่อชุ่มมือยิ่งนัก รั้งไว้ได้ไม่นานมือก็ลื่น ชายผ้าไหมผืนงามหลุดออกไปจากมือทันที

     

    ซ่า!

    "ชินอ๋อง!!"

    [3] เห็นความตายดั่งเห็นมาตุภูมิ - ยอมตายโดยไม่ยี่หระ

    [4] เหอซั่วชินหวัง - ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้โดยมากเป็นพระโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาในองค์จักรพรรดิ เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 1

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×