ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Feuer/Mond/Blut อัคคี/จันทรา/โลหิต

    ลำดับตอนที่ #3 : ความฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 54


    กลางห้องฝึกปราณ เสียงดาบไม้ปะทะกัน มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังสู้กันอยู่ แต่มิใช่การหักหาญเอาชีวิต เป็นการฝึกซ้อมดาบ
    ชินเปิดฉากรุกด้วยแทงเข้าที่ลำคอ แต่ซิลเวียหมุนตัวหลบอย่างไม่ยากเย็น และโต้กลับด้วยการฟันแนวขวางระดับลำคอ ชินโดดหลบอย่างทุลักทุเล ด้วยฝีมือดาบระดับนั้นซิลเวียย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป หล่อนแทงดาบไม้ที่ท้อง ฟาดที่ไหล่ ฟาดที่เอวของเขาอย่างรวดเร็ว และ เตะดาบไม้ในมือของเขาลอยหลุดมือ ชินถึงกับล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้น

    “โอ๊ย ทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้นะ” ชินบ่นหลังโดนซิลเวียใช้ดาบไม้ฟาด
    “ก็สั่งสอนให้รู้ไง ถ้าฝีมือดาบแค่นี้ มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ ทั้งที่เมื่อตอนนั้นยังทำได้ดีกว่านี้เลย” ซิลเวียค้อนสายตาดุใส่เขา แล้วก็หลบสายตาพึมพำกับตัวเอง ทำให้เขาไม่สามารถได้ยินประโยคหลัง ชินอยากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก ที่เขาสู้ได้สูสีกับซิลเวีย เพราะ เขาใช้เวทย์บลิงค์เข้าช่วยทำให้หล่อนสับสนกับการเคลื่อนไหวของเขา แต่ถ้าสู้กันด้วยดาบเพียงอย่างเดียวแล้วละก็เขาย่อมไม่สามารถเอาชนะเธอได้ เลย
    “การเคลื่อนไหวยังไม่เข้ากับจังหวะการโจมตี” ซิลเวียพูดโดยไม่ได้มองหน้าเขา เธอเก็บดาบไม้กลับเข้าตู้ แต่จริงอย่างที่เธอพูด ถึงแม้ว่าเขาจะหลบการโจมตีของซิลเวียได้ดี แต่การบุกของเขากลับดูไร้พลังจนโดนเธอสวนกลับหลายครั้ง
    “จริงอย่างที่เธอพูด ขอบใจนะ” ผมพูดอย่างใจจริง
    “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก คือแบบว่า ไม่จำเป็นก็ได้ แค่นายอยู่กับ... ไม่ดีกว่า” ซิลเวียหน้าแดงแจ๊ดไปถึงหู ดวงตาสีฟ้าสั่น หล่อนคงไม่ชินกับคำขอบคุณสินะ ว่าแต่หล่อนตั้งใจจะพูดอะไรต่อน่ะ

    เขาตั้งใจจะถามซิลเวียเกี่ยวกับสาวผมแดง ที่ชื่อ สการ์เล็ต เฟรมฮาร์ท แต่ดูท่าทางถ้าเขาถามไป ต้องโดนเธอฆ่าแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เข้าสมองส่วนลึกที่สุดของตัวเอง
    ระหว่างทางกลับหอพักต่างคนต่างเงียบจนเกิดความอึดอัด แสงอาทิตย์ยามเย็นนั้นกำลังฉายผ่านทางเดิน ลมเย็นๆพัดโชยซิลเวียหันหน้ารับกับลมเย็นๆในยามเย็น ปล่อยให้ผมสีเงินเป็นประกายพลิ้วไปกับสายลมอ่อนๆ ชินรู้สึกถึงความอึดอัด จึงพยายามหาเรื่องที่จะคุย
    แต่ทว่าซิลเวียกลับทักขึ้นมาก่อน “นายน่ะ” เธอทักโดยที่ไม่หันหน้าของเธอกลับมา
    “อะไรเหรอ” ผมขานรับ
    “นายจะเข้าสภานักเรียนมั้ย?” หล่อนถามผม แววตาสีน้ำเงินสั่นเครือ จนตัวเขาไม่อาจสบตาโดยตรงกับเธอได้ คำถามนี้เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เขายังไม่รู้ว่า สการ์เล็ต มีตำแหน่งอะไรในสภา และ มีจุดมุ่งหมายอะไรถึงได้ชวนเขาเข้าร่วมกับเธอ มันเป็นคำถามที่ตอบยากเกินไป
    “คือว่า ชั้น” เขารู้สึกสับสนที่จะหาคำพูดมาพูด
    “ช่างมันเถอะ” ซิลเวียตัดบทพลางกระตุกเชือกเวทย์มนตร์ที่เชื่อมระหว่างแหวนของตนเองกับปลอก คอที่อยู่ตรงคอเขาให้ตัวเขาเขยิบเข้ามาหาตัวเธอ
    “โอ๊ย ทำอะไรน่ะ” ผมโวย
    “ยังไงนายก็ไม่เข้าร่วมอยู่แล้ว เพราะ เจ้านายไม่อนุญาตให้ทำตามใจตัวเอง” หล่อนพูดเองเออเองด้วยเหตุผลของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย เวรกรรมของผมจริงๆ
    เมื่อถึงทางแยกระหว่างหอชายหญิง เขาจึงลากับซิลเวียก่อนแยกกันขึ้นไปห้องนอนของตนเอง
    “โอ๊ย เหนื่อยมาทั้งวันเลย ขอนอนก่อนละ” เมื่อหัวผมตกถึงหมอนก็หลับทันที

    ..........................................................

    ในภาพความฝันก่อนตื่น เป็นภาพตอนที่ผมยังเป็นเด็กอายุแปดขวบ ตอนนั้นเขาต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง แทนพ่อแม่บังเกิดเกล้าที่เสียแล้ว เขาจำเป็นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ รับจ้างทุกอย่าง ตั้งแต่แบกของ ขนของ เพื่อเอาเศษเงินมาแลกกับอาหารอันน้อยนิด ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงภาวะสงคราม ทำให้ข้าวยากหมากแพง เขาจึงจำใจต้องอดมื้อกินมื้อ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาล้มป่วย สลบอยู่กลางถนนไม่มีใครเหลียวแล ในช่วงที่เศรษฐกิจลำบากมนุษย์ย่อมมักจะห่วงตัวเองก่อนคนอื่นเสมอ ถึงแม้จะมีเด็กตาย เพราะ หิวโหยก็ไม่ได้แปลกอะไรกับคนแถวนี้ ตอนนั้นเขาคิดว่าเขาคงจะไม่รอดแล้ว ไข้ขึ้นสูงจนสมองแทบระเบิดออกมา แต่ขณะที่สติของเขากำลังจะเริ่มเลือนราง เขาเห็นชายกลางคนคนหนึ่งกับเด็กสาวอีกคนอายุราวๆเดียวกับเขาพยายามช่วยพาเขา ไปหาหมอ

    “ไม่เป็นไรนะ เธอต้องไม่เป็นไร” เด็กสาวพูดกับเขา สติของเลือนรางจนมองไม่ออกว่าหน้าของเด็กสาวตอนนั้นเป็นอย่างไร ใครเป็นคนช่วยเขาไว้นะ

    ภาพตัดมาอีกที่ ตอนเขารู้สึกตัวในห้องนอนห้องหนึ่งขนาดกว้างขวาง เตียงของเขาอยู่ตรงกลางห้อง ผ้าปูเตียงสีขาวดูสบายตา เตียงนุ่มอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต เขาพยายามมองไปรอบๆ แต่ก็พบว่าเขากลับไม่คุ้นกับสิ่งที่เห็น ทันใดนั้นประตูถูกเปิดเข้ามา

    “ฟื้นแล้วรึ พ่อหนุ่ม” ชายกลางคนแต่งตัวแบบผู้ดีเดินผ่านประตูถามชินด้วยความเป็นห่วง แต่ด้วยความขี้ระแวงของเขาในตอนนั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้า
    “เจ้าหนู เธอคงกำลังสงสัยสินะ ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ชายกลางคนกล่าวต่อ เขาหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งเลื่อนมาใกล้เตียงแล้วจึงนั่งลงอย่างช้า กิริยาของชายผู้นั้นดูสุภาพแบบผู้ดี
    “ชั้นเป็นคนช่วยเธอเอง อีกสักพักคุณหมอก็จะเข้ามาตรวจดูอาการ” เขาพูดพลางหยิบชาขึ้นมาจิบ ชาจากถ้วยส่งกลิ่นหอมทำให้จิตใจของชินเริ่มรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
    “ขอบคุณครับที่ช่วยเหลือ” ชินกล่าวขอบคุณจากใจจริง ชินรู้สึกว่าชายกลางคนผู้นี้สามารถส่งผ่านความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตรด้วย น้ำเสียงของเขา
    “ไม่ต้องขอบคุณชั้นหรอก ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าเถอะที่เมตตาให้ชั้นได้พบกับเธอ” เขาพูดพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแม่นกกำลังป้อนหนอนให้กับลูกนกที่ ส่งเสียงเจี้ยวจ้าว แสงอาทิตย์สดใส บรรยากาศเป็นใจให้ออกไปเดินเล่นที่สวนของบ้านหลังนี้
    “อืม จริงสิชั้นลืมแนะนำตัว ชั้นชื่อ อัลเลน แล้วเธอละชื่ออะไร” เขาแนะนำตัวและถามต่อ
    “ผมชื่อ ชิน เรเวน เรียกผมว่า ชิน ก็ได้ครับ” ชินตอบกลับ “แล้วทำไมคุณถึงช่วยผมละ”
    “การช่วยเหลือคนอื่นไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนหรอก เพียงแค่ได้ช่วยเหลือคนอื่นตัวเราเองก็จะได้รับความรู้สึกสบายใจและอิ่มเอม ใจที่เห็นคนที่ถูกเราช่วยมีความสุข” ชายผู้นั้นยิ้มให้กับชินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวต่อ
    “ทุกอย่างเป็นไปตามฟ้าลิขิต และ นี่ก็คงจะเป็นสิ่งที่ลิขิตเช่นกัน ที่ทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่ต่อ” ชายกลางคนกล่าวไปเรื่อยๆ ถึงแม้ชินจะฟังสิ่งที่ชายคนนั้นพูดไม่เข้าใจ แต่เขารู้สึกผ่อนคลายไปกับคำพูดนั้น

    เอี๊ยด

    เสียงประตูเปิดมีคนอีกคนเข้ามา เป็นเด็กสาวผมสีเพลิงอายุพอๆกับผมเดินเข้ามา
    “พ่อขา มาเล่นกันเถอะ” เด็กสาววิ่งเข้ามาหาชายคนนั้น
    “ได้จ้ะ แต่ชวนเด็กคนนั้นเล่นด้วยสิ” อัลเลนมองมาทางผม
    “เธอชื่ออะไรจ้ะ” เด็กสาวถาม
    “ชั้นชื่อ ชิน แล้วเธอละ” ผมแนะนำตัว
    “ชั้น ชื่อ....

    โครม

    “โอ๊ย” ชินลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝัน พยายามปรับสายตาและมองไปรอบๆ นี่เขานอนดิ้นจนตกเตียงเลยหรือ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่านึกชื่อเด็กสาวในฝันออก เขาเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า พยายามนึกถึงสิ่งที่ฝัน แต่ก็ไร้ประโยชน์เขาจำไม่ได้จริงๆ

    ...........................................

    ในห้องอาหาร

    ชินรับประทานอาหารกับเพื่อนของเขา เจมส์ ตามเคย แต่ทว่าชินกลับแทบจะไม่แตะอาหารเนื่องจากเขาคิดเกี่ยวสาวผมแดง สการ์เล็ต จนลืมไปว่ามีอาหารอยู่ตรงหน้า

    “เฮ้ย ชินเป็นไรไปน่ะ สปาเก็ตตี้บนจานนายไม่พร่องเลย” เจมส์สะกิดจนผมสะดุ้งขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอก แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” ผมตอบไป
    “คิดอะไรเรื่อยเปื่อย? หรือว่า อาฮ้า นายกำลังคิดถึง เจ้าของดวงตาน้ำเงินสุดสวยอยู่ละสิ หึหึหึ” เพื่อนตัวดีของผมแซว
    “จะบ้าเหรอใครจะถึงยัยนั่นกัน” ผมปฏิเสธความคิดของเจมส์
    “แหม ไม่ต้องเลยนะ ใครรู้ๆกันว่านายน่ะไปไหนกับคุณซิลเวียจนตัวติดกันยังกับปาท๋องโก๋เลย” มันแซวไม่เลิก สงสัยกินข้าวดีๆไม่ชอบ
    “ชั้นแค่สงสัยว่ายัยสการ์เล็ต เฟรมฮาร์ท เป็นใครกันน่ะ” ผมพูดลอยๆ ออกไป
    “ไม่ได้นะต้องเรียกว่า ท่าน สการ์เล็ต เฟรมฮาร์ทสิถึงจะถูก”เจมส์รีบแก้สรรพนามการเรียกชื่อของใหม่ เอ๊ะ ว่าแต่เพื่อนของผมรู้อะไรเกี่ยวกับเธอเนี่ย
    “นายนี่น้าไปอยู่ไหนมาเนี่ย เขารู้กันทั้งโรงเรียนแล้วว่าเธอน่ะเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้เป็น ประธานสภานักเรียนปีนี้” ว่าแล้วเพื่อนผมก็สาธยายต่อทันที
    “ท่านสการ์เล็ต เฟรมฮาร์ทน่ะ เป็นลูกสาวคนเดียวของท่านผู้นำตระกูลเฟรมฮาร์ท เธอมีความสามารถมากมายทั้งเชิงยุทธ์ เวทย์มนตร์ และ อื่นๆ จนน่าจะกล่าวได้ว่าเธอคือคนที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกับเรา เมื่อเดือนก่อนเธอสามารถโค่นมังกรเพลิงแดงตัวเบ้อเร่อได้ด้วยตัวคนเดียว และ ต่อจากนี้นะถ้าเธอได้เป็นประธานสภานักเรียนแล้วละก็ มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่เลยทีเดียว ที่เป็นเด็กปีหนึ่งคนแรกจะได้เป็นประธานสภานักเรียนของโรงเรียนโซโลมอนอเคเด มี” เพื่อนผมสาธยายยาวเหยียด โอ้ ถ้าชั้นพกไอ้เพื่อนเจมส์ของผมเป็นหนังสือได้ก็คงดี ว่าแต่ยัยสการ์เล็ตนี่เก่งจริงๆ อายุเท่าเราแต่สามารถทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ตั้งหลายอย่าง คิดแล้วผมควรจะเอาหล่อนเป็นแบบอย่างในการปรับปรุงตัว แต่ทำไมเธอถึงสนใจชวนคนไร้แก่นสารอย่างผมเข้าร่วมกับสภานักเรียนกับหล่อนละ คิดแล้วไม่เข้าใจจริงๆ

    ถ้าจะพูดถึงเรื่องประธานสภานักเรียนของโรงเรียนโซโลมอนอเคเดมีแล้วล่ะก็นะ เมืองอีเดนซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งนี้ เจ้าเมืองยังต้องให้เกียรติเข้ามาประชุมพร้อมกับขุนนางในเมืองนี้เพื่อวาง แผนนโยบายเกี่ยวกับเมืองนี้เลย
    “อ้าว คุยเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ คงไม่เกี่ยวกับชั้นใช่ไหมจ้ะ” ผมจำเสียงได้ จึงหันขวับกลับไปดูก็พบสาวผมเพลิงกำลังถือจานลาซานญ่าของเธอและ ยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของผม อืม พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ผู้หญิงเนี่ยมีเซนส์ในการจับคำนินทาอย่างที่เขาว่าจริงๆ
    “อืม ไม่เกี่ยว” ผมตอบปฏิเสธ
    “พูดห้วนๆแบบนั้นกับท่านสการ์เล็ตได้ไง เจ้าบ้าพูดใหม่เดี๋ยวนี้” เจ้าเพื่อนบ๊องของผมท้วงขึ้น
    “ใช่ๆ พูดห้วนๆได้ไงมันต้องมีคำว่า ครับ สิ” คนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ลุกขึ้นมาพูดเสริม
    “ใช่ๆ” “ใช่แล้ว” ที่นี้คนที่อยู่ในห้องอาหารพาพูดเสริมกันใหญ่ โอ๊ย ปวดหัวกับพวกบ้านี่จริงๆ
    “พอเถอะจ้ะ ไม่เป็นไรหรอก ชั้นไม่ถือหรอกจ้ะ” สการ์เล็ตพยายามพูดกับทุกคนให้กลับไปนั่งที่ของตัวเอง
    “โอ้ ท่านเฟรมฮาร์ท คุณช่างมีเมตตาแก่เพื่อนของผมซึ่งไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ขอบคุณคร้าบ” เพื่อนผมบ้าไปแล้ว ผมหน่ายใจกับเพื่อนของผมจริงๆ

    ขณะนั้น ฟิ้ง รังสีอำมหิต!! ด้วยการผึกซ้อมกับซิลเวียทำให้เขาเริ่มจะจับสัมผัสมันได้บ้างแล้ว เขาจึงหันกลับไปยังแหล่งกำเนิดของพลังของมัน โอ้ ปรากฏสายตาสีน้ำเงินสุดอาฆาตของซิลเวียจ้องจากอีกฟากหนึ่งของมุมห้อง มือของเธอกำลังกำส้อมแน่นจนมือสั่น ถ้าตัวเขาเป็นส้อม เขาคงจะตายคามือเธอไปแล้ว ตอนนี้ตัวเขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หวังว่าสาวผมแดงจะรีบไปจากตรงนี้ซะที
    แต่ดูเหมือนสาวผมเพลิงจะรับรู้ปฏิกิริยาของซิลเวียได้เช่นกัน เธอจึงชะโงกหน้ามาที่ข้างหูของผม แล้วก็กระซิบว่า
    “ระวังน้า เวลาผู้หญิงโกรธน่ะน่ากลัวนะ ว่าแต่ปลอกคอสวยดีจัง คิกคิก แล้วสุดท้ายอย่าลืมเรื่องที่ชั้นขอเมื่อวานนะจ้ะ คิกคิก” พูดเสร็จสาวเจ้าก็เดินจากไป เฮ้อ โล่งอกสักที กว่าจะหมดเรื่องวุ่นๆ
    โครม “โอ๊ย” หน้าเขาพุ่งเข้าไปโขกกับโต๊ะอย่างจัง จนตัวเขาร้องเสียงหลง และ เอามือกุมหน้าผากไว้
    “เฮ้ย เป็นไรเปล่า ชิน” เจมส์ถามด้วยความเป็นห่วง
    “อืม ไม่เป็นไร ชั้นแค่เพลียนิดหน่อย” ผมโกหกไป พลางมองค้อนยัยตัววุ่นอีกฟากมุมของห้อง เมื่อมองไปทางหล่อนหล่อนก็สะบัดหน้าใส่ เฮ้อ สงสัยคงจะต้องเจอเรื่องวุ่นๆอีกนาน แต่ว่าเย็นนี้ผมรู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไร

    ....................................................

    ผัวะ โป๊ก โอ๊ย

    นี่คือเสียงของหลงของผมที่โดนดาบไม้ของซิลเวียฟาดใส่ เขาโดนดาบฟาดด้วยความเร็วและหนักกว่าทุกครั้ง จนตัวเขาสะบักสะบอม ผมสงสัยว่าเธอคงจะหงุดหงิดจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
    “ไม่ไหวแล้ว” ผมปล่อยเสียงหลง ก่อนล้มลงไปนอนกับพื้น
    “อืม พอได้แล้ว” เธอเก็บดาบไม้กลับเข้าที่ ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว
    “ดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอ”  หล่อนให้คำวิจารณ์ ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าของตัวเอง หน้าตาของเธอดูมีน้ำมีนวลขึ้น แก้มแดงจากเลือดฝาดหลังจากออกกำลัง ผมสีเงินเป็นประกายตัดกับแสงอาทิตย์ในยามเย็นช่างเป็นภาพที่ชวนหลงใหล จนผมเผลอจ้องเธอนานเกินไป
    “มีอะไรติดบนหน้าชั้นเหรอ” ซิลเวียถาม
    “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมตั้งสติได้จึงกล่าวปฏิเสธอย่างร้อนรน
    “คงไม่ได้คิดอะไรไม่ดีกับเจ้านายอยู่หรอกนะ ไอ้หมาบ้า” ซิลเวียหรี่ตาคู่น้ำเงินมองเขาอย่างสงสัย
    “ชั้นไม่ได้คิดอะไรกับเธอสักหน่อย” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
    “งั้นก็แล้วไป แต่ห้ามนายคิดอะไรกับยัยจิ้งจอกเพลิงนั่นด้วย” หล่อนยืนเท้าเอวสั่ง
    “แล้วทำไมชั้นต้องไปคิดอะไรกับหล่อนด้วยละ” ชินพูดพลางยันตัวลุกจากพื้น
    “จะคิดไม่คิดไม่รู้ แต่ชั้นไม่อนุญาตให้คิด เพราะ ชั้นคือเจ้านายของนาย เข้าใจไหม” ซิลเวียเดินเข้ามาย้ำทีละคำพร้อมทั้งหรี่ตาน้ำเงินคู่สวยจ้องตาของเขา
    “ถ้าไม่เข้าใจละ” ผมลองพูดกวนๆไป โครม คอผมโดนดึงจนล้มทั้งยืนอีกครั้ง หนอยแน่ อย่าให้หาทางแก้ปลอกคอได้
    “เข้าใจไหมละทีนี้” เธอถามย้ำ
    “เข้าใจก็ได้ เชอะ” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อไปเก็บของ ในใจเหรอ หึหึ อย่าให้มีโอกาสเอาคืนก็แล้วกัน

    ....................................................

    ตกกลางคืนในหอนอนชาย ผมพยายามหาทางจัดการกับปลอกคอ ด้วยวิธีต่างๆ แต่เหมือนจะไม่เป็นผล คิดว่าคนสร้างคงจะลงอาคมทำให้มันทนทานต่อการทำลายทางกายภาพมากขึ้น  ผมอ่อน ใจเปลี่ยนไปนอนเล่นบนเตียง แต่ว่าคิดไปก็น่าสงสารซิลเวียเหมือนกันที่ดูเหมือนเธอจะเหงามากจนต้องเอา ปลอกคอมาล็อกตัวเขาไว้กับเธอ ถ้าบอกกันดีๆว่าเหงา เขาก็จะไปเล่น พูดคุย ซ้อมดาบ เป็นเพื่อนก็ได้ แต่หล่อนคงสื่อสารสิ่งเหล่านี้ไม่เก่งจึงกลายเป็นใช้ความรุนแรงเข้าว่า อย่างที่คนอื่นว่าไว้ พระเจ้าเมื่อให้อะไรบางอย่างมา ก็ต้องริบบางสิ่งไป เมื่อมนุษย์ขาดสิ่งที่ต้องการ ก็ต้องขวนไขวหาจากมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์จึงต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดูแลกัน และ อยู่ด้วยกัน แต่ทำไมมนุษย์เราถึงต้องทะเลาะกัน แย่งกัน ทำสงครามกันด้วย สิ่งเหล่านั้นมีแต่ความสูญเสียมิใช่หรือ?
    หนังตาของชินเริ่มหนัก ก่อนที่ตัวเขาเองจะผล็อยหลับไป ปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×