คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Mixed Blood 06
“บอกเพื่อนของนายไปสิว่าทำไมนายถึงโดนไล่ออก"
คยองซูเกิดคำถามขึ้นในหัวอีกครั้งเขาหันมามองใบหน้าของผู้เป็นเพื่อนที่ตอนนี้ออกจะซีดเซียวลงมากกว่าเดิม เขารู้ว่าอาการแบบนี้เรียกว่าคนกำลังโกหกและถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาคงจะผิดหวังในตัวซึงกิเอามาก
“คะ...คือว่า--”
“เขาจะไม่พูดมันแน่จนกว่านายไม่ง้างปากเขา”
“บอกฉันมาซึงกิ” คำพูดของจงอินยิ่งเหมือนตัวคอยปั่นประสาทของคยองซูยิ่งขึ้น เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อใครดีระหว่างเพื่อนที่คบมานานแต่ทำตัวค่อนข้างน่าสงสัยกับคิมจงอินที่ไม่รู้ว่าจะนับว่าไว้วางใจได้หรือเปล่า
“ฉันบอกไม่ได้”
นั่นแหละตัวยืนยันว่าคยองซูควรจะเชื่ออะไร มันมีเรื่องแน่ ๆ แต่ซึงกิก็ยืนยันว่าบอกไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เราเป็นเพื่อนกันแท้ ๆ ยามทุกยากและลำบากพึ่งพากันได้เสมอ ๆ แต่ตอนนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“ถ้านายอยากรู้ฉันทำให้เขาพูดได้นะ” จงอินที่ยืนพิงประตูอยู่เสนอตัวขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ เป็นข้อเสนอที่จะทำให้คยองซูรู้ความจริงเร็วขึ้นและพวกเราก็จะได้ไปจากที่นี่สักที เขาล่ะรู้สึกแย่เจียนจะอ้วกเมื่อต้องอยู่ในบ้านเพื่อนของคยองซู รกร้างเหมือนป่า จริง ๆ ที่นี่อาจจะมีงูด้วยซ้ำไป
“ซึงกิฟังนะ ฉันไม่อยากให้เขาทำแบบนั้นกับนายเพราะงั้นนายต้องบอกฉันมาตรง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
คำพูดเกลี้ยกล่อมของคยองซูดูจะใช้ไม่ได้ผลเมื่อทันทีที่พูดจบฝั่งผู้กุมความลับก็ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน มิหนำซ้ำยังเอามือตะครุบปากของตัวเองเอาไว้แน่นเสียด้วย
คยองซูถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันหน้าไปสบสายตาเข้ากับจงอินที่แสดงท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้ดูตึงเครียดกับสถานการณ์ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย จงอินเห็นสีหน้าและได้ยินน้ำเสียงเว้าวอนจากอีกฝ่ายเต็มสองหูว่าคยองซูนั้นต้องการอะไรและเขาก็จะจัดให้ชนิดที่ว่าไม่ให้เหลือความลับคั่งค้างอยู่ที่ปากของผู้เป็นเพื่อนของคยองซูแม้แต่สักคำ
เวทชั้นสูงถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะใช้กับพวกเลือดผสมเพราะมันชั้นสูงเกินที่พวกเลือดผสมจะรับไหวแต่ในกรณีนี้คงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องแบบนั้นแล้วล่ะ
“อ๊าก!!!!”
"!! "
เสียงร้องโหยหวนทรมานทำเอาคยองซูถึงกับสะดุ้ง ซึงกิล้มลงไปนอนอยู่บนพื้นมีท่าทางเหมือนจะเจ็บปวดเจียนตายดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดอากาศหายใจทำเอาคยองซูถึงกับทำอะไรไม่ถูก ผู้กระทำยืนทำสีหน้าเรียบเฉยนี่จงอินต้องเป็นแวมไพร์ชนิดไหนถึงมองคนเจ็บจะตายด้วยสีหน้าแววตาว่างเปล่าขนาดนั้น
"หยุดเถอะขอร้องฉันจะบอกทุกอย่างที่นายอยากรู้ได้โปรดหยุดมันเถอะ! " ผู้ถูกกระทำร้องขอชีวิตอย่างหมดหนทางเพราะความเจ็บปวดที่เหมือนมีดพันเล็มกำลังทิ่มแทงตามร่างกายนั้นมันสุดจะทน
"จงอินพอเถอะ! " คยองซูเอ่ยห้ามเมื่อดู ๆ แล้วผู้ถูกกระทำยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่และเหมือนว่ากำลังใจสิ้นใจอยู่รำไร
"ฉันหยุดไม่ได้ นายต้องถามเขาก่อน ถ้าหากเขาบอกทุกเรื่องที่นายต้องการรู้หมดมันถึงจะหยุด"
คยองซูถึงกับขมวดคิ้วแน่น ทุกเรื่องที่อยากรู้นั้นมีตั้งมากมายเห็นท่าแบบนี้แล้วคนตอบคำถามจะมีชีวิตรอดมาบอกเล่าทุกเรื่องที่เขาต้องการรู้หรือเปล่า
"เล่าทุกอย่างตอนที่ฉันไม่อยู่ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
"ฉันฆ่าเธอ"
"ว่าไงนะ? " คำตอบของเพื่อนรักช่างแสนจะน่ากลัว คยองซูรู้สึกว่ากำลังมือเท้าเย็นอย่างบอกไม่ถูก แน่นอนว่าเขาอยากจะรู้ความจริงแต่ตัวเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าถ้าหากรู้แล้วเขาจะรับมันได้หรือเปล่า
"ฉันฆ่าฮวาซุน ถะ...ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจอ๊าก!! "
"นายอย่าโกหกเลย ยิ่งโกหกนายจะยิ่งเจ็บนะ" คิมจงอินเตือนด้วยความหวังดี ที่จริงเขาก็เคยโดนใช้เวทนี้กับตัวแต่เพราะความเป็นเลือดแท้มันเลยไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นจะปางตายขนาดนี้
"เล่าต่อสิ"
"คะ...คือว่า วันนั้น พวกเราออกตามหานายทั่วโรงเรียน อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกตาลาย ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีแดงไปหมด ฉันรู้ว่าฉันกระหายและฉันต้องการเลือดมาก พอมองไปที่ฮวาซุน ฉันเลยควบคุมตัวเองไม่อยู่ฉันเลยฆ่าเธอ ละ...แล้วยูจีก็เข้ามาเห็นฉัน หมอนั่นเข้ามาทำร้ายฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจฉันแค่ป้องกันตัวก็เลยผลักเขาตกระเบียงห้องเรียน"
"..."
"ละ--แล้วอาจารย์ก็รู้เรื่องว่าฉันเป็นแวมไพร์ ฉันเลยโดนไล่ออก พวกเพื่อนร่วมห้องก็พากันมาถล่มฉันที่บ้าน ระ--เรื่องก็มีแค่นี้"
คยองซูรู้สึกว่าหัวตัวเองตื้อไปหมด เขาได้ยินเสียงอื้ออึงของความคิดตัวเอง ควรจะทำยังไงดี เขาควรจะโกรธที่เพื่อนรักของตัวเองฆ่าแฟนของเขาและเพื่อนอีกคนหรือควรจะร้องไห้ที่เขาเสียคนที่รักไปถึงสองคนหรือควรจะดีใจที่เพื่อนรักของเขาไม่ถูกจับไปเข้าคุก ไม่สิตอนนี้เขาควรจะรู้สึกยังไง
จงอินมองหน้าคนสองที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่ตอนนี้คงจะไม่ใช่แล้ว เพราะคยองซูไม่น่าให้อภัยเพื่อนรักที่ฆ่าคนรักและเพื่อนอีกคนหนึ่งของตัวเขาได้
"ฉันไปก่อนนะ คงหมดธุระที่นี่แล้ว"
คยองซูเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนแขนของอดีตเพื่อนรักรั้งไว้เสียก่อน แววตาของอีกฝ่ายมันบ่งบอกได้เลยว่าข้างในตัวเองตอนนี้ว้าวุ่นมากแค่ไหน ทั้งกลัว ทั้งตกใจและวิงวอน
"ขอล่ะ นายอย่าไปเลยนายจะอยู่กับฉันใช่มั้ยคยองซู ระ--เราเป็นเพื่อนกันไง ตอนนี้ฉันกำลังมีปัญหานะ พะ--เพื่อนต้องช่วยเพื่อนไม่ใช่เหรอไง นายลืมแล้วเหรอ" น้ำเสียงวิงวอนขอร้องให้หยุดกับมือที่กุมเอาไว้แน่นทำให้คยองซูรู้สึกสงสารและสมเพชไปในตัว
"ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับคนที่ฆ่าเพื่อนของตัวเอง"
"..."
"อีกอย่างนายไม่ใช่ซึงกิที่ฉันรู้จัก"
คยองซูแกะมือนั่นออกและเดินจากมากอย่างเข้มแข็ง เขาเข้าใจว่ายิ่งโตเรายิ่งสูญเสีย ตั้งแต่เกิดมาเขาสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ไปมากมายจนนึกอยากจะชิน ครั้งนี้เขาควรจะชินไม่ใช่หรือไง
มือใหญ่ที่จับเข้าที่แขนทำให้คยองซูหันไปสนใจ คิมจงอินยืนอยู่ด้านหลังเขา พวกเรายืนอยู่กลางถนนที่เกือบจะมืดเพราะในละแวกแถวนี้แทบจะไม่มีแสงไฟเลยสักดวง
คยองซูหลับตาลงเขาอยากจะภาวะนาวิงวอนต่อองค์เทพว่าเขาให้นี่เป็นแค่ความฝันเขาอยากจะกลับไปเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดที่มีความสุขกับอะไรง่าย ๆ ชีวิตเรียบง่ายแบบมนุษย์
เสียงครืนที่สาดไปมากกับความรู้สึกเปียกแฉะทำให้คยองซูต้องลืมตาขึ้นมามองดูว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตรงหน้าเป็นทะเลส่วนตรงที่เขายืนอยู่ตรงนี้เป็นทางเดินหินที่ยื่นยาวออกมาจากชายฝั่ง มันไม่ได้สูงจากทะเลมากแต่พอยืนมองแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนหน้าผา
"ที่นี่คือหาดยองจิน"
เสียงจงอินที่ยืนอยู่ด้านหลังดึงสติอันหลุดลอยไปกับทะเลของคยองซูให้กลับเข้ามา ร่างสูงนั่งลงบนพื้นหินก่อนจะกระตุกขากางเกงของคยองซูเล็กน้อยเชิงให้นั่งลงตาม ซึ่งคยองซูก็ไม่ได้อิดออดอะไรเลยนั่งลงข้าง ๆ จงอินอย่างช่วยไม่ได้
"นายกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าแวมไพร์อย่างฉันรู้จักที่นี่ได้ยังไง? "
"ฉันคิดดังเกินไปอีกแล้วเหรอ? " คยองซูไม่ปฏิเสธเพราะว่าตัวเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ จงอินรู้จักที่นี่ได้ยังไงขนาดเขามีเวลาเที่ยวตั้งเยอะแยะยังไม่เคยมาเลยด้วยซ้ำ
"เปล่าหรอก"
"แล้วนายรู้ได้ยังไง? " คยองซูหันไปหาคนข้างกายพลางสบตากับอีกฝ่ายตรง ๆ และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมหลบสายตาก่อนแน่
"แค่มองตานายก็รู้แล้วล่ะคยองซู"
คำพูดของจงอินชวนทำหน้าร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คยองซูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลบสายตาหนีแววตาอ่อนโยนที่อีกฝ่ายส่งมอบให้มา ช่างอันตรายยิ่งนัก
"นายดูเหมือนจะมีความสามารถมองคนได้ทะลุปรุโปร่งดีนะ"
"ก็อาจจะใช่ ที่จริงแล้วฉันค่อนข้างเก่งเลยก็ว่าได้" จงอินพูดโอ้อวดตัวเองอย่างภาคภูมิใจ จริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวหรืออะไรด้วยซ้ำเพราะเขาใช้ชีวิตมานานจนเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง สูญเสียสิ่งรอบข้างไปมากมาย เข้าใจดีว่าโลกเป็นยังไง
"อือ"
และตอนนี้เขาก็เข้าใจด้วยว่าคยองซูกำลังอยู่ในโมทอารมณ์แบบไหน ผิดหวัง สับสน และเจ็บปวด มันแสดงออกได้ชัดเจนจากแววตาที่ดูเศร้าสร้อยนั่น มันมีความรู้สึกหลากหลายปะปนกันอยู่รวม ๆ และมันก็มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าความรู้สึกแย่
"นายกำลังรู้สึกแย่ใช่มั้ย? "
"จะว่างั้นก็ได้" คยองซูทอดสายตามองทะเลที่กว้างขวาง ถ้าหัวใจของเขาลึกเท่าก้นมหาสมุทรก็ดีสิ บางทีมันอาจจะรองรับความรู้สึกเขาของได้หมด
"ให้ฉันเล่าเรื่องตัวเองมั้ยนายจะได้หายรู้สึกแย่? "
ข้อเสนอของจงอินนั่นทำให้คยองซูพยักหน้าตกลง อะไรก็ได้ตอนนี้ขอให้เขารู้สึกดีขึ้นก็พอ แค่นิดเดียวก็ได้
"นายต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าฉันแก่กว่าที่นายคิด" จงอินพูดพลางยิ้ม ๆ ถ้าหากคยองซูรู้อายุของเขาน่ะคงได้มีอาการตกใจจนโตเป็นนกฮูกแน่ ๆ
"นายดูไม่ได้แก่กว่าฉันมากหรอกน่ะ" คยองซูตอบกลับแบบไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก คิมจงอินก็คงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาน่ะแหละ หน้าตาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูแก่มากถ้าจะตีให้ก็เป็นคนมีอายุก็น่าจะยี่สิบกว่า ๆ
"ลองเดาดูสิว่าฉันเกิดปีอะไร? "
"2001"
"ผิด"
"1999 1998 1997"
"อันที่จริงฉันเกิดปี 1903"
"ฮะ นายว่าไงนะ!? " คำเฉยทำเอาคยองซูถึงกับตาโต เป็นที่น่าตกใจในระดับหนึ่ง มันจะเป็นไปได้ยังไงถ้าจงอินเกิดปี 1903 ก็เท่ากับคนข้าง ๆ เขาอายุประมาณหนึ่งร้อยสิบกว่าปี
"บวกลบนิดหน่อยก็ร้อยสิบกว่าปี"
คยองซูหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายพลางหรี่ตาจับผิดว่าคนข้าง ๆ เขานั้นโกหกหรือเปล่า จงอินเองก็เหมือนจะรู้ตัวเรื่องที่คยองซูไม่เชื่อเลยหันกลับมาจ้องคยองซูที่ต้องเขาก่อนหน้านั้น ฝ่ายเริ่มก่อนทำหน้าเหมือนเลิ่กลั่กเล็กน้อยที่ถูกจ้องกลับก่อนสีหน้าจะเป็นปกติเหมือนเดิม
"นี่นายไม่เชื่อฉันเหรอ? "
เสียงของจงอินกับสายตาคม ๆ กำลังทำให้คยองซูรู้สึกว่าหน้าตัวเขาเองกำลังจะเห่อร้อนไปมากกว่าเดิมเพราะนอกจากจะเสียงและแววตาที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรแล้วคิมจงอินยังฟาดรอยยิ้มมาให้ได้ชมด้วย
"กะ...ก็จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะ ไม่มีใครคนไหนอยู่ได้ถึงร้อยสิบกว่าปีหรอก" คยองซูอยากจะรู้ว่าหากตัวเองสบตากับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ จะเป็นยังไงตัวเขาเลยพยายามที่จะไม่หลบตาก่อน
"เพราะฉันเป็นแวมไพร์ยังไงล่ะฉันไม่ใช่มนุษย์"
นั่นคือสิ่งที่ทำให้คยองซูถึงกับนิ่ง ใช่เขาลืมไปได้ไงว่าจงอินเป็นแวมไพร์ไม่ใช่มนุษย์การที่จะมีอายุถึงร้อยสิบกว่าปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอยู่แล้ว
"แล้วร้อยกว่าปีนี่นายเรียนไม่จบหรือไง? " คยองซูเอ่ยพลางเท้าคางมองตาคนข้างกาย พิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพิถีพิถัน ชั่วขณะหนึ่งก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวให้คิดเล่น ๆ ว่าที่จริงคิมจงอินก็หล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนกัน
"ฉันกับแบคฮยอนและเซฮุนน่ะสนิทกันมาก พวกเราได้ไปที่โรงเรียนนั่นก็ประมาณสิบขวบ ถ้าจำไม่ผิดทุกอย่างเหมือนจะดีจนกระทั่งปีหนึ่งเก้าหนึ่งสี่มีสงครามเกิดขึ้น เพราะพวกมนุษย์ก่อสงครามไม่หยุดไม่สิ้นจนพวกแวมไพร์คิดค้นวิธีปกป้องลูกหลานตัวเอง"
"..."
"ฉันกับแบคฮยอนและเซฮุนถูกจับแยกออกจากกัน พวกเราถูกยัดลงโลงศพหินอย่างดีก่อนจะถูกเอาไปฝังซ่อนเอาไว้ ฉันอยู่ที่นั่น ที่เม็กซิโก ไม่รู้แม้กระทั่งวันนี้วันที่เท่าไหร่เดือนอะไรปีไหนหรือว่าตอนนี้กี่โมง"
"นายไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้นะ" คยองซูรับรู้ถึงแววตาเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย น่าแปลกที่ครั้งนี้จงอินเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเสียก่อน แววตาที่ดูเหมือนไร้ซึ่งอารมณ์แต่ข้างในตัวก็เหมือนจะเจ็บปวดที่ต้องขุดคุ้ยเรื่องในอดีตออกมาพูดเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น ซึ่งคยองซูไม่ต้องการแบบนั้น
"ไม่หรอก ฉันรู้มันดูน่าสมเพชแต่นายต้องฟังมันให้จบ" จงอินไม่อยากให้ใครมองว่าเขาอ่อนแอถึงแม้ที่จริงแล้วเขาจะกำลังอ่อนแอมากก็ตาม เขาเกิดในตระกูลแวมไพร์ชั้นสูงและเป็นลูกคนโตเพราะงั้นจะอ่อนแอไม่ได้เป็นอันขาด
"...."
"หลาย ๆ คนที่อายุใกล้ ๆ ฉันและถูกฝังลงดินไม่ไกลกันมากนั้นฉันได้ยินเสียงร้องครวญครางผ่านกระแสจิต พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือแทบทุกวันแต่พอนาน ๆ ไปทุกเสียงก็เริ่มเงียบและฉันก็รับรู้ว่าในที่สุดเหลือฉันรอดแค่เพียงคนเดียว"
"..."
"พออยู่นิ่ง ๆ นานฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นมนุษย์ ฉันโหยหาอากาศหายใจ โหยหาการกินอาหารและน้ำ โหยหาแสงอาทิตย์ เหมือนกำลังจะตายเพราะข้างล่างนี่ห่างจากข้างบนพื้นดินประมาณยี่สิบเมตร ในตอนนั้นฉันก็คิดว่าจะไม่รอดแล้วแต่อยู่ดี ๆ โลงของฉันก็ขยับและเปิดออกในที่สุด ฉันได้ออกมาข้างนอกเพราะแบคฮยอนกับเซฮุนขุดฉันขึ้นมา วันที่หนึ่งพฤศจิกายนปี 1922"
"นั่นเป็นสิ่งที่เขียนอยู่บนหลุมศพของนายใช่มั้ย? " คยองซูรู้สึกอยากจะร้องไห้ เรื่องของจงอินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อยในทางกลับกันมันทำให้น้ำตารื้นขอบตาอย่างห้ามไม่ได้
"ใช่ พอฉันขึ้นมาก็กลายเป็นว่าฉันอายุสิบแปดแล้ว เหมือนว่าเมื่อวานฉันเพิ่งจะสิบขวบแล้วอยู่ ๆ ก็กลายเป็นเด็กอายุสิบแปด พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนายว่ามั้ย?"
คยองซูขำเล็กน้อยคลอไปพร้อมกับจงอินที่ขำมุกตลกที่ตัวเองเล่น ก็สมกับเป็นคนที่เกิดในปีหนึ่งเก้าศูนย์สามอยู่หรอก
"ที่จริงสงครามมันจบตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าหนึ่งแปดแล้ว เซฮุนเป็นคนแรกที่ออกมาจากโลงได้หมอนั่นบอกว่าออกมาได้ตอนปีหนึ่งเก้าหนึ่งแปดและเขาถูกฝังอยู่ใต้ทะเลทรายแล้วเขาก็ใช้เวลาอีกหนึ่งปีในการตามหาแบคฮยอนแล้วก็เจอที่ใต้แผ่นน้ำแข็งในทะเลขั้วโลกเหนือจากนั้นก็ใช้เวลาอีกเกือบจะสี่ปีในการตามหาฉันจนในที่สุดก็เจอนั่นแหละ"
"..."
"หลังจากนั้นฉันก็กลับไปเรียนเพราะครอบครัวของฉันตายหมดแล้วไม่เหลือสักคน ฉันเลยคิดว่าช่วงชีวิตฉันในตอนนั้นเหลือแค่แบคฮยอนกับเซฮุน พวกเราเรียนไปได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เพราะมันดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่เลยที่ต้องมาเรียนกับพวกแวมไพร์รุ่นใหม่ที่มีพ่อแม่มารับทุก ๆ วันหยุดก็กลับบ้าน พวกฉันเลยหนีออกมานอกโรงเรียนแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง ฉันใช้ชีวิตแบบสุดโต่งไปกับการทำตัวเหมือนมนุษย์ขโมยของและฆ่าคน จนกระทั่งสิ่งที่ทำทุกวันมันเริ่มซ้ำแล้วก็รู้สึกจำเจและพอดิบพอดีกับการกลับมาของสงครามครั้งที่สองฉันจึงไปเข้าร่วมกับพวกแอรีสแล้วก็เจอแบคฮยอนกับเซฮุนจนกระทั่งหนีออกมาอีก พวกเราเลยตระเวนไปทั่วทุกพื้นที่บนโลกที่พวกเราสามารถไปได้และเมื่อไม่นานปีที่แล้วเพิ่งจะกลับมาเรียนอีกครั้งเนี่ยแหละ"
คยองซูวางมือไว้บนไหล่หนาก่อนจะออกแรงบีบเล็กน้อย แม้เรื่องจะผ่านมานานมากแล้วแต่ในเมื่อจงอินเอากลับมาเล่าให้ฟังอีกก็เหมือนกับขุดอดีตที่เลวร้ายขึ้นมาอีก คยองซูคงช่วยอะไรได้ไม่มากนอกจากให้กำลังใจ ถ้าหากเขาเป็นจงอินคงตายตั้งแต่ถูกจับฝังทั้งเป็นในโลงแล้ว
"นายไม่น่าพูดเลย"
"ทำไม มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? " จงอินยิ้มเล็กน้อยเพราะรู้สึกเอ็นดูในตัวคยองซู เราอายุห่างกันหลายรอบปีเขาผ่านโลกมาเยอะแยะมากมายแค่พูดเรื่องในอดีตมันไม่ได้ทำให้รู้สึกสะทกสะท้านอะไรมากขนาดนั้นหรอก
"ก็แย่ มันทำให้ฉันรู้สึกแย่ตามไปด้วย" คยองซูมองต่ำ คิมจงอินต้องเป็นแวมไพร์ที่เข้มแข็งขนาดไหนกันถึงผ่านเรื่องร้าย ๆ ขนาดนั้นมาได้ การที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟังในวันนี้ทำให้เขารู้เลยว่าแค่ที่เห็นภายนอกมันก็แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เขารู้จักแวมไพร์ตนนี้
"เฮ้ ๆ ไม่เอาสิ ฉันเล่าให้นายฟังเพราะว่าเวลานายมีเรื่องแย่ ๆ เข้ามาโปรดจงรู้ไว้ว่านายไม่ได้รู้สึกแย่แค่คนเดียวบนโลก ยังมีฉันอยู่" ร่างสูงลูบกลุ่มผมนุ่มเบา ๆ ด้วยความนึกสงสาร ในระยะเวลานานแสนนานที่ได้มีชีวิตอยู่เขาเรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากและเปราะบาง สำหรับบางคนก็ทำให้เขาอยากจะปกป้องไม่ให้แตกหักหรือเสียหายและเขาอยากที่จะเข้าใจมัน
"ในตอนแรกฉันคิดว่าจะไม่กลับไปโรงเรียนบ้านั่นอีก"
"..."
"แต่ฉันจะกลับไปเพราะฉันไม่อยากจะหนี ฉันอยากทำให้คนที่บ้านได้เห็นว่าฉันจะไม่ไปตายอยู่นั่น" คยองซูพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาไม่อยากจะหนีแล้วเบื่อเต็มทีกับการที่ต้องหลบซ่อน เพราะเพื่อนของเขาและเขาดื้อดึงไม่ยอมดื่มเลือดไม่อยู่ในที่ที่เหมาะสมทำให้ได้คร่าสองชีวิตไปจากโลกใบนี้อย่างน่าเสียดาย เพราะพวกเราไม่ได้ถูกฝึกมาให้เตรียมรับมือกับสภาพสังคมของมนุษย์พวกเราแค่ทำตัวเลียนแบบวิถีชีวิตที่คิดว่ามันคือตัวเรา
"ฉันชอบความใจสู้ของนายดี"
จงอินยิ้มร่าเมื่ออยู่ ๆ นักเรียนเลือดผสมก็มีใจสู้ที่จะกลับไป ที่จริงเขารู้ว่าคยองซูคิดว่าตัวเองจะไม่กลับไปอีกแล้วและเขาก็ไม่คิดที่จะห้ามข้อนั้นเพราะมันเป็นสิทธิ์ของอีกฝ่ายว่าจะอยู่หรือไปแต่ก็ดีที่คยองซูยอมที่จะกลับไปกับเขา
จงอินลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งมือไปข้างหน้าคยองซูที่นั่งอยู่ที่พื้น คยองซูมองมือของจงอินก่อนจะคว้าหมับเข้าให้อย่างไม่ได้คิดอะไรไปมากมายและยืนขึ้นตามแรงดึงของอีกฝ่าย เขาชักจะชินกับความเยือกเย็นของมือจงอินเข้าแล้วสิ
"จับให้แน่น ๆ ล่ะ สถานีต่อไปถ้ำค้างคาว"
คยองซูลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขารู้สึกว่าหัวตัวเองหนักอึ้งเหมือนกำลังแบกโลกสามใบเอาไว้ ทันทีที่มองไปรอบ ๆ ห้องที่คุ้นเคยก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้นิดหนึ่ง เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วจนกระทั่งคิมจงอินเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่ดูเหมือนจะเร่งรีบ
"จะเริ่มเรียนคาบแรกแล้ว" จงอินถือว่านั่นคือคำทักทายในเวลานี้ แม้ว่าพวกเราจะเดินทางมาถึงและนอนพักไปเกือบหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กก็ยังปรับเวลาชีวิตของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
"..." เสียงของจงอินไม่ได้ทำให้คยองซูรู้สึกอยากไปเรียนมากขึ้นแต่อย่างใดตรงกันข้ามเขาอยากจะหยุดพักเพิ่มอีกสักวันด้วยซ้ำเพราะการที่ออกไปตะลอนไหนต่อไหนมาในตลอดทั้งกลางวันทำให้พลังงานร่างกายของเขาแทบจะเหลือศูนย์แถมเขายังไม่สามารถปรับเวลาชีวิตให้อยู่ในช่วงหนึ่งทุ่มถึงหกโมงเย็นได้อีกต่างหาก
เวลานี้ทำให้เขาคิดถึงโรงเรียนเก่า เหมือนว่าหยุดมาหลายวันแล้ววันนี้ต้องกลับไปเรียนร่างกายมันก็อาจจะดื้อดึงเล็กน้อยตามประสา คยองซูดึงรั้งผ้าห่มออกจากตัวแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเครื่องแบบออกมาและเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการเปลี่ยนมันให้เรียบร้อยก่อนจะล้างหน้าแปรงฟันทำเหมือนกับว่ากำลังจะออกไปเริ่มต้นวันที่แสนสดใสในตอนเช้า เปล่าเลยนี่มันเกือบจะถึงคาบแรกในเวลาเที่ยงคืนตรงอยู่แล้ว
"นายจะไม่อาบน้ำหน่อยเหรอ? " จงอินเอ่ยทักท้วงอีกครั้งก่อนจะยื่นกระเป๋าให้คยองซูที่ท่าทางในตอนนี้เหมือนผีดิบไม่มีผิดเพี้ยน ท่าเดินไหล่ตกกับปากที่คว่ำจนเห็นได้ชัดบ่งบอกได้ชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายคิดถึงเตียงนอนมากแค่ไหน
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวสิ...ทำไมกระเป๋าฉันถึงมีชุ--”
“นายลืมเหรอว่าพอนายสอบผ่านแล้วนายก็จะได้ย้ายคลาสไปเรียนวิชาใหม่ด้วย วิชาที่เพิ่มมาวันนี้ก็ชีวะกับต่อสู้พื้นฐาน แต่นายไม่ต้องคิดเยอะหรอกเพราะว่ามันก็คล้าย ๆ กับวิชาพละของโรงเรียนมนุษย์”
คยองซูพยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างเนือย ๆ หลังจากกลับเข้ามาที่โรงเรียนคยองซูก็เกิดความง่วงสะสมและพุ่งเข้าหาเตียงนอนอย่างช่วยไม่ได้ การรับทุกส่วนของร่างกายรู้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที
คยองซูถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยกกระเป๋าขึ้นสะพายหลังก่อนจะกระชับสายให้แน่นพลางมองมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า ให้ตายเถอะเขาไม่อยากจะพึ่งคิมจงอินเท่าไหร่นักเพราะว่าเหมือนว่าเขาต้องให้คนนู้นคนนี้ไปส่งอยู่ตลอดเวลาจนบางครั้งก็นึกรำคาญตัวเอง แต่ว่าจะให้เดินลงบันไดจากชั้นแปดแล้วเดินเท้าเข้าปราสาทใหญ่ก็จะต้องใช้เวลาเป็นชาติกว่าจะถึงและมันก็คงจะไม่ทันเรียนเป็นแน่
เหมือนเดิมก็คือพวกเรามาถึงก่อนที่คยองซูจะรู้ตัวเสียอีก โถงทางเดินในยามวิกาลที่มีนักเรียนเดินพลุกพล่านก็ยังคงเป็นเรื่องไม่ชินสำหรับคยองซูอยู่ดีแม้ว่าจะใช้ชีวิตที่นี่มาได้เกือบ ๆ จะอาทิตย์แล้วก็ตาม
“คยองซู!”
แบคฮยอนตะโกนเรียกเจ้าของชื่อมาก่อนที่จะวิ่งเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองอย่างรวดเร็วโดยมีโอเซฮุนตามมาติดเหมือนอย่างเคยก่อนที่คยองซูจะโดนดึงเข้าไปหาและก็โดนแบคฮยอนยิงคำถามมากมายใส่อย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดเสียด้วย
“นายไปไหนมา ฉันไม่เห็นนายตั้งสองสามวัน นายสอบผ่านใช่มั้ย แล้วอยู่กับจงอินเป็นไงบ้าน ได้ข่าวว่าพวกนายทะเลาะกันเหรอ แล้วคืนดีกันหรือยัง หมอนั่นแกล้งนายหรือเปล่า แล้ว--”
“ให้คยองซูได้พักหายใจหน่อยเถอะ”
เสียงเยือกเย็นของเซฮุนดังขึ้นขัดแบคฮยอนในทันทีที่รู้สึกว่าเพื่อนตัวเล็กของเขากำลังเหมือนจะละลาบละล้วงโดคยองซู
“นายอย่ามายุ่งน่าเซฮุน” ทันทีที่พูดจบแบคฮยอนก็ควงแขนของเพื่อนตัวใกล้เคียงกันเอาไว้ก่อนจะเดินนำทิ้งหนุ่ม ๆ ตัวสูงเอาไว้ข้างหลัง
เซฮุนมองอาการแบบเด็ก ๆ ก็ได้แต่ส่ายหัว แบคฮยอนน่ะมีอายุมากกว่านักเรียนที่โรงเรียนนี้แต่ทำตัวไม่ต่างจากเด็กสิบขวบเลย
“พวกนายทะเลาะอะไรกันล่ะ?” จงอินเอ่ยถามเซฮุนพลางปรายตามองร่างเล็กทั้งสองที่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปข้างในอย่างสงสัย เขาเป็นเพื่อนแบคฮยอนมานาน นานขนาดที่รู้ว่าอาการนั่นคือการโกรธโอเซฮุน เพราะไม่มีทางที่ทั้งสองจะแยกออกจากกันเด็ดขาดแม้กระทั่งตอนเดินก็ตาม
“เรื่องไร้สาระ” เซฮุนตอบแค่นั้นก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วออกตัวเดินตามทั้งสองที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และจงอินก็เดินมาตามติด ๆ
“พวกนายทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า?” คยองซูเอ่ยถามแบคฮยอนที่ดูเหมือนจะปั้นหน้ายิ้มอารมณ์ดีมากกว่าปกติที่ควรเป็น เขาหมายถึงอารมณ์ดีขนาดที่เกินมนุษย์และแวมไพร์ควรจะเป็น
“ไม่นะ”
คยองซูหรี่ตามจับผิดคนข้าง ๆ กายอย่างเอาเรื่องแต่ก็ได้แต่สงสัยใจในต่อไป เขาก็ไม่กล้าถามแบคฮยอนเพิ่มหรอกเพราะเจ้าตัวก็ยืนยันแล้วว่าไม่ ถ้าถามอีกก็จะกลายเป็นว่าเขาก็จะดูเหมือนเป็นคนเซ้าซี้เอาเปล่า ๆ
แบคฮยอนทำหน้าที่เดินมาส่งคยองซูถึงหน้าห้องเรียนใหม่เหมือนวันแรกที่เราเจอกันไม่มีผิด แบคฮยอนโบกมือลาก่อนจะทำการหายตัวไปต่อหน้าต่อตาเหมือนเคย คยองซูหยุดยืนทำใจหน้าห้องเพราะในการสอบผ่านเขาก็ต้องย้ายคลาสมาเรียนคลาสใหม่ซึ่งในคลาสนี้ไม่น่าจะมีชานยอลอยู่เป็นเพื่อนแน่ ๆ และเขาก็ต้องพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ที่ไม่รู้ว่าเราจะสามารถลงรอยกันได้หรือเปล่า
“นักเรียนทำไมไม่เข้าห้องล่ะครับ?”
เสียงนุ่มทุ้มจากด้านหลังทำเอาคยองซูหันไปสนใจอย่างห้ามไม่ได้ คยองซูหันหลังไปยิ้มเจื่อนให้ผู้ชายร่างสูงที่ยืนยิ้มให้เขาอยู่ไม่ห่าง สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกเขาและหนังสือเล่มโตในอ้อมแขนทำให้เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคืออาจารย์ประจำวิชา
“กำลังจะเข้าไปครับ” คยองซูตอบเสียงตะกุกตะกักเพราะความประหม่าที่เกิดขึ้นจากรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเล่นฟาดมาให้ได้ชมเสียชุดใหญ่
“กังวลเหรอ ไม่ต้องกังวลนะ ห้องนี้มีแต่เลือดผสม”
อาจารย์หนุ่มยิ้มรับอย่างอบอุ่นอีกครั้งก่อนจะโน้มตัวลงมาและเอื้อมมือผ่านหน้าคยองซูไปเปิดประตูห้องเรียนออกการกระทำนั้นทำให้พวกเราทั้งสองใกล้กันมากซึ่งคยองซูก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับการที่มีคนแปลกหน้ามาใกล้ขนาดนี้ อันที่จริงเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบสกินชิพเท่าไหร่
“เอาล่ะ ลดเสียงลงหน่อย วันนี้เรามีนักเรียนใหม่ย้ายมาจากคลาสเวทด้วยล่ะ” เสียงของอาจารย์หนุ่มทำให้คยองซูประหม่ากว่าเดิมเพราะมันทำให้ทุกคนในห้องต่างหันมาให้ความสนอกสนใจกับนักเรียนใหม่ที่ย้ายมานั่นก็คือเขา
“...”
“นักเรียนจะไม่แนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักหน่อยหรือไง?”
เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ทักท้วงอีกรอบคยองซูถึงกับสะดุ้งตัวอีกครั้งก่อนจะเกาแก้มแก้เก้อ อันที่จริงตอนเข้าไปคลาสเรียนวันแรกของที่โรงเรียนนี้เขาก็ไม่ได้กล่าวแนะนำตัวเลยไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับคลาสเรียนใหม่ในวันนี้
“สวัสดีครับ ชื่อโดคยองซูครับ ย้ายมาจากคลาสเวท ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” การกระทำแบบนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่ยังไงยังไง เหมือนเป็นธรรมเนียมของโรงเรียนมนุษย์ทั่วไปที่เวลามีนักเรียนใหม่ต้องเอามาแนะนำตัวหน้าห้อง
“เอาล่ะ ๆ ใครมีที่นั่งข้าง ๆ ว่างแล้วอยากให้คยองซูบ้าง?”
เพราะห้องนี้มันนั่งเรียนเป็นคู่ไม่ใช่นั่งแยกเหมือนคลาสที่แล้วทำให้คยองซูมีความจำเป็นในการที่ต้องนั่งคู่กับใครสักคนและโชคดีมากที่พออาจารย์พูดจบก็มีนักเรียนสองถึงสามคนที่ที่นั่งข้างกายยังว่างยกมือขึ้นในทันที นั่นทำให้คยองซูถึงกับโล่งอกเพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนบางคนในห้องที่ไม่ได้รังเกียจที่จะให้เขานั่งด้วย
“งั้น...คยองซูไปนั่งกับอูจีแล้วกันนะ ที่นั่งตรงข้างหน้าต่างตรงนั้น”
คยองซูเดินไปยังที่ที่อาจารย์หนุ่มบอกในทันที เขานั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ นักเรียนคนที่ชื่ออูจี แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ยกมือขึ้นแต่ดูเหมือนอูจีจะไม่ได้ดูยินดีกับการมานั่งด้วยของคยองซูเท่าไหร่นักเพราะอีกฝ่ายยังคงทำสีหน้าบึ้งตึงใส่คยองซูไม่วายมองคยองซูทางหางตาอีกด้วย
“วิชานี้อย่างที่รู้ ๆ นะว่าเป็นวิชาชีวะ เป็นวิชาสบาย ๆ และสนุกใช่มั้ย?”
นักเรียนหลายคนโอดครวญร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินว่าวิชานี้เป็นวิชาสบาย ๆ ซึ่งคยองซูก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ไปตามบรรยากาศของห้องเรียน มันดูสบาย ๆ เพราะทั้งห้องนี้มีแต่เลือดผสมทั้งหมด
“ร้องกันเสียงหลงเชียว ถ้าพวกเธอไม่ชอบงั้นมาลงเรียนวิชาครูทำไมกัน เอาล่ะ ๆ เปิดหนังสือไปที่หน้าแปดสิบแปดพวกเราจะได้เริ่มเรียนต่อจากคาบที่แล้วสักที"
นักเรียนต่างขำขันกันเล็กน้อยก่อนจะพากันก้มลงไปหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเรียนตามด้วยอุปกรณ์การเรียนอย่างกระเป๋าดินสอที่คยองซูคุ้นเคยแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้บ่อยเท่าไหร่นอกจากจะไปเรียนวิชาประวัติ
"คยองซูที่ยังไม่มีหนังสือก็ดูกับอูจีไปก่อนนะ เลิกคาบเดี๋ยวครูพาไปเอาหนังสือ”
อาจารย์พูดพร้อมกับส่งยิ้มสดใสมาให้และแน่นอนคยองซูก็ยิ้มตอบไปอย่างลืมตัวอีกเช่นเคย
แรงกระทบจากหนังสือที่ชนเข้าที่ข้อศอกทำให้คยองซูหันไปสนใจเล็กน้อย เพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ใช้มือเลื่อนหนังสือมาคาบระหว่างโต๊ะให้คยองซูได้ดูด้วย เขาได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนให้คนหน้าบึ้งที่ยังคงมองเขาด้วยห่างตาอยู่แบบนั้นไม่เลิก
วิชาชีวะถือเป็นเรื่องที่คยองซูไม่ค่อยถนัดแต่ว่าที่นี่สอนเนื้อหาไม่ได้ลึกมากทำให้ทุกอย่างที่อาจารย์สอนคยองซูได้เรียนจากโรงเรียนเก่ามาหมดแล้วเรื่องนั้นถือว่าได้เปรียบพอสมควร ในคาบชั่วโมงวันนี้ทำให้เขายกมือตอบคำถามเป็นพัลวันเพราะนาน ๆ ทีจะมีวิชาที่เขาล่วงรู้คำตอบได้ก่อนเพื่อน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขายกมืออยากจะตอบคำถาม
"นี่"
แรงสะกิดและเสียงกระซิบเบา ๆ จากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ทำให้คยองซูสะดุ้งเพราะมัวแต่ตั้งใจฟังที่อาจารย์หน้าห้องกำลังสอนอยู่ เขาแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ ๆ อูจีก็มาทักแถมยังสะกิดแขนเขาอีกต่างหาก
"ว่าไง? " คยองซูตอบกลับอย่างเป็นมิตรแม้ว่าใบหน้าคนที่เป็นฝ่ายทักจะยังดูไม่เป็นมิตรก็ตาม
"ทำไมนายรู้เยอะจังเลยวะ? "
คยองซูแทบจะขำพรืดออกมาเมื่ออีกฝ่ายกระซิบถามด้วยใบหน้าที่ออกจะจริงจัง มันอาจจะดูน่าแปลกใจไปสักเล็กน้อยสำหรับที่นี่ที่อยู่ ๆ นักเรียนย้ายมาใหม่ก็เล่นตอบได้ทุกคำถาม แต่เนื้อหาที่พวกเรากำลังเรียนอยู่มันเป็นของมอปลายปีหนึ่งไม่ใช่หรือไง
"ฉันเคยเรียนมาแล้ว" เขาตอบสั้น ๆ และอีกฝ่ายก็พยักหน้าเข้าใจตอบกลับมาและเลิกสนใจเขาก่อนจะหันออกไปมองที่อื่น คยองซูคิดว่าบางทีอูจีอาจจะเกลียดวิชานี้ก็ได้เพราะในหนังสือเรียนไร้ซึ่งการเน้นข้อความสำคัญใด ๆ ส่วนมากมีแต่ข้อความตามมุมกระดาษไม่ก็รูปการ์ตูนต่าง ๆ ที่อีกฝ่ายวาดเอาไว้ เนื้อหาของข้อความส่วนใหญ่ที่อีกฝ่ายเขียนมักจะบอกว่า 'หมดคาบสักทีสิวะ! ' นั่นทำให้เดาความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อวิชานี้ได้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่
คยองซูจบคาบวิชานี้อย่างสวยงามด้วยการตอบคำถามสุดท้ายในเวลาสิ้นคาบเรียนพอดี เขายิ้มจนแก้มแทบจะฉีกเมื่อทุกคนเดินเข้ามาชมเขายกใหญ่ว่าเขาน่ะโคตรจะเก่ง ซึ่งคยองซูก็ได้แต่ยิ้มรับคำชมเชยพวกนั้นเอาไว้และไม่คิดจะถ่อมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
"คยองซูตามครูมาเอาหนังสือด้วยนะ" อาจารย์หนุ่มเดินมาที่โต๊ะนักเรียนใหม่ที่โดนนักเรียนในห้องรุมล้อมเพราะนักเรียนใหม่เล่นตอบทุกคำถามที่เขาถามในวันนี้ ทำให้เขาเองก็ประทับใจอย่างบอกไม่ถูก
"ครับ" คยองซูตอบเสียงเรียบก่อนจะยกกระเป๋าพาดบ่าแล้วเอ่ยลาเพื่อน ๆ ในคลาสเรียนใหม่อย่างเสียดายเพราะเขายังอยากจะอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ต่อไปมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่ที่โรงเรียนเก่า ไม่ใช่แบบที่คอยมีพวกเลือดแท้มามองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
คยองซูเดินตามอาจารย์หนุ่มมาอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่มีใครพูดอะไรทำให้คยองซูรู้สึกถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัดระหว่างเราทั้งสอง แต่คงมีอย่างเดียวที่คอยลดความอึดอัดของคยองซูนั่นก็คือตลอดการเดินตามอีกฝ่ายไปที่ห้องพักหากมีนักเรียนหรือใครก็ตามที่เดินสวนพวกเรา อาจารย์ก็จะเป็นฝ่ายถูกทักทายเสมอ
"ครูซินซองคะสวัสดีค่ะ"
นักเรียนเลือดแท้กลุ่มหนึ่งเอ่ยทักทายอาจารย์ด้วยท่าทางเป็นกันเองสุด คยองซูกำลังคิดว่าถ้าหากทุกคนที่ผ่านพวกเรายังคงเอ่ยทักอาจารย์อีกล่ะก็มันคงจะทำให้เขาไปเข้าเรียนอีกคาบสายเป็นแน่
"ว่าไงกาอึน"
อาจารย์ตอบกลับไปพร้อม ๆ กับรอยยิ้มเหมือนกับทุก ๆ ทีที่มีคนเข้ามากทักทาย
"เอ่อ...คือว่าอาจารย์กำลังจะไปไหนเหรอคะให้พวกหนูไปเป็นเพื่อนมั้ยคะ? "
คยองซูแทบจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายที่หน้าผากในขณะที่ดูเวลาไปด้วย เข็มสั้นของนาฬิกาใหญ่ตรงโถงทางเดินกำลังชี้ไปที่สิบอยู่รำไร นี่เขากำลังสายคาบต่อสู้
"ไม่เป็นไรดีกว่า พอดีครูกำลังจะพานักเรียนใหม่ไปเอาหนังสือที่ห้องน่ะ"
เขาตอบกลับนักเรียนหญิงพวกนั้นอย่างสุภาพก่อนพวกเธอจะยิ้มกลับมาเป็นคำตอบและเดินจากไป พวกเราเริ่มเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนคยองซูเห็นประตูห้องข้างหน้านั่นก็เดาได้ไม่ยากว่านั่นคือห้องของอาจารย์เพราะป้ายชื่อเด่นหราที่แขวนอยู่
"ถือนี้ให้ครูหน่อยสิ"
คยองซูรับหนังสือเล่มโตมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ อาจารย์ล้วงอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกุญแจห้องก่อนจะไขประตูเข้าไป เขาโค้งหัวแทนคำขอบคุณที่นักเรียนตัวน้อยได้ถือหนังสือให้ก่อนจะรับหนังสือกลับมาไว้ที่ตัวเอง คยองซูคืนหนังสือให้อีกฝ่ายก็แอบสะดุ้งเล็กน้อยเพราะมือเราชนกันในขณะที่อีกฝ่ายรับหนังสือไปจากมือของเขา คยองซูกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะบรรยากาศที่น่าค่อนข้างจะน่ากลัวแทบจะไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เลยเรียกว่าตอนนี้มีแค่พวกเราก็ได้ คยองซูเดินตามหลังอาจารย์เข้าไปและไม่ลืมปิดประตูให้ด้วยก่อนจะเดินเข้าไปยืนหน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่กลางห้อง
"อันนี้ของเธอ" อาจารย์หนุ่มวางของในมือก่อนจะรีบเดินไปหยิบหนังสือเรียนลงมาจากตู้แล้วส่งให้นักเรียนใหม่โดยทันที
"ขอบคุณครับ" คยองซูรับหนังสือเรียนใหม่เอี่ยมมาจากมือของอีกฝ่ายก่อนจะโค้งหัวขอบคุณตามอีกทีแล้วเก็บมันลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว
"ขอโทษทีนะครูทำให้เธอไปเรียนช้า คาบต่อไปเรียนอะไรล่ะ? " เขามองคยองซูที่ดูท่าทางเหมือนกับว่ารีบร้อนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านักเรียนไม่ได้เรียนแค่คาบเขาคาบเดียวนั่นก็ทำให้อดจะรู้สึกผิดไม่ได้
"เอ่อ...ผมเรียนต่อสู้ครับ แต่อาจารย์ไม่ต้องขอโทษหรอกครับเดี๋ยวผมจะไปแล้ว" คยองซูค้อมหัวให้ก่อนจะรีบก้าวเท้าไปที่ประตูแต่ก็โดนอีกฝ่ายห้ามปรามไว้เสียก่อน
"ได้ไงกัน อาจารย์วิชาต่อสู้โหดมากเลยนะ ครูว่าเธอไปเปลี่ยนเสื้อดีกว่าแล้วครูจะไปส่ง"
คยองซูกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากเพราะอยู่ ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่ออาจารย์หนุ่มเดินอาด ๆ เข้ามาหาเขาพร้อมกับกุมเข้าที่มือของคยองซูที่จับลูกบิดประตูแล้วก่อนจะดันให้ประตูปิดเหมือนเดิม
"ตะ แต่..."
"ที่นี่กับที่ที่เธอจะไปเรียนมันคนละฟากเลยนะ ถ้าเธอวิ่งไปก็อีกประมาณสิบนาที ยังไม่บวกลบกับที่เธอจะหลงทางแล้วต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นชุดลำลองอีก"
คยองซูลองคิดตามดูแล้วการที่ให้อีกฝ่ายไปส่งคือทางที่รวดเร็วสุด ถ้าวิ่งไปอีกสิบนาทีแล้วต้องวิ่งไปหลงอีกเพราะว่าที่นี่ไม่ใช่อาคารที่เขาจะมาบ่อยนัก เรียกว่าครั้งนี้มาเป็นครั้งแรกเลยจะดีกว่า
"ครับ อาจารย์รอผมเปลี่ยนชุดแป๊บนึง"
"เรียนผมว่าครูดีกว่านะคยองซู"
อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ฟังแล้วก็ชวนใจเต้นไม่น้อย คยองซูได้แต่พยักหน้าตอบรับแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำในห้องพักด้วยความรวดเร็วก่อนจะเช็กความเรียบร้อยให้ตัวเองอีกครั้งและรีบวิ่งออกมาหาคุณครูที่ยืนรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
"ถ้าโดนว่าก็อย่าคิดมากล่ะเดี๋ยวครูจะช่วยเอง"
มือใหญ่ที่ไม่ได้แตกต่างกับจงอินและชานยอลยื่นมาข้างหน้า คยองซูกำลังใช้สมองคิดเล็กน้อยว่าควรจะเอื้อมมือไปจับมือของครูหรือเปล่า มันจะดูไม่เหมาะสมเกินไปหรือเปล่า
"...."
ในที่สุดคยองซูก็เลือกที่จะจับแขนของอีกฝ่ายแทนมือ คุณครูหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรเขาแค่ยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพาคยองซูไปส่งที่หมายที่นักเรียนตัวเล็กต้องการจะไป
คยองซูหายใจติดขัดในทันทีที่พวกเรามาถึง นักเรียนเลือดผสมและเลือดแท้กำลังนั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่สนามและกำลังให้ความสนใจแก่คยองซูอยู่แทบจะทุกคน
"เธอคือโดคยองซูใช่มั้ย? "
ชายที่ดู ๆ แล้วเหมือนคนมีอายุเดินเข้ามาหาคยองซูในทันที คยองซูเหลียวมองหน้าของครูชีวะก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะทำอะไรไม่ถูกจนครูชีวะได้เริ่มบทสนทนาแก้ตัวแทนคยองซู
"อาจารย์วอนบินครับ คือผมขอโทษที่ทำให้โดคยองซูมาเรียนคาบอาจารย์สายไปราว ๆ เกือบจะยี่สิบนาที ทั้งนี้เป็นความผิดของผมเองเพราะผมให้โดคยองซูไปเอาหนังสือเรียนที่ห้องของผมทางปีกขวาของปราสาทเลยทำให้เขามาช้า ขออภัยแทนโดคยองซูด้วยนะครับ"
คยองซูทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนเหงื่อตกเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาจากคนทั้งคลาสที่จับจ้องมาที่เขาและอาจารย์ แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์ที่ชื่อว่าวอนบินนี่เหมือนจะเอาเรื่องเขาให้ได้เพราะอีกฝ่ายยังไม่เลิกมองเขาด้วยสายตาเหมือนจะคาดโทษ
"โอเค ที่ผมยอมยกโทษให้ก็เพราะว่าคุณครูซินซองลงทุนมาแก้ต่างให้ถึงคาบเรียนของผม"
คยองซูรู้สึกว่าเขารอดตายมาได้ในวันนี้ต้องขอบคุณครูซินซองล้วน ๆ ถ้าเขาตัดสินใจวิ่งมาแล้วต้องมาเจอกับอาจารย์วอนบินในสภาพนี้นะบอกเลยว่าตัวเองอาจจะไม่เหลือชีวิตรอด
"ครูไปก่อนนะแล้วเจอกันคาบชีวะ"
เสียงนุ่มทุ้มของคุณครูซินซองมาพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ามอง มือใหญ่ลูบหัวคยองซูเบา ๆ เชิงเรียกขวัญกำลังใจให้นักเรียนตัวน้อยให้ผ่านคาบเรียนต่อไปให้ได้ก่อนจะหายตัวกลับไปทิ้งคยองซูไว้กับอาจารย์สุดโหด
"เอาล่ะ มาเข้าแถว กว่าจะคนจะมาครบก็เกือบจะเลิกคาบ จัดแถวแยกระหว่างเลือดแท้กับเลือดผสม ส่วนเลือดผสมให้นั่งเรียงจากเปอร์เซ็นต์มากไปหาน้อย"
สิ้นเสียงอาจารย์สุดโหดนักเรียนก็ต่างลุกจากพื้นมายืนเรียงแถวกันในทันที คยองซูเดินไปหลังแถวสุดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในระหว่างที่เดินผ่านฝูงนักเรียนไปด้านหลังเขาก็เจอจงอินแบคฮยอนและเซฮุนกำลังยืนต่อแถวอยู่อีกแถวเช่นกัน
"..."
จงอินมองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจข้างหน้า ไร้ซึ่งการทักทายใด ๆ นั่นทำเอาอยู่ ๆ คยองซูก็รู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก เขาเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้เพียงคนเดียวพลางปรายตามองหาปาร์คชานยอลที่ไม่รู้หายหัวไปไหนตั้งสองวันเต็ม ๆ
"เราจะยืดเส้นร่างกายกันก่อนฉันถึงจะปล่อยให้แต่ละคนไปซ้อมก่อนจะมีการทดสอบในอาทิตย์หน้า นักเรียนทุกคนมาซ้อมได้ตลอดจนกว่าถึงการทดสอบ ตอนนี้ให้ไปวิ่งวอร์มรอบสนาม เลือดแท้สองรอบ เลือดผสมสี่รอบ"
ไร้เสียงซึ่งเสียงโต้แย้งว่าทำไมพวกเลือดผสมถึงต้องวิ่งรอบเยอะกว่าทั้ง ๆ ที่พวกเราก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน แต่คยองซูก็ลืมคิดไปว่าพวกเราต่างกันที่สายเลือด มันคงเป็นเรื่องที่ธรรมดาของที่นี่ ที่หลาย ๆ คนจะชินล่ะมั้งถึงไม่มีใครคิดจะโต้แย้งแม้แต่คนเดียว
คยองซูเริ่มออกวิ่งเบา ๆ พวกเราได้วิ่งทีหลังพวกเลือดแท้และนานกว่าแน่นอน พวกเลือดแท้ที่วิ่งเสร็จก็กลับมานั่งพักบ้างก็ไปซ้อมรอสำหรับการทดสอบในอาทิตย์หน้า แน่นอนว่าคยองซูเป็นคนที่เปอร์เซ็นต์เลือดน้อยกว่าเพื่อนในคลาสนี้เลยได้วิ่งอยู่ท้ายแถว ก็แอบเหงานิด ๆ ที่ในตอนนี้ไม่ได้มีปาร์คชานยอลมาคอยวุ่นวายและคิมจงอินก็ทำท่าทางเหมือนเมินเขาไปอีกคนและคยองซูก็ไม่รู้ถึงเหตุผลที่จงอินทำแบบนั้นด้วย
คยองซูรู้สึกหอบเหนื่อยเล็กน้อยเมื่อเข้าถึงรอบที่สี่ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างมีสติที่สุดจนกระทั่งเขาสะดุดอะไรไม่รู้จนทำให้ล้มหน้าคว่ำกับพื้น
พรึบ
"โอ๊ย! " เขาหันไปมองหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองสะดุดแต่ดันเจอเชือกรองเท้าของตัวเองที่ถูกผูกติดกันสองข้างก็ได้แต่รู้สึกหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะสำรวจร่างกายตัวเองว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากขนาดเลือดตกยางออก
“เป็นไรมั้ย?”
อูจีเพื่อนจากคลาสที่แล้วเป็นคนวิ่งเข้ามาดูเขาคนแรก คยองซูรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยก็แอบปลื้มอยู่ภายในใจคนเดียว อย่างน้อยก็ดูดีมีน้ำใจมากกว่าบางคนที่นั่งมองเขาด้วยสายตาเย็นชาจากข้างสนาม
“ไม่หรอกแค่นี้เอง” คยองซูกล่าวออกไปแบบนั้นเพราะรู้สึกตัวเองไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นอกจากแผลถลอกที่เข่าทั้งสองข้าง
อูจีมองที่รองเท้าของเพื่อนใหม่ที่นั่งข้าง ๆ กันในคลาสชีวะก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมาดื้อ ๆ เขาลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้นก่อนจะปลดเชือกรองเท้าของคยองซูออกและผูกมันกลับเข้าที่ ๆ มันควรจะอยู่เหมือนเดิม
“ขอบคุณนะ” คยองซูเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแม้ว่าตอนนี้อูจีจะกำลังทำท่าทางเหมือนโกรธอะไรสักอย่างอยู่ก็ตาม มันน่ากลัวจนคยองซูรู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงรังสีมืดที่แผดออกมาจากอีกฝ่าย
อูจีมองหาต้นตอของต้นเหตุด้วยความโมโหก่อนที่เขาจะได้ยิงเสียงกลุ่มเลือดแท้กลุ่มหนึ่งที่นั่งหัวเราะคิกคักกันอยู่ในขณะที่มองมาที่พวกเรา
นั่นทำให้เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ว่าใครเป็นคนทำ และนั่นทำให้อูจีถึงกับฟิวขาด ร่างเล็กกว่าคยองซูดึงเพื่อลุกขึ้นก่อนที่อูจีจะเดินอาด ๆ เข้าไปหากลุ่มนั้นอย่างไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
“ขอโทษคยองซูซะ พวกเธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้” อูจีพูดพร้อมกับมองหน้าคนพวกนี้ด้วยท่าทางพร้อมจะเหวี่ยงเต็มที่
คยองซูที่เห็นละสังเกตดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปห้ามปรามในทันทีเมื่อรู้ว่าอูจีเดินเข้าไปกล่าวว่าพวกเลือดแท้ที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“นี่ ช่างมันเถอะน่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” คยองซูดึงแขนเสื้อของอูจีเชิงพยายามรบเร้าให้อีกฝ่ายเดินออกมาจากตรงนั้นสักทีเพราะถ้าเกิดการปะทะกันเข้าเราทั้งสองอาจจะได้จบไม่สวย
“อะไรเหรอ? ทำไมพวกเราต้องขอโทษ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” กลุ่มพวกนั้นหันไปหัวเราะกันอย่างสนุกสนานโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นเหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ
“ยืนมองจากดาวอังคารก็รู้ว่าพวกเธอเป็นคนทำ รีบ ๆ ขอโทษซะจะได้จบ ๆ”
“นายไม่มีหลักฐานสักหน่อย”
พวกนั้นพูดด้วยท่าทางขำขันก่อนจะหัวเราะกันอีกรอบ คยองซูสังเกตมือของอูจีมันกำเข้าหากันค่อนข้างจะแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา เขาอยากจะห้ามแต่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ในเมื่ออยู่ ๆ ไฟก็โหมขึ้นที่หัวของผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่ม เธอร้องด้วยความตกใจก่อนที่เพื่อนของเธอจะใช้เวทน้ำดับไฟจนเธอตัวเปียกโชกไปหมด
“นี่! มันจะมากไปแล้วนะ” เธอพุ่งเข้ามาหาอูจีในทันทีที่ไฟไม่ได้อยู่บนหัวของเธอแล้ว เธอกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นด้วยแรงอารมณ์ที่มากโขทำให้เธอฟาดมือเข้าไปที่ใบหน้าของอูจีอย่างแรง
เพียะ!
“คิมลาจู หยุดนะ!”
เสียงอาจารย์ประจำวิชาดังมาแต่ไกล เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอถึงยอมวางมือจากผู้ชายตัวเล็กข้างหน้าแล้วรีบหันไปเรียกร้องขอความเห็นใจจากอาจารย์ประจำวิชาในทันที
“อาจารย์คะ ไอ้เลือดผสมมันจุดไฟใส่ฉันก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาจารย์ประจำวิชาถึงกับหันหน้ามามองนักเรียนเลือดผสมตัวจ่อยสองคนที่ยืนอยู่ไม่ได้ห่างกันมาก
“เธอมีอะไรจะแก้ตัวมั้ยอูจี?”
“มีครับ เธอไม่มีหลักฐานสักหน่อยว่าผมเป็นคนทำ” อูจีพูดเสียงเรียบก่อนจะลูบหน้าตัวเองปอย ๆ
"..."
“แล้วอีกอย่าง อาจารย์ก็เห็นเต็มสองตาว่าเธอเข้ามาตบผม”
อาจารย์สุดโหดประจำวิชาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจไปให้นักเรียนหญิงเลือดแท้กลุ่มนั้น
“ขอโทษเพื่อนเดี๋ยวนี้ลาจู”
“อาจารย์!”
เธอกระชากเสียงไม่พอใจใส่อาจารย์ก่อนจะได้รับสายตาที่พร้อมจะสั่งทำโทษเธอทุกเมื่อกลับมานั้นถือว่าเป็นเด็ดขาด
“....”
“ขอโทษ”
คำขอโทษของเธอนั้นแสนจะเบาบางยิ่งกว่าอากาศเสียอีกในเมื่อเธอไม่ได้รู้สึกผิดหรือว่าอยากจะขอโทษเลยแม้แต่น้อย แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาและอูจีรู้สึกถึงชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว
อาจารย์ประจำวิชาปล่อยให้พวกเราไปพักได้ตามใจชอบก่อนจะไปเรียนคาบต่อไปได้ คยองซูถือกระเป๋าเพื่อจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาคิดว่าตัวเองเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายแล้วแต่ก็ไม่ใช่ ในเมื่อจงอินแบคฮยอนและเซฮุนยังอยู่ข้างในนั้น เขาเลยช่างจิตชั่งใจว่าตัวเองควรจะเข้าไปดีมั้ย แต่คำตอบก็คือไม่เพราะทั้งสามดูจะต้องการความเป็นส่วนตัวพอสมควร
“นายอยากปกป้องไอ้นั่นก็ตามใจเถอะ ปกป้องกันเข้าไป”
“เซฮุน นายพูดอะไรของนายน่ะ”
“หยุดเลยนะแบคฮยอน ทั้งนายและจงอินเปลี่ยนไป จงอินคนเดิมบอกฉันเองว่าพวกเลือดผสมน่ะยังไงก็น่าขยะแขยง"
"..."
"ที่จริงฉันก็เหมือน ๆ เดิมแหละ บางทีนายอาจจะคิดไปเองว่าฉันแสร้งไปทำดีกับเลือดผสมนั้นจะทำให้ฉันเปลี่ยนไป อันที่จริงฉันไม่ได้แตกต่างจากเดิม"
คยองซูถึงกับหน้าตึงเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน รู้สึกขอบตาร้อนพาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกและแล้วเขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้ ที่จริงไม่ควรอยู่ตั้งแต่แรก คยองซูกำสายกระเป๋าแน่นก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น เขาไม่อยากได้ยินอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
"ร้องไห้เป็นเด็กไปได้"
คยองซูสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อได้ไม่ถึงเมตรก็เจอเข้ากับอูจี อีกฝ่ายยืนกอดอกมองเขาด้วยหางตาอยู่ตรงกำแพง คยองซูเช็ดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะกระแอมเสียงเล็กน้อยแล้วกล่าวทักทายเบี่ยงเบนเรื่องที่อีกฝ่ายพูด
"ว่าไงอูจี นายไม่ไปเรียนเหรอ? "
คยองซูพูดไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามจะหยุดความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเอง เขาไม่อยากให้ตัวเองต้องมาอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น และเขาก็ไม่อยากเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย
"ใครทำนายร้องไห้อีก บอกมาฉันจะไปต่อยมันให้" อูจีเดินเข้ามาใกล้คยองซูที่พยายามทำตัวเข้มแข็งสุดขีดแม้ว่าใบหน้าของเจ้าตัวจะเต็มไปด้วยคาบน้ำตาและจมูกเล็ก ๆ นั้นจะแดงบ่งบอกถึงการร้องไห้มาก็ตาม
"ไม่มีไรหรอก" คยองซูตอบปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว แม้จะฟังดูไม่ขึ้นก็ตามทีเถอะ
"นายดูท่าทางจะเจ็บขานะ อยากไปไหนหรือเปล่าฉันจะได้ไปส่ง"
คยองซูไม่แน่ใจว่าจะบอกว่าอย่างไรดีถ้าหากเขาต้องการที่จะเจอปาร์คชานยอลในตอนนี้ ในเวลานี้เขาแค่ต้องการเพื่อนสนิทที่สามารถที่จะเข้าใจเขาและปลอบโยนเขาได้ปาร์คชานยอลคงเป็นคนที่สนิทที่สุดแล้วก็ว่าได้ในตอนนี้
"ฉันอยากไปหอเลือดผสมซี ห้องสามหกสี่ นายเอาฉันไปส่งไว้ข้างหน้าหอก็ได้ถ้านายไม่ได้อยู่หอนั้น"
"นายหมายถึง นายอยากไปเจอปาร์คชานยอลใช่มั้ย?"
ความคิดเห็น