NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC KaiSoo {Mixed Blood} Ft.EXO (END)

    ลำดับตอนที่ #5 : Mixed Blood 04

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 66


    Mixed Blood 04









    ชานยอลตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ กลิ่นของมนุษย์บาง ๆ ที่ปะปนกันทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าที่นี่คือหอพักเลือดผสม แสงแดดอ่อนที่สาดเข้ามาจากทางหน้าต่างทำให้รู้สึกดีไม่น้อยสำหรับลูกครึ่งแวมไพร์มนุษย์ที่ชอบแสงแดดอย่างเขา
    ร่างกายใหญ่พลิกตัวเข้าหาแสงแดดอย่างชอบใจก่อนจะปล่อยให้แสงแดดสาดส่องใบหน้าตัวเองอยู่เป็นเวลานานผ้าม่านสีขาวสะอาดก็เลื่อนปิดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมสะอาดของแวมไพร์เลือดแท้ที่โชยเข้าจมูกไม่ได้ทำให้ชานยอลเกรงกลัวแต่อย่างใด เขายังคงแกล้งนอนหลับต่อ รอดูว่าแวมไพร์เลือดแท้ที่บุกรุกห้องหอของเขานั้นจะทำอะไรต่อไป
    กลิ่นนั่นทำเขาถึงกับอดคิดไม่ได้ว่าคุ้นมากเสียเหมือนกับว่าเคยได้กลิ่นแบบนี้มาแล้วจนกระทั่งได้กลิ่นอย่างชัดเจนมากอบอวลอยู่ใต้จมูก ชานยอลอดใจไม่ไหวที่จะลืมตาขึ้นมาดูโฉมหน้าของผู้บุกรุก เปลือกตาสีไข่ลืมขึ้นในทันทีที่ใจสั่งก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าใครคือแวมไพร์เลือดแท้ที่กลิ่นคุ้นเคย
    "แบคฮยอน? " เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่าลมอะไรจะหอบเอาเลือดแท้มาถึงที่นี่ได้แล้วยังหายตัวเข้ามาอีกต่างหากเพราะเขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดประตู
    ร่างเล็กตีหน้านิ่งใส่ร่างสูงก่อนจะถือวิสาสะล้วงมือเข้าไปดึงมืออีกฝ่ายออกมาจากใต้ผ้าห่มเพื่อดูว่าอาการของร่างยักษ์นั้นดีขึ้นหรือเปล่า
    "..."
    "นี่นายจะไม่พูดอะไรแล้วยังมาจับร่างกายฉันตามใจชอบได้เหรอ? " ถึงจะพูดอย่างนั้นชานยอลไม่ได้ดึงมือตัวเองออกมาการจับกุมของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
    ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนหยุดพิจารณ์อาการของอีกฝ่ายก่อนจะปล่อยมือของอีกฝ่ายลงสู่เตียงในทันทีเพราะคำพูดของชานยอลมันทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกมา นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ขอบคุณแล้วยังมาทำตัวน่ารำคาญใส่เขาอีกต่างหาก แบคฮยอนล่ะไม่ชอบใจจริง ๆ
    "จะไปแล้วเหรอ? " ชานยอลเอ่ยถามเมื่อร่างเล็กทำท่าเหมือนจะคว้าเอาเสื้อคลุมสีเข้มที่ปลายเตียงของเขา ถ้าไม่รู้ว่าแบคฮยอนพูดได้เขาก็คงจะเข้าใจผิดคิดว่าแบคฮยอนเป็นใบ้เพราะร่างเล็กไม่ได้ปริปากพูดเลยแม้แต่คำเดียวแถมยังส่งสายตาเยือกเย็นมาให้ได้ชมเล่นอีกต่างหาก
    "นายจะให้ฉันอยู่ทำอะไร กินอาหารเช้าแบบมนุษย์กับนายมั้ยล่ะ? " เรื่องพูดประชดประชันแบคฮยอนเก่งรองลงมาจากวิชาการรักษาระดับสูง เขาเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับชานยอลจริง ๆ จัง ๆ เพราะแบคฮยอนไม่รู้สึกว่าการที่จะคบลูกครึ่งแบบชานยอลเอาไว้จะเป็นเรื่องที่ดี เผลอ ๆ มีแต่เรื่องแย่ ๆ อีกด้วย
    "ระวังปากหน่อยครับคุณเลือดแท้" ตลอดทั้งชีวิตชานยอลคลุกคลีกับพวกแวมไพร์มาตลอดสิบแปดปีเขาเจอแวมไพร์มากหน้าหลายตาปะปนกันไปในแต่ละวัน มีทั้งพวกขี้ดูถูกเลือดผสม หยิ่งทะนงในความเป็นสายเลือดแท้ของตัวเอง ส่วนมากพวกนี้เจอได้ทั่วไปในสังคมแต่ชานยอลก็ไม่คิดว่าแบคฮยอนจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
    แบคฮยอนถอนหายใจอย่างยอมใจกับความที่เป็นปาร์คชานยอล รู้สึกว่าไม่น่าเป็นห่วงอีกฝ่ายแล้วมาที่นี่เลย จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าอีกฝ่ายแต่ปากมันดันพูดไปเองตามแรงอารมณ์
    "ฟังนะชานยอล นายควรจะขอบคุณฉันเรื่องวันนั้นไม่ใช่หรือไง รีบ ๆ ขอบคุณฉันแล้วฉันจะได้ไปจากที่นี่สักที" แบคฮยอนยื่นข้อเสนอสุดท้าย เขาตั้งใจว่าหลังจากอีกฝ่ายขอบคุณแล้วจะไม่โผล่หน้าออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็นอีก
    "ถ้าฉันไม่ขอบคุณล่ะ นายทำฉันเจ็บเกือบตายเพราะเวทของนาย"
    "แล้วนายจะให้ฉันปล่อยให้นายเลือดไหลจนตายหรือไง ที่จริงมันไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้นด้วยซ้ำแต่นายอ่อนแอเอง" แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองเป็นคนประเภทขวานผ่าซาก เซฮุนกับจงอินจะเข้าใจข้อนี้ดี ถึงชานยอลจะไม่พอใจที่เขาพูดอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนยังไงเขาก็ไม่คิดจะอธิบาย เราไม่จำเป็นต้องมาทำเป็นญาติดีกันสักหน่อย อีกอย่างชานยอลไม่ใช่เพื่อนของเขา
    "ก็นายเป็นเลือดแท้ นายจะมาเข้าใจความเจ็บปวดของเลือดผสมได้ไง" ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ บรรยากาศระหว่างพวกเราเหมือนว่าพร้อมจะฟาดสายฟ้าใส่กันได้ทุกเมื่อ
    "หึ นายไม่ได้เข้าใจความเจ็บปวดของพวกฉันเหมือนกันนั่นแหละ" แบคฮยอนยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกได้ในทันทีว่าไม่ได้สื่อไปในทางที่ดี จะว่าสมเพชก็ได้
    "..."
    "ใช่ว่าเป็นเลือดผสมแล้วจะเรียกร้องทุกอย่างได้นะ ฉันผ่านโลกมามากกว่านายอีกเจ้าหนุ่มน้อยเลือดครึ่ง" ไม่ว่าเปล่าแบคฮยอนจัดการใส่เสื้อคลุมสีเข้มของตัวเอง มันคือเสื้อกันแสงอาทิตย์เอาไว้ใช้ในยามต้องเดินทางในตอนเช้า มือสวยดึงฮูดขึ้นคลุมใบหน้าตัวเองก่อนจะหันหลังให้ปาร์คชานยอลที่ยังคงทำหน้าเหมือนกับว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่แบคฮยอนพูด
    "เดี๋ยวสิ! " ชานยอลที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไปและเราคงไม่ได้เจอกันอีกแน่ ๆ เพราะแบคฮยอนน่ะคงไม่มาให้เขาเจอได้ง่าย ๆ ร่างสูงลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าที่ข้อมือบางของอีกฝ่าย
    แบคฮยอนหันมาตามแรงดึงรั้งของมือใหญ่ เขาสบตากับดวงตากลมโตของร่างยักษ์เพียงครู่ก่อนจะพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกจากข้อมือตัวเองแต่ก็ไม่เป็นผล
    "อ้า! " ชานยอลต้องปล่อยมือตัวเองออกจากข้อมือของอีกฝ่ายโดยเร็วเพราะว่าความร้อนจากข้อมืออีกฝ่ายที่เหมือนจะเผาไหม้มือของเขา มือของชานยอลพองออกมาอย่างชัดเจนมาก ชานยอลพลิกมือตัวเองเพื่อตรวจสอบความเสียหายก่อนจะเงยหน้าไปสบตากับร่างเล็กที่ไม่ได้ดูว่าจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำเลยแม้แต่น้อย
    "..."
    "เจ็บใช่มั้ยล่ะ? " แบคฮยอนไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ ไม่ได้อยากจะใช้เวทเผามือของอีกฝ่ายแต่อย่างใดแต่ชานยอลเป็นคนบังคับให้เขาทำแบบนี้เอง
    "..."
    "ผมทำคุณเจ็บได้มากกว่านี้อีกคุณปาร์ค"





    เวลาเกือบจะรุ่งสางคยองซูจ้ำเท้าออกจากหอพักด้วยความไม่ยำเกรงต่อแสดงอาทิตย์ที่จวนใกล้จะโผล่จากขอบฟ้าขึ้นมาทักทายกับทุกชีวิตที่ยังอยู่บนโลก จุดหมายเขาคือไปหาชานยอลโดยที่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรไปทางไหนบางที่เราอาจจะเริ่มด้วยการถามใครสักคนเรื่องทางไปหอเลือดผสมอะไรทำนองนั้น
    เรื่องที่คยองซูคิดพลาดไปก็คือในเวลานี้จะมีใครมาอยู่แถวนี้เพราะพระอาทิตย์ก็ใกล้จะขึ้นแล้ว มันเป็นกฎต้องห้ามสำหรับนักเรียนที่นี่อยู่แล้วสำหรับการออกมาเดินเล่นในเวลาเช้า
    คยองซูหยุดเดินที่โถงทางเดินใหญ่ที่ในยามวิกาลพลุกพล่านไปด้วยนักเรียนแต่ในยามเช้ารุ่งอรุณแสงแดดส่องกลับไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต หากเขาเป็นคนนอกหลงเข้ามาในเวลานี้คงคิดว่าที่นี่เป็นปราสาทร้างอะไรทำนองนั้น
    ในระหว่างที่กำลังคิดหาหนทางไปหอเลือดผสมอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ตีตื้นขึ้นมาอย่างน่ากลัว เขารู้สึกว่ากำลังมีคนจ้องมองเขาอยู่จากทางด้านหลัง ความสงสัยทำให้หันไปในทันทีแต่ก็ไม่พบอะไร นี่เขาจะมากลัวอะไรตอนเช้าตรู่ขนาดนี้ต่อให้มีคนคิดจะทำร้ายเขาจริง ๆ ป่านนี้คงโดนเผาเป็นจุณไปแล้ว
    คยองซูนั่งลงหลบแดดที่ในมุมมืด คงมีอย่างเดียวที่เขาเหมือนกับกับคนอื่นที่นี่ความจริงแล้วเขาไม่ชอบแดดเสียเท่าไหร่ หมายถึงแดดที่ร้อนจัดมันทำให้เหงื่อออกแล้วตัวก็จะเหนียวและเขาไม่ชอบให้ตัวเหนียวเสียเท่าไหร่
    ไอเย็นที่ปะทะเข้าที่ลาดไหล่ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งตัวก่อนจะหันไปหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น คยองซูตกใจที่มีคนใส่ผ้าคลุมสีดำทึบยืนอยู่ด้านหลังเขาแถมคนคนนั้นยังเอื้อมมือมาจับไว้ที่ไหล่ของเขา ความเย็นจนยะเยือกจากมืออีกฝ่ายทำให้รู้ว่าเป็นพวกเลือดแท้แน่นอน
    "เอ่อ...ต้องการอะไร? " คยองซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความประหม่าก่อนจะพยายามมองไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย
    มือยาวที่ดูผอมแห้งปล่อยจากลาดไหล่คยองซูก่อนจะค่อย ๆ เลิกผ้าคลุมหัวของตัวเองออกเพื่อให้คนตัวเล็กได้เห็นใบหน้าของตน
    คยองซูร้องอ๋อในใจเมื่อคนตรงหน้าคือผู้หญิงที่นั่งข้างเขาในวิชาการใช้ไฟและควบคุมลม แต่ก็มีคำถามมากมายว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ในเวลานี้
    "ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ นี่มันใกล้จะเคอร์ฟิวแล้วนะ" คยองซูเอ่ยถามไปด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเพราะสีหน้าเธอดูนิ่งมากจนน่ากลัว
    "ฉันออกมาเดินเล่นแล้วบังเอิญเห็นนายน่ะ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้ร่างเล็กที่ทำหน้าสงสัยไม่เลิก
    "ขอโทษนะแต่เธอมาเดินในเวลานี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็โดนเผาตายพอดี ฉันว่าเธอเข้าหอดีกว่ามั้ย? " คยองซูยืนบังแดดที่จะส่องมาหาทางพวกเราให้เธออย่างเต็มใจไม่วายแนะนำให้เธอกลับเข้าหอด้วยความเป็นห่วงอีกด้วย
    "ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของนายนะคยองซู แต่ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนร่วมห้องตัวเล็ก รู้สึกดีที่โรงเรียนนี้ยังมีคนที่มีความมีน้ำใจที่จะห่วงใยคนอื่นอยู่
    "ก็ได้ถ้าเธอว่าไม่เป็นไรจริง ๆ" คยองซูเกาหลังคอแก้เก้อที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขอบคุณมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นตามแบบฉบับของเจ้าตัวแม้จะยิ้มแย้มมาให้บ้างแต่ดูรวม ๆ แล้วใบหน้าจืดชืดนั้นก็ดูน่ากลัวอยู่ดี
    "ว่าแต่นายเถอะมาทำอะไรเอายามนี้ ไม่ใช่ว่าเดินละเมอหรอกนะ"
    "มีคนเดินละเมอด้วยเหรอ? " คยองซูถามด้วยความสงสัย ในความหมายลึก ๆ คือพวกแวมไพร์รู้จักคำว่าเดินละเมอด้วยเหรอ
    "มีสิ เมื่อแปดสิบปีที่แล้วมีนักเรียนหอเอเดินละเมอตกจากหน้าต่างชั้นสิบแต่นายรู้อะไรมั้ย เขาไม่ได้ตายเพราะตกจากที่สูง เขาตายเพราะถูกแดดเผาจนตาย ในที่เกิดเหตุน่ะไม่มีศพของเขาเลยล่ะ เหลือไว้แค่ฝุ่นดำ ๆ แค่นั้น สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ? "
    คยองซูตกใจเล็กน้อยและไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่จะบอกว่าสุดยอดได้ไงในเมื่อในหอของเขามีคนตาย ไม่สิตายนอกหอแต่มันก็น่ากลัวอยู่ดี
    "เอ่อ...อือ"
    "ขอโทษนะที่ฉันอ่านใจของนายแต่ฉันจะตอบคำถามข้อสงสัยในใจนายแล้วกัน"
    คยองซูถึงกับเหงื่อตก แวมไพร์สามารถอ่านใจได้ด้วยหรือไงไม่ยักรู้มาก่อนเลย
    “...”
    “มันสุดยอดเพราะว่าเราไม่ค่อยได้เห็นการตายบ่อย ๆ ในรั้วโรงเรียนยังไงล่ะ” เธอตอบกลับมาก่อนจะยิ้มให้อีกคราว คยองซูก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนและพยายามไม่คิดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเธอเพราะกลัวว่าเธอจะอ่านใจเขาแล้วล่วงรู้เอาเสียได้
    "อ๋อ...อย่างนี้เองสินะ"
    "ฉันรู้ว่านายกำลังตามหาเพื่อนที่อยู่หอเลือดผสม เพื่อนตัวสูง ๆ ที่ชื่อปาร์คชานยอลใช่มั้ยล่ะ? "
    "ใช่" คยองซูไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอีกฝ่ายได้ยังไงเพราะอีกฝ่ายคงอ่านใจเขาไปก่อนหน้านั้นแล้ว และอีกอย่างเขามีโอกาสที่จะได้ไปหอเลือดผสมด้วยท่าหากอีกฝ่ายรู้
    "ฉันพานายไปได้นะ ถ้าต้องการ" เธอยื่นมือมาข้างหน้าทำให้คยองซูรู้ได้เลยว่าเราจะไปกันในวิธีรวดเร็วและคำตอบของคยองซูก็คือการจับเข้าที่มือเย็นชืดของเธอ






    พวกเรามาถึงอีกด้านของปราสาท คยองซูรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะชินกับวิธีเดินทางในรูปแบบนี้แล้วทำให้การมาครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกอยากจะอ้วกแต่อย่างใด
    มือที่เย็นชืดของเธอปล่อยจากมืออุ่นของเพื่อนตัวเล็ก คยองซูมองเธอก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้เมื่อตรงหน้ามีป้ายติดได้ตัวโตว่าหอเลือดผสมซี
    "ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ" เธอพูดก่อนจะรีบดึงผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวตัวเองเอาไว้เพื่อบังแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงในเวลานี้
    "โอเค ขอโทษนะว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ? " คยองซูรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างแย่เพราะขนาดเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ เขายังไม่รู้ชื่อเธอเลยแต่ในขณะเดียวกันเธอรู้ชื่อเขาและพร้อมที่จะช่วยเหลือ
    "มินจี"
    "ขอบคุณนะมินจี ไว้ค่อยเจอกันในห้องเรียนนะ"
    คยองซูไม่รู้ตัวเองเลยว่าคำพูดเล็กน้อยทำเอาหัวใจของหญิงสาวพองโตอย่างบอกไม่ถูก มินจียิ้มน้อย ๆ ก่อนจะโบกมือลาคยองซูที่แสนจะน่ารักด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะหายตัวไป
    ทันทีที่อีกฝ่ายไปแล้วคยองซูรีบก้าวเท้าไปที่หน้าประตูหอทันที เขาผลักมันเบา ๆ มันเปิดออกอย่างง่ายดายแต่ติดตรงที่ว่ามียามเฝ้าไม่เหมือนกับหอเลือดแท้ที่เข้าออกได้ง่ายดาย
    "ขอโทษครับผมมาหาปาร์คชานยอล" คยองซูเดินไปที่เคาน์เตอร์ที่มีหญิงชรานั่งอยู่ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยความสุภาพที่สุด หญิงชราเงยหน้าขึ้นมามองเรียวหน้าหวานของนักเรียนเลือดผสมที่ดู ๆ แล้วน่าจะมาจากหออื่น
    "ขอชื่อของคุณด้วย"
    "โดคยองซูครับ"
    "คุณปาร์คชานยอลอยู่ห้องสามหกสี่ ชั้นหกห้องที่สี่" ทันทีที่เธอพูดจบเธอก็ชี้มือไปที่บันไดฝั่งซ้าย คยองซูโค้งหัวขอบคุณให้แก่เธอก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปจุดหมายที่เธอบอก
    คยองซูหอบแฮะเพราะวิ่งขึ้นหอมาด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้เขาก็ยืนอยู่หน้าห้องสามหกสี่เรียบร้อย มือบางลงมือเคาะสองสามทีด้วยความหวาดหวั่นใจเล็กน้อยก่อนที่ประตูจะเปิดออก
    ชานยอลตกใจเล็กน้อยกับการมาของร่างเล็กตรงหน้า คยองซูไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของห้องเพื่อเข้าไปในห้องแต่อย่างใด คยองซูผลักประตูเข้าไปอย่างเสียมารยาทก่อนจะปิดมันและเดินตรงเข้าไปหาร่างสูงที่ยืนทำหน้างง ๆ อยู่
    "ข้อมือนาย เป็นอะไรหรือเปล่า? " คยองซูเอื้อมมือไปจับที่แขนอีกฝ่ายขึ้นมาดูก็ไม่พบรอยแผลอะไรแม้แต่น้อยมีแต่แผลมือพองที่ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา
    "หายแล้วล่ะ ว่าแต่นายมานี่ทำไม แล้วมายังไง จากที่นี่ไปปราสาทใหญ่ไกลใช่เล่นเลยนะ" ชานยอลเอ่ยก่อนจะยิ้มบาง ๆ คยองซูเป็นคนที่ทำให้เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้แค่นี้ก็ทำให้เขาแทบจะหุบยิ้มไม่ได้
    "เพื่อนนั่งข้าง ๆ ในวิชาการใช้ไฟและควบคุมลมมาส่งน่ะ นายหายแล้วแน่นะแล้วแผลพองนี่ได้มาจากไหน? " คยองซูเอ่ยถามข้อที่ตัวเองสงสัยอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก
    ชานยอลเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้จะแก้ตัวว่าอะไรดี จะบอกว่าแบคฮยอนเป็นคนทำมันก็ใช่เรื่องเสียที่ไหนกันล่ะ
    "ฉันทำอาหารแล้วบังเอิญโดนน้ำร้อนลวก" ร่างสูงทิ้งคำโกหกคำโตเอาไว้เพราะการบอกเรื่องโกหกไปทำให้อีกฝ่ายสบายใจได้ดีกว่าถ้าเขาบอกความจริงไปแน่นอน
    "นายนี่...โง่จริง ระวังตัวหน่อยสิ แล้วทีหลังไม่ต้องมากรีดข้อมือตัวเองอีกเข้าใจมั้ย? อย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวสิ" คยองซูส่งสายตาดุใส่ชานยอลที่ทำได้แค่ส่งยิ้มน้อย ๆ กลับมาให้เขาเป็นระยะ คยองซูไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บมาเดือดร้อนเพราะตัวเขา ไม่ได้อยากเป็นภาระให้คนอื่น
    "แล้วนายจะให้ฉันมองดูนายเจ็บจะเป็นจะตายโดยไม่ทำอะไรได้ไงล่ะคยองซู? "
    "นายเข้าใจมั้ยฉันไม่อยากให้นายมาเจ็บตัวเปล่า นายเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันนะชานยอล" ร่างเล็กโผเข้ากอดร่างสูงด้วยความกลัว กลัวว่าเพื่อนของเขาจะเจ็บ กลัวว่าจะเสียชานยอลไป
    ชานยอลกอดตอบร่างเล็กอย่างนึกรัก เพื่อนสนิทงั้นเหรอ? ใช่สิลืมไปเลยว่าเราเป็นเพื่อนกัน





    ตลอดเกือบทั้งอาทิตย์คยองซูหมกอยู่กับชานยอลแทบจะตลอดเวลา เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าการที่เรามีคนให้พึ่งพาได้ในยามที่ยากลำบากมันเป็นยังไง เขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ชานยอลฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งเรื่องที่เถียงกับคิมจงอินในคาบ เรื่องโดนทัณฑ์บนของอาจารย์วิชาประวัติรวมถึงเรื่องเผาเตียงของจงอินนั่นก็ด้วย แทนที่ชานยอลจะออกความเห็นอะไรสักอย่างกลายเป็นว่าร่างยักษ์นั้นขำจนเกือบจะขาดอากาศหายใจตาย เรื่องนี้เป็นอีกข้อที่คยองซูค้นพบคือชานยอลน่ะเส้นตื้นมาก แต่ข้อดีในอาการเส้นตื้นของชานยอลก็คือทำให้คยองซูรู้สึกผ่อนคลายได้มากโข เพื่อนตัวสูงอาสาจะติววิชาประวัติให้เขาเองนั่นก็ทำให้ชื้นใจขึ้นพอตัว
    วันนี้เป็นวันที่คยองซูมีเรียนวิชาประวัติและแน่นอนว่าเขาต้องกลับไปเอาหนังสือที่หอเลือดแท้ ก็กำลังพยายามทำใจอยู่เหมือนกันเพราะว่าอาจจะต้องเจอคิมจงอินที่ห้อง แต่มันจะยากอะไรหากเราเจอกันก็แสร้งเป็นว่าไม่เห็นก็สิ้นเรื่องแล้วนี่
    "นายอยากจะกินอาหารเช้ามั้ย? " เสียงของชานยอลดังเรียกร้องความสนใจของคยองซูที่อ่านหนังสือวิชาการใช้ไฟอยู่บนเตียงของเจ้าของห้อง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วจิตใจของคยองซูในตอนนี้ก็ไม่ได้จดจ่อกับเนื้อหาในนั้นเลยแม้แต่น้อย
    "ก็ดีนะ ข้าวเช้าตอนสี่ทุ่ม" คยองซูพูดติดตลกก่อนจะปิดหนังสือแล้วโยนไปที่ชั้นที่มันเคยอยู่ ที่จริงเขาพยายามใช้เวทที่อ่านมาในหนังสือ มันไม่ได้ยากเท่าไหร่เรื่องเวทเคลื่อนที่ เขาสามารถโยนหนังสือจากเตียงเข้าตู้หนังสือได้สบาย ๆ เพราะเคยฝึกมาสองถึงสามครั้งได้ เรื่องจุดไฟไม่ใช่เรื่องที่ยากเพราะชานยอลได้สอนเขาไปถึงห้ารอบแล้วเหมือนกัน
    ตุบ!
    หนังสือที่พยายามจะโยนให้เข้าชั้นไม่ได้เข้าไปอย่างที่ใจคยองซูต้องการ มันร่วงแหมะอยู่ไม่ไกลจากเตียงนักทำเอาคยองซูถึงกับถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกจากเตียงไปเก็บหนังสือเข้าชั้นดี ๆ
    "นายเล็งพลาดเหรอไง? " ชานยอลที่กำลังวุ่นกับการจัดโต๊ะอาหารแอบหันมามองคยองซูอยู่หลายครั้งหลายคราวและเขาก็เห็นว่าร่างเล็กโยนหนังสือไม่เข้าชั้นอย่างที่ควรเป็น
    "ไม่รู้สิช่วงนี้แปลก ๆ ฉันรู้สึกว่าพลังมันอ่อนลง ทำอะไรได้แต่ทำได้ไม่สุดอะ" คยองซูทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเจ้าของห้องก่อนจะใช้สายตาพินิจพิจารณาอาหารเช้าในวันนี้ มันเป็นอาหารมนุษย์ทั่ว ๆ ไปที่สามารถหาวัตถุดิบได้ภายในรั้วโรงเรียนแห่งนี้
    คยองซูรู้สึกโชคดีมากที่ชานยอลสามารถทำอาหารเป็นและในห้องของอีกฝ่ายก็มีเครื่องครัวเต็มไปหมดอีกด้วยรสชาติก็เหมือนกับภัตตาคารชื่อดังแถวยานคังนัมที่คยองซูเคยได้มีโอกาสได้ไปกินกับเพื่อนโดยบังเอิญไม่ได้ออกเงินสักวอนเดียว
    "เพราะพักหลัง ๆ นายไม่ได้ดื่มเลือด พลังมันก็อ่อนลงตามเวลาอยู่แล้วล่ะ" ชานยอลยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะโน้มน้าวใจของคยองซูให้หันมาดื่มเลือดบ้างสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของหนึ่งอาทิตย์ แต่ทำยังไงเพื่อนตัวเล็กของเขาก็ยังคงปฏิเสธออกมาในทันทีทุกรอบ
    "เลือดมันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ฉันแข็งแรงดี"
    "มันก็แค่ตอนนี้ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก นายจะทำยังไง? " ชานยอลนั่งลงตรงข้ามคยองซูก่อนจะตักหมูฝั่งตัวเองให้อีกฝ่ายไม่วายส่งสายตาดุไปให้ด้วย ที่พูดแบบนี้เพราะเขาเป็นห่วงคยองซูแต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อนตัวสูงเลยแม้แต่สักนิด
    "จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดอีกแน่ ๆ" คยองซูคีบหมูที่อีกฝ่ายให้เข้าปากอย่างนึกครุ่นคิดตามสิ่งที่ชานยอลพูด
    "ฉันจะรอดูแล้วกัน การที่นายยังดื้อดึงอยู่แบบนี้หวังว่าในการสอบวิชาใช้ไฟนายคงยังจะสอบผ่าน" ชานยอลตักอาหารเข้าปากอย่างไม่ได้คิดอะไรในคำพูดของตัวเอง ตลอดเกือบทั้งอาทิตย์ชานยอลกินแต่อาหารมนุษย์ ยังไม่ได้แตะเลือดเลยแม้แต่หยดเดียวเพราะกลัวว่าคยองซูจะรู้สึกไม่ได้ถ้าเห็นว่าเพื่อนสนิทตัวเองดื่มเลือดแล้วยังมีคราบเลือดติดปากมาให้ได้ชม จะให้แอบไปกินก็ไม่ได้อีกเพราะที่ผ่านมาเราตัวติดกันเป็นตังเมเลยก็ว่าได้ เรียกง่าย ๆ ว่าที่ไหนมีคยองซูที่นั่นก็จะมีชานยอลไปด้วย เขาลงทุนขนาดที่ว่าไปลงคาบเรียนเดียวกับคยองซูเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ
    คยองซูเริ่มคิดวิตกเรื่องที่ชานยอลพูด ยิ่งมีชานยอลเรียนในคาบเดียวกันยิ่งกดดันเข้าไปอีกถ้าชานยอลเห็นว่าเขาสอบไม่ผ่านในคาบที่กำลังจะใกล้เข้ามานี้เขาคงได้อายจนต้องหาอะไรมาคุมหัวแน่ ๆ เพราะตลอดเวลาที่ชานยอลบอกให้ลองดื่มเลือดเขาก็มีแต่ปฏิเสธตลอดแถมยังบอกว่า 'ฉันทำได้แน่ ๆ ถ้าไม่ได้นะฉันจะยอมไปโรงเลือดกับนายเลย' ไม่น่าไปพูดแบบนั้นเลยคยองซู ให้ตายเถอะ
    วันนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายถึงสองวิชาด้วยกัน หนึ่งคือวิชาประวัติที่เขาเพิ่งจะโดนทัณฑ์บนมาสด ๆ ร้อน เมื่อคิดถึงหน้าอาจารย์หนุ่มประจำวิชาแล้วเขาก็รู้สึกอยากจะเสแสร้งแกล้งเดินละเมอให้ตัวเองตกลงมาจากชั้นบนสุดของปราสาทเสียก็ดี ไหนจะจงอินรูมเมทที่เขามีปากเสียงและบังเอิญเผาเตียงอีกฝ่ายไปเพราะแรงอารมณ์ที่สะสมมาตั้งแต่เปิดเทอม อีกทั้งยังมีวิชาการใช้ไฟและลมที่เขาต้องทดสอบจุดเทียนระยะไกลโดยมีการเดิมพันกับชานยอลเอาไว้ว่าหากเขาทำไม่ได้จะยอมดื่มเลือดกับอีกฝ่าย ทำไมชีวิตมันถึงเป็นแบบนี้กันนะ
    หลังจากกินข้าวเสร็จคยองซูกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หอเลือดแท้อย่างยอมใจเพราะว่าต้องมาเอาหนังสือเรียนวิชาประวัติที่ห้อง แขนเล็กผลักประตูเข้าไปในห้องพักหมายเลขแปดสิบแปดอย่างพยายามไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อเจ้าของห้องอีกคนที่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ห้องหรือเปล่า
    คิมจงอินนอนอ่านหนังสืออยู่ที่เตียงของโดคยองซู เจ้าของห้องอีกคนหันไปให้ความสนใจแก่ผู้มาใหม่เพียงเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจและหันมาสนใจหนังสือในมือตัวเองต่อ
    "..." คยองซูมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เราไม่ทักทายกันอย่างที่รูมเมทควรจะทำ จงอินก็ยังเป็นคนไร้มารยาทเหมือนเดิมตั้งแต่ที่เคยเจอมาเพราะจงอินนอนอยู่บนเตียงของเขาอย่างไม่ได้สนใจว่าใช่ของตัวเองหรือไม่แถมหนังสือในมือนั่นก็ยังเป็นหนังสือของเขาอีกด้วย
    หนังสือเรียนยังคงวางอยู่ที่โต๊ะเหมือนเดิมที่เคยวางเอาไว้ คยองซูหยิบเล่มที่ต้องการขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะมีความคิดบ้า ๆ บางอย่างผุดขึ้นมาในหัวและเขาก็ก้าวเท้าไปที่เตียงของตัวเองที่มีร่างสูงนอนอยู่
    คิมจงอินเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของห้องร่วมกันด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ เพราะดีกว่ามานอนให้คยองซูมองเขาด้วยสายตาเหมือนจะอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่พูดออกมาเสียที
    "มีอะไร?"
    "หนังสือของฉัน" คยองซูแบมือขอหนังสือในมือจงอินคืนด้วยความหวาดหวั่นใจ ที่จริงเรื่องหนังสือมันคนละประเด็นที่เขาอยากจะพูดด้วยซ้ำแต่จะให้พูดไปตรง ๆ ก็ยังไงอยู่
    "..." จงอินคืนมันให้แก่เจ้าของอย่างง่ายดาย ก็รู้แหละว่ามันไม่ถูกที่เขาไปเปิดอ่านของคนอื่นตามใจชอบและการที่นอนอยู่บนเตียงของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นเรื่องที่เสียมารยาทเช่นกัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อคยองซูเผาเตียงของเขาไปแล้วมันก็เหลือเตียงเดียวในห้อง แถมเจ้าของเตียงยังไม่ยอมกลับห้องมาเกือบจะอาทิตย์จงอินเลยใช้โอกาสนี้แหละนอนเตียงของอีกฝ่ายเสียเลย ที่จริงก็คิดว่าคยองซูคงไม่กลับมาแล้วด้วยซ้ำ การที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวในวันนี้ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของเขาเลยทีเดียว
    คยองซูรับหนังสือคืนอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่ไปไหนเพราะที่จริงเรื่องที่จะคุยมันไม่ใช่เรื่องหนังสือ จงอินก็ยังคงเป็นจงอินวันยังค่ำให้หนังสือเขาคืนแล้วก็เมินเขาราวกับว่าไม่ได้มีใครยืนอยู่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ
    "..."
    "มีอะไรอีก? " จงอินเอ่ยเสียงแข็งใส่เจ้าของห้องอีกคนด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
    "ตะ--เตียงฉันนายมีสิทธิ์อะไรมานอน? "
    "แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาเผาเตียงฉัน? " จงอินเอ่ยไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวก่อนจะลุกออกจากเตียงของอีกฝ่ายตามที่อีกฝ่ายต้องการ
    "นายจะช่วยฉันในวิชาจุดไฟได้มั้ย? "
    "ว่าไงนะ? " คำขอร้องของคยองซูทำเอาจงอินถึงกับอึ้ง ไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินแบบนั้นบางทีเขาอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้
    "ฉันมีปัญหานิดหน่อยอยากให้นายช่วยในวิชาจุดไฟ ฉันไม่สามารถขอร้องชานยอลได้เลยต้องมาขอนาย" คยองซูกอดอกทำท่าเหมือนว่าไม่ได้กลัวที่ต้องยืนต่อหน้าจงอินแม้ในใจตอนนี้จะแอบหวั่นอยู่ก็ตาม
    "ทำไมฉันต้องช่วยนายด้วยล่ะ ให้ฉันช่วยย้อนความทรงจำให้นายมั้ยว่าวันนั้นนายพูดอะไรบ้าง? " จงอินล่ะเหลือเชื่อเลยที่คยองซูสามารถพูดมันออกมาหน้าด้าน ๆ มาขอให้ช่วยทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นตัวเองก็พูดเองว่าไม่ต้องการเขาแล้ว
    "ฉันไม่ได้ให้นายช่วยฟรี ๆ หรอก ข้อเสนอของฉันคือถ้านายช่วยฉันจุดไฟแค่ครั้งเดียวฉันจะยอมทำตามทุกอย่างที่นายบอกเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มไม่ขาดไม่เกิน" คยองซูเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่แผ่วจนเกือบจะเบาหวิว เขาอยากให้จงอินรับข้อเสนอนั้นจะได้จบ ๆ ไปเพราะไม่อยากยืนมองหน้าอีกฝ่ายนานเกินไปแต่อีกใจก็ไม่อยากให้จงอินรับข้อเสนอเพราะกลัวว่าจงอินจะสั่งให้เขาไปกระโดดลงจากตึกอะไรทำนองนั้น
    "ทั้งหมดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ? "
    "อือ ก็ทั้งหมดที่จะไม่ทำให้ฉันตายในยี่สิบสี่ชั่วโมง"
    จงอินกำลังจะคิดหนัก ถามว่าเคืองมั้ยที่อีกฝ่ายพูดในวันนั้นตอบเลยว่าค่อนข้างที่จะเคืองมากเลยแต่ข้อเสนอก็เร้าใจดี
    "อือตกลง"

    คยองซูยืนห่างจากโต๊ะไกลประมาณสามเมตร เพราะการสอบครั้งนี้เป็นการสอบที่ต้องออกมาสอบข้างนอกปราสาททำให้มีนักเรียนที่เดินไปมาได้มีโอกาสหยุดและยืนดูเป็นวงล้อมและในวงนั้นก็มีจงอินยืนอยู่เพื่อจะรอช่วยคยองซูเช่นกัน
    วิธีการสอบคือเราต้องยืนห่างโต๊ะสามเมตรแล้วจุดไฟแต่ไม่ใช่แค่นั้นเรายังต้องทำให้ไฟของเราติดอยู่แม้ว่าอาจารย์จะร่างเวทลมเบา ๆ ใส่ก็ตาม ถ้าดับถือว่าจบกันทั้งหมดที่ทำมา
    "โดคยองซูพร้อมมั้ย? " เสียงของอาจารย์ดึงสติของคยองซูให้กลับมาที่เดิม แน่นอนว่าจะตอบว่าไม่พร้อมไม่ได้อยู่แล้วคยองซูเลยได้แต่พยักหน้าและส่งยิ้มเจื่อนเป็นคำตอบแทน
    คยองซูเห็นชานยอลเป็นหนึ่งในผู้ชมที่ยืนอยู่รอบนอกเพราะอีกฝ่ายนั้นสอบผ่านไปคนแรก ๆ เลยออกไปยืนรอเขาอยู่วงนอก นั่นแหละตัวกดดันชั้นดีที่ทำให้คยองซูรู้สึกว่าเหงื่อแตกเต็มไปหมด
    ทันทีที่ได้สัญญาณมือจากอาจารย์คยองซูก็ได้ลองพยายามเพ่งสมาธิไปที่เทียนที่อยู่ในระยะสามเมตรด้วยตนเอง มันเหมือนจะติดแต่ก็ไม่ติด มีเพียงประกายไฟขึ้นเล็กน้อย อาจารย์ทำหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ลูกศิษย์เลือดผสมตัวน้อยทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
    พรึบ!
    ไฟที่ดูเหมือนจะไม่ติดนั้นอยู่ ๆ ก็ติดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของจงอินล้วน ๆ คยองซูแอบใช้สายตาเหลือบมองอีกฝ่ายก็ค้นพบว่าใบหน้าหล่อนั้นเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแถมยังทำท่าเบื่อ ๆ อีกต่างหาก แสดงเก่งจริง ๆ
    แน่นอนว่าในการกระทำที่ได้คนมาช่วยโกงสอบไม่มีใครจับได้แถมคยองซูยังสอบผ่านมาแบบดื้อและได้คะแนนเต็มอีกต่างหาก ข้อนั้นทำเอาเขาพอใจไม่น้อยแอบคิดว่าหากเขาไม่ได้ไปขอร้องให้จงอินมาช่วยแล้วเขาจะสามารถทำมันให้ผ่านเองได้หรือไม่ แต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้ พลังของเขามันอ่อนเกินที่จะทำได้อยู่แล้วและการที่จะกลับมาใช้พลังได้เหมือนเดิมคือการดื่มเลือดเข้าไปอีกครั้ง นั่นแหละสิ่งที่คยองซูขอบาย ไม่มีอีกครั้งแน่ ๆ สาบานว่านั่นครั้งแรกและสุดท้าย
    วิชาเรียนสุดท้ายในวันนี้คือเวลาประวัติศาสตร์ จงอินไม่ได้มาเข้าเรียนวิชานี้เหมือนในครั้งที่แล้วที่เราได้มีโอกาสมานั่งเรียนร่วมห้องกันแต่นั่นก็ดีแล้วล่ะ อาจารย์หนุ่มไม่ได้ถามถึงจงอินแต่อย่างใดเขาแค่ชายตามองที่นั่งว่าตรงนั้นและเริ่มดำเนินการเรียนการสอนที่น่าเบื่อเหมือนอย่างเคย
    คยองซูเริ่มเบื่อที่จะแสร้งแกล้งทำตัวเป็นนักเรียนที่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะเรียน อาจารย์หนุ่มยังคงเพ่งเล็งเขาเป็นระยะแถมยังชอบเดินมาแถวโต๊ะของเขาแล้วก็ชอบเรียกเขาให้ตอบคำถามบ่อยครั้งราวกับว่าคยองซูคือนักเรียนคนโปรด
    "มีใครรู้บ้างว่าราชวงศ์เลือดแท้ที่เก่าแก่ของโลกเราในตอนนี้พวกท่านอาศัยอยู่ที่ไหนและเมื่อก่อนเคยอยู่ไหนมาก่อนและอยู่มากี่ปี? " คยองซูมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหลบหลีกสายตาจากอีกฝ่ายพลางคิดคำตอบในข้อนี้ไปด้วยเพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบ ถ้าโดนถามขึ้นมาแล้วตอบไม่ได้นี่ได้มีเรื่องแน่ ๆ
    "..."
    "โดคยองซู"
    คยองซูขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากอาจารย์ ทำไมต้องเป็นเขาทุกทีด้วยล่ะ นักเรียนมีเป็นสิบทำไมต้องเขาคนเดียว
    "ครับ" คยองซูทำท่าใจดีสู้เสือลุกขึ้นตามที่อีกฝ่ายเรียกให้ตอบคำแถม แม้ตอนนี้กำลังพยายามคิดอยู่ว่าควรจะตอบอะไรไปดี เขาจะไปหาคำตอบมาจากไหน
    "คุณตอบได้มั้ย คุณโดคยองซู? "
    อาจารย์หนุ่มและทุกสายตาในห้องกำลังกดกันเขาอย่างหนัก คยองซูถึงกับเหงื่อมือแตกทำอะไรไม่ถูก อยากจะหันหลังไปขอความช่วยเหลือจากชานยอลแต่ก็ทำไม่ได้เลยได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว
    'แต่ก่อนเคยอยู่ที่อิตาลี ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่อิตาลี'
    เสียงที่คุ้นหูดังเข้ามาในหัวของคยองซูอย่างง่ายดาย ร่างเล็กขมวดคิ้วแน่นเพราะมันไม่น่าจะมาได้ยินอะไรแบบนี้ ที่จริงมันไม่มีทางที่เขาจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
    "แต่ก่อนอยู่ที่อิตาลีครับ ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม" คยองซูตอบกลับไปอย่างไม่คิดเพราะคิดอะไรไม่ออก อาจารย์หนุ่มมีท่าทีนิ่งเฉยก่อนจะมองหน้านักเรียนเลือดผสมตัวเล็กที่ยืนขาสั่นเป็นค้างคาวหัดบินครั้งแรกในทุกครั้งที่เขาเรียกให้ตอบคำถาม
    "แล้วกี่ปีมาแล้วที่พวกท่านยังอยู่ที่เดิม? "
    คำตอบของคยองซูตอนนี้คือจะถามอะไรเยอะแยะ นี่มันแกล้งกันชัด ๆ
    'เกือบจะสองสหัสวรรษ'
    คยองซูพับเก็บความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีต่อวิชานี้แล้วตอบคำถามอาจารย์หนุ่มไปอย่างง่ายดาย เขาแอบรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีพรายกระซิบ ถึงจริง ๆ ก็ไม่ควรเชื่อถือสิ่งที่ได้ยินมาก็ตามแต่ก็ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปแล้วจริง ๆ
    "เกือบสองสหัสวรรษครับ"
    พอได้ยินคำตอบของนักเรียนตัวเล็กอาจารย์ก็ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะสั่งให้นักเรียนตัวเล็กนั่งลงได้
    ทันทีที่ก้นแตะเก้าอี้ความโล่งก็โถมเข้ามาในทันที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปที่หน้าต่างด้านข้างตัวเอง คิมจงอินยืนอยู่ระเบียงตึกเรียนอีกฟาก ร่างสูงสบตาเขาด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนที่คยองซูจะโค้งหัวขอบคุณอีกฝ่ายเล็กน้อย ที่ไม่ได้ขอให้ช่วยแต่ก็ยังตามมาช่วยถึงในความคิด
    จงอินไม่แสดงสีหน้าอะไรมากเขาแค่มองคยองซูด้วยแววตานิ่ง ๆ ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป





    หลังจากหมดคาบประวัติแล้วชานยอลเดินเตร่ ๆ กลับห้องตัวเองด้วยความเคยชิน เพื่อนตัวเล็กของเขาต้องกลับหอตัวเองเพื่อจะไปเอาของอีกสองสามชิ้นเสียก่อนถึงจะมาที่ห้องของเขาซึ่งชานยอลก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายจะมาพักอาศัยที่ห้องของเขา
    ในเวลาเกือบจะตีห้าที่นี่ฟ้ายังมืดสนิทราวกับว่ายามนี้เป็นเวลาตีสามนั้นไม่ได้ทำให้ชานยอลรู้สึกกลัวแต่อย่างใด เรียกว่ารู้สึกชินเสียมากกว่าที่เป็นแบบนั้น
    ชานยอลรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นคนประเภทคิดไม่เยอะหรือจะเรียกว่าไม่มีเรื่องให้เขาคิดเลยสักนิดแต่ถ้าหากเขาคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วมันก็จะส่งผลให้เขาค่อนข้างคิดมากและจริงจัง เรื่องคยองซูถือเป็นเรื่องแรกในรอบปีนี้ที่ทำให้คิดไม่ตก เป็นห่วงตลอดเหมือนกำลังสอนลูกเป็ดที่กลัวน้ำให้ว่ายน้ำ ลูกเป็ดที่จริงไม่ต้องสอนมันก็ว่ายน้ำได้แต่ในกรณีที่กลัวน้ำนี่สิ จะแก้ยังไงให้หายกันล่ะ
    ในระหว่างกลับหอตัวเองและคิดเรื่องคยองซูไปเพลิน ๆ เขาก็สั่งเกตเห็นแวมไพร์เลือดแท้ที่ชื่อว่าแบคฮยอนหรือจะเรียกอีกอย่างว่าคนที่เผามือเขาก็ได้ แบคฮยอนอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนอดนอนมาร้อยปีเห็นจะได้ ตัวโงนเงนดูผอมซูบลงไปมากทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจอกันแค่เกือบจะอาทิตย์
    ชานยอลเป็นคนขี้สงสัยนั่นคือสิ่งที่ทำให้ร่างสูงไม่ลังเลที่จะเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดายซึ่งมันก็น่าแปลกตรงที่ว่าขนาดเขาเดินตามแบคฮยอนอยู่ในระยะที่เรียกได้ว่าไม่ได้ใกล้แต่ก็ไม่ได้ไกลจากกันมากแต่ว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ยินหรือจับความผิดปกติได้แม้แต่น้อย ไม่สมกับเป็นแวมไพร์เลือดแท้จริง
    ร่างเล็กยังคงเดินตรงไปเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดที่จะหยุดนั่นทำเอาชานยอลที่เดิมตามมาสักพักถึงกับเลิกคิ้ว ด้วยความสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ชานยอลตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วถามเลยแล้วกัน
    "เฮ้ แบคฮยอนนายจะไปไหนน่ะ? " ทันทีที่ชานยอลคว้าแขนเล็กไว้ได้ก็เอ่ยถามออกไปในทันที ร่างเล็กหันหน้ามาสนใจอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะตีหน้านิ่งใส่ราวกับว่าที่พูดมาเมื่อกี้ไม่ได้เข้าหูตัวเองเลยสักนิด
    "..."
    "นายจะโกรธก็ได้นะที่ฉันตามนายมาแต่ว่า เฮ้ ๆ นายจะทำอะไรน่ะ?" ชานยอลเอ่ยท้วงเสียงดังทันทีที่ร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับซบหน้าลงที่อกของเขาแถมยังถูไถใบหน้าตัวเองราวกับออดอ้อน
    ชานยอลยืนนิ่งเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์แบบนี้ แบคฮยอนเหมือนแปรสภาพเป็นคนหูหนวก ไม่ว่าพูดอะไรก็ตามร่างเล็กก็ยังคงทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน สายตาของแบคฮยอนทำเอาชานยอลรู้สึกว่าถูกเผาไหม้ มันยากที่จะตีความหมายออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและต้องการจะบอกอะไรเขา
    พรึบ
    กว่าจะรู้ตัวอีกทีแผ่นหลังของชานยอลสัมผัสเข้ากับเตียงนุ่มที่ตัวเองคุ้นเคยโดยมีแบคฮยอนคร่อมอยู่ข้างบนตัวเขา เสื้อสูทปกดำของชานยอลถูกดึงออกไปจากตัวเขาเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มือบางแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของนักเรียนเลือดผสมอย่างลืมตัวพลางกลืนน้ำไหลลงคออย่างยากลำบากก่อนจะถูกมือใหญ่ของเจ้าของห้องหยุดเอาไว้เสียก่อน
    "นายจะทำอะไรกันแน่? " ชานยอลรั้งมือบางเอาไว้ อีกใจหนึ่งของตัวเองก็ไม่อยากห้ามนักหรอกแต่เห็นสีหน้านิ่ง ๆ กับนัยน์ตาแดงก่ำที่เหมือนคนขาดสติของอีกฝ่ายก็พอจะเดาทางได้แล้วว่าแบคฮยอนคิดจะทำอะไร
    ร่างเล็กก้มต่ำลงมาจนปากเราแทบจะสัมผัสกัน แบคฮยอนซุกหน้าลงกับลำคออีกฝ่ายอย่างออดอ้อนเพื่อให้อีกฝ่ายได้ตายใจ ตามสัญชาตญาณของนักล่าที่กำลังหลอกล่อให้เหยื่อติดกับ
    "ฉันต้องการนาย" เสียงของอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยความแหบพร่า ก่อนที่ชานยอลจะโดนลมหายใจร้อนของอีกฝ่ายปะทะเข้าที่ลำคอของตัวเอง
    "งั้นก็ทำเลยสิ"
    จริง ๆ ชานยอลรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการคำขออนุญาตจากเขาอยู่แล้วล่ะแต่ในเมื่อแบคฮยอนพูดขนาดนี้แล้วเขาก็อยากจะตอบรับความต้องการนี้ ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวจะแสดงสีหน้าแบบไหนพอตัวเองตื่นขึ้นมาแล้วจำเรื่องพวกนี้ได้
    มือบางแกะกระดุมเสื้อนักเรียนของผู้อยู่เบื้องล่างเสียจนหมดก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกรอบ เขาสัมผัสได้กับเส้นเลือดใต้ผิวหนังของอีกฝ่าย มันกำลังเรียกร้องให้แบคฮยอนส่งเขี้ยวลงไปสำรวจและเขาก็ต้องการมันเสียเหลือเกิน
    กึบ!
    ชานยอลถึงกับสะดุ้งจนตัวจนโยนเมื่ออีกฝ่ายได้ฝังคมเขี้ยวลงมาที่ลาดไหล่ของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ชานยอลโดนแวมไพร์ด้วยกันกัด มันไม่ได้เจ็บอย่างที่เขาคิดเอาไว้แต่ก็เหมือนกับร่างกายถูกอีกฝ่ายตราตรึงเอาไว้ เสมือนกับว่าควบคุมร่างกายไม่ได้
    เขามองกลุ่มผมของอีกฝ่ายที่อยู่ข้าง ๆ หางตาของเขาก่อนจะถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปหิวมาจากไหน เรียกว่าหิวจนหน้ามืดตามัวก็ว่าได้ถึงมากัดเลือดผสมแบบเขาเอา แต่ถ้าไม่ใช่เขาแต่ไปกัดคนอื่นจะเป็นยังไง โรงเรียนยิ่งมีกฎห้ามนักเรียนดื่มเลือดกันเองอยู่ด้วยสิ
    เสียงอื้ออึงความพอใจในรสเลือดดังมาให้ชานยอลได้ฟังเป็นระยะจนอดที่จะยิ้มไม่ได้ เกือบห้านาทีที่แบคฮยอนยังไม่ยอมหยุดจนชานยอลรู้สึกว่าเลือดใกล้จะหมดตัวเต็มทีจึงค่อย ๆ ดันอีกฝ่ายออกด้วยความเบามือ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของห้องด้วยสายตาอ้อน ๆ เล็กน้อยเหมือนว่ามีเสียงเล็ก ๆ ดังมาในความคิดของเขาว่า ‘ขอดื่มอีกหน่อยนะชานยอล’ แต่ชานยอลก็ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างเฉียบขาดและไม่ลืมส่งสายตาดุ ๆ ให้ร่างเล็กตรงหน้าด้วย
    "พอได้แล้วถ้าฉันตายนายจะเสียใจเอาเปล่านะ ๆ"
    แบคฮยอนแนบหน้าลงกับอกแกร่งก่อนจะหลับตาพริ้มดูเหมือนจะพอใจไม่น้อยกับการได้กินอาหารในครั้งนี้ก่อนจะหลับไปในที่สุด
    ชานยอลมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความมึนงง เขาไม่ใช่คนใจแคบอะไรที่จะรับไม่ได้กับเรื่องที่อีกฝ่ายทำกับเขาในวันนี้แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่คนใจดีที่จะเที่ยวทำตัวเองเป็นรถบริจาคเลือดให้คนอื่นไปทั่ว
    "นายเตรียมของตอบแทนไว้ได้เลยแบคฮยอน ขอฟรีไม่มีในโลกหรอกนะ"






    คยองซูได้รับจดหมายจากค้างคาวตัวเล็ก คนที่ส่งมาก็คือปาร์คชานยอลส่วนเนื้อหาข้างในก็คือห้องของชานยอลไม่ว่างในวันนี้ทำให้คยองซูต้องกลับมาค้างที่หอของตัวเอง แอบหงุดหงิดเล็กน้อยที่โทรศัพท์ไม่สามารถใช้ได้ที่นี่ ส่วนใหญ่เลยมักจะใช้ค้างคาวมาส่งแทนไม่ก็ส่งกระแสจิตมาแต่คยองซูไม่สามารถรับกระแสจิตของชานยอลได้หรอก หอพักเราห่างกันเป็นโล แล้วที่ส่งค้างคาวมานี่คิดว่าตัวเองอยู่ฮอกวอตส์หรือไง โรงเรียนควรติดตั้งระบบสัญญาณโทรศัพท์ในโรงเรียนได้แล้ว โลกข้างนอกมันไปไหนต่อไหนแล้วยังจะมานั่งเขียนจดหมายกันอีก
    คยองซูยืนทำใจอยู่หน้าห้องตัวเองพักใหญ่เพราะไม่กล้าเปิดประตูเข้าไป เสียงกึกกักในห้องที่ได้ยินมาเป็นครั้งคราวทำให้คยองซูรู้ว่าจงอินก็อยู่ในห้องเหมือนกัน เขาผ่อนลมหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้านก่อนจะยื่นมือไปจับลูกบิดเพื่อที่จะหมุนมันให้มันเปิดออกแต่ประตูตรงหน้าเขาก็เปิดออกเสียก่อนที่เขาจะใช้แรงดึงเสียอีก
    “...”
    คนข้างในเปิดออกมาก่อนจะยืนกอดอกมองดูร่างเล็กที่ยืนทำหน้าอมทุกข์อยู่ไม่ห่าง
    “ยืนอยู่ต้องนานไม่ปวดขาหรือไง?” ร่างสูงพูดแค่นั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องแต่ก็ยังเปิดประตูค้างเอาไว้แบบนั้นรอให้เจ้าของห้องอีกคนเดินเข้ามา
    คยองซูเดินเข้ามาในห้องไม่ลืมปิดประตู ในตอนแรกเขาคิดว่าจะบอกจงอินว่าขอนอนด้วยคืนหนึ่งแต่พอคิดได้ว่าเขาเองก็เป็นเจ้าของห้องด้วยเหมือนกันนั่นทำให้พับเก็บความคิดนั้นไปโดยเร็ว คยองซูเดินเข้าไปค้นชุดลำลองออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป เขาใช้เวลาอาบน้ำเพียงไม่กี่นาทีพยายามจะไม่คิดเรื่องอีกชีวิตที่ยังอยู่ร่วมห้องกับเขา และก็ขอภาวนาให้จงอินมีเรื่องที่ต้องออกไปทำแต่ก็อย่างที่ว่าอีกฝ่ายจะออกไปทำไมในเวลาเช้าแบบนี้
    ทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำคยองซูก็ได้รับสายตาแปลกจากอีกฝ่ายทันทีและเขาก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจก่อนจะหยิบการบ้านวิชาประวัติออกมาทำเพราะขี้เกียจทำส่งตอนใกล้ ๆ จวนเวลา การบ้านคือเขียนรายงานเรื่องราชวงศ์สิบม้วนเบา ๆ ที่ว่าเบาเพราะมันเป็นกระดาษไง ที่เหลือไม่เบาเลยมันไม่ได้แตกต่างกับต้องเขียนรายงานส่งครูที่โรงเรียนเก่าเลยสักนิดแต่อาจารย์วิชานี้ก็อย่างที่รู้ ๆ คือไม่รู้จะโหดไปไหน ห้ามเขียนผิดเด็ดขาดและถ้าผิดก็ต้องตัดกระดาษมาติดทับส่วนที่เขียนผิดแล้วเขียนใหม่ ไม่ก็เขียนหน้านั้นใหม่ทั้งหมด เขาล่ะอยากจะบ้าตายเพราะอาจารย์เรื่องมาจริง
    คยองซูเริ่มเปิดหนังสือและลงมือทำงานของตัวเองเงียบ ๆ จงอินก็ยังคงอ่านหนังสือในมืออยู่ที่พื้นของมุมห้องเพราะไม่มีเตียงให้ขึ้นไปนั่ง ปกติก็นั่งบนเตียงนอนของคยองซูแต่ดูเหมือนว่าเจ้าของเตียงจะกลับมาแล้วทำให้เขาไม่สามารถทำได้เหมือนตอนที่เจ้าของอีกคนไม่อยู่ได้
    คยองซูจดจ่อกับงานพยายามจะไม่เขียนผิดเพราะเขาไม่อยากแก้ไขหรือเขียนใหม่อะไรทั้งนั้นแต่ก็เหมือนพระเจ้าจะเล่นตลกเพราะเขาเขียนผิดแค่คำเดียวเท่านั้น ไม่ได้เรื่องจริง ๆ
    “บ้าเอ๊ย!” คยองซูสบถอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะหันมาควานหากรรไกรกับกาวที่กระเป๋าเครื่องเขียนของตัวเองทันที
    ที่บ้าไปกว่านั้นคือเขาไม่พบทั้งกรรไกรและกาวน่าหงุดหงิดสุด ๆ แต่เขาไม่มีทางที่จะเขียนหน้านี้ใหม่แน่นอน
    “นี่จงอิน นายมีกรรไกรกับกาวมั้ย?” คยองซูทำใจอยู่ครู่ก่อนจะหันไปหาร่างสูงทางด้านหลัง จงอินเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาสบตากับคยองซูเล็กน้อยก่อนที่คยองซูจะเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน
    “จำได้ว่ามีกาวกับคัตเตอร์มีในลิ้นชัก ลองหาดู” เขาว่าแค่นั้นก่อนจะก้มสนใจหนังสือในมือต่อ
    คยองซูที่ได้คำตอบมาแบบนั้นถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเขียนหน้าหนี้ใหม่ มือบางเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานทันทีก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาเพราะว่ามันรกเหมือนรังงูไม่มีผิด เขาค้นสักพักก็เจอกาวแท่งเล็กก่อนจะต้องส่งมือเข้าไปในซอกลึกขอลิ้นชักเพื่อตามหาคัตเตอร์อีกอัน
    “โอ๊ย!” คยองซูส่งเสียงร้องออกมาแบบตกใจเพราะความเจ็บปวดที่แล่นมาเพียงแป๊บเดียวก่อนที่จะดึงมือตัวเองออกมาจากลิ้นชัก เลือดที่ไหลเป็นทางยาวกับแผลที่มือทำเอาคยองซูถึงกับหน้าซีด จงอินที่นั่งอยู่มุมห้องก็รีบลุกขึ้นมาดูอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนใจ
    ทันทีที่ประชิดตัวอีกฝ่ายได้จงอินก็รีบหยิบเศษผ้ามาห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว เพราะคยองซูนั่งอยู่บนเก้าอี้จึงทำให้จงอินต้องคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อให้ตัวเองได้ดูแผลของคยองซูถนัดขึ้น เขาซับเสื้อออกจนหมดก่อนจะแน่ใจว่ามันไม่ไหลแล้วจึงเอาผ้าออกเพื่อดูให้แน่ชัด
    มือบางมีรอยเหมือนโดนแทงไม่ลึกมากอยู่กลางมือทำให้จงอินลุกขึ้นไปดึงลิ้นชักออกมาค้นว่ามีอะไรอยู่ทำไมถึงทำให้คยองซูได้แผล ทันทีที่ดูไม่นานก็เจอต้นเหตุ มันคือคัตเตอร์ที่อยู่ลึกและมันไม่ได้ปิดด้วยสิมือของคยองซูคงจะโดนตอนคลำหาของอยู่
    จงอินถอนหายใจยาวก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคยองซูและกลับมาพร้อมกล่องพยาบาลในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
    “ฉันขอโทษนะพอดีใช้ล่าสุดแล้วไม่ได้ปิด” จงอินคุกเข่าลงอีกรอบเพื่อทำแผลให้ร่างเล็กก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายไปด้วยความลืมตัว สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกได้ชัดเจนมากว่ากำลังเป็นกังวลอยู่ นั่นทำเอาคยองซูแอบรู้สึกดีไม่น้อย
    “ฉะ--ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน” คยองซูเอ่ยออกไปในขณะที่จงอินยังคงทำแผลให้เขา อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตากลมโตสวยน่ามองของนักเรียนเลือดผสมตัวเล็ก
    “นายจะขอโทษทำไม นายไม่ได้ผิดหรอก”
    “ไม่ ๆ ฉะ—ฉันขอโทษที่เผาเตียงนาย ขอโทษที่พูดไม่ดีใส่นายเอาเป็นว่าขอโทษทั้งหมด” คยองซูหลบสายตาอันตรายนั่นก่อนจะก้มหน้ามองที่มือตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายทำแผลให้เรียบร้อย
    “อือ...ฉันก็เหมือนกันขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน” จงอินว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและหยิบชุดลำลองของตัวเองก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
    คยองซูเพิ่งจะรู้ว่าจริง ๆ คำขอโทษก็ไม่ได้พูดยากเหมือนอย่างที่คิดแค่ดูกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง เขารู้สึกดีที่พูดออกไป มันดีที่ไม่ต้องมารู้สึกอึดอัดต่อกันและบรรยากาศต่อจากนี้ระหว่างเราคงจะดีขึ้น เขาหวังว่านะ
    เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้คยองซูหันไปสนใจอย่างง่ายดาย คิมจงอินอยู่ในชุดลำลองง่าย ๆ เหมือนวัยรุ่นทั่วไป เสื้อยืดสีขาวล้วนกับกางเกงยีนนั้นแสนจะธรรมดาแต่ทำไมคยองซูกลับมองว่าจงอินใส่แล้วมันดูไม่ธรรมดา
    “นายพร้อมจะทำตามข้อตกลงที่นายให้ไว้แล้วใช่มั้ย?” จงอินถามเสียงนิ่ง ๆ ก่อนจะคว้าเอาเงินจำนวนไม่น้อยใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินกลับมาดึงคยองซูขึ้นจากเก้าอี้
    “เดี๋ยวสิที่เรากำลังจะไปไหนกันเหรอ?” คยองซูเอ่ยถามด้วยความมึนงงเพราะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จงอินกระชับกอดเข้าหาคยองซูแน่นก่อนจะมองตาของร่างเล็กในอ้อมกอด
    คยองซูตกอยู่ในอาการช็อกที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็มากอดเขาแล้วจะพาไปไหนก็ไม่รู้ หายตัวนี่จำเป็นต้องแนบชิดติดกันขนาดนี้เลยหรือไง
    “ฉันจะพานายไปที่ที่นายก็คาดไม่ถึง และมันไปยากมากเพราะงั้นจับฉันไว้แน่ ๆ ถ้าไม่อยากตัวปลิวออกไปที่ไหนสักที่ในระหว่างเดินทาง” จงเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะใช้เวทปิดไฟในห้องเสียหมดทุกดวง เพราะในเวลาเช้าแบบนี้เป็นเวลานอนจะให้มาเปิดไฟไว้ก็กลัวจะผิดสังเกต
    “บอกก่อนได้มั้ยว่าจะพาไปไหน?” คยองซูเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อยก่อนจะกอดจงอินไว้แน่น ในหัวมีแต่คิดว่าทำไมต้องพาเขาไปในที่ที่ อันตรายด้วยล่ะแต่มันก็น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
    “ฉันจะพานายไปเที่ยวโลกนอกรั้วโรงเรียน”


     




    Are you bleeding?
    - 100% -
    #ลูกเสี้ยวคซ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×