NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC KaiSoo {Mixed Blood} Ft.EXO (END)

    ลำดับตอนที่ #4 : Mixed Blood 03

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 66


    Mixed Blood 03






    เพราะการหายตัวมาต้องใช้สภาพร่างกายที่ค่อนข้างจะแข็งแรงพอสมควรทำให้การมาในครั้งนี้ลำบากมากสำหรับแบคฮยอนที่ต้องเป็นคนนำทางมา ทันทีที่ถึงห้องของตัวเอง ร่างสูงก็โงนเงนไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกทันที แบคฮยอนก็ต้องทำหน้าที่เป็นคนแบก ร่างเล็กแสดงสีหน้าเหยเกออกมาเพราะน้ำหนักที่แทบจะรับไม่ไหวของอีกฝ่าย
    ชานยอลปรือตาตัวเองสุดชีวิตเพราะเลือดเขาก็ไหลเยอะมาก คาดว่าถ้าตัวเองเผลอหลับตามีหวังได้สติดับแน่ ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะเป็นภาระแบคฮยอนเอาเปล่า ๆ
    “เฮ้! พยายามยืนเองหน่อยสิชานยอล” แบคฮยอนร้องอย่างอวดครวญเมื่อพยายามจะพาร่างยักษ์ไททันที่ใหญ่กว่าตัวเขามากโขไปที่โซฟาเพื่อที่จะได้ทำแผลได้ง่ายขึ้นแต่มันดูไม่ได้ง่ายเหมือนที่ใจคิดเลย
    “อือ” ชานยอลครางตอบพร้อมกับพยายามยืนด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองแต่มันดูทำให้แบคฮยอนทำงานของตัวเองได้ยากมากขึ้นไปอีก
    ถ้ารู้ว่าจะตัวหนักขนาดนี้นะน่าจะให้เซฮุนมาช่วยแบก...
    “เฮ้ย!” แบคฮยอนสะดุดขายาว ๆ ของร่างสูงที่พยายามจะช่วยด้วยการเดินด้วยขาตัวเองแต่ตอนนี้กลายเป็นช่วยยุ่งเสียมากกว่าเพราะขายาว ๆ ของชานยอลนั้นมาพันแข้งพันขาแบคฮยอนทำให้ล้มไปทั้งคู่จนได้ โชคดีตัวของพวกเรามีโซฟารองรับเอาไว้เพราะแบคฮยอนใช้เวทเคลื่อนย้ายของดึงมันมาหาตัวได้ทันเวลาพอดิบพอดี
    ชานยอลล้มลงมาทับแบคฮยอนไว้เสียร่างเล็กหมดทางหนี แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาดูร่างยักษ์ที่นอนทับตัวของเขาเอาไว้เต็มตัวแบบไม่หวังให้มีช่องว่างระหว่างเราให้อากาศได้ผ่านได้เลยแม้แต่นิด ร่างเล็กถอนหายใจยืดยาวก่อนจะค่อย ๆ ดันอกแกร่งให้ออกห่างจากตัวเองอย่างเบามือและดันชานยอลไปอีกด้านของโซฟา
    เลือดสีแดงสดได้เปรอะเปื้อนไปตามเสื้อของชานยอลและของตัวเขาเอง โซฟาผ้าสีขาวสะอาดก็เลอะไปด้วยเลือดของร่างสูงแม้กระทั่งตามพื้นห้องก็ด้วย
    แบคฮยอนรีบเช็กสภาพร่างกายของชานยอลทันทีว่าทำไมแผลถึงยังไม่ยอมหายและร่างกายของร่างยักษ์ดูอ่อนแอจนเกินไป
    “เฮ้! ห้ามหลับนะชานยอล ย่า! ปาร์คชานยอล” แบคฮยอนตบแก้มร่างสูงเรียกสติเจ้าตัวอย่างแรง ชานยอลปรือตาขึ้นมามองเรียวหน้าหวานอีกครั้งก่อนจะพยายามพูดอะไรออกมา
    “เลอ...”
    “ว่าไงนะ?” แบคฮยอนถึงกับต้องเอ่ยถามซ้ำใหม่อีกรอบเพราะแทบฟังอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง
    “เลือด”
    ทันทีที่แบคฮยอนได้ยินที่ร่างสูงพูดก็รีบลนลานไปเปิดตู้เย็นควานหาขวดเลือดสำรองทันที โชคดีมากที่ยังเหลือขวดหนึ่ง เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ว่าจะให้ชานยอลดื่มเลือดในขวดนี่ดีหรือไม่แต่ในเวลานี้นั้นเป็นกรณีฉุกเฉินสุด ๆ คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
    มือเรียวสวยบิดฝาขวดอย่างชำนาญการก่อนจะค่อย ๆ ประคองหัวโต ๆ ของชานยอลเอาไว้และจ่อขวดเลือดลงไปที่ปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ได้ลิ้มรสไม่นานเกินนาทีดวงตากลมโตของของสูงเบิกขึ้นจนแบคฮยอนที่เห็นถึงกับตกใจ มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่มือเล็กอย่างรวดเร็วก่อนจะบังคับมือของแบคฮยอนให้ยกขวดเลือดขึ้นสูงอีกเพื่อตัวเองจะได้ดื่มเสียหมดจนหยดสุดท้าย
    แบคฮยอนชักมือออกจากมือใหญ่ก่อนจะส่งสีหน้าคาดโทษให้ ชานยอลดูสภาพไม่แย่เหมือนเมื่อกี้เรียกว่าดีขึ้นสุด ๆ เลยก็ว่าได้แต่สำหรับแวมไพร์แล้วยังถือว่าฟื้นตัวได้ช้าพอสมควร
    “ไปไหน?” ชานยอลเอ่ยถามแบคฮยอนที่ลุกจากพื้นข้าง ๆ คนตัวเล็กทำท่าจะเดินหายไปไหนสักที่ เขาก็ไม่อยากถูกปล่อยทิ้งไว้ในรังแวมไพร์เลือดแท้หรอกนะ
    “ทิ้งขยะ แล้วก็จะหาวิธีช่วยให้นายหายเร็วขึ้น”
    ชานยอลละความสนใจจากร่างเล็กแล้วหันมาสนใจรอบข้างแทน เขาถูกแบคฮยอนพามาที่ไม่คุ้นตา ดู ๆ สภาพแล้วน่าจะเป็นห้องของคนตัวเล็กแน่ ๆ ห้องนอนไม่เหมือนห้องของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าจะให้มาอยู่ที่นี่เหมือนคยองซูเขาก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน โคมไฟยังเป็นโคมไฟโบราณใช้เทียนจุดแทนหลอดไฟ ผนังและพื้นเป็นหิน ดู ๆ แล้วเก่าแก่กว่าอายุตัวเขาวนมาครบรอบร้อยครั้งเสียอีก
    หลังจากพิจารณาที่นี่ได้ไม่นานร่างเล็กก็เดินออกมาพร้อมหนังสือเล่มโตก่อนจะใช้เวทดันโซฟากลับไปที่เดิมโดยมีร่างยักษ์นอนประดับอยู่บนนั้นด้วย แบคฮยอนใช้เวลาทำความสะอาดที่เหลือไม่ถึงนาทีก่อนจะลากเก้าอีกอีกตัวมานั่งตรงข้างชานยอลและกางหนังสือเล่มโตออก
    “หนังสือเวทระดับไหนเนี่ยทำไมฉันไม่เคยเห็น?” ชานยอลเอ่ยถามแบคฮยอนที่ทำสีหน้าระรื่นอยู่ ดูแล้วไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
    “ระดับที่ว่าเลือดแท้เท่านั้นที่ทำได้ เฉพาะฉะนั้นนายช่วยเลิกสงสัยแล้วนอนนิ่ง ๆ นะ เพราะฉันเองก็...ไม่ค่อยมั่นใจถ้าเล็งผิดไปโดนที่อื่นอาจจะมีปัญหาเอาได้”
    เมื่อได้ยินคำขู่จากปากเล็ก ๆ ชานยอลก็หุบปากตัวเองแล้วนิ่งเงียบในทันที เพราะกลัวเกิดการผิดพลาดแล้วเรื่องมันจะไปใหญ่มากกว่านี้
    แบคฮยอนแอบขำคิกคักคนเดียวในใจก่อนจะเริ่มเปิดหาบทจากหนังสือเรียน เขาไม่ได้ใช้เพียงแค่ลืมปากขู่เพราะว่าเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันเพราะว่าเขานั้นไม่ได้ใช้เวทรักษาขั้นสูงบ่อยนักแต่ว่าในชั้นเรียนเขาก็นับว่าเป็นตัวท็อปเลยทีเดียว
    “เอาล่ะฉันคิดว่ามันจะเจ็บหน่อยนะเพราะนายกรีดมันตัดเส้นเลือดใหญ่พอดีเป๊ะ ๆ และแผลของนายเสียหายเยอะเนื้อเยื่อไม่ยอมต่อกันเป็นเพราะนายน่าจะไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์ทำให้ใช้พลังงานได้ไม่มากเพียงพอต่อการรักษาแผล”
    ชานยอลพยักหน้าหงึก ๆ เป็นอันว่าเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่แบคฮยอนพูด ร่างเล็กปิดหนังสือหลังจากอ่านทบทวนมาเรียบร้อยก่อนจะจ้องที่แผลที่เลือดไม่ไหลเยอะเมื่อแต่ก่อนแต่ยังไม่หายดีเท่าที่ควร
    “เอาล่ะหายใจเข้าลึก ๆ ฉันจะทำแล้วนะ” แบคฮยอนใช้มือสัมผัสที่แผลของร่างสูงก่อนพูดที่อ่านทบทวนมาในใจตัวเองก่อนจะพยายามใช้จิตควบคุมผิวหนังของชานยอลให้ติดกัน
    ฉึบ!
    “อ๊าก!!” ชานยอลร้องออกมาเสียงดังอย่างไม่นึกจะอาย เหงื่อผุดขึ้นมาตามกรอบหน้าหล่อเหลาเต็มไปหมดใบหน้าของอีกฝ่ายเหยเกเพราะความเจ็บปวดราวกับถูกรถทับข้อมือ แบคฮยอนที่เห็นชานยอลทำสีหน้าแบบนั้นก็รีบเอามือออกดูผลงานตัวเอง
    แผลของชานยอลหายในทันที ที่มันเจ็บมากเพราะมันเป็นแผลฉกรรจ์และนี่เป็นเวทชั้นสูงใช้เฉพาะพวกมีเปอร์เซ็นต์เลือดแท้สูงในระดับหนึ่งร้อยไปจนถึงห้าสิบซึ่งชานยอลจัดอยู่ในระดับต่ำสูงแต่สามารถใช้ได้
    “ชู่ว ชานยอล! นายช่วยเงียบที เดี๋ยวคนทั้งหอก็แห่กันมาดูพอดี”
    “มัน--อะ เจ็บมากเลย...แบคฮยอน” ชานยอลแทบจะทนความเจ็บไม่ไหว น้ำตาซึมไหลลงมาเล็กน้อยจากหางตา ตากลมโตนั้นแดงก่ำเพราะพยายามกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้
    “ฉันรู้ว่ามันเจ็บนายต้องทนนะ เข้าใจมั้ยนายจะมาตายในห้องฉันไม่ได้นะชานยอล” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงกังวลก่อนจะลูบผมของอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม เขาก็ไม่แน่ใจว่าทำแบบนี้ชานยอลจะรู้สึกโอเคขึ้นหรือเปล่าแต่เขาเคยเห็นแม่ลูกมนุษย์คู่หนึ่งทำตอนที่ลูกชายเธอร้องไห้เพราะหกล้มจนได้เลือด แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะปลอบใจอีกฝ่ายยังไงเพราะเขาเองก็ไม่ได้อ่อนโยนอะไรมากนักถ้าเทียบกับความเป็นมนุษย์ที่อีกฝ่ายมีมันก็คนละเรื่อง เรามันคนละยุคคนละชั้นกันเลย
    “เอาฉันไปส่งที่ห้องที” ชานยอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวจนแบคฮยอนแทบจะทำตามอย่างห้ามไม่ได้เพราะน้ำเสียงที่ดูเหมือนอ้อนวอนของร่างสูงที่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์แต่หัวใจเล็กเท่ามด
    “ฉันจะไปส่งนายได้ยังไงฉันไม่เคยไปที่ห้องของนาย” แบคฮยอนเอ่ยเมื่อคิดได้ แม้แต่หน้าหอของเลือดผสมเขาก็ไม่เฉียดที่จะไปหรือเดินผ่านแม้แต่น้อย ไม่เคยไปแล้วจะไปได้ยังไงกันล่ะในเมื่อการหายตัวจะใช้ได้ในสถานที่ที่เราเคยไปหรือเห็นภาพเท่านั้น
    “นายก็เข้ามาสิ” ชานยอลปิดตาลงอีกครั้งก่อนจะนอนพิงโซฟาเอาแรง หวังว่าจะลดความเจ็บปวดที่ข้อมือของตัวเองลงได้
    “เข้า?” แบคฮยอนเอ่ยด้วยความสงสัยก่อนจะทอดสายตามองร่างยักษ์ที่เหมือนจะหลับลงได้ทุกเมื่อ
    “เข้ามาในหัวฉันสินายก็จะเห็นมันเอง” ชานยอลใช้มืออีกข้างชี้นิ้วเข้าที่ขมับของตัวเองก่อนจะส่งยิ้มบาง ๆ ให้ร่างเล็กที่นั่งทำหน้าเครียดไม่ห่าง
    “ได้ไงกันล่ะ มันเป็นของส่วนตัวของนายนะ แล้วนายนอนที่นี่สักคืนจะเป็นไรไป?” แบคฮยอนเสนอความเห็น ที่จริงชานยอลควรจะพักที่นี่สักคืนหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาดเพราะอีกฝ่ายไม่แข็งแรงมากพอจะหายตัวได้อีกรอบแต่ทำก็ทำได้แต่คงเจ็บมากพอ ๆ กับรอบที่ทำให้แผลสมานตัว
    “ทำเถอะ ฉันรู้ว่านายทำมันได้ อีกอย่างความจำฉันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก แล้วฉันนอนห้องนายคงไม่เหมาะ ให้หอนายมีกลิ่นมนุษย์คนเดียวก็พอแล้ว”
    เมื่อชานยอลพูดอย่างนั้นแบคฮยอนก็ไม่อยากจะขัดเพราะร่างสูงเองก็เต็มใจให้เขาทำ แบคฮยอนย้อนดูความจำของร่างสูงเพียงเวลาสั้น ๆ แค่อยากดูว่าห้องเป็นยังไงอยู่ที่ไหนแค่นั้น ไม่ได้อยากรู้อะไรไปมากกว่านี้จึงถอยออกมาแม้ว่าในภาพความทรงจำของร่างสูงในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสน่ามองก็ตามทีเถอะ
    “เสร็จเร็วจังเลยนะ” ชานยอลเอ่ยก่อนจะกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากและส่งให้แบคฮยอนที่ถอนหายใจเหมือนเสียดายอะไรบางอย่างไม่ก็หนักใจอะไรสักเรื่อง
    “เหอะ...ไม่ต้องมายิ้ม นายยิ้มไม่ออกแน่ ๆ ถ้าถึงห้อง”





    ในป่าทึบกว้างใหญ่ที่คุ้นเคย คยองซูไม่รู้ว่าทำไมตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อีกครั้ง ลมแรงกับเสียงใบไม้เสียดสีไปมาไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวเหมือนแต่ก่อนเพราะมันก็คงเป็นแค่ฝันร้ายเหมือนคราวที่ผ่านมา เขามองรอบ ๆ ด้วยความสงสัยก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนกลางป่าใหญ่
    “โถ่ ๆ นายรอดมาได้ด้วย เก่งจริง ๆ นี่ต้องปรบมือให้ใช่มั้ย?”
    คยองซูหันไปต้นตอของเสียงดังกล่าว มันก็คือเสียงของเขาเอง คนที่พูดก็คือร่างโคลนของเขาเองเช่นกันเหมือนกันทุกระเบียบนิ้วเหมือนอย่างกับฝันคราวที่แล้วไม่มีผิด อีกร่างยืนพิงต้นไม้ใหญ่อย่างสบายใจก่อนจะส่งยิ้มมาให้คยองซู
    “...” คยองซูไม่ตอบกลับประโยคของอีกร่างที่อยู่เหนือจินตนาการของตัวเองเพราะว่าถ้าทำอย่างนั้นก็คงไม่แตกต่างกับคนบ้าเสียเท่าไหร่ อีกอย่างนี่ความฝันไม่ใช่หรือไง
    “ใช่ มันคือความฝันแต่อย่าลืมว่าฝันมันมาจากจิตใต้สำนึกของนายเอง" อีกร่างพูดด้วยใบหน้ากวน ๆ แต่ก็นิ่งเฉย ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไรก่อนจะเดินเข้ามาใกล้คยองซูเรื่อย ๆ และอีกร่างก็นั่งลงตรงข้ามเขา
    "..."
    "อย่างที่บอกจำได้มั้ย? นายก็คือฉัน ฉันก็คือนาย นายตายฉันก็ตายเพราะงั้นฉันไม่ทำให้นายตายแน่ ๆ นายต้องอยู่รอดไปอีกนานแสนนาน เพราะเราต้องใช้ร่างร่วมกันอย่าทำตัวมีปัญหาเยอะล่ะเข้าใจหรือเปล่า? "





    คยองซูลืมตาตื่นขึ้นมาแบบงง ๆ ตอนนี้เหมือนสมองเขาใกล้จะระเบิดเต็มที เรื่องเมื่อวานที่เขาพอจะจำได้แต่มันช่างเลือนรางและยากเกินกว่าที่จะนึกในเวลานี้
    นาฬิกาแขวนบอกเวลาตอนนี้คือสามทุ่มกว่า ๆ เขาถอนหายใจยืดยาวเพราะใกล้เวลาที่จะต้องไปเรียนเต็มทีแล้ว แขนเล็กยันตัวเองลุกออกจากเตียงก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าค้นหาชุดนักเรียนของตัวเอง เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยออกมาฉีดสเปรย์เหมือนเดิมก่อนจะควานหากระดาษตารางเรียนของตัวเองและก้าวเท้าออกจากห้องไป
    คยองซูเดินมาถึงตึกเรียนในเวลาพอเหมาะพอดีกับเริ่มเรียนในคาบแรกเพราะยืนรอชานยอลที่หน้าหอจนเก้อทำให้วิ่งมาเองในอีกสิบนาทีสุดท้าย ถ้าเจอชานยอลตอนนี้นะสาบานเลยว่าจะอัดร่างสูงให้น่วม
    วิชาแรกในวันนี้คือวิชาประวัติศาสตร์โลก คยองซูจ้ำเท้าเข้าห้องอย่างรวดเร็วในทันทีที่ถึง เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าก่อนจะเดินไปนั่งที่ที่ยังว่างอยู่ เหมือนเดิมนักเรียนในห้องนี้ล้วนเป็นเลือดแท้เกินครึ่งแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีใครให้ความสนใจแก่เขามากเหมือนครั้งก่อนแล้ว
    ทันทีที่เสียงระฆังดังอาจารย์หนุ่มประจำวิชาก็เดินเข้ามาพร้อมกับหนังสือเล่มโตในอ้อมแขนนั่นทำให้คยองซูรู้สึกว่าวิชานี้คงจะไม่ได้มีอะไรมากแถมมันก็คงจะรู้สึกน่าเบื่อพอ ๆ กับวิชาประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนเก่าของเขาแน่ ๆ
    "นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายมาเมื่อไม่กี่วันที่แล้วคือเธอใช่มั้ย? " อาจารย์หนุ่มเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะของนักเรียนใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าเสียเท่าไหร่ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
    "ครับ" คยองซูตอบเสียงเกือบจะเบาหวิวเพราะว่ารังสีความเยือกเย็นและสายตาน่ากลัวของอีกฝ่ายที่ถูกมอบมาให้
    ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากปากเล็ก ๆ ของนักเรียนผู้เป็นอาจารย์พยักหน้าก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะประจำที่ของตัวเองที่หน้าห้อง
    "โด คยองซู ผมมีคำถามมากมายในหัวว่าทำไมเมื่อวานคุณถึงไม่เข้าเรียนในคาบของผม และผมก็อยากจะรู้เหตุผลที่ว่าทำไมคุณปาร์คชานยอลเพื่อนสนิทของคุณถึงขาดเรียนไปพร้อม ๆ กับคุณ และเขาก็ไม่ได้มาเรียนในวันนี้" คำพูดของอาจารย์หนุ่มทำให้ทุกคนในห้องถึงกับหันมาให้ความสนใจเจ้าของชื่อที่อาจารย์ยิงคำถามมากมายใส่ราวกับเป็นเป้านิ่งรอให้กระสุนทะลุผ่านทีละนัด
    "..."
    "คุณมีอะไรจะพูดแก้ตัวให้คุณชานยอลที่ไม่มาเรียนในวันนี้มั้ย หรือคุณจะแก้ต่างให้ตัวเองก่อนดีล่ะ? "
    คำพูดที่ดูเด็ดขาดกับสายตาที่เหมือนมองนักเรียนได้ทะลุหมดเปลือกทำเอาคยองซูไปไม่เป็น
    "เอ่อ...คือว่า" คยองซูกำลังคิดหาคำแก้ตัวที่ใกล้เคียงความจริงเรื่องที่เขาตื่นสายมากที่สุด จะให้พูดว่าตื่นสายครับก็ฟังดูแย่แต่ก็นะ จะให้พูดว่าอะไรถ้าไม่ใช่ตื่นสาย แล้วเรื่องชานยอลควรตอบว่าอะไรล่ะ บังเอิญขาดพร้อมกันครับ วันนี้เขาป่วย เราไม่ได้เจอกัน ผมก็ไม่รู้ครับ เอาไงดี!
    อาจารย์หนุ่มยังคนรอคำอธิบายจากปากของนักเรียนตัวเล็กคนนี้ จนกระทั่งมีเสียงเลื่อนเปิดประตูห้องดังขึ้น นักเรียนคนที่ทั้งห้องคุ้นเคยดีไม่ลืมปิดประตูเลื่อนให้ก่อนจะยืนรอคำอนุญาตจากเจ้าของห้องเรียนให้ตัวเขาได้เข้ามานั่งเรียนดี ๆ แบบเพื่อนคนอื่น ๆ
    "ผมคงกล่าวว่าอะไรนักเรียนใหม่ไม่ได้มากเพราะว่านักเรียนเดิมของผมก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่...คุณจงอิน เชิญไปนั่งที่เถอะ" คำพูดของอาจารย์หนุ่มทำให้รู้สึกว่าจงอินคงจะไม่ใช่นักเรียนดีเด่นอะไรมากมายนัก ก็แค่เด็กเกเรคนหนึ่งในโรงเรียน
    "..."
    "การปรากฏตัวของคุณในคาบเรียนของผมในวันนี้หวังว่าแดดคงไม่ออกเวลาตีสามหรอกนะ"
    คำพูดเชิงเสียดสีจากปากของผู้เป็นอาจารย์ทำให้คยองซูพอจะรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นคนยังไง ข้อแรกคือน่าจะเจ้าระเบียบและดูท่าทางเหมือนจะจดจำรายละเอียดของนักเรียนคนอื่นได้ดีพอสมควร
    ร่างสูงที่โดนอาจารย์เอ็ดเมื่อสักครู่ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดพวกนั้น คิมจงอินยังคงตีหน้านิ่งได้ดีไม่แพ้อาจารย์ก่อนที่โค้งหัวให้ผู้สอนด้วยสีหน้าเอือมสุด ๆ และเดินผ่านมานั่งที่ว่างด้านหลังคยองซู
    อาจารย์หนุ่มหน้าห้องดันแว่นขึ้นก่อนจะทอดสายตามองนักเรียนทั้งสองคนที่ทำตัวมีปัญหาไม่แพ้กันเลยก็ว่าได้ ไม่สิต้องเพิ่มเป็นสามคนแต่อีกคนไม่มาเรียน





    คาบในวันนี้ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อตามชื่อวิชาไม่มีผิด คยองซูทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างหินที่มีโคมไฟยุคโบราณติดประดับเอาไว้ ข้างนอกหน้าต่างมืดสนิท แม้จะมีแสงไฟจากโคมไฟหรืออะไรต่าง ๆ ที่โรงเรียนพอจะอำนวยให้แสงสว่างแก่นักเรียนก็ตามมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะความเกือบจะเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตในตอนหกโมงเช้าจะจบลงตอนเที่ยงคืนแต่ที่นี่ใช้ชีวิตตอนเที่ยงคืนและจบลงหกโมงเช้าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้
    เขายังมีความคับแคลงใจเรื่องของเจ้าเพื่อนตัวยักษ์หรือปาร์คชานยอลที่ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรอเก้ออยู่หน้าหอ ไม่รู้ว่าไปไหนจะตายหรือยังก็ไม่รู้ ไม่มีช่องทางการติดต่ออีกนั่นทำให้เขาแอบเป็นห่วงเล็ก ๆ แต่ว่าเพื่อนของเขามันตัวใหญ่คงจะดูแลตัวเองได้ดีอยู่หรอก
    หลังจากสติหลุดลอยไปไกลมากกว่าครึ่งคาบจิตสำนึกก็สั่งให้เขากลับมาตั้งใจเรียนเพราะต้องใช้ความรู้ในการสอบและเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันสำหรับในโลกของแวมไพร์ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเรียนจบด้วยเกรดสวย ๆ แล้วก็เอาไปตบหน้าพ่อกับปู่และทุกคนในบ้านที่ส่งเขามาที่นี่พร้อมบอกว่าไม่เกินสองเดือนพ่อต้องมาหามศพเขากลับ ดูถูกกันเข้าไปให้พอใจ
    "ในสมัยก่อนพวกเธอคงจะรู้มาบ้างแล้วล่ะว่าแวมไพร์เลือดแท้ชั้นสูงนิยมดื่มเลือดกันเองเพื่อรักษาสายเลือดแท้ที่แข็งแรง"
    เสียงของอาจารย์หนุ่มนุ่มนวลยิ่งกว่าเสียงเพลงกล่อมให้นอน คยองซูตาจะปิดอยู่รอมร่อพยายามแหกตาตัวเองให้ลืมเอาไว้สุดชีวิตเพราะสายตาจากอาจารย์ที่คอยมองมาที่เขาเป็นระยะจนบางทีก็รู้สึกขนลุกกับสายตาเยือกเย็นนั่นไหนจะต้องพยายามทำความเข้าใจกับเนื้อหาใหม่ ๆ พวกนั้นอีกด้วย
    "และยังมีการดื่มเลือดพวกเลือดผสมอีกด้วย ในส่วนใหญ่แวมไพร์ชั้นสูงจะเลี้ยงพวกลูกผสมไว้ในบ้านเพื่อเอาไว้ดื่มเลือดโดยเฉพาะ พวกเลือดผสมจะตัวติดหนึบลูกท่านหลานเธอไม่ก็พวกรวย ๆ เพราะพันธสัญญา ในสมัยแต่ก่อนเมื่อนานมาแล้วเราเรียกพวกนั้นว่าพวกถุงอาหาร เพราะเราติดพันธสัญญากับพวกมนุษย์เอาไว้ว่าจะไม่ดื่มเลือดของมนุษย์และจะไม่รุกรานพวกสัตว์ของพวกเขา พวกเราเลยได้ตั้งระบบนี้ขึ้นมา"
    คยองซูแทบจะกลอกตาขึ้นบนเพดานห้องเมื่อได้ยินการบรรยายของอาจารย์หนุ่ม ระบบห่วยแตก ดูแบ่งชั้นกันสุด ๆ นี่ขนาดมันผ่านจุดนั้นมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วคยองซูยังได้รับสายตาดูถูกอยู่เลย ค่านิยมพวกเลือดแท้บางคนถือว่าแย่จนขั้นอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกนั้นว่าเลิกมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว แต่เขาจะยกเว้นแบคฮยอนกับเซฮุนเอาไว้
    "ในสมัยนี้เราก็ยังมีถุงอาหารกันอยู่แต่เพราะมันเลยยุคนั้นมาร้อยปีที่แล้วมาพวกเราเลยดื่มเลือดกันเองได้โดยไม่ต้องใช้เวทพันธสัญญา แต่ว่ามันก็ถือว่าเป็นข้อห้ามอยู่ดีเพราะหากว่าเลือดเข้ากันไม่ได้จะเกิดปัญหาใหญ่ทีเดียว"
    'หน้านายตลกดีนะคยองซู'
    เสียงคุ้นหูทำเอาคยองซูถึงกับขมวดคิ้ว เขาได้ยินเสียงจงอินพูดดังและชัดมากเหมือนไม่ได้แคร์ว่าจะมีอาจารย์หน้าห้องแต่ก็ดูเหมือนอาจารย์จะไม่ได้รับรู้การได้ยินจากเสียงที่เขาได้ยินแม้แต่น้อย
    คยองซูหันไปหาต้นเสียงก็พบว่าเจ้าของเสียงก็นอนฟุบโต๊ะและดูเหมือนจะหลับอยู่ด้วย คยองซูจึงหันกลับมาด้วยความมึนงงก่อนจะพยายามตั้งหน้าตั้งตาฟังอาจารย์ต่อ
    บางทีหูคงฝาดไป
    'นี่นายแกล้งเป็นนักเรียนดีเด่นอยู่เหรอไง? '
    เป็นอีกครั้งที่ได้ยิน คยองซูหันขวับไปยังร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังแต่ก็เหมือนเดิมคิมจงอินยังคงนอนหลับ
    "มีอะไรหรือเปล่าคุณโดคยองซู? "
    เสียงอาจารย์ดึงคยองซูให้หันกลับมาด้านหน้า ก่อนจะยิ้มเจื่อนให้อาจารย์ที่ส่งรอยยิ้มเยือกเย็นมาให้เพราะคยองซูกำลังขัดจังหวะการเรียนการสอนในคาบของเขา
    "เปล่าครับผมแค่เมื่อยเลยจะ....บิดขี้เกียจ" คยองซูรีบแก้ต่างให้ตัวเองในทันทีก่อนจะแสดงท่าทางบิดไปบิดมาแล้วนั่งหลังตรงเป๊ะทำท่าเหมือนตั้งใจสุด ๆ เพื่อเรียกคะแนนให้ตัวเอง
    ทันทีที่อาจารย์หนุ่มเลิกสนใจในตัวเขา คยองซูก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะเกร็งตัวจนจะเป็นตะคิว เขาแอบหันกลับไปมองจงอินเล็กน้อยด้วยหางตาให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังหลับอยู่จริง ๆ แต่ก็เหมือนเดิมคิมจงอินดูเหมือนจะหลับจริง ๆ นั่นแหละ
    'บิดขี้เกียจเหรอ? แก้ตัวได้ไม่เลวนี่'
    "..."
    'ไหน ๆ นายก็มีโอกาสส่งกระแสจิตได้แล้ว ไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอโดคยองซู'
    คยองซูเริ่มจะแน่ใจว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นไม่ได้คิดไปเอง มันผิดปกติเกินไปแล้วแบบนี้
    'นี่นายคุยกับฉันเหรอ หรือฉันเป็นบ้า? ' คยองซูคิดในใจตัวเองก่อนจะพยายามตั้งใจจดเนื้อหางานหน้าห้องที่อาจารย์ผู้สอนมอบหมายให้ส่งในคาบหน้า
    'ฉันคุยกับนาย'
    "..."
    'นี่อย่าหาว่ากวนเลยนะแต่ว่ามันน่าเบื่อจะตายวิชาของไอ้อาจารย์นี่ เออแล้วก็แอบตกใจนะเนี่ยที่นายส่งกระแสจิตได้ ไม่นึกว่าคนที่เกือบจะเป็นมนุษย์จะทำได้'
    'หุบปากเน่า ๆ ของนายเถอะจงอิน นอนไปอย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉัน' คยองซูรู้สึกโมโหและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน ไม่เข้าใจว่าร่างสูงนั้นทำไมถึงชอบพูดจายียวนกวนประสาทแถมยังชอบพูดเสียดสีเรื่องเปอร์เซ็นต์เลือดของเขาอีกต่างหาก ซึ่งคยองซูไม่ชอบเอามาก ๆ
    'ว้าว ฉันทำมนุษย์ตัวจิ๋วอย่างนายโมโหเหรอ ถ้าฉันไม่ขอโทษนายจะทำยังไงกันนะ? '
    "..." คยองซูไม่อยากพูดต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่ายเลยทำได้แค่พยายามเบี่ยงเบนความสนไปที่เนื้อหาในหนังสือไม่ก็อาจารย์หน้าห้องที่ยังบรรยายเนื้อหาต่อไปอย่างไม่รู้ว่ามีนักเรียนแอบคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวทางกระแสจิต...
    'ไม่ตอบแฮะ' จงอินที่เสแสร้งแกล้งเป็นหลับอยู่ที่โต๊ะรู้สึกชอบใจยิ่งนักเมื่อได้แกล้งโดคยองซู ที่จริงเขาไม่เคยคิดจะเฉียดเวลาหรือแม้กระทั่งเดินผ่านมาห้องเรียนวิชาประวัติที่น่าเบื่อนี่ด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษเพราะหลังจากเอาคยองซูมาที่ห้องให้ได้พักฟื้นแล้วเขาก็ออกไปหาเลือดมาเตรียมเอาไว้เผื่อว่าคยองซูอยากจะดื่มในตอนตื่นขึ้นมา แต่พอกลับห้องมาก็ไม่เจอร่างเล็กที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงเขาเลยตามหาอีกฝ่ายด้วยวิธีง่าย ๆ นั่นก็คือการเดินตามกลิ่นคยองซูมาจนถึงห้องนี้
    จงอินคิดว่าบางทีการมานั่งเรียนประวัติก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ต่อไปเขาคงต้องมาเรียนทุกวันแล้ว
    "...."
    'เหงานะเนี่ย'
    "...."
    'รูมเมทของฉันเนี่ยนอกจากจะเป็นมนุษย์แล้วยังเป็นใบ้อีกด้วย'
    "...."
    'ไม่มีมารยาทเสียจริงคนอื่นพูดด้วยแล้วไม่ตอบ'
    คำพูดของจงอินนั้นทำให้คยองซูโมโหมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาอยากจะลุกไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วต่อยใบหน้าหล่อ ๆ นั่นสักสองสามทีให้หายโมโหแต่ติดที่ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนเก่าของเขาที่จะทำอะไร ๆ เหมือนมนุษย์ได้
    'ที่บ้านนายไม่สอนเหรอว่าควรพูดหรือตอบอะไรยังไง?'
    "...." คยองซูกำหมัดแน่น จงอินมีสิทธิ์อะไรมาพูดดูถูกเขาแบบนี้ คำพูดของอีกฝ่ายก็เหมือนน้ำมันที่กำลังราดลงบนกองไฟที่ลุกไหม้อย่างรุนแรงและแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถูกเทน้ำมันลงไป
    'หรือที่จริงแล้วที่บ้านเลือกปฏิบัติกับลูกที่มีความพิเศษทางสายเลือดมากกว่า--'
    "หุบปากสักทีได้มั้ย!?"
    "?? "
    คยองซูลืมตัวเองเสียสนิท เขาเผลอพูดออกมาเสียงดังและดังในชนิดที่ว่าได้ยินทั้งห้องและได้ยินชัดรวมไปถึงอาจารย์หน้าห้องด้วย หลังจากที่ความโกรธหายไปสิ่งที่มาแทนคือความฉิบหายที่กำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้ เมื่ออาจารย์หนุ่มหยุดการบรรยายในทันทีที่มีนักเรียนในห้องบอกว่าหุบปาก เขาปิดหนังสือเล่มโตบนโต๊ะหน้าห้องก่อนจะกอดอก มองนักเรียนใหม่ที่ดูท่าทางแล้วจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง
    เสียงระฆังดังขึ้นบอกเวลาเลิกเรียนพอดี นักเรียนแต่ละคนรีบลุกขึ้นหนีบรรยากาศที่โคตรจะน่ากลัวในตอนนี้เพราะที่นี่ไม่ต้องบอกทำความเคารพเหมือนโรงเรียนมนุษย์และที่นี่ก็ไม่มีห้องโฮมรูมหรืออะไรพวกนั้นทำให้นักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะลุกออกไปโดยไม่ได้แคร์สายตาอาจารย์ที่ยืนจ้องเขม็งไปที่นักเรียนใหม่
    คยองซูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอทันทีที่เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ขายาว ๆ ของอาจารย์หนุ่มก้าวเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้าก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของคยองซูที่ได้แต่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเอง
    "คุณคยองซู"
    "คะ--ครับ"
    "พบผมที่ห้องทำงานด้วย"

    คยองซูยืนกุมข้อมือตัวเองอยู่หน้าอาจารย์หนุ่ม หลังจากที่ออกจากห้องเรียนเขาก็ไม่เจอคิมจงอินต้นเหตุความย่ำแย่ที่ได้เกิดขึ้นกับเขา อาจารย์หนุ่มยังคงขีดเขียนอะไรสักอย่างบนกระดาษแผ่นใหญ่ เขาเริ่มเขียนตั้งแต่คยองซูก้าวเท้าเข้ามาที่นี่จนถึงเวลานี้ก็ผ่านมาเกือบจะสิบนาทีที่คยองซูต้องยืนอยู่เฉย ๆ หน้าโต๊ะของอาจารย์ ด้วยความว่างจัดนั้นทำให้สายตาของเขาสังเกตของแต่ละอย่างที่วางอยู่แต่ละที่ มันดูพิลึกที่อาจารย์แกมีพวกอุปกรณ์ทดลองและพวกเครื่องแก้วต่าง ๆ อยู่บนชั้นวางของทั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่เลยเพราะอาจารย์เขาสอนประวัติไม่ใช่หรือไง
    "..."
    "อาจารย์เรียกผมมาจะให้ผมทำอะไรหรือเปล่าครับ? " คยองซูตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยที่ต้องยืนเฉย ๆ มาเป็นเวลานาน
    "คุณเริ่มเมื่อยแล้วใช่มั้ย? " อาจารย์เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มองใบหน้าของนักเรียนตัวเล็กด้วยซ้ำ ดู ๆ แล้วเขาจะให้ความสนใจแก่งานบนโต๊ะมากกว่าเรื่องที่เรียกตัวนักเรียนมาพบ
    "เอ่อ...ครับ” คยองซูเอ่ยเสียงตะกุกตะกักและยืนนิ่งเสียยิ่งกว่ารูปปั่นหินที่อยู่แถวสวนดอกไม้ ที่ไม่ขยับไปไหนหรือพูดออกไปอย่างเต็มเสียงเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกใจอาจารย์ที่ดูท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ถูกใจหรือรำคาญและลุกมาบีบคอเขาให้ตายคามือไม่ก็โยนเขาลงมาจากชั้นหกของห้องหรืออะไรเทือก ๆ นั้น
    "คุณอยากจะอธิบายเรื่องในห้องที่เพิ่งจะผ่านมาเมื่อกี้มั้ย คุณโดคยองซู" เขาหยุดขีดเขียนลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ วางปากกาคอแร้งสีแดงสดลงบนโต๊ะก่อนจะประสานมือเข้าหากันไม่ลืมปรายตามองหน้านักเรียนตัวเล็กที่ทำท่าทางเหมือนลูกค้างคาววัยเตาะแตะที่พลัดหลงมาอยู่รังค้างคาวตัวอื่น
    "ผม...คือว่า...ไม่มีอะไรที่อยากอธิบายครับ" คยองซูก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองด้วยความรู้สึกประหม่า จะให้บอกได้ไงว่า ‘ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้นครับ ที่จริงคุยกับจงอินทางกระแสจิตแล้วโดนมันยั่วโมโหเลยพูดออกไปแบบไม่ได้คิด’
    อาจารย์หนุ่มดันแว่นขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปจับปากกาคอแร้งสีแดงขึ้นมาเหมือนเดิมและเริ่มเขียนงานบนโต๊ะอีกครั้ง
    "ไม่ว่าเหตุผลของการที่คุณพูดแบบนั้นออกมากลางห้องเรียนของผมจะเป็นอะไร แต่ยังไงซะสิ่งที่คุณพูดวันนี้ถือเป็นเรื่องเสียมารยาทสุด ๆ เพราะนอกจากคุณจะแอบส่งกระแสจิตเล่นกันกับคุณคิมจงอินแล้วคุณยังมาพูดดูหมิ่นอาจารย์ผู้สอนด้วย ผมจึงคิดว่าเราน่าจะหาบทลงโทษที่เหมาะสมกับคุณได้ไม่ยาก" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มก่อนจะยกกระดาษแผ่นใหญ่ที่ตัวเองเขียนขึ้นมาให้คยองซูได้เห็นด้วย
    “นี่คือใบลงทัณฑ์บนครั้งที่หนึ่งสำหรับคุณ”
    คยองซูแทบจะอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะโดดทัณฑ์บน ทั้งหมดมันก็เพราะจงอินล้วน ๆ ถ้าเขาโดนไล่ออกสิ่งแรกที่จะทำคือไปฆ่าหมอนั่นให้ตายเสียคามือ
    “คุณไม่ต้องกังวลไปเพราะทัณฑ์บนของโรงเรียนเราไม่ร้ายแรงมาก” อาจารย์หนุ่มดันแว่นขึ้นก่อนจะเก็บกระดาษแผ่นใหญ่ลงในลิ้นชักและไม่ลืมส่งยิ้มเยือกเย็นให้นักเรียน
    “…”
    “ทัณฑ์บนหนึ่งครั้งเท่ากับเรียนซ้ำชั้นสิบปี
    คยองซูหัวใจกระตุกวูบ ทำไมเขาแอบดีใจไปได้ที่อาจารย์บอกไม่ร้ายแรง ขอกลับคำพูดได้หรือเปล่าว่าโดนไล่ออกยังดีกว่าเรียนที่นี่ไปอีกสิบปี เขาลืมไปได้ยังไงว่าที่นี่มันโรงเรียนอะไรแล้วมีแต่พวกไว้ใจไม่ได้ พวกสัตว์เลือดเย็นมันไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
    “…”
    “แต่คุณไม่ต้องกลัวไป ผมจะปลดทัณฑ์บนให้คุณถ้าคุณทำตามที่ผมบอก”
    “อาจารย์จะให้ผมทำอะไรครับ?” คยองซูเอ่ยถามด้วยความรวดเร็วรู้สึกมีแสงแห่งความหวังแต่มันช่างริบหรี่เสียเกินที่จะยื้อเอาไว้ได้ในความมืดมิดที่มีทั้งความเหน็บหนาวและสายลมโหมกระหน่ำพัดอย่างรุนแรง
    “ในทุกการสอบผมอยากเห็นคุณคะแนนไม่ต่ำกว่าเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์”
    นั่นไง ริบหรี่เสียเกินที่จะยื้อจริง ๆ ด้วย
    คยองซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสมองประมวลผลสิ่งที่จะตามมาถ้าหากเขายังติดทัณฑ์บนและพ่อกับปู่รู้เรื่องเข้าจะเป็นยังไง
    “ว่าไงล่ะคุณโดคยองซู แค่ได้ฟังก็ยอมแพ้แล้วหรือไง นี่แหละนะพวกมนุษย์เพราะว่าคิดว่ามันทำไม่ได้เลยยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่เสียแรง แต่รู้อะไรมั้ยสำหรับพวกแวมไพร์น่ะไม่มีคำว่าไม่ได้”
    คำพูดนั่นไม่ต่างจากคำที่คนอื่นพูดดูถูกและทิ่มแทงจิตใจของเขา มันผิดมากสินะที่เป็นมนุษย์หรือมันผิดที่เขาดันมีเชื้อสายเลือดแวมไพร์ เขาไม่ควรเกิดมาแต่แรกอยู่แล้วน่าจะตาย ๆ ไปซะอย่างน้อยแม่ของเขาที่เป็นมนุษย์จะได้มีใช้เวลาที่เหลือมองดูความสวยงามของโลกใบนี้โดยไม่มีเรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยว
    “…”
    “ถ้าคุณทำไม่ได้ผมก็จะได้ไม่ต้องเตรียมปลดทัณฑ์บน คุณก็แค่เรียนไปอีกสิบปีเองดูง่ายกว่าสอบวิชาน่าเบื่อแบบนี้ให้ได้เกือบเต็มใช่มั้ยล่ะ?”
    อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงร่า ดูมีความสุขที่ได้เหยียบย่ำความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งคยองซูก็เข้าใจจุดนี้ดี จุดที่ยังไงเลือดแท้ก็เหมือน ๆ กันหมด
    “ผมจะทำครับ” คยองซูพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะเงยหน้าสบสายตากับดวงตาที่มีในตาสีแดงก่ำเล็กน้อย
    อาจารย์ผู้สอนยกยิ้มอย่างชอบใจก่อนจะพยักหน้าเป็นอันว่าตกลง
    “ผมจะรอดูความพยายามของมนุษย์ตัวน้อยแบบคุณแล้วกันนะ หวังว่ามันจะทำให้ผมประทับใจ”





    คยองซูเดินกลับมาที่ห้องด้วยความโกรธสุด ๆ เขาไม่พร้อมที่จะทักทายใครทั้งนั้นแม้กระทั่งเป็นชานยอลเพื่อนสนิทเลือดครึ่งของเขาก็ตาม
    ปั้ง!
    สิ่งที่ช่วยบรรเทาความโกรธได้ก็คงเป็นการใช้กำลังกับค่าของที่ดู ๆ แล้วแข็งแรงกว่าตัวของเขาสิบเท่า คยองซูปิดประตูเสียงดังอย่างไม่แคร์ว่าห้องข้าง ๆ จะเปิดประตูมาด่าทอเขาหรืออะไรทั้งนั้น เขาทอดสายตาไปยังเตียงตรงข้ามของตัวเอง เตียงของจงอินยังคงว่างเปล่าเหมือนอย่างเคย มันทำให้เขานึกอยากจะจุดไฟใส่เตียงนั่นดังใจคิด
    พรึบ!
    ไฟเริ่มลุกไหม้ที่เตียงของจงอินอย่างที่คยองซูนึกคิด ตอนแรกตกใจที่สามารถทำแบบนี้ได้แต่ก็พอใจที่ไฟยังคงลุกไหม้เตียงของอีกฝ่ายและเขาก็ไม่คิดจะดับไฟด้วย ต่อไปในคาบเรียนเขาก็ไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องจุดไฟแล้วล่ะ
    คยองซูยืนมองภาพนั้นอยู่สักพักก่อนที่เจ้าของเตียงจะเปิดประตูห้องเข้ามาเจอว่าเตียงนอนของตัวเองกำลังมอดไหม้ไปกับเพลิงไฟที่ลุกโหมอย่างรุนแรง
    “เฮ้ย! นายทำเหรอคยองซู!!” จงอินที่ตั้งสติได้รีบใช้เวทน้ำดับไฟโดยเร็ว ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูสภาพเตียงตัวเองใกล้ ๆ ด้วยความตกใจ
    คยองซูไม่ได้ตอบคำถามของคิมจงอินที่มองเขาด้วยสายตาดุ ๆ แขนเล็กอุ้มหนังสือวิชาประวัติและเตรียมจะเดินออกไปจากห้องเพื่อไปหาที่อ่านหนังสือที่ลมปลอดโปร่งเพราะที่ห้องนี้มันมีกลิ่นไหม้คละคลุ้งอยู่เต็มไปหมด
    จงอินที่เห็นท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ของร่างเล็กแล้วยิ่งเหมือนจะฟิวขาด เขารู้ว่าคยองซูเป็นคนเดียวที่ทำได้เพราะว่าอยู่ ๆ ไฟมันจะไหม้ขึ้นมาได้ไงกันละถ้าไม่มีคนจุด
    คยองซูถูกมือใหญ่คว้าเข้าที่แขนในขณะที่กำลังจะเปิดประตูออกไป จงอินดันประตูปิดก่อนจะลงกลอนด้วยความรวดเร็วและผลักคยองซูไปติดประตูอย่างแรง หนังสือเล่มโตหลุดออกจากอ้อมแขนเล็กก่อนจะปลิวตกไปที่พื้น ใบหน้าของร่างเล็กนั่นแสดงสีหน้าว่าดูตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายมากพอสมควรก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุดและสบตากับร่างสูงที่ทำท่าทางเสียมารยาทใส่เขาอยู่
    “นายทำอะไรของนาย?” คยองซูเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา จงอินยังคงใช้มือดันไหล่ของเขาให้ติดกับประตูนั่นเลยทำให้ไปไหนไม่ได้
    “ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย เผาเตียงฉันทำไม?” จงอินมองเรียวหน้าหวานที่ทำหน้าเหมือนว่าไม่รู้ไม่ชี้เหตุกับการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไหนจะส่งสายตาแข็งกร้าวมาให้เขาอีก
    “ฉันเนี่ยนะเผาเตียงนาย นายแน่ใจแล้วเหรอ?” คยองซูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่อีกฝ่าย
    “ก็ถ้าไม่ใช่นายแล้วใครจะทำ?”
    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ห้องที่นี้ไม่มีไฟแช็กหรือไม้ขีดไฟสักหน่อย ลำพังมนุษย์อย่างฉันจะไปเผาเตียงนายได้ยังไงล่ะคิมจงอิน นายลืมเหรอว่ารูมเมทของนายเป็นมนุษย์” คยองซูเหยียดยิ้มให้อีกฝ่ายไม่ต่างจากคำพูดที่พูดเสียดสีเลยสักนิด
    “นี่ย้อนกันเหรอ?”
    “หรือไม่จริง?” คยองซูเอ่ยอีกรอบด้วยอารมณ์ที่พร้อมจะเผาทั้งห้องนี้ด้วยซ้ำถ้าไม่ติดที่ว่าเขากลัวจะโดนลงทัณฑ์บนอีกรอบ
    “นายโกรธเกลียดอะไรฉันนักเหรอ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้?” จงอินเอ่ยด้วยความสงสัย ตั้งแต่อยู่กับคยองซูมาไม่มีครั้งไหนที่เราจะพูดคุยกันดี ๆ หรือแสดงกิริยาท่าทางที่ดูเป็นมิตรต่อกันสักครั้ง
    “จะให้พูดตั้งแต่ที่เจอกันเลยเหรอว่าโกรธเกลียดอะไรนักหนา?” คยองซูใช้แขนผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัวเองด้วยแรงทั้งหมดจนตัวจงอินเซห่างออกไประยะหนึ่ง มือเล็กปัดเสื้อตัวเองราวกับว่ารังเกียจที่อีกฝ่ายมาสัมผัส
    “…” จงอินมองท่าทางของอีกฝ่ายก็ได้แต่คิดว่าเหลือเชื่อเลย คยองซูแสดงออกชัดมากกว่าเกลียดเขาและรังเกียจตีไล่มาพอ ๆ กันนี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง
    “ตั้งแต่ฉันมาที่นี่ครั้งแรกนะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ฉันโดนแวมไพร์เลือดแท้ดูถูกว่าฉันมนุษย์ง่อย ๆ ทำไมมาอยู่หอแท้ได้ โดนคำพูดแย่ ๆ ทำร้ายจิตใจ ฉันต้องไปงานวันเกิดของเพื่อนของเพื่อนอีกทีแล้วยังมีแวมไพร์เลือดแท้พยายามจะฉีกหน้าฉันต่อหน้าทุกคนในงาน ทำให้ฉันต้องดื่มเลือดที่น่าขยะแขยงเข้าไป ฉันไปเรียนก็ยังโดนแวมไพร์เลือดแท้ก่อกวนฉันและยังมาพูดจาแย่ ๆ ใส่ แถมล่าสุดฉันโดนทำทัณฑ์บนเพราะเผลอปากด่าแวมไพร์เลือดแท้กลางห้องเรียนเพราะถูกยั่วโมโหจนทนไม่ไหวและฉันจะต้องเรียนที่โรงเรียนเฮงซวยนี่ไปอีกสิบปีถ้าหากฉันแก้ทัณฑ์บนไม่ได้ และรู้อะไรมั้ย?”
    “…”
    “เรื่องทั้งหมดที่ว่ามามันก็เพราะคนเฮงซวยอย่างนายคิมจงอิน” ร่างเล็กเหยียดยิ้มอีกคราวเหมือนกับว่ารู้สึกมีความสุขในคำพูดของตัวเองที่ได้พูดว่าร้ายอีกฝ่ายแต่เปล่าเลยแววตาของคยองซูกำลังรู้สึกเป็นทุกข์สุด ๆ อย่างที่คนอื่นบอก เขาก็แค่คนที่เกือบจะเป็นมนุษย์ เขาจะไปสู้อะไรพวกแวมไพร์ได้
    จงอินไม่เคยรู้สึกโมโหเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขากัดกรามข่มอารมณ์พยายามที่จะไม่พุ่งเข้าไปทำร้ายคนตรงหน้าเพียงเพราะแรงอารมณ์
    จงอินก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็กก่อนจะใช้กระแสจิตให้คยองซูได้ดูภาพความทรงจำที่ผ่านมาเมื่อวานตอนที่คยองซูล้มไปในห้องน้ำจนมาถึงที่เขาช่วยพาร่างเล็กมาที่ห้องนอนเช็ดตัวให้และค่อยเฝ้าดูอยู่ตลอด
    “นายอาจจะลืมไปนะคยองซูฉันช่วยนายเอาไว้” จงอินพูดขึ้นในขณะที่ต่อกระแสจิตกับคยองซูก่อนที่อีกฝ่ายจะไม่ยอมดูสิ่งที่เขาอยากให้ดู
    “หึ นายคิดเหรอว่าสิ่งที่นายทำนั่นจะทำให้ฉันรู้สึกดี?” คยองซูหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองที่กำลังจะพังลงมาในไม่ช้า
    ขอร้องอย่าเพิ่งไหลตอนนี้เลยเขายังไม่อยากดูเป็นคนอ่อนแอต่อหน้าแวมไพร์ที่แข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่า
    “…”
    “ชานยอลเป็นคนช่วยฉันไว้ต่างหากและอีกอย่าง...ฉันไม่ต้องการความช่วยจากนาย”
    “…”
    “ต่อให้ตรงนั้นจะไม่มีใครเลยและมีแค่นายฉันก็ไม่ต้องการ ยินดีเสียอีกถ้านายจะไม่มายุ่งและปล่อยให้ฉันนอนตายอยู่ตรงนั้น” คยองซูพูดเสียงนิ่ง ๆ ก่อนจะก้มลงไปเก็บหนังสือเรียนที่ตกอยู่บนพื้น น้ำตาเม็ดเล็กไหลออกมาเพราะกลั้นความรู้สึกพัง ๆ ของตัวเองไม่ไหว ในตอนนี้เขาควรจะไปหาชานยอลที่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
    คยองซูกอดหนังสือไว้ในอ้อมแขนก่อนจะหันหลังให้คิมจงอิน ปลดกลอนประตูและผลักออกไปอย่างไม่ได้สนใจคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
    “ฉันจะยินดีมากกว่านี้ถ้าเราไม่รู้จักกันแต่แรก” คำพูดสุดท้ายหลุดออกมาจากปากคยองซู มันเบาหวิวแต่กลับชัดเจนในโสตประสาทการได้ยินของใครบางคน






    Are you bleeding?

    -100%-

    #ลูกเสี้ยวคซ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×