ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Mixed Blood 01
Mixed Blood 01
โรงเรียนเลือดผสม คือโรงเรียนของคนที่พิเศษ อย่างเช่นคนนั้นกินอาหารที่ไม่ใช่ข้าวแต่เป็นเลือดแทน และอีกคนกินได้ทั้งข้าวและเลือด เอาง่าย ๆ คือโรงเรียนที่มีแต่แวมไพร์อยู่และในขณะเดียวกันก็มีลูกครึ่งแวมไพร์อยู่เช่นกัน
โด คยองซู ลูกเสี้ยวแวมไพร์ แทนที่จะได้เสี้ยวมนุษย์แต่โชคชะตาเล่นตลก และที่ตลกไปกว่านั้นก็คือเขาต้องเข้าไปเรียนที่โรงเรียนที่มีแต่พวกตัวดูดเลือด เขาเลือกไม่ได้ว่าจะเรียนที่ไหนเพราะคนในตระกูลเขานั้นเรียนที่นี่กันมาตลอดชั่วอายุ
มนุษย์โลกมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องของพวกเราแต่เพราะมันน่ากลัวพวกเขาเลยไม่คิดที่จะยุ่งมากนัก เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่
ด้วยความเป็นมนุษย์สูงของโดคยองซู ทำให้ในการเรียนตอนแรก ๆ ได้ไปอยู่โรงเรียนมนุษย์ธรรมดา มีเพื่อนที่น่ารัก เลิกเรียนก็เดินไปกินแฮมเบอร์เกอร์สอบเสร็จก็ไปปาร์ตี้ แต่พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ความกระหายกับสัญชาตญาณของนักล่าก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ทำให้บางครั้งอาจพลั้งพลาดทำอะไรไม่ดีลงไป
ในเวลาสามทุ่ม รถคันหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาในเส้นทางถนนแคบ โดคยองซูกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นี่เขาต้องมาอยู่กับไอ้พวกตัวเย็นใช่มั้ย แน่นอนว่าเขาเกลียดแสนจะเกลียด เพราะมีเขาคนเดียวทั้งบ้านที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด ความกดดันจากครอบครัวทำให้เขาต้องหนีออกมาจากบ้าน แต่ไม่นานก็ถูกจับกลับเข้าบ้านและคนในครอบครัวก็บอกเขาว่า ‘แกต้องย้ายโรงเรียนได้แล้วคยองซู’
“เรียนจบจะมารับกลับบ้านนะ” ผู้เป็นพ่อพูดติดตลกก่อนจะมองลูกชายที่ทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคน
“ต้องเรียนอีกกี่ร้อยปีล่ะถึงจะจบ? ” คยองซูมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแต่ป่าทึบ มันดูน่ากลัว แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะได้ไม่มีมนุษย์เป็น ๆ เดินหลงเข้ามา
“อยู่ที่นี่ต้องปรับตัว”
“ผมรู้”
ทันทีที่รถหยุดรถนั่นก็คือ สัญญาณว่าถึงที่หมาย คยองซูมองไปยังโรงเรียนที่เป็นปราสาทหินสวยงาม มีไฟระดับเอาไว้ให้แสดงสว่างมากมาย
ร่างเล็กไม่ได้กล่าวอำลาผู้เป็นพ่อเพราะว่าเขาไม่ได้มาตายไม่จำเป็นต้องล่ำลาอะไรให้มากความ สองขาเล็ก ๆ ทอดน่องเดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าจะเงียบและไม่มีใครอยู่เลยก็ตาม
“ดูเหมือนว่าโดคยองซูจะมาถึงแล้วสิ” เสียงหวานพูดเบา ๆ แต่มันกับดังเขาโสตประสาทของคยองซูอย่างชัดเจน หญิงสาววัยกลางคนเดินออกมาจากทางเดินก่อนจะส่งยิ้มหวานให้นักเรียนคนใหม่อย่างใจดี
“...”
“ฉันว่าเธอคงยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไปทางไหน งั้นฉันจะพาเธอไปเอง” เธอเดินนำไปซึ่งคยองซูก็ไม่ได้แปลกใจที่ตัวเองจะเดินตามอีกคนไปอย่างว่าง่ายเพราะว่าเขาเห็นป้ายคำว่าอาจารย์ใหญ่ที่อกซ้ายของเธอเต็มตา
“เธออยู่หอเอชั้นที่แปดห้องแปด”
“ครับ”
“เราขออภัยในความไม่สะดวกที่โรงเรียนเรามีสี่หอ เอกับบีคือหอเลือดแท้ ซีกับดีคือหอเลือดผสม การคัดของหอเรียงจากเปอร์เซ็นต์ความแท้ของเลือดแต่เธอเป็นกรณีพิเศษเพราะหอสำหรับพวกเลือดผสมเต็มหมดแล้ว เธอเลยได้หอเอไปคงจะอึดอัดหน่อยแต่ก็คงทนได้”
“...”
“เพราะพวกเขาคงไม่ได้รู้สึกอยากจะกินเลือดของพวกเดียวกันนักหรอก”
คำพูดของเธอทำเอาคยองซูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเลยทีเดียว เธอจะรู้มั้ยว่าเลือดเขาผสมสัดส่วนได้ไม่เท่ากันและที่แย่ไปกว่านั้นคือการเป็นมนุษย์ถึงตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์
“เอ่อ… แต่คุณรู้มั้ยครับว่า เลือดผมมันผสมไม่เท่ากัน ออกไปทางที่ค่อนข้างแย่”
“ยังไงล่ะที่เธอว่าค่อนข้างแย่? ” เธอหันมาเลิกคิ้วให้นักเรียนตัวน้อยที่ดูมีสีหน้ากังวลได้อย่างชัดเจน
“ผมมีความเป็นมนุษย์แปดสิบเปอร์เซ็นต์”
คำพูดของร่างเล็กทำเอาเธอต้องหยุดเดินไปชั่วครู่ก่อนจะเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่เลย”
“...”
“เพราะฉันได้กลิ่นเธอแรงตั้งแต่อยู่บนรถ”
“...”
“แถมมันยังหอมด้วย”
เธอพานักเรียนใหม่มาส่งถึงหน้าห้องพักเพราะกลัวว่านักเรียนตัวน้อยคนนี้จะเดินไปเรื่อยเปื่อยและก็อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่โรงเรียน เธอกระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกความสนใจจากนักเรียนใหม่ให้เลิกสนใจข้างกายแล้วหันมาสนใจเธอเสียทีก่อนจะยืนอธิบายอะไรต่าง ๆ นานาที่เป็นกฎของที่นี่ให้ฟัง
“จากที่ได้ยินมาเหมือนกับว่าเธอเคยอยู่โรงเรียนมนุษย์มาก่อน ฉันเลยคิดว่าเธอต้องปรับเปลี่ยนเรื่องการนอน เพราะคาบเรียนแรกของที่นี่เริ่มเวลาเที่ยงคืนตรงและจะยาวไปถึงหกโมงเช้า หลังจากนั้นคือเวลาพักผ่อน”
“...”
“เรามีกฎห้ามนักเรียนหอเอและบีหรือเรียกอีกอย่างว่านักเรียนเลือดแท้ไม่ให้ออกมารับแสงอาทิตย์หลังจากเวลาแปดโมงเป็นต้นแต่เธอคงเป็นข้อยกเว้นในส่วนนั้น”
“...”
“นี่คือสเปรย์ดับกลิ่นตัวเธอ หวังว่าเธอจะใช้มันในทุก ๆ ครั้งที่ต้องออกไปพบปะกับนักเรียนคนอื่นเพราะเราก็ไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในรั้วโรงเรียน”
“...”
“และสุดท้ายที่สำคัญ นักเรียนส่วนใหญ่ดื่มเลือดแม้จะมีอาหารมนุษย์ให้เธอแต่ฉันก็คิดว่าเธอก็ควรลองดู ขอให้สนุกในรั้วโรงเรียน”
คยองซูกำลังจะบ้าตาย เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องเขาตามทางเดินแม้มันจะไม่มีใครเลยก็ตามเถอะ
ร่างเล็กหยิบสเปรย์มาฉีดทันทีไม่ให้รอช้าก่อนจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าและเคาะประตูข้างหน้าอย่างเบามือและยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องบานใหญ่ 'ห้องหมายเลข 88'
ก๊อก ๆ ๆ
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เขาจึงค่อย ๆ ดันประตูเข้าอย่างช้า ๆ ประตูไม่ได้ล็อกเขาจึงผลักเข้าไปเสียเลยก่อนจะค่อย ๆ ปิดมันอย่างเบามือ
ห้องกว้าง มีสองเตียงและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทำให้คยองซูรู้ได้เลยว่าเขาน่าจะมีรูมเมทซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน
“นั้นใครน่ะ? ” คยองซูเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างผ้าม่านสีเข้ม แม้เขาจะมีความเป็นมนุษย์สูงแต่เขามีสัญชาตญาณนักล่าอยู่เหมือน ๆ กับแวมไพร์ตัวอื่น
ไอเย็นที่ปะทะเข้าข้างหลังคือคำตอบว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวที่นี่ ขาของเขาถึงกับก้าวไม่ออกเมื่อเห็นเงาผ่านกระจกว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลัง
“ฉันต่างหากมั้ยที่ต้องถามว่านายเป็นใคร? ”
คยองซูยืนนิ่งไม่กล้าตอบไม่กล้าขยับตัวตอนนี้เขารู้สึกขาเป็นตะคริวแล้วเพราะเกร็งไปทั้งตัว
“เลิกแกล้งเขาได้แล้วเซฮุน ฉันได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นแรงจนจะเป็นจังหวะอีดีเอ็มอยู่แล้ว”
เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นพร้อมกับไฟที่เปิดสว่างทุกดวงในห้องทำให้คยองซูถึงกับหยีตาก่อนจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ ก็มันน่าแกล้งนี่”
“เลวมาก กี่ร้อยวันพันปีก็เลว”
คยองซูยืนมองทั้งสองที่ยืนเถียงกันก่อนที่จะถูกสายตาทั้งสองจ้องมองกลับมาในเวลาต่อมา
“เอ่อ…”
“แนะนำตัวกันหน่อย ฉันชื่อแบคฮยอนนะส่วนไอ้นี่ชื่อเซฮุน ขอโทษด้วยที่แกล้งนายเมื่อกี้” ผู้ชายหน้าตาน่ารักยิ้มแย้มให้เขาอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อจับทักทายกับนักเรียนใหม่
“เอ่อ! ฉันคยองซู ยินดีที่ได้รู้จัก” คยองซูถึงกับสะดุ้งทันทีที่ได้สัมผัสมือที่เย็นชืดของอีกฝ่าย
“โอ้โหตัวอุ่นเชียว ฉันเพิ่งจะได้จับตัวนักเรียนที่อุ่นขนาดนี้ครั้งแรก” แบคฮยอนยิ้มให้เพื่อลดความกังวลให้กับนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะจับมือกับเขาแล้วสะดุ้งจนเขาเองก็ตกใจไปด้วย
“พวกนายอยู่ห้องนี้งั้นเหรอ? ”
“เปล่าหรอก แต่เจ้าของห้องมันไปกินขนมน่ะแล้วพวกฉันเข้ามาตอนนายเปิดประตูมาพอดี” เซฮุนพูดก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้คยองซูที่ยังดูงง ๆ อยู่
“…”
“เอาล่ะ พอดีเลยอีกไม่กี่ชั่วโมงจะเริ่มเรียนฉันว่านายเตรียมตัวดีมั้ย? ” แบคฮยอนพูดพร้อมกับเปิดผ้าม่านดูสถานการณ์ข้างนอกว่าเป็นยังไง
“เอ่อ…ก็ดี”
“งั้นนายไปแต่งตัวเพราะเราจะไปพร้อมกัน เดี๋ยวพวกฉันจะนั่งรอ”
คยองซูพยักหน้าหงึก ๆ เข้าใจ เขาไม่ค่อยอยากจะเดินออกไปคนเดียวในเวลาเที่ยงคืนหรอก แถมยังมีพวกเลือดแท้อยู่มากมายขนาดนี้ยิ่งน่ากลัว
ไม่นานเกินรอคยองซูก็ออกมาจากห้องน้ำ เครื่องแบบสีแดงสดปกสีดำดู ๆ แล้วเหมาะกับคยองซูดีเพราะมันตัดกับสีผิวขาวที่มีเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่เหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ที่ขาวซีด
“แล้วสมุดหนังสือต้องเอาไปมั้ย?”
“ไม่จำเป็นเพราะมันมีอยู่ใต้โต๊ะอยู่แล้ว” เซฮุนตอบก่อนจะลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าคยองซูให้เรียบร้อย
“แล้วเรียนอะไรยังไง?”
“ไปถึงนายจะรู้เอง เอามือมานี่” แบคฮยอนพูดพร้อมดึงมือคยองซูมาจับเอาไว้
และเป็นอีกครั้งที่คยองซูรู้สึกขนลุกเพราะมือของแบคฮยอนที่เย็นเหมือนเอาไปแช่น้ำแข็งมา
“ทำอะไรน่ะ? ” คยองซูเอ่ยถามเซฮุนที่จับเข้ากับมืออีกข้างของเขา
“พานายไปถึงแบบเร็ว ๆ ไงล่ะ ประมาณสองวิ”
“เฮ้ย! ”
เหมือนกับโลกหมุนเมื่อเพียงแค่สองกะพริบตาคยองซูก็อยู่ตรงโถงทางเดินที่มีนักเรียนมากมายอยู่ คยองซูกะพริบตาถี่ ๆ เพราะความเบลอ อาการมันคล้าย ๆ กับคนเมายาสลบไม่มีผิดเพี้ยนแต่ดีกว่าอยู่ประมาณสิบเต็มร้อย
“เร็วทันใจใช่มั้ยล่ะ? ” เซฮุนพูดก่อนจะปัดปกเสื้อน้อย ๆ และเสยผมไปข้างหลัง
“ที่นี่เป็นโถงทางเดินใหญ่ จะมีนักเรียนเยอะแยะปน ๆ กันถ้าไม่อยากมีเรื่องก็ระวังตัวเองเอาไว้” แบคฮยอนพูดก่อนจะเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ เสาและคยองซูกับเซฮุนก็เดินตามไปติด ๆ
“ทำไมคนอื่นมองฉันกันล่ะ? ” คยองซูดูเป็นเด็กขี้สงสัย เพราะว่าตั้งแต่มาที่นี่ก็มีแต่คำถามหลุดออกมาจากปากเล็ก ๆ นั้นตลอดเวลา
“ก็กลิ่นนายไงถามได้”
“…” นี่ขนาดเขาฉีดสเปรย์ดับกลิ่นแล้วนะ....
“แล้วก็ใคร ๆ ก็รู้ว่าจะมีนักเรียนที่มีเลือดมนุษย์แปดสิบเปอร์เซ็นต์มาเรียนด้วย อดตื่นเต้นไม่ได้” แบคฮยอนขยับคอเสื้อเล็กน้อยก่อนจะกลืนน้ำลายเสียงดังจนคยองซูได้ยินเสียงแล้วก็อดเสียวคอไม่ได้
“นี่เหรอ นักเรียนใหม่ที่เขาลือกันให้แซดว่าเป็นมนุษย์”
คยองซูหันไปหา สาวสวยผมทองที่ยืนจ้องเขาไม่วางตา คยองซูเห็นว่าเธอยิ้มนิด ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้าง ๆ เขา
“พวกนายจะเก็บไว้กินเองหรือไง? ” เธอพูดพร้อมพิจารณาเด็กใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กใหม่ที่ร่างกายอุ่นเสียจนทุกคนรอบกายรู้สึกได้
“เลิกเอาพวกฉันไปเป็นส่วนประกอบความคิดแย่ ๆ ของเธอสักทีเถอะจีอึน” แบคฮยอนพูดสวนกลับ ดูเหมือนสาวผมทองจะไม่พอใจเอามาก ๆ
“ก็นะ เห็นท่าทางดูหวง ๆ แต่ถ้าไม่หวงแสดงว่าก็แบ่งให้คนอื่นได้”
“ถ้าเธอหิวมากก็ไปที่โรงอาหารสิ อย่ามายืนน้ำลายหกอยู่ตรงนี้มันน่าเกลียด” เซฮุนพูดใส่เธออย่างเย็นชา เธอทำสีหน้าไม่พอใจก่อนจะสะบัดผมใส่พวกเขาทั้งสามและเดินไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือตัวอย่างของคนที่จะมาหาเรื่องนาย ระวังตัวไว้เพราะฉันคงไม่ได้อยู่ด้วยตลอด” แบคฮยอนถอนหายใจเสียงดัง
คยองซูสังเกตเห็นสีตาของแบคฮยอนมันเปลี่ยนไป มันกำลังเป็นสีแดงซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรแต่ดูท่าทางตอนนี้แล้วแบคฮยอนกำลังหงุดหงิดเป็นแน่
“เฮ้ย ๆ แบคฮยอน นายอดอีกแล้วใช่มั้ย?” เซฮุนที่เพิ่งจะได้มองหน้าร่างโปร่งข้างกายก็ต้องเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่พอใจพลางทำหน้าดุแบคฮยอนเล็กน้อยก่อนจะจับแขนเล็กเอาไว้
“เอ่อ…” แบคฮยอนทำหน้าเฉไฉไม่รู้เรื่องแต่แววตานั้นไม่เคยโกหกใครบนโลกใบนี้ได้อยู่แล้ว ถ้าเชื่อแบคฮยอนก็โง่แล้วล่ะ
“ไม่ต้องมาแก้ตัว หิวก็กินสินายจะอดทำไมเดี๋ยวก็เป็นบ้าหรอก อยากตายหรือไง? ”
คยองซูกำลังยืนดูสถานการณ์อยู่ก็ทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามเพราะบรรยากาศที่ดูแปลกไปทันตาเห็นของพวกเราทั้งสาม
“ฉันแค่…”
“ไปกิน ฉันจะพาไป…คยองซูก็ไปด้วยกันสิ อีกครึ่งชั่วโมงถึงเริ่มเรียน” เซฮุนจับมือของแบคฮยอนไปก่อนจะยื่นมาจับคยองซู ร่างเล็กไม่ปฏิเสธอยู่แล้วแม้เขาไม่รู้ตอนนี้กำลังจะไปไหนก็ตาม
เพียงพริบตาเดียวพวกเราทั้งสามก็มาถึงโรงอาหาร คยองซูคิดว่าอย่างนั้นนะ เซฮุนพาแบคฮยอนไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพูดคุยอะไรสักอย่างและเดินเข้าไปข้างในซึ่งคยองซูก็เดินตามไปติด ๆ
“พยอนแบคฮยอน พยอนแบคฮยอน เจอแล้ว! เขาอดมาเกือบอาทิตย์แล้วล่ะ” สาวร่างท้วมอ่านอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแบคฮยอนในกระดาษ เซฮุนส่งสายตาคาดโทษให้แบคฮยอนที่กำลังมองต่ำอย่างรู้สึกผิด
“งั้นไปกินเลย ไม่ต้องเลือกคนยุ่งยาก” เซฮุนจับแขนแบคฮยอนลากไปที่เตียงที่มาผ้าม่านกั้นเต็มไปหมด คยองซูเองก็เดินตามมาดูด้วยเช่นกัน
“งั้นก็คงเป็นคุณเฟรดดี้ จะได้พลังงานเยอะ ๆ อิ่มไปอีกนานแน่นอน”
คยองซูเห็นและรู้เรียบร้อยว่าโรงอาหารเป็นแบบไหน มันคือการมาดื่มเลือดจากถุงเลือดที่แขวนอยู่กับเสา
“นายจะเอาด้วยมั้ยคยองซู? ” เซฮุนหันมาถามคยองซูที่กำลังทำหน้าอึ้งสุดชีวิตแม้สีหน้าจะนิ่งแต่แววตาคยองซูนี่มองจากพลูโตก็รู้แล้วว่ารู้สึกยังไง
“ขอผ่าน ฉันไปรอข้างนอกนะ”
คยองซูเดินออกมาด้วยท่าทางพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก เขารู้สึกไม่ดีที่เห็นแบคฮยอนดูดเลือดพวกนั้นเข้าปากผ่านทางสายยาง ท่าทางเหมือนกำลังดื่มน้ำหวานอร่อย
ขอบคุณที่โรงอาหารมีอาหารที่เป็นข้าวให้คยองซูได้กิน เขาไปตักสปาเกตตีที่ดูน่ากินมาหนึ่งจานก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะที่ว่างแถวนั้น
“นายต้องไม่เชื่อฉันแน่ ๆ ว่ามันรสชาติแย่มาก” นักเรียนตัวสูงพูดขึ้นเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ตรงข้ามคยองซู เขายิ้มเชิงว่าขออนุญาตนั่งลงก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงที่ตรงข้ามคยองซู
“หน้าตามันดูน่ากินนะ” คยองซูเขี่ยเส้นร้อนในจานดู หน้าตาก็ไม่ได้เลวร้ายแต่รสชาติก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
“นายเคยได้ยินคำว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอมมั้ยล่ะ? แต่ถ้านายไม่เชื่อก็ลองชิมมันดูก็ได้” เขาพูดทิ้งท้ายชักชวนให้ชิมและคยองซูก็ไม่รอช้าที่จะชิมมัน
“โอ้โห แย่กว่าที่คิดไว้เยอะ” คยองซูปล่อยช้อนลงไปในจานก่อนจะผลักมันไปไกล ๆ รสชาติที่ออกด่าง ๆ เค็ม ๆ แปลก ๆ แค่พูดถึงเขาก็รู้สึกจะอ้วก
“เห็นมั้ยบอกแล้ว ที่นี่สิ่งที่นายกินแล้วรสชาติจะไม่แย่ก็คือหนึ่งผลไม้ สองเลือด” เขาหยิบแอปเปิลออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะยื่นให้ร่างเล็กที่ยิ้มตอบรับเล็กน้อย
คยองซูรับแอปเปิลจากอีกฝ่ายมาและไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเชิญชวนให้เขากินมัน ซึ่งถึงไม่บอกให้กินยังไงเขาก็กินมันแน่ ๆ อยู่แล้วเพราะเขากำลังรู้สึกหิว ชนิดที่ว่ามาก
“รสชาติดีเป็นบ้า หวานโคตร ๆ” ทันทีที่กัดไปคำแรกก็ค้นบนว่าเหมือนอมน้ำตาลก้อนดี ๆ นี่เอง เนื้อผลไม้ก็สุดยอดไปเลย บางทีเขาอาจจะกินเจ้านี่ไปจนจบการศึกษาก็ได้
“บอกแล้ว”
เราทั้งสองยิ้มให้กันเหมือนคนถูกชะตาอย่างไงอย่างงั้น คยองซูกัดแอปเปิลไปอีกคำก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาข้างหน้าเขาเหมือนต้องการผูกสัมพันธ์มิตรภาพของพวกเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“ฉันปาร์ค ชานยอลยินดีที่ได้รู้จัก”
“โด คยองซู” ร่างเล็กยื่นมือไปสัมผัสกับมือใหญ่ก็ต้องประหลาดใจไปอีกขั้นเมื่อมันไม่ได้เย็นขนาดนั้นทางกลับกันออกไปทางอุ่นเล็กน้อย
“มือนายอุ่น? ”
“ประหลาดใจล่ะสิ ดูเหมือนนายยังจะแยกไม่ออกระหว่างเลือดผสมกับเลือดแท้สินะ” ชานยอลปล่อยมือเล็กก่อนจะชี้เข้าที่ปกเสื้อตัวเอง
“ถ้าเป็นเลือดผสมปกเสื้อจะดำ แต่ถ้าเลือดแท้ปกเสื้อจะเป็นสีขาว”
คำอธิบายของชานยอลทำเอาคยองซูเข้าใจแจ่มแจ้งทันที เพราะเขากำลังจะถามแบคฮยอนกับเซฮุนอยู่แล้วเชียวเรื่องเครื่องแบบที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
“อ๋อ…อย่างนี้นี่เอง” คยองซูพยักหน้าเข้าใจ
“นายว่าตัวฉันอุ่นแล้ว ตัวนายอุ่นกว่าฉันอีก”
“เลือดมนุษย์ฉันเยอะ” คยองซูตอบก่อนจะกัดแอปเปิลไปอีกคำโต
“ฉันห้าสิบห้าสิบ”
“งั้นนายก็เป็นพวกครึ่งเลือดน่ะสิ เยี่ยมสุด ๆ ฉันแปดสิบยี่สิบแล้วไอ้ที่แปดสิบดันเป็นเลือดมนุษย์” คยองซูพูดพลางเคี้ยวแอปเปิลไปด้วยอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าเลือดมนุษย์เก้าสิบอะไรทำนองนั้น
“ถ้าฉันเป็นนายฉันจะไม่มาที่นี่” ชานยอลพูดพร้อมมองคยองซูไม่วางตา
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องอยู่ให้รอดจนเรียนจบจริงมั้ย? ”
ชานยอลหัวเราะร่ากับคำพูดของร่างเล็กตรงหน้า คยองซูยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นสีในตาของร่างสูงที่เริ่มมีสีแดงอ่อน ๆ มาปน
“ตานายเริ่มแดงแล้วนะ อย่างงี้แสดงว่าหิวหรือเปล่า? ” คยองซูชี้ไปที่หน้าของชานยอลก่อนที่ชานยอลจะทำเหมือนว่าตกใจแล้วแสดงท่าทางโก๊ะ ๆ ออกมา
“เอ่อ...ใช่ แย่จังเลยนะ” ชานยอลกะพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะยิ้มแหยง ๆ ให้กับคยองซู
“แล้วนายกินอะไร?”
“ถ้ามาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นเลือดน่ะ แล้วนายล่ะกินเลือดมั้ย? ”
“ไม่คิดที่จะกิน” แม้คยองซูจะมีเขี้ยวและมีความกระหายเหมือนคนอื่น ๆ แต่เขาไม่คิดที่จะเอามันไปฝังลงบนผิวหนังใครแน่นอน
“มันไม่ได้แย่นะ นายน่าจะลองดูอร่อยกว่าสปาเกตตีนี่สิบล้านเท่าฉันยืนยันได้เลย”
“ฉันยอมกินสปาเกตตีจานนี้ดีกว่าเลือด”
ชานยอลยกมือยอมแพ้กับความคิดของคยองซูก่อนที่ร่างสูงจะขอตัวไปกินอาหารหรือเรียกง่าย ๆ ว่าไปดื่มเลือดจากถุง ในขณะเดียวกันแบคฮยอนกับเซฮุนก็เดินสวนออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“เราไปเข้าเรียนกันดีมั้ย? ” เซฮุนเอ่ยชวนคยองซูที่นั่งกินแอปเปิลอยู่อย่างอารมณ์ดีก่อนจะยื่นมือออกมาเพื่อที่เราจะได้ไปที่ห้องเรียนแบบเร็ว ๆ
“ก็ดี” คยองซูรู้ว่าถ้าจับมือของเซฮุนพวกเราจะหายตัวไปที่ไหนสักที่และเขาก็จับในทันทีเพราะขี้เกียจเดินไป ที่นี่กว้างจะตายกว่าจะเดินไปถึงแต่ละที่แต่ละที่นี่ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลยล่ะ อีกอย่างคยองซูไม่มีเหตุผลที่จะต้องเดินทางไปมาในระยะทางไกล ๆ ด้วย เหนื่อยเปล่า
พวกเรามาโผล่ที่ห้องเรียนก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก แบคฮยอนส่งกระดาษตารางเรียนมาให้คยองซูก่อนจะขอตัวไปเข้าเรียนคลาสของตัวเองที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมง
มันคือวิชาที่คยองซูไม่คิดว่าจะได้เรียน วิชาประวัติศาสตร์โลก ชีวะใต้ทะเล ทฤษฎีเวทเคลื่อนที่ การใช้ไฟและควบคุมลม ต่อสู้พื้นฐาน ทฤษฎีมนุษย์พื้นฐาน เฮ้ย! เรียนไปทำไมวะ
เขารู้ว่าเรื่องเวทพวกเราทำได้เป็นปกติเพราะที่บ้านเองก็ทำกันปกติอยู่แล้วแต่เขาไม่เคยทำเลยสักครั้งในชีวิต
วิชาแรกในเวลาเที่ยงคืนคือวิชาการใช้ไฟและควบคุมลม คยองซูเดินหน้าซีดเข้าไปในห้องและนั่งลงที่ว่างที่มีอยู่แล้ว บรรยากาศในห้องก็เหมือนโรงเรียนมัธยมของคนทั่ว ๆ ไปต่างกันแค่ผิวซีด ๆ และท่าทางที่ดูไม่มีชีวิตแค่นั้นแหละ
คยองซูจะไม่กังวลแม้แต่น้อยหากว่าในห้องนี้พวกเลือดแท้จะมีน้อยกว่านี้ แต่เปล่าเลยพวกเลือดแท้มีเกินครึ่งห้องที่เหลือคือพวกเลือดผสมมีประปราย
“นี่เด็กใหม่ใช่มั้ย? ” เธอคนที่นั่งข้างหน้าหันมายิ้มให้และจับมือของคยองซูที่วางอยู่บนโต๊ะเขย่าไปมาด้วยความดีใจ
“ห้องเราจะได้มีเลือดผสมเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วดีจังเลย”
คยองซูสะดุ้งแรงเพราะมือของเธอเย็นเฉียบจนเขากลัว เพื่อน ๆ แต่ละคนต่างมองเขาตาเป็นมันก่อนที่อาจารย์ประจำวิชาจะเดินเข้ามา
“เอาล่ะ ๆ เงียบกันที ทุกคนคงรู้แล้วว่าเรามีนักเรียนเลือดผสมเข้ามาเพิ่มในเทอมนี้ ขอให้ทุกคนดูแลเพื่อนใหม่ด้วย หยิบหนังสือออกมาจากใต้โต๊ะประทับตราและเปิดไปที่หน้าสิบสอง” เธอพูดยืดยาวก่อนจะหันหลังไปเขียนกระดานดำ
คยองซูเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่จำเป็นต้องมีหนังสือแค่หยิบมันออกมาจากใต้โต๊ะเท่านั้น คยองซูไม่เข้าใจคำว่าประทับตราเลยมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อที่จะหาคำตอบ เขาเห็นนักเรียนทุกคนในห้องทำให้ตัวเองเลือดออกปลายนิ้วพอประมาณก่อนจะประทับนิ้วลงไปบนหนังสือเรียน ซึ่งมันไม่น่าทำเท่าไหร่คยองซูจึงคิดจะข้ามขั้นตอนไปแต่ก็โชคร้ายที่เปิดหนังสือไม่ออก
“นายต้องทำนะไม่งั้นจะเปิดไม่ได้” นักเรียนข้าง ๆ เอ่ยเบา ๆ ก่อนจะส่งมีดเล็กมาให้คยองซูที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่
จะให้เลือดผสมมากรีดนิ้วตัวเองต่อหน้าเลือดแท้เป็นสิบได้ไงล่ะ!
คยองซูทำใจสิบวิก่อนจะจิ้มมีดลงไปที่นิ้วตัวเองแล้วออกแรงกด ของเหลวสีเข้มไหลออกมาเรียกร้องความสนใจจากนักเรียนทั้งห้องให้หันไปหาได้ดี คยองซูไม่รอช้าที่จะประทับมันลงบนปกหนังสือและอมนิ้วโป้งตัวเองเพื่อห้ามเลือดทันที
อาจารย์สาวกระแอมเสียงเล็กน้อยให้ทุกคนกลับมาสนใจเธอก่อนที่จะเริ่มสอนตามบทเรียน
“เอาล่ะ ๆ ทฤษฎีเราคงไม่ต้องเรียนอะไรมากเพราะคิดว่าหลาย ๆ คนคงรู้งั้นเรามาเริ่มปฏิบัติกันเลยดีกว่า”
ตอนนี้ในหัวของคยองซูมีแต่คำว่าฉิบหาย ลอยไปมา อยากจะบ้าตาย ทำยังไงล่ะก็เขาไม่ได้เรียนมาเหมือนกับคนอื่นนี่
“ให้นักเรียนจุดไฟที่นิ้วตัวเอง”
บ้าไปแล้ว!
เมื่อได้ยินอย่างนั้นนักเรียนหลาย ๆ คนก็พยายามจุดไฟกันใหญ่ มีแต่คยองซูที่นั่งนิ่งเป็นหินอยู่คนเดียว
“ใครจุดได้แล้วก็ดับซะเดี๋ยวก็ได้ไปห้องพยาบาลกันพอดี เฮ้ย! ห้ามจุดใส่นักเรียนคนอื่นนะคุณดีน”
อาจารย์ร้องห้ามทันทีที่เห็นนักเรียนแกล้งกัน ห้องก็เกิดความวุ่นวายไม่น้อยเลยเพราะไฟได้ติดอยู่บนหัวของนักเรียนคนหนึ่งและเขาก็กรีดร้องและวิ่งไปมาจนอาจารย์ไม่สามารถดับให้ได้
“ขอให้นักเรียนนั่งอยู่กับที่ห้ามไปไหนในขณะที่ฉันพานักเรียนคนนี้ไปห้องพยาบาล”
ทันทีที่เธอเดินลากนักเรียนที่สลบคาที่ไปแล้วออกไปพวกต้นเหตุก็หัวเราะคิกคักชอบใจใหญ่
“เธอทำได้มั้ย? ” นักเรียนคนข้าง ๆ ถามคยองซูที่นั่งทำหน้าเจื่อน ๆ อยู่
“เอ่อ...ไม่ได้ พอดีฉันไม่ได้เรียนอะไรมาก่อนเลยวิธีฉันก็ไม่รู้” คยองซูตอบออกไปแอบเขินนิดหน่อย
“เธอลองคิดสภาพมันอยู่บนนิ้วดูสิ” เธอพูดก่อนจะสาธิตให้คยองซูดู ไฟถูกจุดขึ้นบนนิ้วและถูกดับลงในเวลาสั้น ๆ
“ก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
คยองซูพยายามแล้วพยายามอีกก็ไม่สำเร็จจนเขาค้นพบคำว่าไม่มีทางสำเร็จแน่ ๆ จนกระทั่งหมดคาบเรียนแรก อาจารย์สั่งการบ้านก้อนโตเป็นการทดสอบในคาบหน้าก็คือการจุดเทียนไขที่ระยะห่างสามเมตร
หมดไปแล้วหนึ่งวันกับการเรียนที่ห่วยแตกมาก ไม่สิ เขาเองต่างหากที่ห่วยแตกเอง เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยสักอย่างไม่ว่าจะจุดไฟควบคุมลม ยกยางลบ ส่งปากกาหรืออะไรทำเทือก ๆ นั้นได้แม้แต่อย่างเดียว
ในเวลาตีห้าครึ่งแทนที่จะเดินกลับหอในแบบที่ควรจะเป็นกลายเป็นว่าเขาเลี้ยวออกนอกเส้นทางไปหาที่นอนใหม่เพราะไม่อยากกลับไปให้ไอ้พวกตัวเย็นจ้องเอาเขาเลยมานอนอยู่ในเรือนกระจกแทน คิดว่าน่าจะปลอดภัยกว่าหอพักตั้งเยอะเพราะว่าแสงอาทิตย์ส่องทั่วถึง แม่ว่าตอนนี้อาทิตย์จะยังไม่ขึ้นก็ตาม
คยองซูวางหนังสือเรียนวันนี้ลงบนเก้าอี้ก่อนจะใช้มันหนุนหัวเพื่อเป็นหมอนก่อนจะนอนหลับตาพริ้มด้วยความเหนื่อยล้า คิดถึงการบ้านที่ต้องส่งในคาบหน้าแล้วก็ต้องปวดหัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาทำไม่ได้คนเดียวทั้ง ๆ ที่เลือดผสมคนอื่นก็ทำได้ทุกคน
ส่วนอีกอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากจะกลับหอพักก็คงเป็นเพราะรูมเมทที่ตอนนี้เขายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามเลยว่าเป็นใคร เขากลัวว่ารูมเมทของเขานั้นจะนิสัยไม่ได้ดีเท่าแบคฮยอนและเซฮุนเพื่อนใหม่ของเขา หรืออัธยาศัยดีไม่เท่าชานยอลนักเรียนเลือดครึ่งที่เขาเจอที่โรงอาหาร
เรื่องรูมเมทถูกพับเก็บไว้แค่นั้น คยองซูนอนตัวแข็งกับที่ไม่กล้าแม้แต่ลืมตา เขาได้ยินเสียงคนเดินและมันใกล้เสียจนเหมือนว่าตอนนี้คนนั้นกำลังเดินมาหาเขา
"แกล้งหลับหรือไง? "
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาในเวลาต่อมา คยองซูไม่มีเหตุผลที่จะต้องแสร้งทำเป็นหลับตาต่อไป เปลือกตาสีไข่ค่อย ๆ ลืมขึ้นก็เห็นคนที่เขาคุ้นเคย ชานยอลกำลังยืนก้มหน้ามองเขาอยู่ไม่ได้ห่างกันมาก
"นี่ที่ของนายเหรอ? " คยองซูเอ่ยถามพร้อมกับลุกขึ้นก่อนจะเกาหลังคอด้วยความประหม่า ไม่คิดว่าจะมาเจอชานยอลที่นี่
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉันหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ฉันอยู่นี่นอกจากนายก็ไม่มีใครมา" ชานยอลว่าอย่างนั้นก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ คยองซู
"งั้นฉันก็ขอโทษแล้วกันที่บุกรุก" คยองซูพูดเสียงเรียบก่อนจะมองคนข้าง ๆ กาย มีอยู่แวบหนึ่งในความคิดของเขาก็คือถ้าชานยอลเป็นคนธรรมดาทั่วไปอีกฝ่ายคงไปเป็นดาราได้สบายเลยนะเนี่ย ก็หน้าตาดีขนาดนี้
"มองอะไรของนาย ปากฉันมีเลือดติดอยู่หรือไง? " ชานยอลเอ่ยถามคยองซูที่มองหน้าเขาอย่างไม่วางตาก่อนที่ร่างเล็กจะเลิกจ้องหน้าเขาแล้วเบือนสายตาไปที่อื่นแทน
"ฉันคิดว่าถ้านายเป็นคนธรรมดานายคงจะไปเป็นดาราได้เลย" คยองซูพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปทำเอาชานยอลถึงกับหลุดขำออกมายกใหญ่ คิ้วคยองซูขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าร่างสูงข้าง ๆ กายนั่นขำอะไร
"มันมีอะไรให้ขำงั้นเหรอ? "
"เปล่าหรอก ฉันแค่ดีใจที่มีคนคิดเหมือนฉันว่าฉันหน้าตาดี ที่จริงฉันก็คิดมานานแล้วล่ะว่าถ้าเรียนจบไปฉันจะไปเป็นดารา" ชานยอลพูดพร้อมอมยิ้มไม่คิดจะถ่อมตัวเลยสักนิด แสดงถึงความมั่นใจที่ว่าตัวเองหน้าตาดี
คยองซูถึงกับพยักหน้าเข้าใจ แอบหมั่นไส้เล็กน้อยที่อีกฝ่ายมั่นใจในหน้าตาตัวเองว่าหล่อเหมือนที่เขาชม แต่ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้มีเพื่อนเป็นดาราชื่อดัง ชานยอลน่าจะดังในหมู่สาว ๆ นะ
"ก็ดี ถึงเวลานั้นอย่างลืมแนะนำฉันให้รู้จักกับดาราคนอื่น ๆ ด้วยล่ะ" คยองซูพูดติดตลก ชานยอลส่งยิ้มหวานให้คยองซูชนิดที่ว่าเห็นฟันเกือบจะครบทุกซี่เลยทีเดียว
"ว่าแต่นายเถอะเรียนวันแรกเป็นยังไงบ้าง? " ชานยอลจับมือที่อุ่นกว่ามือตัวเองขึ้นมือดูเพราะได้กลิ่นเลือด คงเป็นเพราะการประทับตราแน่นอน
คยองซูตกใจที่อยู่ ๆ ชานยอลก็จับมือของเขาขึ้นไปดู แผลเล็ก ๆ ที่ปลายนิ้วทำเอาคยองซูรู้สึกเสียวแวบขึ้นมาเมื่อเห็นมันยังมีเลือดอยู่เล็กน้อย คงเป็นเพราะเขากดมีดลงลึกเกินไปแน่ ๆ เลย
"ห่วยแตก"
คยองซูตอบสองคำสั้น ๆ ทำเอาชานยอลถึงกับขำออกมา ร่างสูงหลับตาก่อนจะลูบนิ้ววนที่แผลของคนข้าง ๆ คยองซูรู้สึกปวดแวบที่แผลขึ้นมาก่อนที่ชานยอลจะลืมตาและยกนิ้วของตัวเองออก แผลที่ปลายนิ้วของคยองซูก็หายไปแล้ว
"นายทำมันได้ไง? " คยองซูยกนิ้วขึ้นมาดูด้วยความสนอกสนใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าชานยอลจะทำเรื่องแบบนี้ได้
"การที่นายจะใช้พลังต่าง ๆ ได้นายต้องมีพลังให้มากก่อน การที่จะมีพลังมาก ๆ หรือมากเพียงพอคือนายต้องดื่มเลือดมนุษย์ เพราะเลือดมนุษย์มันจะช่วยปลุกพลังในตัวของพวกเราให้ตื่น"
คยองซูพยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่ชานยอลพูดหมายความว่าถ้าเขาไม่กินเลือดเข้าไปเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยสินะ
"แม้แต่จุดไฟก็ไม่ได้เหรอ? "
"ไม่ได้"
ชานยอลเห็นสีหน้าของคยองซู มันแสดงออกค่อนข้างแย่เลยทีเดียว ด้วยความสงสัยแต่ไม่กล้าถามชานยอลจึงเอ่ยขอโทษคยองซูในใจตัวเองที่เสียมารยาทก่อนจะใช้เวทย้อนดูความทรงจำของคยองซูเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
"..."
"นายควรจะลองกินเลือดนะ สักวันเวลาผ่านไปนาน ๆ ถ้านายยังกดความกระหายไว้แบบนี้ มันไม่ดีนะเพราะยังไงอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในตัวนายก็ต้องการ" ชานยอลพูดเพราะความเป็นห่วงคยองซูล้วน ๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ในยามเช้าตรู่
"อือ ขอบคุณที่เตือน"
"เอาล่ะ ๆ นายเลิกทำหน้าหงอยแบบนั้นได้แล้ว นายควรกลับหอนะรู้มั้ย กลับไปนอนพักผ่อนเถอะอีกไม่นานแดดจะออกแรงแล้ว" ชานยอลลุกขึ้นพร้อมกับช่วยคยองซูถือหนังสือก่อนจะถือวิสาสะจับมือเล็ก ๆ ขึ้นมากุมและเราทั้งสองก็หายตัวในทันที
คยองซูรู้สึกเคลื่อนไส้ในทันที ถึงมันจะสะดวกสุด ๆ ในการเดินทางแต่เขาไม่ค่อยชินเสียเท่าไหร่กับการหายตัวมาปุบปับแบบนี้ ชานยอลคืนหนังสือให้คยองซูก่อนจะพูดคำที่คยองซูฟังแล้วรู้สึกขนลุกชอบกล
"ราตรีสวัสดิ์"
Are you bleeding?
- 100% -
#ลูกเสี้ยวคซ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น