คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : -39-
-39-
“แต่ก็โอเค ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า เพราะผมก็เบื่อจะเจอหน้าพี่เหมือนกัน”
ก่อนจะค่อยๆถอยออกมา เมื่อเห็นว่าน้ำตาของคนนี้หยุดไหลแล้ว รีฟาเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ถ้อยคำที่เหมือนจะทำร้าย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึก...เหมือนคนคนนี้จะเข้าใจเธอ
“นายกลับไปคบกับแอสตันงั้นหรอ”
“อะไรทำให้นายเชื่อมั่นใจความรักบ้าๆนี่ นายแน่ใจได้ยังไงว่าแอสตันจะเลือกนาย”
ตะโกนถามออกไปเมื่อกว่าจะรู้ตัวเด็กนั่นก็เดินไกลออกไปจากเธอพอสมควรแล้ว รู้สึกสมเพชตัวเองที่พูดจาหาเรื่องกับเด็กที่อายุน้อยกว่า แต่ร่างบางๆนั้นก็หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆหันกลับมา
เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้ทำหน้ายังไง แต่เธอพอจะรับรู้ๆได้ว่าคงจะโกรธเธอไม่น้อยจากประโยคที่ตอบกลับมา
“สถานะของเราสองคนมันระบุไม่ได้หรอกครับ ถ้ายังมีมารผจญทำตัวสองจิตสองใจไม่รู้ว่าจะเลือกใครดีอยู่แบบนี้”
ไม่รู้ว่าตัวเองพูดจารุนแรงไปรึเปล่า หญิงสาวคนนั้นถึงไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมา แต่คนคนนั้นก็ไม่ได้เดินไปไหน เม้มริมฝีปากแน่นอย่างชั่งใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ตัวเองพูดอะไรแบบนั้น
“พี่แม่ง เพราะความคิดบ้าๆแบบนั้นใช่มั้ย...”
“เลิกใจแคบมองแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะมองได้แล้ว”
“ลองมองโลกรอบตัวเองซะบ้าง ลองเชื่อในความรักของคนอื่นที่หยิบยื่นมาให้มันไม่ตายหรอก”
“แต่ชั้นรักเค้า”
“เธอรักเค้ามากจนยอมเป็นชู้กับสามีชาวบ้านเลยงั้นหรอ”
“เธอจะไปเข้าใจอะไร ถ้านี่เป็นทางเดียวที่ทำให้ชั้นใกล้ชิดกับเค้าได้ ชั้นก็ยอม”
“เธอ...นังหน้าด้าน”
“ม๊าดูอะไรของม๊า”
น้ำเสียงเหนื่อยๆทำให้เธอละสายตาจากหน้าจอทีวีแล้วเบนไปทางลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่นั่งอยู่บนโซฟาถัดจากเธอแทน
นัยน์ตาเรียวสวยจับจ้องไปทางโทรทัศน์ฉายแววไม่พอใจ ไหนจะคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมแบบนั้นอีก มาริสานิ่งเงียบสังเกตปฏิกิริยาของลูกชายของตัวเองสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยตอบ
“ละครไง เรื่องนี้กำลังดังเลยนะ”
“ไร้สาระน่ะม๊า”
เผลอเลิกคิ้วขึ้นกับปฏิกิริยาของเด็กแสบข้างๆนิดหน่อย ดูเหมือนว่าวันนี้ลูกชายของเธอจะอารมณ์ไม่ค่อยดี หรือเพราะเธอบังคับให้ไปซื้อของให้อย่างนั้นหรอ
เพราะตั้งแต่ลูกชายของเธอกลับมา ก็เดินกระฟัดกระเฟียดขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แถมยังได้ยินเสียงดังโครมครามตามมาอีกหลายสิบนาที ก่อนจะค่อยๆเงียบไป และเงียบไปนานหลายชั่วโมงซะด้วย จนสุดท้ายเธอบังคับให้เจ้าลูกชายตัวแสบนี่ลงมานั่งดูโทรทัศน์กับเธอนี่แหละ
ขืนปล่อยไว้แล้วเกินทำอะไรแผลงๆขึ้นมาก็แย่น่ะสิ
“หงุดหงิดอะไรน่ะ”
เมื่อละครที่เธอชอบพักโฆษณาถึงได้ตัดสินใจหันมาถามคุณลูกชายตรงๆ คนเป็นแม่อย่างเธอน่ะต่อให้ลูกชายไม่พูดอะไรแต่พอจะสังเกตออกหรอกนะว่าช่วงนี้ลูกชายของเธออารมณ์ไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาเท่าไหร่
เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนก็ดูซึมๆจนเธอรู้สึกเป็นห่วงไม่กล้าออกไปทำงานประจำที่ร้าน เลือกที่จะคอยอยู่ใกล้ๆเด็กคนนี้แทน โอเค ตอนนี้ดูเหมือนลูกของเธอจะร่าเริงขึ้นบ้าง แต่นัยน์ตาที่เคยเป็นประกายสดใสของลูกชายของเธอมันยังไม่กลับมาน่ะสิ
เด็กคนนี้ก็โตเกินกว่าที่เธอจะมาคอยจี้ถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นิสัยของจินน่ะคือถ้าไม่อยากพูดต่อให้บังคับยังไงก็ไม่มีทางพูดหรอก วิธีที่ดีที่สุดคือการถามอ้อมๆแบบที่เธอกำลังพยายามทำอยู่
“เปล่าซะหน่อย”
“…”
“ก็แค่ไม่เข้าใจ”
น้ำเสียงนุ่มที่พึมพำเสียงเบาจนเหมือนพูดกับตัวเองนั้นน่ะ มันดังชัดเจนในหูของคนเป็นแม่อย่างเธอดีเลยล่ะ หลุดคลี่ยิ้มออกมา เด็กคนนี้อาจจะอารมณ์แปรปรวนปสักหน่อย แต่ก็เป็นคนที่ทุกอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาตลอด และที่สำคัญคือไม่เคยปิดกั้นตัวเองจากเธอเลยสักครั้ง
“ยินดีต้อนรับสู่โลกของผู้ใหญ่จ้า”
พูดพร้อมกับเลื่อนตัวไปบิดแก้มนุ่มๆของลูกชายตัวดีอย่างหมั่นเขี้ยว จินหลุดบ่นอุบออกมา ก่อนจะพยายามเบี่ยงตัวหลบคนเป็นแม่ มาริสาหัวเราะคิกก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอามือกุมแก้มของเด็กตัวแสบเบาๆแทน
“อะไรครับ”
รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก เมื่อคนเป็นแม่ไม่ยอมพูดอะไรเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้น ถึงได้ตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“ลูกม๊าโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น้า”
“…”
พอเจอประโยคแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรเหมือนกัน ถึงได้เลือกที่จะเงียบและรอให้มาริสาพูดต่อ นัยน์ตาเป็นประกายสวยจ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาของเขาจนรู้สึกประหม่า ก็แววตาแบบนั้นราวกับว่าสามารถอ่านทุกความคิดของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นแหละ
ท่าทางของลูกชายทำเอามาริสาต้องเผลอหลุดคลี่ยิ้มบางๆ
“แต่ไม่ว่าจะโตขึ้นขนาดไหน จินพึ่งอายุสิบหก ยังไม่ถึงครึ่งชีวิตด้วยซ้ำ ไม่แปลกหรอกที่จินจะไม่เข้าใจ”
“และในบางเรื่องเราก็ไม่ควรจะที่จะดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเข้าใจหรอก ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลา ไม่ต้องรีบที่จะก้าวเข้ามาในโลกของผู้ใหญ่หรอก”
“จินน่ะเป็นตัวของจินดีแล้ว ถ้าจินมั่นใจว่าการตัดสินใจของตัวเองถูกต้อง และตัวเองพร้อมที่ยอมรับผลที่กำลังจะตามมา แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
ทั้งๆที่เขาไม่เคยเอ่ยปาก ไม่เคยเล่าเรื่องที่ตัวเองกำลังเจอให้คนเป็นแม่ฟังเลยสักครั้ง แต่ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่คอยเลี้ยงดูเขามาคนนี้กลับพูดราวกับว่ารู้เรื่องทุกอย่าง พูดอย่างกับรู้ว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับเขามันเป็นยังไง
แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ความพยายามที่จะทำตัวให้ตัวเองดูเข้มแข็งค่อยๆหายไปทีละนิดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนเป็นแม่
มาริสาค่อยๆเกลี่ยน้ำใสๆที่ค่อยๆเอ่อล้นออกจากนัยน์ตาเรียวสวยของลูกชายอย่างแผ่วเบา
“ทุกสิ่งทุกอย่างมีข้อดีของมัน ทุกสิ่งที่เราเจอมันจะค่อยๆหล่อหลอมให้เราเติบโตขึ้น ผิดพลาดบ้างก็ได้ ร้องไห้บ้างก็ได้ ทำตามที่ตัวเองอยากจะทำบ้างก็ได้ ชีวิตของคนเรามันก็แบบนั้นแหละ”
“บางครั้งหยุดถามหาเหตุผลว่าทำไปเพื่ออะไร เพราะต่อให้อีกฝ่ายอธิบายยังไงเราก็ไม่มีทางเข้าใจเค้าไปทั้งหมดหรอก ถ้าไม่เป็นเค้าเราไม่มีทางเข้าใจ เพราะอย่างนั้นเราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินคนอื่น จริงมั้ย หืม”
“สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือเป็นตัวของตัวเอง อย่าให้คนอื่นมามีผลกับเรา แค่นั้นก็พอแล้ว เนอะ”
แม่ของเขาไม่เคยคาดคั้นถามเขาเลยสักครั้งถึงเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่เขาร้องไห้กลับมาบ้านไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่ผู้หญิงคนนี้เลือกที่จะปลอบประโลม และให้กำลังใจ โดยที่ไม่ถามเหตุผล ไม่บังคับให้เขาต้องพูดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับเลือกที่จะรอ รอให้เขาพร้อมที่เล่าทุกอย่างออกมาเอง
หลุดสะอื้นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ตัดสินใจปล่อยให้น้ำตาค่อยๆไหลออกมาโดยไม่สนใจที่จะเช็ดมัน ซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของคนเป็นแม่เพื่อหาที่พักพิง
มาริสาหลุดคลี่ยิ้มเมื่อลูกชายตัวดียอมที่จะเลิกฝืนทำตัวเข้มแข็งเสียที มือเรียวของคนอายุมากกว่าค่อยๆโอบกอดลูกชายตอบ โยกไปมาเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลม
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นรัวทำเอาคนที่พึ่งจะออกจากห้องน้ำเสร็จต้องรีบวิ่งไปที่ประตู ทั้งๆที่มีเพียงแค่ผ้าขนหนูพันรอบเอวเท่านั้น หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ถึงไม่ดูผ่านหน้าจอเทเลคอมเขาก็พอจะเดาออกล่ะนะว่าเป็นใคร เพราะคงไม่มีใครคนอื่นที่จะกล้าพังกริ่งคอนโดของเขาแบบนี้หรอก
“พึ่งตื่นหรือตั้งใจจะอ่อย”
น้ำเสียงนุ่มแฝงแววไม่พอใจ เมื่อเห็นสภาพของคนที่มาเปิดประตู คือแบบนี่เขาลงทุนถ่างตาตื่นเพื่อรีบไปซื้ออาหารเช้าเจ้าประจำที่เขาชอบ ซึ่งปกติแล้วไม่มีทางซะล่ะ ใช้ให้คนงานที่บ้านไปซื้อตลอด แต่นี่ตั้งใจจะซื้อแล้วเลยมาหาคนตัวสูง ก็เลยตัดสินใจไปซื้อเองดีกว่า
และแน่นอนว่าเขาทั้งส่งไลน์ ส่งข้อความ แถมโทรมาหารุ่นพี่ตัวสูงนี้แล้ว และไอ้รุ่นพี่นี่ก็รับโทรศัพท์รับปากเขาเสร็จสรรพว่าจะตื่นเต็มตา นั่นมันเมื่อประมาณสองชั่วโมงที่แล้ว แต่ไอ้สภาพหัวเปียกพึ่งออกจากห้องน้ำนี่มันหมายความว่ายังไง เขาไม่เชื่อหรอกว่าคุณแฟนตัวสูงนี่จะอาบน้ำสองชั่วโมงน่ะ
แอสตันที่พอจะจับกระแสความไม่พอใจจากร่างบางตรงหน้าได้หลุดหัวเราะแห้งๆ ค่อยๆก้มลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน ก่อนจะจิ้มแก้มนุ่มๆของคนตรงหน้าไปมาเบาๆ
“โอ๋ ไม่โกรธนะครับ ดูสิ แก้มพองจนจะเป็นปลาปักเป้าอยู่แล้ว”
“ตลกมั้ย”
จินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะปัดมือของคนตรงหน้าออก แต่ไอ้รุ่นพี่ตรงหน้านี่ก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่ได้สำนึกเลยสักนิด เฮ้ย นี่เขาโมโหนะเว้ย
“อุ๊ย มีแฟนโหดต้องทำยังไงดีอ่ะ”
นั่น นอกจากจะไม่สำนึก พูดจาชวนเอาฝ่าเท้าแนบหน้า แล้วยังมาทำมือปลาหมึกดึงตัวเขาเข้าไปกอดอีกต่างหาก แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เพราะพยายามฝืนตัวดันตัวเองออกมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยสู้แรงของพี่มันได้สักที ตลอดอ่ะ ชอบทำให้หายโกรธด้วยการทำให้เขินตลอดอ่ะ แล้วเขาจะไม่สู้อะไรได้เล่า
“นี่ถ้าไม่ปล่อยจะเอาข้าวเช้าที่ซื้อมาไปให้ห้องข้างๆกินแล้วนะ”
บ่นอุบกลบเกลื่อนความเขิน แต่เขารู้ตัวดีอยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่มีทางปิดบังคนตรงหน้าได้หรอก
แอสตันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ วันนี้ต้องเป็นวันที่สดใสมากแน่ๆ เพราะตื่นเช้ามาเด็กดื้อที่ร้อยวันพันปีวันหยุดไม่เคยตื่นก่อนเก้าโมงลงทุนโผล่มาหาเขาตั้งแต่เจ็ดโมงแบบนี้ จะว่าเขาเอาเปรียบคนตรงหน้าก็ได้ แต่แบบ...คนที่ตัวเองรักมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ใครจะไปอดใจไหวจริงมั้ย
ก็เลยก้มลงขโมยจุ๊บริมฝีปากรูปกระจับสวยนั่นเร็วๆ ก่อนจะรีบผละออก ไม่อย่างนั้นคงจะโดนฝ่าเท้าของคนตัวบางกระทืบเอาแน่ๆ
“รอพี่แต่งตัวแปปนะครับ”
“… ไอ้!!!”
เพราะการเอาเปรียบที่รวดเร็วของเขาทำให้เด็กน้อยยังคงอึ้งๆอยู่ ใบหน้าคมสวยค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงทีละนิดๆ อ่า เด็กนี่น่ารักจริงๆนั่นแหละ
จินบ่นอุบกับการถูกเอาเปรียบจากคนที่พึ่งหนีเข้าห้องไป สัมผัสได้อยู่เลยว่าหัวใจของตัวเองกำลังทำงานหนักมากขนาดไหน เผลอหลุดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วเหมือนกันที่เขากับรุ่นพี่ตัวสูงนั่นได้คุยกันแบบนี้
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เป็นแบบนี้ไปตลอด เป็นเหมือนตอนที่เริ่มคบกันใหม่ๆ ตอนที่เรื่องราวยุ่งเหยิงพวกนี้ยังไม่เกิดขึ้น...
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆหายไป เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองกำลังจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะครบสองอาทิตย์แล้ว โอเค ยอมรับว่าตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังหลอกตัวเองด้วยความสุขเพียงชั่วคราวอยู่ แต่แล้วไงล่ะ...
เขาตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว ว่าไม่ว่าผลจะออกมายังไง เขาจะยังคงอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม
อาจจะดูเป็นคนโง่ แต่เขารู้ตัวดีว่าการที่ฝืนตัวเองให้เลิกมีความรู้สึกดีๆกับคนคนนี้ การบังคับให้ตัวเองต้องอยู่ห่างจากรุ่นพี่ตัวสูงนี่ มันทรมานยิ่งกว่าซะอีก และที่สำคัญคือมันไม่ได้ทำให้พวกเขาทั้งสองคนดีขึ้นเลยสักนิด
เขาโชคดีที่มีแม่และพ่อที่เข้าใจ และสามารถหันกลับไปพึ่งพา และเป็นทั้งแรงใจ แรงผลักดัน ในตอนที่เขารู้สึกท้อ หลงทางไม่รู้จะทำยังไง
เขาเองก็อยากจะเป็นคนคนนั้นของผู้ชายคนนี้ เพราะงั้น...ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหน
เขาก็จะคอยอยู่ข้างๆผู้ชายคนนี้เอง ไม่ได้อยู่เพราะมีใครขอร้อง แต่อยู่เพราะอยากจะอยู่ อยู่เพราะทำตามหัวใจของตัวเองยังไงล่ะ!
“จินว่าอะไรนะครับ”
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังสิ่งที่เด็กดื้อพูดออกมาผิด นัยน์ตาเรียวเป็นประกายระยับ ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนริมฝีปากรูปกระจับสวยนั่นอีก หรือนี่จะเป็นการเอาคืนที่เขาแอบเอาเปรียบคนคนนี้งั้นหรอ
“ผมบอกว่าวันนี้ตอนเย็นเราจะไปกินข้าวที่บ้านพี่กัน”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อไม่ว่าจะฟังยังไงเขาก็ไม่สามารถแปลความหมายประโยคเป็นอย่างอื่นไปได้ แถมเด็กคนนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะล้อเล่นเลยสักนิด
“ทำไม”
“ก็ไม่ทำไม”
“จิน...”
นี่เขาจริงจังจริงๆนะ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาพยายามหลบเลี่ยงการกลับไปที่บ้านใหญ่มาโดยตลอด แล้วจู่ๆเด็กคนนี้ก็โพล่งออกมาบอกให้เขากลับไปง่ายๆแบบนี้เลยน่ะหรอ
จินเหลือบมองท่าทางลำบากใจของแฟนตัวสูง ทำไมต้องทำหน้าเหมือนโลกจะแตกขนาดนั้น โอเค ก็พอจะรู้อยู่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันยุ่งเหยิงขนาดไหน แต่มันก็จำเป็นไม่ใช่หรอ สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวน่ะ
“พี่คิดอะไรเยอะแยะ ก็แค่กลับไปกินข้าวที่บ้านเอง”
แอสตันเม้มปากแน่นกับประโยคที่ได้ยิน คิดอะไรเยอะแยะงั้นหรอ ทั้งๆที่เด็กคนนี้รับรู้สถานการณ์ของเขา แต่ทำไมยังพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้อีก
จินที่พอจะรับรู้กระแสความไม่พอใจจากคนตัวสูง ถึงได้หลุดถอนหายใจพรืดออกมา คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยมันคนคนนี้ต่างหากเล่า
ถึงได้ตัดสินใจยกมือขึ้นก่อนจะประกบเข้าไปที่แก้มของคนตัวสูงทั้งสองข้าง เกิดเสียงไม่ค่อยเบาเท่าไหร่นัก เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าแรงที่เขาใส่เข้าไปอ่ะไม่ใช่น้อยๆเลย
“เจ็บ...”
หลุดอุทานออกมาเสียงแผ่วแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร เด็กน้อยตรงหน้าก็จัดการดึงตัวเขาลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน นัยน์ตาเรียวสวยเป็นกระกายจนหัวใจของเขาเผลอเต้นผิดจังหวะ
“ผมรู้ครับว่าพี่ลำบากใจเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
“แต่นั่นน่ะครอบครัวของพี่นะครับ พี่จะตัดขาดครอบครัวของตัวเองเพราะใครคนนึงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนไม่ได้ เออ ถึงคนคนนั้นจะสำคัญและมีผลต่อจิตใจของพี่มากก็เหอะ”
แอบประชดอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย เมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอิทธิพลในชีวิตตัวเองเสียเลยเกิน ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะออกนอกเรื่องไป ถึงได้กระแอมเบาๆเพื่อควบคุมอารมณ์ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ
“จะบอกอะไรให้นะ สิ่งที่โคตรจะสำคัญที่สุดในชีวิตพี่อ่ะ ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ยัยผู้หญิงเฮงซวยนั่น แต่เป็นครอบครัวของพี่ต่างหาก”
“กลับไปกินข้าวกับพ่อแม่ กับพี่ออสติน มันไม่เห็นจะยากตรงไหน แล้วไม่ต้องห่วงถ้ารู้สึกลำบากใจว่าต้องเจอยัยผู้หญิงตัวปัญหานั่น”
“เพราะผมจะไปกับพี่ อะไรที่เป็นของของจิน ต่อให้ระยะเวลาสั้นแค่ไหน แต่ถ้าตอนนี้ยังเป็นของของผมอยู่ ถ้ากล้าคิดจะมาแตะ ก็ลองดู”
นัยน์ตาเรียวสวยที่เป็นประกายกร้าวเหมือนกับวันแรกที่เจอกัน และนั่นก็ค่อยๆทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
-----------------------------------
TALK : รู้สึกว่าหลายๆตอนที่ผ่านมาจินของเราจะได้รับบทเป็น
นางเอกถูกกลั่นแกล้งเยอะเกินไปหน่อย...คิดเหมือนไรท์มั้ยคะ
แต่เด็กแสบยังไงก็เป็นเด็กแสบวันยังค่ำแหละเนอะ
ขอบคุณที่คอยติดตามนะคะ ม้วฟฟฟฟ >3<
ความคิดเห็น