ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #31 : -29-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 252
      3
      8 พ.ย. 58




    -29-






    แสงแดดยามเช้าค่อยๆไล้ไปตามผิวกาย ความรู้สึกอุ่นที่เกือบจะร้อนทำให้ร่างสูงจำต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา นัยน์ตาคมปรือขึ้นช้าๆอย่างงัวเงีย ตั้งท่าจะยันตัวขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจเหมือนที่ทำทุกเช้า แต่ติดที่ว่าแขนของเขาถูกใครบางคนเอาไปใช้แทนหมอนนี่สิ



    “…”



    หลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อรู้สึกว่าเด็กดื้อที่นอนอยู่ข้างๆ ดูท่าทางจะหลับสบายเสียเหลือเกิน เหลือบดูนาฬิกาที่หัวเตียง ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาว่าตอนนี้เก้าโมงกว่าๆแล้ว แต่เจ้าเด็กแสบก็ยังคงนอนได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ถึงแม้จะโดนแดดร้อนๆของประเทศไทยส่องหน้าอยู่ก็ตาม



    “จินครับ ตื่นได้แล้วนะ”



    หลังจากนอนจ้องหน้า บวกกับแอบเก็บภาพของเจ้าเด็กนี่จนพอใจ เขาก็รู้สึกว่าควรจะปลุกคุณแฟนตัวยุ่งนี่เสียที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ ก่อนจะค่อยๆซุกตัวเข้าหาผ้าห่มมากขึ้น

    ท่าทางน่ารักๆนั่นทำเอาแอสตันต้องหลุดหัวเราะออกมา ก็พอจะรู้อยู่อ่ะนะว่าเจ้าเด็กนี่น่ะ ขี้เซามากแค่ไหน แต่นี่ใคร ระดับเขาแล้ว รับมือกับเรื่องแบบนี้ได้สบายมากอ่ะ


    “ตื่นได้แล้วครับขี้เซา”


    พูดพร้อมกับเอามือเขี่ยจมูกรั้นนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว และมันก็ได้ผล เมื่อเจ้าเด็กดื้อนั่นปรือตาขึ้นมามองที่เขา ถึงแม้จะมองด้วยสายตางัวเงียบวกกับไม่พอใจก็เถอะ



    “อย่ากวน”



    พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะหลับตาเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ แอสตันหลุดถอนหายใจยิ้มๆกับท่าทางของแฟนตัวแสบ


    “จินครับ”



    “…”


    แอบลอบยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่คนเดียว เขารู้อยู่แล้วล่ะว่าอันที่จริงเจ้าเด็กเนี่ยพอจะรู้สึกตื่นอยู่บ้างแล้วล่ะ แต่ไอ้ที่ไม่ยอมลืมตาอ่ะ ก็แกล้งหลับไปงั้นๆ ก็คงอยากจะกวนเขาเหมือนทุกทีนั่นแหละ


    แต่ก็นะ เจ้าเด็กนี่น่ะไม่เคยจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เลยสิน่า ก็เพราะเวลามีเหตุการณ์แบบนี้ทีไร เขาต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายได้กำไรไปเต็มๆ อย่างเช่นตอนนี้






    ถึงแม้ว่ากำลังนอนหลับตา แต่ก็แอบหวั่นใจนิดหน่อย เมื่อรู้สึกว่ารุ่นพี่ตัวสูงยอมล่าถอยไปง่ายผิดปกติ จินปิดตาแน่นพยายามไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก็เมื่อคืนน่ะ เขาร้องไห้จนเหนื่อยเลยนี่ ก็เลยอยากจะนอนต่อ ถึงแม้จะไม่ค่อยง่วงแล้วก็เถอะ

    พอจะสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว ก็ตั้งใจว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย ก็การตื่นก่อนบ่ายมันไม่ใช่สไตล์ของเขาเอาเสียเลย แต่เดี๋ยวนะ ไอ้ไอร้อนๆที่อยู่ตรงหน้าเขานี่มันอะไรกัน


    หรือว่า...


    ลืมตาขึ้นพรึบ ก่อนจะสะดุ้งกับใบหน้าหล่อๆของแฟนตัวสูงที่ห่างจากหน้าของเขาไปไม่กี่เซนติเมตร ชัดเลย...ไอ้พี่บ้านี่มันตั้งใจจะลักหลับเขาอีกแล้ว !



    “ไม่หื่นสักวันมันจะตายรึไงวะ =_=^”



    พูดพร้อมกับดันใบหน้าที่แทบจะเขยิบเข้ามาหลอมรวมกับใบหน้าเขาอยู่รอมร่อ แล้วคิดว่าแฟนตัวสูงของเขาจะสำนึกมั้ย ไม่มีทางซะล่ะ เพราะนอกจากจะไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำของตัวเอง แล้วยังจะมาหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีอีก




    “ก็เห็นจินไม่ยอมตื่น ก็นึกว่าต้องจุ๊บๆเหมือนเจ้าหญิงนิทราซะอีก”




    อยากจะเอาหัวโขกกับขอบเตียงให้ตัวเองตายๆไปซะ ไอ้ตรรกะเด็กอนุบาลของไอ้รุ่นพี่นี่มันดูไร้สาระมากขึ้นไปอีกเมื่อบวกกับความหื่นที่ชอบเอาเปรียบเขาอยู่เรื่อย ก็เลยหยิกเข้าที่ต้นแขนของคนตัวสูงอย่างหมั่นไส้ เรียกเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจากคนโดนกระทำ



    “โอ๊ย พอแล้ว นี่ ถ้าไม่หยุดพี่จับจูบจริงๆด้วย”


    คำพูดของร่างสูงทำเอาคนทำหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำท่าลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ แถมมือก็ยังไม่ยอมหยุดจากการทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายอีกต่างหาก

    แอสตันพ่นลมหายใจพรืด รวบรวมแรงทั้งหมด จับใบหน้าของเจ้าเด็กดื้อ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนอวัยวะเดียวกันของอีกฝ่าย



    สัมผัสนุ่มหยุ่นทำเอาคนถูกจูบตาค้าง สติหลุดลอยหายไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เผลอปล่อยให้รุ่นพี่ที่ควบตำแหน่งแฟนตัวป่วนเพลิดเพลินไปกับการสัมผัสริมฝีปากของตัวเองไปแล้ว นัยน์ตาคมเหลือบมองใบหน้าคมสวยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะส่งสายตาแพรวพราวไปให้อย่างช่วยไม่ได้



    ก็เวลาเจ้าเด็กนี่เขินหน้าดำหน้าแดงน่ะ มันน่ารักสุดๆไปเลยนี่นา...



    จินที่ดูเหมือนจะทนการเอาเปรียบนี้ต่อไปไม่ไหว ถึงได้รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเองจัดการดันร่างสูงออกไปจนเกิดเสียงดังพลั่ก และตามด้วยเสียงโครมครามอีกเล็กน้อย สงสัยจะกะแรงผิดไปหน่อย คนโดนผลักถึงได้กระเด็นตกเตียงไปแบบนั้น



    “โหย จินใจร้ายจัง แค่จูบทำไมต้องผลักตกเตียงด้วย”



    และดูเหมือนคนเจ็บตัวจะยังไม่สำนึก ถึงได้พูดด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนแบบนั้น คนเขินง่ายก็เลยทำได้เพียงแค่ถลึงตาใส่ ก่อนจะเช็ดริมฝีปากของตัวเองแรงๆ จนปากที่แดงจากการจูบเมื่อครู่ ค่อยๆบวมเจ่อขึ้น ลำบากให้คนมองต้องรีบแทรกตัวเข้าไปห้าม


    “อย่าทำแบบนั้นสิ ไม่เจ็บรึไง”


    หลังจากจัดการรวบมือของอีกฝ่ายได้เรียบร้อย ก็ค่อยๆเกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อนั่นอย่างทะนุถนอม จนคนถูกสัมผัสต้องเบ้ปาก ก่อนจะเสหน้าไปทางอื่นด้วยความเขิน



    “ก็พี่นั่นแหละ”



    “พี่ทำไม”



    “…”



    พอเจอน้ำเสียงเข้มๆของอีกฝ่ายก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง โธ่เอ๊ย เรื่องนี้เขาไม่ผิดซะหน่อย แล้วทำไมต้องมาทำเสียงดุด้วยเล่า นี่ก็ปากเขา จะมาเดือดร้อนแทนอะไรนักหนา แถมถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว คนผิดมันก็ไอ้รุ่นพี่จอมหื่นนั่นไม่ใช่รึไง แล้วมีสิทธิ์อะไรมาทำเสียงเข้มใส่เขาแบบนี้

    แต่ก็ไม่รู้จะเถียงยังไงถึงได้หลุบตาลงต่ำ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเสียงเบา โดยที่ลืมไปว่าระยะห่างกันแค่เนี่ย ต่อให้ถอนหายใจคนข้างๆยังได้ยินเสียงเลย



    “ไม่เหม็นรึไงนะ”



    “อะไรนะครับ”


    แอสตันหลุดขำออกมานิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาได้ยินจากริมฝีปากรูปกระจับสวยน่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ



    “บอกว่าไม่เหม็นรึไง ตอนเช้ายังไม่ได้แปรงฟันเลย จูบมาได้ ประสาทป่ะวะ”



    “ฮ่าๆๆ”


    พอโดนเขาถามแบบนั้น ดูเหมือนคนในอ้อมแขนเขาจะเขินจัด ถึงได้ร่ายยาวออกมาอย่างกับจังหวะแรพแบบนั้น และนั่นทำให้เขาต้องเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนเต็มเสียงไม่ได้



    ก็แฟนเขาออกจะน่ารักน่าหลงขนาดนี้ จะไม่ให้รักได้ยังไงเล่า



    “ไม่เหม็นหรอก อะไรที่เป็นจินน่ะ หอมหมดแหละ”


    “ไม่สิ ไม่ใช่แค่หอมนะ”


    “-_-”


    “หวานด้วย”


    “…”


    “^_^”


    “-O-”


    “อะไร ทำปากแบบนั้นอยากโดนจูบอีกรอบรึไง”


    “ไอ้พี่บ้า!!!!”



    นี่โดนตะคอกไปขนาดนั้นแล้วนะ ยังจะมายิ้มหน้าระรื่นได้อีก



    จินที่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ถึงได้ถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด หรือจะบอกว่าแสร้งทำเป็นหงุดหงิดก็ได้ แค่นี้เขาก็เขินจะตายอยู่แล้ว แต่ไอ้แฟนตัวโตของเขาก็ไม่เคยจะรับรู้อะไรเลยสิน่า หรืออันที่จริงก็รู้อยู่ว่าเขาเขิน แต่ก็ชอบแกล้งกันให้เขินมากขึ้นไปอีก สักวันเขาคงจะได้เขินระเบิดตัวตายแหงๆ สุดท้ายทำอะไรไม่ได้เลยตัดสินใจมุดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มมันซะเลย

    แอสตันมองท่าทางตลกๆของเด็กในความดูแล พยายามกลั้นหัวเราะ เพราะถ้าเผลอหลุดขำออกไป มีหวังโดนเจ้าเด็กนี่งอน และหาทางเอาคืนเขาด้วยวิธีที่เจ็บแสบกว่านี้เป็นร้อยเท่าแหงๆ


    “โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ”


    “ไม่เชื่อ”


    พูดพร้อมกับพยายามดึงผ้าห่มออกจากเด็กตัวบาง แต่ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหน เจ้าเด็กแสบนี่ก็ยังคงเอาผ้าห่มพันตัวเองเอาไว้แน่น


    “จริงๆ ป่ะๆ ลุกไปอาบน้ำ จะได้พาออกไปหาข้าวเช้ากินกัน”


    ก็เลยเป็นฝ่ายลุกออกมาก่อน ยืนมองก้อนผ้าห่มที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงอย่างเอ็นดู ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆคลายตัว แล้วเลิกผ้าห่มขึ้น ให้เห็นเพียงแค่ดวงตาเรียวสวย ที่เป็นประกายวาววับ


    “พาไปกินอาหารญี่ปุ่นนะ”












    “โอ้โห สงสัยวันนี้ฝนจะตก ฟ้าจะถล่ม หรือหิมะจะตกเมืองไทยกันล่ะเนี่ย คุณชายแอสตันถึงได้ยอมเสด็จกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านได้”



    น้ำเสียงหวานที่คุ้นเคยทำเอาคนที่พึ่งจะก้าวเท้าเข้ามาในบ้านต้องหลุดส่ายศีรษะอย่างเอือมๆนิดหน่อย ก่อนจะก้มตัวลงให้เจ้าของเสียงที่พึ่งจะแซะเขาไปได้ยืดตัวขึ้นมาประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา



    “ก็กลัวว่าคนเป็นแม่จะลืมลูกชายคนนี้ ก็เลยคิดว่าควรจะกลับมาให้เห็นหน้าซะหน่อย”



    พูดพร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ข้างในเป็นขนมร้านโปรดของแม่ของเขา หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือร้านของแม่ของจินนั่นเอง ก็เจ้าแฟนตัวแสบพอรู้ว่าเขาจะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านก็รีบคะยั้นคะยอให้เขาเอาขนมที่ร้านกลับมาฝากเสียให้ได้ ถึงแม้จะเกรงใจ แต่เขาเคยเถียงเด็กนั่นชนะเสียที่ไหน



    “ก็ยังดีที่รู้ตัว ต๊าย นั่นขนมของร้านแม่ของหนูจินนี่ ทำไมมาแต่ขนม แล้วตัวคนล่ะ”



    พอเห็นว่าสิ่งที่เขายื่นให้แม่บ้านคืออะไร คุณนายประจำบ้านก็ตาลุกวาวขึ้นมาแทบจะในทันที แม่ของเขาถึงแม้จะอายุปาเข้าไปเลขห้าแล้ว แต่ก็ยังคงชอบทำตัวเป็นสาวแรกแย้มที่ชอบอะไรหวานๆอยู่เรื่อย

    แอสตันส่ายหัวนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยตอบว่าพึ่งจะพาน้องไปส่งที่บ้านก่อนแวะกลับมาบ้านนี่เอง แล้วทำไมต้องส่งสายตากรุ้มกริ่มแบบนั้นมาให้เขาด้วยเล่า


    “อะไรครับ”


    เมื่อเริ่มจะทนสายตาที่ส่งมาไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจถามออกไป คุณนายแฮมฟอร์ดแกล้งยกมือขึ้นมาดูแหวนเพชรเม็ดโตบนนิ้วตัวเองนิดหน่อย ท่าทางของคนเป็นแม่ทำเอาคนเป็นลูกอยากจะขับรถกลับคอนโดตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าเขามีธุระที่ต้องจัดการอ่ะนะ




    “ก็ไม่อะไรหรอก ได้ข่าวแว่วๆจากคุณมาริสามา ว่ามีคนบางคนขโมยเอาลูกชายของคนอื่นไปนอนด้วยที่คอนโด”




    คำพูดของคนเป็นแม่ทำเอาคนฟังต้องหยุดชะงัก รู้สึกร้อนเห่อขึ้นมาที่หน้าอย่างช่วยไม่ได้ เอามือปิดปากตัวเองตามนิสัยเวลาที่เขินจนทำอะไรไม่ถูก



    ให้ตายเถอะ นี่เขาเป็นคนเขินง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน



    คุณนายแฮมฟอร์ดเมื่อเห็นท่าทางเขินจัดของลูกชายคนเล็กก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจะลอยหน้าลอยตาไปบอกให้สาวใช้เตรียมสำรับเพิ่ม ทิ้งให้คนโดนล้อได้แต่กัดฟันกรอดๆ

    แอสตันสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อควบคุมสติของตัวเอง ที่นานทีปีหนจะหลุดลอยได้มากขนาดนี้



    คนที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้เลยนอกจากจิน ก็แม่ของเขานี่แหละ -_-^



    “แล้ววันนี้มีใครกลับมากินข้าวที่บ้านครับ”


    ตัดสินใจเดินตามคนเป็นแม่ไปที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเพราะไม่ได้กลับบ้านมานานพอสมควร คุณนายแฮมฟอร์ดเหลือบสายตามองคนเป็นลูก ก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำดื่มที่แม่บ้านยกมาเสิร์ฟไปให้

    “ก็คงพร้อมหน้าพร้อมตานั่นแหละ นานๆทีแกจะกลับมาบ้านนี่”


    “โธ่ แม่ครับ เลิกกัดผมซะทีเถอะ”


    เมื่อรู้สึกว่าจะโดนแซะมากไปหน่อย ก็เลยอดที่จะพูดออกมาไม่ได้จริงๆ คนเป็นแม่หัวเราะหึหึ ก่อนจะชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ เพื่อเป็นการฆ่าเวลารอให้คนอื่นๆกลับมา ถึงเธอจะดูเป็นคนเลี้ยงลูกแบบปล่อยๆไปบ้าง แต่เห็นแบบนี้ เธอก็คิดถึงลูกเป็นเหมือนกันนะ




    “โอ๊ะ สงสัยวันนี้ฟ้าจะถล่มแล้วล่ะครับ แอสตันกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านเนี่ย”



    คุยกันไปได้ไม่เท่าไหร่ เสียงทุ้มๆที่ทั้งสองคนคุ้นเคยดีก็ดังขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าห้องนั่งเล่น ก่อนจะตามมาด้วยอ้อมแขนแกร่งของคนเป็นพี่ชายที่วาดมาโอบรอบคอของแอสตันอย่างสนิทสนม


    “ทำไมใครๆก็พูดแบบนี้ครับ =_=” 



                   ทำเป็นเมินพี่ชายคนสนิทก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ


         


    “ก็เพราะแกไม่ค่อยกลับบ้านไงล่ะ”


    คำตอบของคนเป็นพ่อทำเอาคนเป็นลูกสะอึก ก็แบบปกติพ่อของเขาไม่ค่อยจะพูดจาอะไรแบบนี้ซะเท่าไหร่ การที่คุณแฮมฟอร์ดถึงกับปริปากออกมาแบบนี้ แปลว่าเขาคงจะเป็นอย่างที่ว่าจริงๆนั่นแหละ

    หลุดหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบๆก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างบอบบาง ที่โทรมลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตากลมโตเองก็ดูเหมือนจะมองมาทางเขาก่อนแล้ว ถึงได้เผลอสบตากันเข้าอย่างจัง แต่ครั้งนี้ไม่มีใครหลบสายตาใคร ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะค่อยๆขยับเปล่งเสียงออกมา



    “พี่รีฟา...ดูโทรมลงไปนะครับ”



    นัยน์ตากลมโตแทบจะมีน้ำระรื้นออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่เธอไม่ได้ยินมานาน แต่ก็ต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้ ริมฝีปากอวบอิ่มพยายามฝืนคลี่ยิ้มกลับไป



    “ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยสบายน่ะ”



    “เอาล่ะ แม่ว่าคงจะหิวกันแล้วล่ะ งั้นเรามากินข้าวกันดีกว่า นวล เตรียมสำรับเสร็จรึยังน่ะ”


    เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มจะแปลกไปมากทุกที คุณนายแฮมฟอร์ดเลยตัดสินใจพูดทำลายบรรยากาศมันซะเลย ทุกคนต่างมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนจะหลุดคลี่ยิ้มออกมา


    นั่นสินะ นานๆทีจะได้มาเจอหน้ากันพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ก็ควรจะพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มมากกว่า


    ร่างบางสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อจังหวะที่น้องของสามีเดินผ่าน มือหนาแอบยัดอะไรบางอย่างเข้าที่มือของเธอ




    ‘เจอกันที่ร้านxxx พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามนะครับ’











    แม้ใบหน้าหวานนั้นจะติดท่าทางหงุดหงิด และดูเหวี่ยงไม่น้อย แต่ร่างบางที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะติดริมกระจกกลับสามารถเรียกสายตาจากคนรอบข้างให้เผลอมองตามได้ไม่ยากเย็น

    ชิชาถอนหายใจยาวอย่างไม่สบอารมณ์ นิ้วมือเรียวเลื่อนสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เป็นรอบที่ล้านเห็นจะได้ เลื่อนจนหน้านิวฟีดทั้งไอจี เฟสบุ๊ค หรือทวิตเตอร์แทบจะไม่มีอะไรอัพเดท ก็เธอเล่นรีเฟรชมันทุกทุกสามวินาทีนี่ แต่จนแล้วจนรอดกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอก็ไม่ยอมโผล่หน้ามาสักคน

    หน้าจอโทรศัพท์ที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอสายเรียกเข้าทำเธอสะดุ้งนิดหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรเข้ามาเธอก็ไม่ลังเลที่จะสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย



    “บอกว่านัดบ่ายสามครึ่ง นี่มันบ่ายสามสี่สิบห้า ไม่เห็นมีใครโผล่หน้ามาสักตัว!!! -_-^”



    น้ำเสียงหวานหวีดแหลมใส่โทรศัพท์ ชนิดที่ว่าไม่อายโต๊ะข้างๆเลยแม้แต่น้อย แต่จะทำไมล่ะ เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ ไม่ชอบการที่ต้องมาคอยรักษาภาพพจน์ให้วุ่นวาย



    ‘เหย แก ชั้นขอโทษ ชั้นติดผ่าอาจารย์ใหญ่อยู่อ่ะแก’



    น้ำเสียงที่ถูกดัดให้หวานตามประสาชายไทยที่พยายามจะเป็นสาวดังลอดมาตามสาย ทำเอาหางคิ้วของเธอกระตุกถี่ยิบ



    “ไม่ว่างก็บอกไม่ว่างสิยะ เออ แกชั้นพอเข้าใจ แล้วยัยตังเมมันหายหน้าไปไหน ไหนบอกว่าเลิกบ่ายสองไง ทำไมยังไม่โผล่หน้ามาอีก”



    เมื่อเห็นว่าเพื่อนตัวเองพอจะมีเหตุผลว่าทำไมถึงมาสาย ก็เพราะเพื่อนสาว(?)ของเธอเรียนคณะแพทย์ เธอเลยไม่แปลกใจว่าถ้าจะติดเรียนจนเลยเวลาก็เป็นเรื่องปกติ แต่ยัยเพื่อนอีกคนที่เรียนคณะเศรษฐศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าว่างซะยิ่งกว่าอะไร ทำไมป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมาอีก


    ปลายสายที่พอจะจับความไม่พอใจจากเพื่อนสนิทตัวเองได้หลุดหัวเราะแห้งๆ ถ้าจะให้บอกว่ารายนั้นไม่ได้ไปเรียนตั้งแต่เช้า และคาดว่าตอนนี้คงจะแฮงค์และยังไม่ฟื้น มีหวังเพื่อนสนิทของเธอต้องอาละวาดแหงๆ




    ขึ้นชื่อว่าชิชาแล้ว เกลียดการรอคอยเป็นที่สุด




    ‘แกใจเย็นๆก่อนนะ นี่ชั้นผ่าจะเสร็จแล้ว อีกสิบนาทีรับรองจะโผล่หน้าสวยๆไปให้เห็น’



    “เออๆ รีบมาเลย มาแล้วเลี้ยงน้ำชั้นด้วย”



    ‘ยัยงก =_=’



    “ให้เวลาแค่สิบนาที ไม่มาชั้นจะไม่ยอมให้เบอร์พี่วินสุดหล่อของแก แล้วก็จะเอาเรื่องน่าอายของแกไปเล่าให้พี่เค้าฟังจนพี่เค้ากลัวไม่กล้ามาเจอหน้าแกอีกเลยตลอดชีวิต”



    ‘กรี๊ด นังบ้า เออๆๆๆๆ’


    หลังจากจัดการขู่เข็ญเพื่อนได้สำเร็จ อารมณ์หงุดหงิดของเธอก็ลดลงไปบ้าง นัยน์ตากลมโตเลื่อนจากหน้าจอโทรศัพท์ออกไปมองวิวที่นอกหน้าต่างเพื่อเป็นการพักสายตาแทน เลื่อนมองคนที่เดินไปมาข้างนอกไปเรื่อย ก่อนจะชะงักเข้ากับร่างสูงที่เธอคุ้นเคย




    นั่นมันแอสตันนี่นา!



    ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ตั้งท่าจะลุกขึ้นเพื่อออกไปหาเพื่อนร่วมคณะรูปหล่อ แต่ก็ต้องเผลอชะงักค้าง เมื่อเห็นใครอีกคนที่คนตัวสูงหันหลังกลับไป ก่อนที่มือหนานั่นจะเลื่อนไปกุมมืออย่างทะนุถนอม และดึงตัวให้เขยิบมาข้างหน้า เพื่อที่จะได้เดินเคียงข้างกัน


    What the heck is that !!!













    “ผมขอโทษที่ไม่ยอมติดต่อกับพี่นะครับ”


    น้ำเสียงทุ้มที่เธอคิดถึง ตอนนี้ดังอยู่ใกล้ๆ ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว ใบหน้าคมคายที่เธอไม่ได้เห็นมาหลายวัน ยังดูเปล่งประกายไม่เปลี่ยน เผลอๆอาจจะมากกว่าตอนที่อยู่กับเธอเสียด้วยซ้ำ เด็กน้อยของเธอกำลังเปลี่ยนไปแล้วสินะ



    “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแบบนี้พี่เข้าใจ พี่เองก็...เร่งรัดนายเกินไป”



    พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แต่มันก็ช่างยากเหลือเกิน รู้สึกขอบตาของตัวเองร้อนผ่าว และน้ำใสๆก็ไหลออกมาจากตาของเธออย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงมืออุ่นๆที่กำลังกุมมือของเธออยู่ตอนนี้ 



    “อย่าร้องไห้สิครับ น้ำตาไม่เหมาะกับพี่หรอกนะ”



    “…”



    “รอยยิ้มของพี่น่ะ สวยที่สุดเลยรู้มั้ยครับ”



    ถึงแม้จะเป็นถ้อยคำหวานเหมือนที่แอสตันเคยพูดกับเธอบ่อยๆ แต่เธอรู้ รู้ว่าความรู้สึกของคนตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตอนไหนเธอก็ไม่รู้หรอก แต่มารู้ตัวอีกที เธอก็กำลังจะเสียคนคนนี้ไปซะแล้ว


                   ยิ้มรับ ก่อนจะค่อยๆหลับตา ปล่อยให้มือของรุ่นน้องตรงหน้าเกลี่ยน้ำตาออกให้



    “งั้นนายก็ควรจะทำให้พี่ยิ้มสิ”



    ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้มือที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่หยุดชะงัก นัยน์ตากลมสวยลืมขึ้น ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาคมของคนที่อยู่ตรงหน้า




    “ทำไม่ได้อย่างนั้นหรอ”




    แอสตันหลุดคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ มันอยู่ที่ว่าเขาจะทำมันรึเปล่าต่างหาก และสิ่งที่เป็นตัวตัดสิน ก็มีอยู่แค่สิ่งเดียวเท่านั้น


    “พี่รีฟาครับ ผมว่า...เราไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องนี้มันคาราคาซังมากไปกว่านี้แล้ว”


    “พวกเราควร...”


    ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค ร่างบอบบางกลับโผเข้ากอดเขาเสียก่อน อ้อมแขนบางๆนั้นสั่นเทา น้ำใสๆจากนัยน์ตากลมสวยไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้ ความเจ็บปวดที่ถูกส่งมาจากร่างตรงหน้านั้นมากมายจนเขาสามารถรับรู้ เพราะเขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน

    แขนแกร่งค่อยๆเลื่อนไปโอบกอดร่างบางตอบ กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นดึงตัวอีกฝ่ายให้จมลงมาในอ้อมอก กลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคยทำเอาเขารู้สึกปวดหนึบ



    พวกเขาสองคนผ่านอะไรมาด้วยกันมามาก มากจริงๆ ไม่รู้ว่าร้องไห้ด้วยกันมากี่ครั้ง คอยให้กำลังใจกันและกันมากี่หน ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร พวกเขาต่างก็คอยส่งรอยยิ้มให้กัน และบอกกันเสมอว่าจะผ่านมันไปให้ได้


    ความรักที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความรักที่ผิวเผิน ไม่ใช่ความรักที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่มันเกิดขึ้นจากความเข้าใจ ความผูกพัน และทุกความรู้สึกดีๆ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่อะไรที่ปุบปับจะตัดมันทิ้งได้ง่ายๆ




    นัยน์ตาคมปิดเข้าหากันแน่น กอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก พยายามเก็บเกี่ยวทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกของคนตรงหน้าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะหลังจากนี้ไป เขาคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว



    เพราะพวกเขาทำร้ายคนรอบข้างมามากเกินพอแล้ว...




    มือหนาค่อยๆเชยคางของร่างบางขึ้น นัยน์ตากลมโตที่แดงระเรื่อทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะจบเรื่องพวกนี้ลง โดยที่ไม่มีใครเจ็บ อย่างน้อยไม่เขาก็รีฟาที่ต้องเจ็บ แต่ถ้าเหตุการณ์มันเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ คนที่เจ็บก็คงจะเป็นพี่ชายของเขา...หรือแม้กระทั่งจิน

    เม้มริมฝีปากแน่นอย่างช่างใจ แต่เขาตัดสินใจมาดีแล้ว เขาไม่อยากจะให้เรื่องนี้ยืดเยื้อมากไปกว่านี้ พวกเขาทั้งสองคนควรจะรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง



    “ขอโทษนะครับพี่รีฟา”



    “ผมว่าเราควรจะไปตรวจ DNA”



    “แล้วหลังจากนั้น เราค่อยมาคุยกันอีกทีว่าเราควรจะทำยังไงต่อไป”



    น้ำใสๆยังคงไหลออกมาจากดวงตาของเธอไม่หยุด แต่ครั้งนี้เธอเลือกที่จะเช็ดน้ำตานั้นด้วยตัวเอง นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาทำตัวอ่อนแอ ตอนแรกเธอรู้สึกโกรธที่แอสตันตัดสินใจเองอยู่คนเดียว ไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย


    แต่ถ้าหากลองมาคิดดีๆ นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เธอเองก็ไม่อยากจะทำร้ายออสตินมากไปกว่านี้...














    ชิชายกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเพื่อไม่ให้เผลอหลุดเสียงอุทานออกมา เรื่องที่เธอพึ่งจะได้ยินมามันคือเรื่องบ้าอะไรกัน!!!!

    เธอเพียงแค่ตั้งใจจะมาทักแอสตันตามปกติ และแอบดูท่าทางว่าคนทั้งคู่เป็นอะไรกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแทรกเข้าไปตอนไหน ถึงได้ตัดสินใจยืนหลบมุมอยู่ข้างๆแบบนี้


    บังเอิญได้ยินเรื่องที่ไม่ควรจะได้ยินซะแล้วสิ เธอควรจะทำยังไงต่อไปดี...
















    ----------------------------------------------


    Talk : หายไปนานมากจริงๆ ขอโทษจริงๆนะคะ

             คราวนี้ไรท์กลับมาพร้อมกับมาม่าร้อนๆเลยอ่ะ

             รู้สึกตัวเองทำให้เรื่องยืดเยื้อมากไปหน่อย แหะๆ

             ต่อไปเรื่องกำลังจะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะคะ

             ไม่เอาไม่อยากสปอยมาก อิอิ

             ยังไงก็ช่วยกันเอาใจช่วยแอสตันกับน้องจินของเรากันด้วยน้า

             ขอบคุณที่คอยติดตามค่ะ จุ๊บๆ ^3^








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×