ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #27 : -25-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 267
      3
      26 มิ.ย. 58




    -25-






                 “ขับรถดีๆล่ะ” คุณนายแฮมฟอร์ดเอ่ยเตือนลูกชายคนโตของตัวเอง ร่างสูงหันมายิ้มให้คนเป็นแม่ วันนี้เขากำลังจะพาภรรยาคนสวยไปทานดินเนอร์สุดหรูที่รบเร้าให้คุณนายประจำตระกูลช่วยจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ คนเป็นแม่ถอนหายใจเบาๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าลูกชายของเธอน่ะตื่นเต้นมากขนาดไหน ก็วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานปีที่สองของคนทั้งคู่นี่นา


    “ครับ เจอกันวันอาทิตย์นะครับ” ออสตินพูดยิ้มๆ ก่อนจะจัดการเปิดประตูให้ภรรยาของตัวเอง รีฟาหันไปบอกลาคนเป็นแม่ยายอย่างนอบน้อม ก่อนจะค่อยๆก้าวขึ้นรถ คุณนายแฮมฟอร์ดยืนมองรถยนต์คันหรูค่อยๆแล่นออกจากบ้านอย่างเป็นห่วง  

                      

    ‘หวังว่าแกจะเอาชนะใจหนูรีฟาเค้าได้นะออสติน’








    ทั้งสองใช้เวลาขับรถสองชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงร้านอาหารที่จองเอาไว้เรียบร้อย บริกรเข้ามาทักทายคนทั้งคู่อย่างสนิทสนม ก่อนจะนำทางไปยังโต๊ะที่จองไว้ ออสตินยิ้มรับก่อนจะให้ทิปอย่างที่เคยทำทุกที เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขามาที่นี่นี่นา


    “ช่วงนี้รีฟาดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ” หลังจากมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง ออสตินก็ไม่ทิ้งโอกาสที่จะเอ่ยถามเรื่องที่เขาไม่สบายใจ


    หลายวันมานี้ ไม่สิ เกือบจะเป็นเดือนแล้วล่ะมั้ง ที่เขารู้สึกว่าภรรยาของเขาแปลกๆไป นัยน์ตากลมสวยมักจะฉายแววเจ็บปวดอยู่เสมอ เขาเคยคิดว่าสามารถทำให้หญิงสาวคนนี้เปิดใจให้กับเขาแล้ว แต่เปล่าเลย แถมตอนนี้เขายังรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้สร้างกำแพงขึ้นมาแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก


    “ออสตินคิดไปเองแล้วล่ะ” รอยยิ้มฝืนๆนั่นไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่อยากจะพูดถึงมัน เขาก็จะไม่พูดถึง เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ ถึงแม้จะรู้ว่าหากปล่อยไปอาจจะเกิดปัญหาคาราคาซังตามมาได้ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ เขายอม ยอมได้ทุกอย่างเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า



    “จ้าๆ คิดไปเองก็คิดไปเอง วันนี้เรามามีความสุขกันให้สุดๆไปเลยดีกว่าเนอะ”



    “อื้ม”


    ถ้อยคำตอบรับเพียงสั้นๆทำเอาหัวใจของเขากระตุกวูบ ความห่างเหินที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมาตอนไหน มันทำให้เขากลัว กลัวว่าภรรยาของเขากำลังเปลี่ยนไป ไม่สิ จะพูดว่าเปลี่ยนไปก็คงจะไม่ถูก เพราะคนตรงหน้าเขากำลังกลับไปเป็นเหมือนกับตอนที่พวกเขาพึ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ


    ตอนที่ในหัวใจของเธอไม่เคยมีเรื่องของเขาอยู่ในนั้นเลย


    มื้อค่ำดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศน่าอึดอัดทำเอาบริกรประจำโต๊ะต้องพยายามเลี่ยงตัวออกมา ถ้าไม่มีคนบอกว่าวันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของคนทั้งคู่เขาคงจะดูไม่ออกแน่ๆ


    “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ อร่อยมากเลย” เสียงทุ้มเอ่ยกับบริกรอย่างที่เคยทำเป็นประจำ บริกรหนุ่มคลี่ยิ้มรับก่อนจะก้มศีรษะเป็นการขอบคุณ ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่ดี ขนาดเขาเป็นผู้ชายด้วยกันยังต้องยอมรับ เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งเขาถึงได้แอบเชียร์ให้ออสตินกับภรรยารักกันไปนานๆ


    ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆกับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไปหน่อยก็เถอะ...








    “รีฟากำลังคิดอะไรอยู่งั้นหรอ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทำลายความเงียบ เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามี’ ของเธอเอง ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ที่มีดวงดาวนับล้านดวงกำลังแข่งขันกันทอแสง


    เหมือน เหมือนกันราวกับฝาแฝด


    สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ช่วงที่ผ่านมานี้ในหัวของเธอมีแต่เรื่องของแอสตันเต็มไปหมด เธอรู้ รู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังค่อยๆเปลี่ยนไป หัวใจที่เคยอยู่ที่เธอกำลังพยายามดิ้นรน หนีออกจากอ้อมกอดของเธอ ไปหาใครอีกคน ที่มาทีหลัง แต่กลับกล้าเข้ามาทำลาย และแย่งทุกสิ่งไปจากเธอ เธอไม่อยากจะยอมรับความจริง เพราะอันที่จริงแล้ว เธอเองก็เอ็นดูเด็กคนนั้นไม่น้อย


    แค่นี้...ก็เลวจนไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกผิดที่ก่อตัวในใจของเธอยังไงแล้ว


    “รีฟาครับ” น้ำเสียงทุ้มดึงเธอออกมาจากภวังค์ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่ค่อยๆทาบทับลงมาที่ริมฝีปาก นิ่งค้างอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนที่ออสตินจะค่อยๆถอนริมฝีปากออกมา



    “เวลาที่รีฟาอยู่กับออสติน ออสตินอยากให้รีฟาคิดถึงแต่ออสติน...”


    ได้โปรดอย่ามองเธอด้วยสายตาหวานซึ้งแบบนั้น



    “ออสตินรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ใช่มั้ยล่ะ”



    ได้โปรดอย่าคลี่ยิ้มเศร้าๆแบบนั้นมาให้เธอ



    “แต่ขอแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเพียงสองคนตามลำพัง”


    “ขอให้รีฟาช่วยคิดถึงออสตินบ้างสักนิดจะได้รึเปล่า”



    ได้โปรดอย่าขอร้องเธอด้วยน้ำเสียงวิงวอนเหมือนกับตัวเองไม่เหลืออะไรอีกแล้ว



    น้ำอุ่นๆค่อยไหลออกมาจากดวงตาของเธออย่างไม่อาจห้ามได้ เธอกำลังทำอะไร ทั้งๆที่ผู้ชายตรงหน้าเธอนั้นช่างแสนดี เพียบพร้อม และรักเธออย่างสุดหัวใจ แต่เธอกลับโหยหาใครอีกคน ที่กำลังทำร้ายหัวใจของเธออยู่


    ทำไมเธอถึงได้เลวขนาดนี้กันนะ...


    “ทำไม... ทำไมถึงต้องเป็นรีฟา”


    อาจจะดูเป็นคำถามโง่ๆ แต่เธอสงสัย สงสัยจริงๆ ทั้งๆที่คนตรงหน้ารู้ รู้อยู่เต็มอกว่าเธอไม่ได้รัก ก่อนที่จะแต่งงานกัน ไม่มีความรักอยู่ระหว่างเธอกับออสตินเลยแม้แต่น้อย ไม่สิ เธอรู้ว่าออสตินรักเธอ แต่เธอก็บอกไปอย่างชัดเจนว่าหัวใจดวงนี้ ได้มอบให้ใครคนหนึ่งไปแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้กลับยืนยัน ที่จะแต่งงานกับเธอ ทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องเจ็บปวด แต่ทำไมถึงยังยอมทำเพื่อเธอขนาดนี้กัน


    “รู้ตัวมั้ยว่ารีฟาถามออสตินคำถามเดียวกันกับปีที่แล้วเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มพูดกลั้วหัวเราะ ถึงแม้ว่ามันจะดูฝืดเฝื่อนไปหน่อย มือหนาเลื่อนไปเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มเนียนเบาๆ



    “และออสตินก็จะตอบคำตอบเดิม”



    “แล้วทำไมต้องไม่ใช่รีฟาล่ะครับ”



    เหมือนกำแพงที่เธอพยายามสร้างขึ้นมากั้นระหว่างเธอกับคนตรงหน้ากำลังค่อยๆเกิดรอยร้าว



    “ตามสัญญาของเราคือสามปีใช่มั้ย ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งปีที่ออสตินจะทำให้รีฟาตกหลุมรักออสตินนี่”



    นัยน์ตาคมที่มองมาทางเธออย่างตัดพ้อ แต่ริมฝีปากได้รูปนั้นกลับฝืนคลี่ยิ้มออกมา ทำเอาหัวใจของเธอกระตุกวูบ เธอรู้ รู้ว่าคนตรงหน้ารักเธอมากแค่ไหน และเธอเองก็อยากจะรักคนตรงหน้า อย่างหมดหัวใจไม่ต่างกัน


    เพียงแต่ว่าเธอทำไม่ได้ ไอ้หัวใจไม่รักดีของเธอ มันไม่เคยฟังเธอเลย

    “คืนนี้ช่วยทำให้รีฟาคิดถึงแต่ออสตินด้วยเถอะค่ะ”





    หลังจากจบบทสนทนาที่เต็มไปด้วยน้ำตามาอย่างยากลำบาก ภรรยาสาวคนสวยของเขาก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อย ก็เล่นร้องไห้เกือบๆชั่วโมงนี่นะ แล้วยังต้องมาใช้พลังงานกับเรื่องอื่นอีก แต่ก็เป็นเรื่องดีแล้วล่ะ ที่เธอไม่ต้องมาเห็นสภาพที่แสนจะน่าเวทนาของเขาในตอนนี้


    หญิงสาวคนนี้เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขาถึงกับต้องเสียน้ำตา


    เขาพบกับรีฟาได้ยังไงงั้นหรอ สำหรับเขาแล้วเขาเชื่อว่ามันเป็นพรหมลิขิตล่ะ อาจจะเป็นอะไรที่คิดเข้าข้างตัวเองไปเสียหน่อย แต่เขาเจอกับรีฟาได้เป็นเพราะสิ่งบนฟ้าจริงๆ ก็วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักอย่างกับพายุเข้าเลยนี่นา





    “โธ่เว้ย ทำไมต้องมาเสียตอนนี้ด้วยวะ” ร่างสูงสบถออกมาอย่างหงุดหงิดใจ เมื่อจู่ๆ BMW ลูกรักกลับเครื่องดับไปเสียดื้อๆ อย่างน้อยโชคก็ยังเข้าข้างเขาที่มาเสียเอาตอนขากลับจากการประชุมผู้บริหาร แต่ก็ดูเหมือนจะกลั่นแกล้งเขาไปหน่อย ตรงที่ปล่อยให้เม็ดฝนหล่นลงมาจากท้องฟ้าชนิดที่ว่าแทบจะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ถัดไปเพียงไม่กี่ก้าว


    หลังจากเช็คเครื่องยนต์ไปสองรอบก็รู้ว่าตัวเองคงจะทำอะไรไม่ได้ เลยตัดสินใจหุบร่มแล้วกลับเข้ามานั่งรอในรถ โทรศัพท์มือถือที่แบตหมดไปหลายชั่วโมงก่อน ถูกโยนทิ้งไว้ที่เบาะหลัง ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการนั่งรอให้มีรถสักคันผ่านมาไปเรื่อยๆ



    วันนี้มันเป็นวันซวยของเขาจริงๆนั่นแหละ เพราะการประชุมที่มีปัญหาขัดแย้งกัน ทำให้ต้องกินเวลานานกว่าปกติ จนเขาเผลออารมณ์เสีย และโดนคนเป็นพ่อไล่ออกมาจากห้องประชุม ต่อหน้าผู้บริหารคนอื่นๆ ทำไมถึงได้ทำอะไรไม่ไว้หน้ากันบ้างเลยนะ


    เขารู้ ว่าเขาน่ะถูกคาดหวังเอาไว้สูงจากคนรอบข้าง แต่ในบางครั้งเขาก็อยากจะเป็นตัวของตัวเองดูบ้าง อยากจะแสดงความคิดเห็น แสดงความสามารถที่เป็นตัวของเขา ที่ต่างออกไปจากอะไรเดิมๆที่พ่อของเขาเคยทำเอาไว้ แต่สุดท้าย กลับโดนปฏิเสธ เหมือนกับกำลังเป็นหุ่น หุ่นเชิดตัวหนึ่งที่ต้องทำตามการควบคุมของคนอื่น


    “โธ่เว้ย” สบถออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะทุบกำปั้นไปที่พวงมาลัยรถเต็มแรง เสียงบีบแตรดังลั่นแข่งกับเสียงของสายฝน แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครได้ยินมันอยู่แล้วล่ะ ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาสักคนหรอก....


    “เอ่อ เป็นอะไรรึเปล่าคะ”





    “ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อแล้ว” เอ่ยขอบคุณเขินๆ หญิงสาวตรงหน้าคลี่ยิ้ม ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มร้อนๆมาเสิร์ฟให้กับชายหนุ่มตรงหน้า


    หลังจากนั่งรอในรถนานกว่าสองชั่วโมง ก็มีคนขับรถผ่านมาทางเขาพอดี และสุดท้ายเขาก็มาจบลงที่ร้านเบเกอรี่เล็กๆแห่งหนึ่งในย่านการค้า โดยมีเจ้าของบ้านเป็นหญิงสาวคนสวยที่ยอมให้คนแปลกหน้าแบบเขาเข้ามาหลบฝน


    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คงต้องรออีกสักพักกว่าช่างจะติดต่อมา ถ้าไม่รังเกียจก็พักที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน”


    “ขอรบกวนหน่อยนะครับ” ก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ก่อนจะรับแก้วเครื่องดื่มมาจิบ รสชาติหวานปนขมของโกโก้ค่อยๆทำให้เขาผ่อนคลาย น่าแปลก ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ชอบดื่มแต่กาแฟดำขมๆเท่านั้น แต่โกโก้แก้วนี้กลับ...ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป


    “ดีนะคะที่คุณบีบแตรเสียงดังแบบนั้น ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางขับรถไปทางที่รถคุณอยู่แน่ๆ” น้ำเสียงหวานค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่ร่างบางจะหยุดที่ตรงหน้าเขา และค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพึมพำเสียงเบา


    “ก็นึกว่าจะไม่มีใครได้ยินเสียอีก”


    “คะ”


    “เปล่าหรอกครับ” เอ่ยปัดแผ่วๆก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบอีกครั้ง พยายามไม่สนใจสายตาแปลกๆที่เจ้าของบ้านส่งมาให้ รู้ว่าอาจจะเป็นการเสียมารยาท แต่ตอนนี้เขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์มาสนใจเรื่องมารยาทพื้นฐานเสียเท่าไหร่



    “คุณก็ทำถูกแล้วนี่นา ถ้าคุณเลิกบีบแตรไปเสียดื้อๆก็คงไม่มีใครได้ยินคุณหรอกค่ะ มันอาจจะเหนื่อยและน่ารำคาญไปบ้าง แต่เพราะคุณยังส่งเสียงแบบนั้นไปเรื่อยๆ ฉันถึงได้ได้ยินและมาช่วยคุณไง”



    ทั้งๆที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่คำพูดของคนตรงหน้ากลับกระแทกเข้าที่หัวใจของเขาเข้าอย่างจัง เขารู้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ได้รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร แต่คำพูดซื่อๆนั่นกลับเหมือนกับค้อนอันเล็กๆที่ค่อยๆทำลายก้อนอะไรบางอย่างที่อยู่ในหัวใจของเขา มันค่อยๆแตกออก


    และสุดท้าย...หัวใจของเขากลับเบาหวิวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว


    เงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว เป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตใบหน้าของผู้ช่วยชีวิตเขาชัดๆ และนั่นทำให้เขาค้นพบว่า 


    ‘รักแรกพบ’


    มันเป็นยังไง


    “เอ่อ ถ้าไม่เป็นการลำบากใจ ขอผมทราบชื่อคุณได้มั้ยครับ เอ่อ...ต้องแนะนำตัวผมก่อนสินะ อะ...อืม ผมชื่อออสตินนะครับ ไม่ได้เป็นคนไม่น่าไว้วางใจอะไร อ่า จะว่าไงดี เป็นผู้บริหาร ไม่ใช่สิ เป็นนักธุรกิจน่ะครับ” อยากจะเอาหัวมุดดินไปซะให้รู้แล้วรู้รอด เขาเป็นอะไรไปเนี่ย ขนาดตอนพรีเซนต์งานกับบอร์ดผู้บริหาร เขายังไม่ประหม่าขนาดนี้เลย ก็เลยเผลอพูดจาอะไรน่าอายออกไปจนได้


    “…” เสียงหัวเราะสดใสเรียกสายตาของเขาต้องหันไปมอง


    “คุณนี่...ตลกดีนะคะ ชื่อรีฟา เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยค่ะ” ใบหน้าหวานที่กำลังคลี่ยิ้มกว้าง เปล่งประกายเกินไปแล้ว มันกำลังทำให้เขาตาพร่า หัวใจที่เต้นคงที่มาตลอดหลายปี ค่อยๆเต้นรัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


    ‘รีฟาอย่างงั้นหรอ’








    “ขอโทษนะคะ ออสติน แต่ฉันมีแฟนอยู่แล้ว”


    และหลังจากนั้น เขาก็ไม่ลังเลใจที่จะแวะมาเยี่ยมเยียน และแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ว่าเขา... ตกหลุมรักหญิงสาวคนนี้ไปเสียแล้ว


    ...แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาช้าไปเสียหน่อย


    “อ่ะ เอ่อ งั้นหรอครับ ผมทำให้คุณลำบากใจสินะ” แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากหัวเราะแก้เก้อ แต่ก็รู้ตัวดีแหละว่า ตอนนี้เขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา แต่ก็นะ เขาไม่ชอบที่จะแย่งของของใครหรอก เมื่อถูกปฏิเสธชัดเจนแบบนี้แล้ว เขาก็คงจะต้องยอมแพ้นั่นแหละ


    “ถ้าออสตินไม่รังเกียจ ให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้มั้ยคะ” น้ำเสียงหวานราวกับน้ำเย็นชะโลมใจ เขารู้ว่าตอนนี้เขาจะต้องดูน่าสมเพชมากแน่ๆ มากจนหญิงสาวตรงหน้าต้องหาประโยคมาพูดเพื่อปลอบใจเขาแบบนี้ หลุดคลี่ยิ้มฝืนๆออกมา


    เขายอมรับว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ และอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้...


    “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ใช่คนดีขนาดที่จะคิดกับรีฟาแค่เพื่อน ถ้าผมยังมาเจอคุณแบบนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับความสัมพันธ์ของคุณกับแฟนหรอกนะครับ”


    หลังจากวันนั้น ก็ตั้งใจแล้ว ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องตัดใจ เขาน่ะเป็นถึงนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อ ทายาทคนโตของตระกูลแฮมฟอร์ด บุคคลที่ใครๆต่างก็จับตามอง ไม่นานก็ต้องมีใครสักคน ใครที่เข้ามาในชีวิตของเขา และทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะได้อีกครั้งแน่ๆ...


    ใช่ เขาคิดไว้แบบนั้น และคงจะทำตามที่คิดไว้แน่ๆ ถ้าไม่เจอเหตุการณ์นั้นเข้าเสียก่อน...















    “นี่นาย ยังไม่หมดเวลาเรียนเลยนะ จะไปไหนน่ะ!!!” คุณครูสาวตวาดกร้าวเมื่อจู่ๆเด็กนักเรียนคนหนึ่งของเธอกลับลุกขึ้นพรวด และวิ่งออกนอกห้องไป ไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอกำลังสอนอยู่หน้ากระดานเลยแม้แต่น้อย


    สไปรท์ถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปสบตาบรรดาสมาชิกในวงที่กำลังมองมาทางเขาอย่างขอคำอธิบาย ก้มหน้าลงนิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆพรมนิ้วลงบนหน้าจอมือถือ


    ‘พี่แอสตันไม่สบาย’









    “แอสตันเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงทุ้มๆของพี่วินัยทำเอาเรียวกับต้นไผ่สะดุ้ง ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียง รุ่นพี่ปีสองสองสามคนที่พอจะจำหน้าได้ลางๆว่าเป็นฝ่ายดูแลน้อง กำลังยืนทำหน้าเครียดอยู่จนพวกเขาเริ่มจะรู้สึกแย่ถ้าไม่รีบอธิบายอาการของไอ้เพื่อนบ้านั่นให้ฟัง


    “เอ่อ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ดูเหมือนจะเครียดลงกระเพาะน่ะครับ” เรียวพูดพลางหลุดคลี่ยิ้มแห้งๆ ไม่แปลกหรอกที่คนอื่นๆจะตกใจกันขนาดนั้น ก็จู่ๆเพื่อนหน้าหล่อของเขากลับวิ่งพรวดพราดออกจากห้องเชียร์ ตรงดิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ ก่อนจะสลบเหมือดไป ชนิดที่ว่าทำเอาคนที่วิ่งตามมาดูนี่หัวใจแทบจะวาย


    “อืม งั้นพวกนายอยู่เฝ้าเพื่อนไปแล้วกัน เรื่องห้องเชียร์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”


    “อ่า ขอบคุณมากครับ”




    “พี่เรียว พี่ต้นไผ่ พี่แอสตันเป็นยังไงบ้างครับ!!!”


    น้ำเสียงนุ่มที่ทั้งสองคุ้นเคยดีดังมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างบางๆของรุ่นน้องคนสนิทจะค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอน ตามประสา จิน นักร้องนำวง alcoholic หรือจะเป็น เจ้าเด็กจอมแสบหวานใจเดือนคณะ ย่อมตกเป็นเป้าสายตาได้ไม่ยาก ถ้าไม่นับหน้าตาสวยๆนั่นก็คงจะเป็นเพราะหัวฟ้าๆที่คนอื่นไม่ค่อยทำกันล่ะมั้ง


    “หืม นั่นมันน้องจินวง alcoholic นี่นา” เห็นมั้ยพวกเขาพูดผิดซะที่ไหน แถมคนที่กรี๊ดเจ้าเด็กแสบนี่ยังเป็นพี่คณะของเขาอีกต่างหาก


    “อ๊ะ เอ่อ สวัสดีครับ” ร่างบางก้มหัวลงทักทายอย่างเก้กัง เขาลืมไปเลยว่าที่นี่คือมหาวิทยาลัยของรุ่นพี่ ก็แบบพอได้รับข้อความจากพี่เรียวว่าพี่แอสตันไม่สบาย อาเจียนแล้วก็สลบไป เขาก็ลุกขึ้นพรวดแล้วตรงดิ่งมาที่นี่โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรเลยน่ะสิ


    “งั้นพวกผมขออนุญาตนะครับ” เรียวพูดขัดจังหวะนิดหน่อย เมื่อได้รับสายตาขอร้องจากรุ่นน้องอย่างจิน ก็แหม ถ้าเขาไม่พูดขัดขึ้นมาบรรดารุ่นพี่ของเขาก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเด็กแสบนั่นได้ไปไหนง่ายๆหรอก



    เป็นคนดังนี่ใช้ชีวิตลำบากจริงๆเลย =_=




    “หืม มาทำอะไรน่ะ ไม่มีเรียนรึไง” ทันทีที่แอสตันฟื้นขึ้นมาก็ปะทะสายตาเข้ากับนัยน์ตาเรียวสวยที่จ้องแป๋วมาทางเขา ยอมรับว่าตกใจ แถมยังแอบโกรธหน่อยๆที่เจ้าเด็กดื้อนี่มาหาเขาทั้งๆที่โรงเรียนยังไม่เลิก แต่จะดุก็ดุไม่ลง เพราะรู้ดีว่าที่จินทำไปเพราะเป็นห่วงเขาทั้งนั้นแหละ


    คนอายุน้อยที่สุดในห้องพองแก้มอย่างไม่ค่อยพอใจ เมื่อคำพูดแรกที่รุ่นพี่คนสนิทพูดก็กลายเป็นคำดุเขาไปซะอย่างนั้น นี่ไม่รู้ตัวเลยรึไงนะว่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงมากแค่ไหนน่ะ


    “ก็ใครใช้ให้เป็นลมล้มไปเล่า คนอื่นเขาก็เป็นห่วงสิวะ” บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว แต่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่ารุ่นพี่ที่นอนอยู่บนเตียงน่ะหูดีมากแค่ไหน แอสตันหลุดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็เจ้าเด็กนี่น่ะไม่เคยเรียงลำดับความสำคัญของเหตุการณ์ต่างๆได้ถูกต้องซะทีน่ะสิ


    “ก็แค่เป็นลม มันไม่คุ้มกับที่จินต้องโดดเรียนมาหรอกนะ แล้วทำไมพูดจาไม่เพราะแบบนี้ล่ะ หืม” น้ำเสียงทุ้มเข้มขึ้นเล็กน้อย ตามประสาคนอายุมากกว่ากำลังอบรมรุ่นน้อง แต่คิดว่าอย่างจินจะฟังคนอื่นเขามั้ยล่ะ เพราะนอกจากจะไม่ฟังแล้วยังมาทำท่าทางงอนๆใส่อีก


    แอสตันถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาบอกไอ้เพื่อนสนิทจอมจุ้นสองตัว ที่ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในห้องว่าเขาต้องการเวลาเป็นส่วนตัว


    เรียวกับต้นไผ่หันไปสบตากันนิดหน่อย ก่อนจะหลุดหัวเราะคิกคักกันสองคน คงจะอยู่แกล้งเจ้าเพื่อนบ้านั่นอีกหน่อยอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าโดนสายตาอำมหิตของแอสตันที่นานทีปีหนจะส่งมาให้ ก็เลยจำใจเคลื่อนตัวออกจากห้องไป แต่ก็ไม่วายส่งสายตาล้อเลียนเป็นการทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายเอาไว้ แล้วรีบวิ่งฉิวออกมา



    เมื่ออยู่กันสองคนแอสตันก็ไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับแฟนเด็กจอมแสบของตัวเอง มือหนายกขึ้นก่อนจะกวักมือเรียกให้เจ้าเด็กแสบเขยิบตัวเข้ามาใกล้ จินเห็นแบบนั้นถึงแม้จะแอบดีใจลึกๆ แต่จะให้แสดงอาการออกนอกหน้ามันก็ไม่ใช่ใช่ป่ะ ก็เลยแกล้งวางฟอร์มเอาไว้บ้าง


    “อะไร เห็นเป็นหมารึไง” 


    ถ้อยคำตอบกลับเจ็บแสบทำเอาแอสตันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ความรู้สึกหนักๆที่หัวที่มีมาหลายวันค่อยๆหายไปทีละนิดๆ ยอมรับสองวันที่เขาไม่ได้เข้ามามหาวิทยาลัยเขาเก็บตัวอยู่ในห้องแทบจะตลอดเวลา ไม่ได้ติดต่อรีฟากลับไป ไม่อยากจะออกไปไหน ไม่อยากจะเจอใคร หรือทำอะไรเลยแม้แต่น้อย


    ในหัวเอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาควรจะทำยังไงดี ถ้าเกิดเด็กในท้องของรีฟาเป็นลูกของเขาขึ้นมา ความลับที่เก็บเอาไว้มานานก็จะต้องถูกเปิดเผย และแน่นอนว่าครอบครัวของเขาคงจะต้องมีปัญหากันแน่ๆ ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองป้องกันทุกครั้งก็เถอะ แต่มันก็มีข้อผิดพลาดได้ไม่ใช่รึไง



    เหมือนกับความผิดที่ตัวเองทำกำลังวิ่งกลับมาทำร้ายเขาเป็นบทเรียน แถมยังเป็นบทเรียนราคาแพงเสียด้วย



    และที่สำคัญ ถ้าเจ้าเด็กแสบนี่รู้เรื่องราวทั้งหมด จินจะยังคงตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างเขาอยู่รึเปล่านะ... แค่คิดก็เจ็บปวดแล้วล่ะ เพราะหัวใจของเขา ค่อยๆถูกเด็กคนนี้ยึดครองพื้นที่ไปทีละน้อย และถ้าหากวันไหนเด็กคนนี้จากเขาไป เขาอาจจะตายเลยก็ได้


    พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกกลัว เขาควรจะทำยังไงดี เขาไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน ถ้าเป็นก่อนที่จะมารู้จักเด็กคนนี้ เขายังพอคิดวิธีที่จะสารภาพเรื่องนี้กับครอบครัวของตัวเองได้ เพราะหากคนเป็นพ่อเป็นแม่ หรือพี่ชายที่เขาเคารพ ไล่เขาออกจากบ้านล่ะก็ เขาก็จะยอม เพราะเรื่องนี้เขาผิดเต็มๆ


    แต่ทำไมพอเป็นเด็กคนนี้ เขากลับไม่อยากจะเสียไป





    “จินครับ มานี่มา”





    น้ำเสียงทุ้มที่ดูเหนื่อยล้าเต็มทีของคนรักทำเอาจินเริ่มรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกเดิมๆค่อยๆแล่นกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนจะมีเรื่องกวนใจรุ่นพี่ตัวสูงอีกแล้ว แถมยัง...เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนรักคนเก่าของแอสตันเสียด้วย


    “เป็นอะไรอีกแล้ว” น้ำเสียงนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆตามระยะห่างที่ลดน้อยลง ก่อนที่ร่างบางๆนั่นจะค่อยๆปีนขึ้นมาบนเตียง แล้วทิ้งตัวลงบนตักของคนป่วยที่ตั้งท่ารออยู่แล้ว ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลทองของรุ่นพี่ตัวสูงค่อยๆเอนลงซบเข้าที่ไหล่บาง กลิ่นหอมอ่อนๆของคนรักทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับทุกครั้ง


    คนที่โดนยึดไหล่ไปเป็นที่พักพิงพอจะจับกระแสความกังวลอะไรบางอย่างจากรุ่นพี่ตัวสูงได้ น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกังวลเหมือนกับทุกที ไม่สิ จะว่าไม่กังวลก็คงไม่ถูกเพราะเขาเป็นห่วงรุ่นพี่คนนี้มากๆ แต่มันไม่ใช่ความกังวลเหมือนทุกครั้ง




    ความกังวลที่ว่าแอสตันอาจจะทิ้งเขาไป...




    ไม่รู้ว่าเขาคิดเข้าข้างตัวเองมากไปรึเปล่า แต่เขารู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้ทำให้เขาค่อยๆมั่นใจ มั่นใจในความรักของพวกเขาทั้งคู่มากขึ้นมาทีละนิดๆ


    “ผอมลงนะครับ” ตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม ก็ถ้าแอสตันยังไม่อยากจะเล่า เขาก็จะไม่ถามเซ้าซี้ รอให้คนคนนี้เปิดใจเล่าเองมันเป็นเรื่องที่ดีกว่าไม่ใช่หรอ ก็เลยเลื่อนมือไปเกลี่ยมือหนาๆของคนตัวสูง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงข้อมือที่บางลงของคนข้างๆ


    แอสตันครางรับในลำคอนิดหน่อย เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก เพราะเขารู้ดีว่าหลักฐานมันออกจะชัดเจนขนาดนี้ เลยตัดสินใจซุกเข้าที่ซอกคอของรุ่นน้องคนสนิทมากขึ้นแทน น้ำเสียงนุ่มหลุดหัวเราะคิกคักอย่างจั๊กจี๋ ก่อนจะค่อยๆดันตัวรุ่นพี่ขี้อ้อนให้มาเผชิญหน้ากันดีๆ


    “พี่เรียวบอกว่าที่อาเจียนเพราะเครียดลงกระเพาะ นี่แปลว่าไม่ค่อยกินข้าวด้วยใช่มั้ย” มือบางเลื่อนไปแนบเข้ากับใบหน้าของคมคายของคนรัก ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่แก้มเบาๆ รับรู้ได้เลยว่ามันตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะไม่ได้ดูโทรมจนน่าเกลียด แต่มันก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงนี่


    “นี่เป็นประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบนะ” เมื่อไม่เห็นคนตรงหน้าจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเขาสักที ก็เลยจัดการยืดแก้มของคนตัวสูงอย่างหมั่นไส้ แอสตันเบ้หน้านิดหน่อย ก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือบางๆนั่นให้ปล่อยออกจากแก้มของเขา





    “วันนี้จินอยู่กับพี่ได้มั้ย”





    ประโยคขอร้องที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั้นทำเอาหัวใจของคนฟังกระตุกวูบ ทั้งๆที่แอสตันเองก็พูดอะไรแบบนี้กับเขาอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมครั้งนี้มันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป ในน้ำเสียงนั้นมันเต็มไปด้วยความเว้าวอนราวกับถ้าเขาปฏิเสธไป อาจจะเกิดเรื่องอะไรที่แย่ๆตามมาก็ได้


    “อื้ม” แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากครางในลำคอเป็นการตอบรับ นัยน์ตาคมที่จ้องมองมาทางเขานั้นสั่นไหว จนคนมองรู้สึกแย่ตามไปด้วย เขาไม่รู้หรอกว่าพี่แอสตันไปเจอเรื่องอะไรมาในตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เขาไม่ชอบเลยจริงๆที่คนตัวสูงเป็นแบบนี้


    “ไปหาอะไรกินกันดีกว่า อาเจียนออกหมดแบบนั้นคงจะหิวแย่” ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องที่น่าจะทำให้คนคนนี้สบายใจขึ้น เขาตัดสินใจแล้วล่ะ ไม่ว่าคนรักของเขาคนนี้ไปเจอเรื่องแย่ๆอะไรมา แต่ถ้ามาอยู่กับเขาแล้วล่ะก็ เขาจะเป็นคนทำให้สบายใจขึ้นเอง :)



    “ก็ไม่ค่อยหิว แต่ถ้าจะให้กินจินล่ะก็โอเคอยู่นะ”



    “-_-^”



    นั่นไง ไม่เสี่ยวสักวันมันจะตายรึไง อะไรคือการส่งสายตากรุ้มกริ่มแบบนั้นมาให้ ไหนจะการเอามือของเขาไปแนบเข้ากับอกตัวเองแบบนั่นอีก เมื่อกี้ยังทำหน้าเศร้าๆเหมือนใครตายอยู่เลย แล้วนี่ป่วยจริงป่ะเนี่ย เดี๋ยวก็ได้มีการกระทืบคนป่วยเข้าสักวันหรอก


    “ตลกมั้ย ถ้าหายป่วยแล้วก็ลุกเลย” หลุดโวยวายออกมาแก้เขิน เมื่อสายตาที่คนรักของตัวเองส่งมาเริ่มจะหวานซึ้งมากขึ้นทุกที ก็เลยจัดการสะบัดตัวก่อนจะลุกออกจากตักของคนตัวสูง ไม่สนใจหน้าตาเหวอๆที่ส่งมาให้เลยสักนิด


    “จะนั่งอีกนานป่ะ ไปหาอะไรกินกัน”


    “ขอกินจินไม่ได้หรอก”


    “งั้นเอาแค่ส้นxxxไปกินก่อนแล้วกัน”


    อ่า...ทำไมแฟนของเขาถึงได้หยาบคายแบบนี้ล่ะ สงสัยต้องมีการอบรมมารยาทกันบ้างแล้ว =_=







    สุดท้ายพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่ร้านคาเฟ่ในมหาลัยที่เคยมากินกับเพื่อนในคณะครั้งก่อน เพราะเจ้าเด็กแสบบอกว่าร่างกายของเขาควรจะกินอะไรหวานๆซะบ้าง แล้วค่อยไปหาอะไรกินกันต่อ ไม่งั้นคงจะเป็นลมไปอีก และแน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธอะไร เพราะรู้สึกเรี่ยวแรงในร่างกายมันน้อยเกินกว่าจะขยับตัวไปไหนได้สะดวก


    “เอ้า รู้ว่าไม่ชอบของหวาน” น้ำเสียงนุ่มพูดพร้อมกับวางแก้วกาแฟสีน้ำตาลเข้มลงบนโต๊ะ แอสตันหลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆกับความใส่ใจของคนตรงหน้า


    “ขอบคุณนะครับ” พูดพร้อมกับยื่นมือไปขยี้หัวฟ้าๆนั่นอย่างเอ็นดู น่าแปลกที่ครั้งนี้เด็กแสบกลับไม่โวยวายอะไรเลยสักนิด แถมยังปล่อยให้เขาได้สัมผัสผมนุ่มๆนั่นตามใจชอบอีกต่างหาก


    “เห็นว่าป่วยยอมให้วันนึง วันนี้จะยอมตามใจก็แล้วกัน มีอะไรอยากได้ก็บอก โอเคป้ะ”


    “…”


    “เป็นอะไร เงียบทำไม หรือว่าไม่สบายอีกแล้ว อยากอาเจียนรึเปล่า ไปห้องน้ำมั้ย” ทั้งๆที่คิดว่าปฏิกิริยาของคนตรงหน้าต้องเป็นหูตั้งหางกระดิกด้วยความดีใจแท้ๆ แต่คนรักของเขากลับนิ่ง แถมยังเอามือออกจากศีรษะของเขาอีกต่างหาก ทำไมอ่ะ...หรือเขาจะพูดอะไรผิดไป


    “อ๊ะ” พอตั้งใจจะถามต่อ ก็ต้องหลุดอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆคนตรงหน้ากลับเลื่อนมือมาปิดปากของเขาซะงั้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนจะส่งสายตาไปทางคนทำเพื่อต้องการคำตอบ ก่อนจะต้องหลุดคลี่ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้


    ก็แฟนตัวโตของเขากำลังหน้าแดงน่ะสิ


    “ไม่ต้องมายิ้มแบบนั้นเลย ถ้าจินยังพูดจาน่ารักๆแบบนั้นอีก ระวังพี่จะอดใจไม่ไหวนะ”


    อ่า นานทีมีหนที่คนตรงหน้าเขาจะเขินจนหน้าแดงแบบนี้นี่ เขาไม่ผิดใช่มั้ยล่ะถ้าอยากจะแกล้งคืนบ้าง ก็ไอ้พี่บ้านี่ชอบแกล้งให้เขาเขินตลอด ลองโดนแกล้งกลับบ้างจะได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากเวลาอายจนไม่รู้จะทำตัวยังไงน่ะ

    “อ้าว แอสตัน หายดีแล้วหรอ” น้ำเสียงหวานๆที่แอสตันรู้สคกคุ้นหูดังขึ้นดังขึ้นขัดจังหวะ เรียกสายตาทั้งสองคู่ให้ต้องหันไปมอง ก่อนจะสบเข้ากับนัยน์ตากลมโตที่มองมาทางพวกเขาอย่างสงสัยอยู่ก่อนแล้ว


    “อ้าวชิชา ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ กิจกรรมในคณะเลิกแล้วหรอ” เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แอสตันเลยตัดสินใจต่อบทสนทนาตามมารยาท แอบเหลือบสายตามองไปทางจินนิดหน่อย นัยน์ตาเรียวสวยสบเข้ากับนัยน์ตาของเขา ก่อนจะส่งสายตาถามประมาณว่า ยัยนี่คือใคร


    “เอ่อ นี่ชิชา ดาวคณะพี่เอง เลยมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันหลายครั้ง ส่วนนี่จิน เป็น...”




    “รุ่นน้องสินะคะ”




    ไม่ทันที่จะพูดจบประโยค หญิงสาวตรงหน้ากับแทรกขึ้นมาก่อน แอสตันแอบเหลือบมองปฏิกิริยาของจินนิดหน่อย และก็เป็นไปตามคาด เมื่อคนรักของเขากำลังแผ่รังสีความไม่พอใจออกมาทีละนิดๆ


    อ่า...ดูเหมือนเขากำลังจะมีเรื่องให้กลุ้มใจเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแล้วสินะ


















    -------------------------------------------

    Talk : เฮลโหลววว เอฟวรีบอดี้ ~ (/'3')/

              ขอโทษที่หายไปนานเลยนะคะ แฮะๆ ไรท์กลับมาแล้วน้า

              จะว่ายังไงดี คือไรท์อยากจะเสนอความรักในหลายๆมุมมอง

              ของตัวละครในเรื่อง ไม่รู้ว่ารีดเดอร์จะคิดเหมือนไรท์มั้ย

              แต่ในทุกการกระทำของแต่ละคนก็ย่อมมีเหตุผลในตัวเองล่ะเนอะ

              นี่พล่ามอะไรล่ะเนี่ย วุ้ยยยย ยังไงก็ขอบคุณที่คอยติดตามนะคะ ^_^











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×