ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #16 : -14-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 434
      1
      19 มี.ค. 58




    -14-






              นัยน์ตาเรียวปรือขึ้นช้าๆ ก่อนจะค่อยๆปิดลงอีกครั้ง ทำอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง แสงแดดอ่อนๆทีไม่ระคายผิวยามเช้าเป็นการบ่งบอกว่าวันนี้เขาตื่นเช้าผิดปกติอีกแล้ว
              จินยกมือขึ้นขยี้หัวของตัวเองจนยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม ตอนนี้เขากำลังหงุดหงิด หงุดหงิดสุดๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่เขาตื่นเช้าขนาดนี้ และสาเหตุจะเป็นอะไรไปได้นอกจากมีเรื่องกวนใจเขาอยู่ ชนิดที่ว่าตามเข้าไปหลอกหลอนเขาในความฝันเลยล่ะ
               มือเรียวเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง สไลด์หน้าจอเปิดดูความคืบหน้าของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ทั้งๆที่เมื่อคืนก่อนนอนเขาก็เปิดดูเป็นร้อยๆรอบแล้ว ข้อความจากบรรดาแฟนคลับ และยอดไลค์ต่างๆไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นเลยสักนิด

               ก็เขากำลังคาดหวังอะไรอย่างอื่นอยู่นี่นา...

               เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ก็เลยโยนโทรศัพท์ของตัวเองทิ้งอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง เมื่อคืนกว่าจะข่มตานอนหลับได้ก็เกือบๆตีสาม พอหลับแล้วยังฝันร้ายจนต้องสะดุ้งตื่นเป็นพักๆ แถมยังเผลอตื่นนอนก่อนเวลาอีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยที่สภาพของเขาจะเหมือนศพเดินได้เข้าไปทุกที
               เอาศีรษะซุกเข้าไปในหมอนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลื่อนมือไปคลำหาโทรศัพท์ที่ตัวเองโยนทิ้งไว้ไหนไม่รู้ ก่อนจะกดโทรออกหาบุคคลที่น่าจะช่วยชีวิตเขาได้ในตอนนี้

              เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนปลายสายจะกดรับสาย แต่ระดับจินแล้ว เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆที่ไหนล่ะ เลยกดเปิดลำโพง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆหมอน กดโทรออกซ้ำๆทั้งๆที่ใบหน้ายังซุกอยู่บนหมอนใบนุ่มไม่ขยับไปไหน
               จากสองสาย เป็นสาม สี่ ห้า หก และตอนนี้จะยี่สิบสายแล้วล่ะ...

              [ไอ้ห่า บ้านมึงเป็นเจ้าของค่ายโทรศัพท์รึไงวะ โทรมาอยู่ได้ กี่โมงกี่ยามแล้ววะ สัส หกโมงยี่สิบ ไก่บ้านกูยังไม่ตื่นมาขันเลย โทรมาทำหอกอะไรวะ รีบหรอ ที่บ้านไฟไหม้ โจรขึ้นบ้าน หรือใครตายวะ ไอ้เหี้ย กูจะนอน ฟหกด่าสวสากหดๅ] และอื่นๆอีกมากมาย แล้วคิดว่าจินจะสนใจหรอ

              ไม่อยู่แล้วอ่ะ สนทำไม

              “กูอยากแดกเค้ก” เอ่ยน้ำเสียงงุ้งงิ้งไม่ได้สนใจว่าคนปลายสายจะกำลังอารมณ์เสียแค่ไหน แต่ก็อย่างที่ว่าล่ะ คนอย่างจินเคยสนใจอะไรที่ไหน ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา
               [เค้กพ่อง บอกแม่มึงไป!!!!] ควรจะเรียกว่าตะคอกดีกว่าอ่ะนะ
               “ไปรท์ กูมีเรื่องจะปรึกษามึงว่ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนจะตื่นเต็มตาแล้ว เลยเปลี่ยนมาเรื่องที่จริงจังมากขึ้น น้ำเสียงเข้มๆของจินทำเอาอีกคนต้องหยุดโวยวาย ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
               [อะไร]
               “กูไม่รู้จะใส่บ็อกเซอร์ลายไหนดีว่ะ เอาสปองบ็อบสีเหลืองอมเขียวขี้ม้า หรือลายตารางหมากรุกสีชมพูสลับเหลืองดีอ่ะ”
               [...]
               "..."

               [ไอ้ห่าาาา กูเพื่อนเล่นมึงหรอ กูจะนอนโว้ย]

               จินหลุดหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อตัวเองสามารถกวนเพื่อนสนิทได้สำเร็จ ก่อนจะกระแอมนิดหน่อย แล้วตัดสินใจเข้าเรื่องจริงๆจังๆซะที
               “วันนี้ว่างป่ะวะ กูไปหาได้ป่ะ” น้ำเสียงนุ่มๆที่ฉายแววเหนื่อยๆ ทำให้คนฟังพอจะจับความผิดปกติของเพื่อนจอมแสบของตัวเองได้ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเขาอีกแล้ว
                สงสัยต้องหาเวลาพามันไปเข้าวัดเข้าวาทำบุญอะไรซะบ้าง ชีวิตมันจะได้เจอเรื่องดีๆ หลีกหนีเรื่องวุ่นวายชวนปวดหัวปวดใจที่ทำให้เพื่อนสนิทอย่างเขาต้องมาคอยเป็นห่วงมันเช้า กลางวัน เย็นแบบเนี่ย
               [เอาดิ แต่สายๆหน่อยนะมึง ถ้าไม่อยากมานอนเฝ้าหน้าบ้านกับแองเจลีน่าพี่สาวกู]
               “มึงมีพี่สาวตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
               [สัส บ้าดิ หมาแม่กู เลี้ยงดียังกะลูก ได้แดกไข่ปลาคาร์เวียทุกวัน ส่วนกูได้แดกไข่ต้ม จนกูเริ่มสับสนแล้วว่ากูหรือมันที่เป็นลูกบ้านนี้] จินหลุดคำพรืดออกมากับประโยคที่ได้ยิน ทำเอาสไปรท์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ที่เพื่อนของเขาไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าอย่างที่เคยเป็นตอนเลิกกับไอรีนใหม่ๆ
                ทั้งสองนัดแนะเวลากันนิดหน่อย ก่อนที่จินจะค่อยๆวางหูโทรศัพท์ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ความรู้สึกหน่วงๆแปลกๆที่อกยังคงแล่นเข้ามาโจมตีเขาไม่หยุด มันเป็นอารมณ์ที่เขาไม่เข้าใจ เป็นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

                อา…ตั้งแต่วันที่ไปเอเชียทีคกับไอ้รุ่นพี่บ้านั่นนั่นแหละ





              “ม๊า เดี๋ยวจินไปหาไปรท์ที่บ้านนะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยบอกมารดา มือเรียวกระชับกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเลือกรองเท้า คนเป็นแม่เหลือบมองลูกชายของตัวเองนิดหน่อย ตัดสินใจยุติสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แล้วเดินมาหาคนเป็นลูก
               “ให้คนขับรถไปส่งนะ” มาริสาพูดกับลูกชายก่อนจะหันไปมองแม่บ้านแถวนั้นให้ช่วยตามคนขับรถให้
               “หูย แค่บ้านไอ้ไปรท์มันเอง จินไปเองได้” จินรีบเอ่ยแย้งคนเป็นแม่ แต่ดูเหมือนแม่ของเขาจะไม่สนใจเขาเลย นอกจากจะไม่ยอมฟังที่เขาพูด ยังจะยืนกอดอก แล้วมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีก แล้วจะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ นอกจากยืนตัวแข็งให้แม่สำรวจอยู่อย่างนั้น ไม่มาเป็นเขาไม่รู้หรอก ไอ้สายตาคมๆที่เหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งมันน่ากลัวแค่ไหน
                “รู้ตัวมั้ยว่าช่วงนี้ตัวเองดูเหม่อๆ” น้ำเสียงหวานเข้มขึ้นฉายแววจริงจัง จนคนที่ตั้งท่าจะเอ่ยปากเถียงต้องยอมหุบปากฉับ แล้วปล่อยให้คนเป็นแม่พูดต่อ
                “ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเดินชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ไปกี่ครั้งแล้ว ไหนจะเอาแต่จ้องโทรศัพท์ตลอดเวลา ทั้งวันรู้ตัวรึเปล่าว่าแทบไม่ได้อยู่ห่างโทรศัพท์เลย” คำพูดของคนเป็นแม่ทำเอาจินถึงกับพูดไม่ออก พอลองๆมานึกดูแล้ว เขาเป็นแบบที่แม่พูดทุกอย่างเลยนี่นา
                “…” เมื่อเห็นว่าลูกชายตัวดีไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยแย้ง หรือเถียงเธอ เธอเลยตัดสินใจพูดต่อ
                “ถ้าเป็นปกติลูกม๊าคงจะร่าเริง ดี๊ด๊าที่ได้ปิดเทอม นั่งแต่งเพลง ไม่ก็ออกไปหากิจกรรมทำข้างนอกบ้าน หรือเผลอๆมาช่วยงานม๊าที่ร้านด้วยซ้ำ แต่นี่อะไร หืม เป็นนางห้องรึไง อยู่เฝ้าแต่ห้อง อยู่แต่ในบ้าน ลูกแปลกๆไปนะ” และประโยคถัดมาที่ออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มนั่น แทงใจดำของเจ้าลูกชายจอมดื้อมากที่สุด

                “ตั้งแต่ลูกกลับมาจากไปเอเชียทีคกับแอสตันตอนนั้น เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

                 จินอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เขาไม่อยากให้แม่ของเขาไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ขนาดตัวเขาเองยังจัดการความรู้สึกไม่ค่อยได้เลย แต่จะให้ทำยังไง เขาเป็นผู้ชาย เป็นลูกชายที่ดีของพ่อแม่มาตลอด ถึงแม้จะเกเรไปบ้างก็เหอะ แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาจะทำให้แม่ต้องมาเป็นห่วงขนาดนี้ ริมฝีปากรูปกระจับสวยเม้มเข้าหากันนิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆฝืนคลี่ยิ้ม
                 “ม๊าคิดมากไปแล้ว ช่วงนี้จินต้องแต่งเพลงเตรียมเข้าประกวดไง เลยเหม่อๆนิดหน่อย แบบหาแรงบันดาลใจไรเงี้ย ไม่มีอะไรซะหน่อย แล้วไอ้คุณพี่แอสตันอ่ะ อย่าไปนึกถึงพี่มันมากเลย รกหัวเปล่าๆ” นี่ไม่ได้ตั้งใจจะประชดหรือด่าใครเลยนะ แต่มันเรื่องจริงนี่
                  คนเป็นแม่มองท่าทางของลูกชายตัวเอง นี่ คิดว่าจะตบตาแม่ของตัวเองได้รึไง เธอเป็นแม่นะ ถ้าแค่นี้ยังดูลูกชายตัวเองไม่ออกคงจะเลี้ยงมาไม่ได้โตขนาดนี้หรอก แต่ก็เพราะเป็นแม่อีกนั่นแหละ เมื่อเห็นลูกชายตัวดีไม่อยากจะพูดถึง เธอก็ไม่อยากจะซักไซร้อะไรมาก เลยทำได้เพียงปล่อยให้เลยตามเลย
                “จ้ะๆ ไม่มีก็ไม่มี ม๊าคงคิดมากไปเองนั่นแหละ แต่ยังไงก็ให้คนขับรถไปส่งนะ” จินอึกอัก เขาไม่ค่อยชอบทำอะไรแบบนี้เท่าไหร่ พอตั้งท่าจะปฏิเสธก็โดนคนเป็นแม่ตัดบท ชนิดที่ว่าทำได้เพียงอ้าปากค้าง เสียงยังไม่ได้ลอดออกมาจากคอสักแอะ
                “คิดว่าปฏิเสธแม่ได้รึไง หืม”
                ใครจะไปกล้าปฏิเสธท่านหม่อมแม่กันละคร้าบ







              “สัส ตอนแรกกูนึกว่าซอมบี้มาตะกุยออดบ้านกู” ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากเพื่อนสนิท ทำให้จินต้องหลุดสรรเสริญบุพการีของเพื่อนตัวเองที่สอนให้ลูกพูดจาได้ไพเราะเสนาะหูมาก
              “กูนอนไม่ค่อยพอว่ะ” แต่ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้หรอก เพราะสภาพของเขามันไม่ต่างจากที่ไอ้สไปรท์พูดซะเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าเสื้อผ้าขาดหน่อยอาจจะโดนคนเอาขวานมาไล่ฟันได้เลยอ่ะ สไปรท์เปิดประตูบ้านให้กว้างขึ้นเพื่อเป็นการบอกว่าให้เข้ามาได้ จินพยักหน้าหงึกหงัก จัดการถอดรองเท้าวางให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตามเพื่อนเข้าไป
              บ้านของสไปรท์อาจจะไม่ได้ใหญ่เป็นคฤหาสถ์เหมือนกับบ้านของเขา  เป็นเพียงบ้านขนาดกลางทั่วๆไป แต่การตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด บวกกับบรรยากาศที่เน้นไปทางอบอุ่น ทำให้บ้านหลังนี้น่าอยู่ไม่น้อยไปกว่าบ้านของเขาเลย
              “ไม่แค่นอนไม่พอแล้วม้าง แบบนี้ต้องไม่ได้นอนแถมยังทำกิจกรรมอะไรบางอย่างที่เสียเหงื่อด้วยแหงๆ ว่าไง กี่ยกล่ะมึง”
               จินกลอกตากับประโยคสองแง่สามง่ามของเพื่อน นี่ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นบ้านมันนะ เขาคงจะจับมันโยนออกไปนอนเล่นกับแองเจโลน่า หมาที่วิ่งเล่นอยู่ข้างนอกแล้ว
               “เหี้ย นี่กูมีเรื่องทุกข์ใจให้นอนไม่หลับ แต่เพื่อนกูดันคิดแต่เรื่องในร่มผ้าเนี่ยนะ”
               “กูยังไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องนั้นสักคำ กูหมายถึงวิ่งรอบสนามไปกี่ยกล่ะ ไอ้จินแม่งหื่น” และบทสนทนาก็จบลงเมื่อจินส่งสายตาบอกว่า ถ้ามึงยังไม่หยุด นี่มึงจบไม่สวยแน่ๆ ไปให้ สไปรท์หลุดหัวเราะคิกคักก่อนจะยักไหล่ฉายแววว่า i don’t care แล้วพาจินไปที่ห้องของตัวเอง
               “พ่อแม่มึงไม่อยู่หรอ” เมื่อเห็นบ้านเงียบๆ เลยตัดสินใจถาม สไปรท์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะดึงเบาะจัดแจงที่นั่งให้เพื่อน
               “แดกไรมะ กูมีเค้กเหลืออยู่ในตู้เย็น” และก็พอจะเดาปฏิกิริยาของเพื่อนได้อยู่หรอก นั่นไง หูตั้งหางกระดิก ทำตัวอย่างกับลูกหมา แต่เขาว่าอะไรไม่ได้หรอก ก็ท่าทางแบบนั้นน่ะ สามารถละลายใจบรรดาแฟนคลับ จนแทบลงไปกองแดดิ้นแทบเท้ามันได้แทบจะทุกครั้ง เลยทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาเบาๆกับท่าทางของเพื่อนเท่านั้นแหละ




               “บ้านกูก็มาแล้ว เค้กก็แดกแล้ว ทีนี้เข้าเรื่องได้รึยัง ตกลงว่ามีอะไร” สไปรท์เอ่ยทำลายความเงียบหลังจากปล่อยให้เพื่อนตัวแสบนั่งกินเค้กอย่างเหม่อลอย ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ใช่จินสุดๆ ถ้าเป็นปกติต้องกินไปทำหน้าเคลิ้มไป ค่อยๆละเมียดละไมจนนึกว่าเค้กมันมีชิ้นเดียวในโลก แต่ตอนนี้ เพื่อนเขากลับเป็นแบบนี้ แสดงว่ามันคงจะอาการหนักจริงๆนั่นแหละ
               นัยน์ตาเรียวสบเข้ากับสายตาจริงจังที่เพื่อนส่งมาให้ ก่อนที่จะหลุดถอนหายใจยาว แล้วเปลี่ยนเป็นเอาหัวซุกเข้าไปที่หมอนนุ่มแทน
               “สัส นี่กูเสียเวลาตีดอทมานั่งฟังมึงปรับทุกข์เลยนะเว้ย มีอะไรก็พูดมา อย่าลีลา” พูดพลางเอาเท้ายันเข้าที่ขาของเพื่อนไปด้วย จินครางงึมงำในลำคออย่างขอไปที

               ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะพูดนะ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงต่างหาก!!!!

               “งั้นกูเดาแล้วกัน”

               “เรื่องพี่แอสตันใช่มั้ย”

               จินค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากหมอน ก่อนจะหันไปสบตาเพื่อน เป็นเชิงถามว่า มึงรู้? สไปรท์ไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะเท้าแขนลงบนเตียง แล้วพูดต่อ
              “ในหัวมึงจะมีสักกี่เรื่องกันเชียว” 

               ดูเหมือนเพื่อนสนิทของเขาจะรู้จักตัวเขาดีกว่าตัวเองซะอีก







               เขายังจำได้แม่นอยู่เลยว่าเรื่องตอนนั้นมันเป็นยังไง หลังจากโพล่งประโยคที่กลับมาคิดดูแล้วโคตรจะน่าอับอายออกไป บรรยากาศรอบตัวเขากับพี่แอสตันก็เงียบลงทันที เขาไม่พูด พี่มันก็ไม่พูด ปล่อยให้เวลามันเดินไปเรื่อยๆอยู่แบบนั้น
               เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นพี่แอสตันกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังรู้สึกยังไง แต่ตัวเขาน่ะ เหมือนพื้นที่อยู่ใต้เท้าค่อยๆหายไปเลยล่ะ รู้สึกเหมือนตัวเขาจะค่อยๆร่วงหล่น เป็นอารมณ์ที่แบบ ดิ่งๆ วูบๆในอกแบบสุดๆ เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องไปที่พื้น ตรงช่องว่างระหว่างเท้าของเขากับรุ่นพี่ตัวสูง
               และความเงียบก็ถูกยุติลง ด้วยเสียงทุ้มๆของคนตรงหน้า
               “จินเข้าใจความหมายที่ตัวเองพูดออกมารึเปล่า” ถ้าหากเป็นปกติเขาคงจะกวนกลับไปแล้วล่ะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่พี่แอสตันกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาจริงจังแบบนี้
                “…” ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากพยักหน้าเบาๆ ปล่อยให้คนตรงหน้าเป็นฝ่ายพูดต่อ

                “จินไม่เข้าใจหรอก”

                 เอ้า!!! อะไรคือการสรุปเอาเองว่าเขาไม่เข้าใจ นี่มันตัวเขานะ สมองของเขา ร่างกายของเขา แถมหัวใจก็เป็นของเขาด้วย แล้วพี่แอสตันมีสิทธิ์อะไรมาสรุปว่าเขาไม่เข้าใจตัวเองกัน อารมณ์ที่เคยกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นโกรธ ใช่ เขากำลังโกรธ
                 “พี่มารู้ได้ยังไงว่าผมไม่เข้าใจ” เผลอขึ้นเสียงใส่ไปแล้ว และดูเหมือนผู้ชายตรงหน้าก็พอจะรู้ว่าเขากำลังโกรธ เลยส่ายศีรษะไปมาเบาๆ ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และนั่นยิ่งทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีก
                 “ผมน่ะ เข้าใจอยู่แล้วว่าผมเป็นอะไร ก็ผมน่ะ...ใจเต้นทุกครั้งที่อยู่กับพี่เลยนี่หว่า แถมยังมีเรื่องให้ต้องคิดมากเต็มไปหมด ทำไมต้องมาคอยเป็นห่วงพี่ ทำไมต้องคอยคิดแต่เรื่องของพี่ นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกันวะ นี่พี่กล้าเปลี่ยนให้ผมเป็นแบบนี้ได้ยังไง” และคำพูดมากมายก็หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขา ชนิดที่ว่าตัวเองยังตกใจ
                 เขาพยายามที่จะไม่คิด พยายามที่จะไม่ใส่ใจ ความรู้สึกอะไรบางอย่างที่กำลังก่อวนในตัวเอง ตั้งแต่รู้จักกับไอ้พี่แอสตัน เคยคิดว่าตัวเองน่ะ ก็แค่ปลื้มพี่มันเฉยๆหรอก ก็เล่นหล่อ เท่ ดูดี เรียนเก่ง แถมยังเป็นนักกีฬาแบบนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องอยากเอาเป็นไอดอลกันทั้งนั้นแหละ
                 แต่ความรู้สึกทุกอย่างมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีหัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงแทบจะทุกครั้งที่พี่มันเข้ามาใกล้ ไม่กล้าที่จะสบนัยน์ตามีเสน่ห์นั่นตรงๆ และในหัวของเขาก็มีแต่เรื่องของพี่มันเต็มไปหมด

                และที่ทำให้เขากลัวที่สุด...คือตอนที่นัยน์ตาสีอัลมอนด์คู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่คนอื่น และไม่คิดที่จะหันมามองทางเขาเลย

                เขาเกลียดที่สุดเลย ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้ ฝ่ายแพ้ที่เผลอไปตกหลุมรักคนตรงหน้าก่อน เขายอมให้ความเจ็บปวดจากรักครั้งเก่าวิ่งกลับมาทำร้ายยังจะดีซะกว่า

                อา…นี่เขาตกหลุมรักรุ่นพี่คนนี้ไปแล้วหรอเนี่ย

                “อย่าเงียบดิวะ ตอบผมสิ พี่กล้าดียังไงมาทำให้ผมเป็นแบบนี้ แม่งเอ๊ย ทำไมต้องมีแต่ผมที่โวยวายคนเดียวด้วย นี่มันบะ...” เริ่มรู้สึกเหมือนขอบตาตัวเองร้อนผ่าว แถมภาพตรงหน้าก็เบลอๆ บ้าแล้ว!!! ช่วงนี้เขาชักจะร้องไห้บ่อยเกินไปแล้ว แถมแต่ละครั้งก็เป็นเพราะเรื่องของไอ้รุ่นพี่หน้าหล่อนี่ตลอด ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค กลับโดนแรงฉุดให้พุ่งเข้าไปหาร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงหน้า
                 มือหนากุมข้อมือของเขาแน่น ส่วนมืออีกข้างก็ประคองเข้าที่เอวให้เขานั่งหันหน้าเข้าหาตรงระหว่างขาแบบพอดิบพอดี ก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือของเขาไปที่ตำแหน่งอกข้างซ้าย
                 ตำแหน่งตรงที่มีก้อนเนื้อกำลังเต้นผิดจังหวะ...มันเต้นรัวพอๆกับเขาเลย

                “จินอยากให้พี่รับผิดชอบยังไงล่ะ หืม” ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในน้ำเสียงทุ้มนั้น แล้วจะให้เขาตอบว่าอะไรล่ะ ก็เลยก้มหน้าหนีแม่งเลยแล้วกัน
                “จินเองก็ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ” เสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อ และยังคงจริงจังเหมือนเดิม มือข้างที่กุมมือของเขากระชับแน่นขึ้นให้สัมผัสถึงจังหวะของหัวใจได้ชัดเจนกว่าเดิม ก่อนที่มือหนาที่เคยโอบเอวจะค่อยๆเลื่อนมาเชยคางของเขาขึ้น เพราะมัวแต่ตกใจเลยลืมสังเกตถึงระยะห่างของเขากับพี่แอสตันไปเสียสนิท
                 พอรู้ตัวอีกทีตอนนี้เขาก็กำลังนั่งเกยตักพี่มันแล้ว ใบหน้าราวกับรูปสลักนั่นห่างจากกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นๆทำให้หัวใจของเขาทำงานหนักขึ้นอีก จะก้มหน้าหลบสายตาก็ไม่ได้ ในเมื่อพี่มันเอามือเชยคางเขาไว้อย่างนั้น เลยทำได้เพียงเม้มปากแน่น แล้วสู้สบตารุ่นพี่บ้านี่เท่านั้นแหละ

               “…”
               “พี่ไม่รู้หรอกที่จินว่าเข้าใจ เข้าใจว่าอะไร” น้ำเสียงทุ้มพูดเนิบๆ ค่อยๆคลายมือของเขาที่อยู่ตำแหน่งอกข้างซ้ายออก ก่อนจะประคองใบหน้าด้วยมืออุ่นๆทั้งสองข้างให้เขาต้องสบตา ชนิดที่ว่าขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ริมฝีปากได้รูปยังคงขยับเอ่ยถ้อยคำต่อ นัยน์ตาคมนั่นก็สบเข้ากับดวงตาของเขาราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง

     

               “เพราะพี่เองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”

               “ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จินพี่ก็ใจเต้นแรง”

               “เวลาว่างเมื่อไหร่เป็นต้องมีเรื่องของจินผุดขึ้นมาในสมอง เหมือนกับมีหน้าของจินโผล่ขึ้นมา แล้วก็หายไปให้พี่ตกใจเล่น”

               “ไม่รู้ว่าทำไมจินถึงมามีอิทธิพลต่อพี่ขนาดนี้”

               “ทั้งๆที่พี่...”

               “มีคนที่พี่คิดว่าตัวเองรักอยู่แล้ว”

               และเหตุการณ์ทุกอย่างหลังจากตอนนั้นก็เป็นอะไรที่ทรมานเขาสุดๆ เขากับพี่แอสตันไม่เคยคุยกันแบบนี้มาก่อนเลย ก็ไอ้การถามคำ ตอบคำ ไม่สบตาหรือมองหน้ากัน และที่สำคัญระยะห่างระหว่างเขากับพี่แอสตันมัน เพิ่มขึ้นจนอยากจะร้องไห้...

     

     

     

     

     





              “แล้วมึงทำไงต่อ” หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจากจินแล้ว ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ สไปรท์ปล่อยให้จินจัดการอารมณ์ของตัวเองสักพัก แกล้งทำเป็นไม่เห็นน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ที่ดวงตาของเพื่อนสนิท เมื่อเห็นว่ามันพอจะควบคุมได้แล้วจึงเอ่ยปากถาม

     

              “กูทำอะไรได้ด้วยหรอ”

              สไปรท์เงียบ จินเองก็เงียบ แค่ต้องเล่าออกมาความรู้สึกเจ็บๆ หน่วงๆก็วิ่งเข้ามาทำร้ายเขาไม่หยุดเลย แล้วหลังจากนั้นเขากับพี่แอสตันก็แทบจะพูดกันนับคำได้ จากวันนั้นก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วล่ะมั้ง ไม่มีข้อความ ไม่มีไลน์ ไม่มีสายโทรเข้า และเขาเองก็ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายติดต่อพี่มันไปก่อนด้วย
              เหมือนกับตัวเองตัดสินใจอะไรบางอย่างผิดพลาดไป ถ้าตอนนั้นเขาเลือกที่จะนั่งเงียบๆ แล้วสนุกไปกับแผนที่พี่แอสตันวางไว้ เรื่องทุกอย่างอาจจะดีกว่านี้ก็ได้
              ยอมรับว่าแอบหลงตัวเองไปนิดนึง หลงคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่แอสตันทำกับเขา มันมากกว่าคำว่าพี่น้อง เผลอใจ แล้วก็คิดเข้าข้างตัวเองซะอย่างนั้น สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ...เขาเผลอทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่แอสตันไปซะแล้วล่ะ
               ริมฝีปากรูปกระจับเม้มเข้าหากันแน่น ภาพรอบข้างเบลอไปหมดเพราะน้ำใสๆที่คลอหน่วงในดวงตา
               “เชี่ยจิน อยากร้องก็ร้อง หน้าตอนนี้มึงอุบาทส์สัสมากอ่ะ” เพียงแค่สไปรท์พูดจบประโยคนั้นเท่านั้นแหละ น้ำตาใสๆก็ไหลออกมาจากดวงตาเรียวสวยนั่นทันที
               คนเป็นเพื่อนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะดึงตัวจินเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ ปล่อยให้เพื่อนสนิทตัวแสบที่ไม่เหลือคราบนักร้องหนุ่มที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยมเลยสักนิด ได้ใช้ไหล่ของตัวเองเป็นที่ซับน้ำตา
               “ไปรท์ กูทำอะไรลงไปวะ ฮึก” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยปนเสียงสะอื้นจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ จินกอดสไปรท์แน่น เอาหน้าซุกลงที่ไหล่กว้างๆของเพื่อน ราวกับเป็นที่พักพิงที่สุดท้ายของเขาแล้ว
               ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดว่าเขาไม่เป็นอะไรนะ แต่พอได้ระบายให้ใครสักคนฟัง เหมือนกับต้องกลับมาเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองกำลังวิ่งหนีมาโดยตลอด ความรู้สึกทุกอย่างที่เขาคิดว่าจะฝังมันเอาไว้ลึกๆในจิตใจ มันกลับชัดเจน ชัดเจนมากกว่าเดิมซะอีก
               “แม่ง นอกจากกูจะชอบผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรกแล้ว แล้วกูยังอกหักอีก” สไปรท์หลุดขำพรืดออกมากับคำโวยวายของคนที่ทำตัวเป็นเด็กๆซุกเข้าหาตัวเขาราวกับเขาเป็นตุ๊กตาหมี ก็เลยปล่อยให้มันได้ร้องไห้จนพอใจ เพราะต่อให้พูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่เข้าหัวจินมันหรอก



              นัยน์ตาเรียวสวยค่อยๆปรือขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะขยับเอาถุงน้ำแข็งที่วางบนดวงตาของตัวเองออก แอบได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆของเพื่อนสนิทดังอยู่ข้างๆ ตามมาด้วยแรงฉุดให้เขาลุกขึ้นมานั่งดีๆ
              “อยากดูสภาพตัวเองมั้ยครับ พ่อนักร้องรูปหล่อ ตามึงบวมกว่าปลาทองในอ่างบ้านกูอีก” พูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะรับถุงน้ำแข็งจากมือเขาไปวางไว้ข้างๆ จินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด ก็อยากจะเถียงอ่ะนะ แต่สภาพของเขามันอนาถเกินไป ก็เล่นร้องไห้ไปตั้งเกือบๆชั่วโมง ตอนนี้ทั้งปวดหัว ปวดตาสุดๆ
              “โอเคขึ้นยัง”
              “ถ้าบอกว่าโอเคมึงจะเชื่อมั้ยล่ะ” และแน่นอนสิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะทุ้มๆอีกนั่นแหละ

              “มึงอยากจะลองฟังความเห็นของกูบ้างมั้ยล่ะ”
     

               เมื่อเห็นนักร้องนำของวงอาการเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วเลยตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดขึ้น เพราะหลังจากฟังเรื่องที่จินเล่ามาทั้งหมดแล้ว เขาคิดว่าจินยังคงมีโอกาส...
               จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่ใช่ว่าคิดเข้าข้างเพื่อนตัวเองหรอกนะ แต่ในเมื่อพี่แอสตันก็พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าใจเต้นเวลาอยู่กับเพื่อนของเขา แถมยังคิดแต่เรื่องของเจ้าเพื่อนตัวแสบนี่ตลอด มันก็ตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ นอกจากว่า พี่เค้าเองก็มีใจให้กับจินเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะโง่ และมองไม่เห็นข้อสังเกตนี้เลย

               “…” จินไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่จ้องหน้าเพื่อนนิ่งๆเท่านั้น สไปรท์เห็นแบบนั้นเลยพูดตามที่ตัวเองคิดเอาไว้ ไม่ได้คาดหวังหรือกังวลกับปฏิกิริยาของเพื่อนที่อาจจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
                “กูว่าพี่เค้าก็หวั่นไหวกับมึงนะ”
                “หวั่นไหวพ่อง ก็บอกอยู่เต็มปากเต็มคำว่ามีคนที่ตัวเอง...รักอยู่แล้ว” และแน่นอนว่าเพื่อนของเขาจะต้องปฏิเสธทันควัน สไปรท์ถอนหายใจยาว เอาชนิดที่ว่าเอาลมหายใจออกมาหมดปอดเลยล่ะมั้ง เขาเคยคิดว่าจินมันซื่อบื้อเรื่องความรักนะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะโง่ขนาดนี้
                “มึงลืมฟังประโยคที่พี่เค้าพูดก่อนหน้าหรอครับ ก็บอกอยู่ว่าใจเต้นกับมึง คิดแต่เรื่องมึง อย่างนี้ไม่เรียกว่าหวั่นไหวแล้วเรียกว่าอะไร” สไปรท์พูดพลางจ้องตาเพื่อนเขม็ง เพื่อเป็นการยืนยันว่าเขามั่นใจกับข้อสันนิษฐานนี้ของตัวเองมาก
                จินหลบสายตา เขาก็เคยคิดอยู่หรอก ว่าพี่มันคงจะมีความรู้สึกดีๆให้กับเขาบ้าง แต่ไม่เอา...ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว เวลาที่มันผิดหวัง มันเจ็บจนจุกไปหมด เอาเป็นว่าไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
                “ก็เพราะมีคนยุกูแบบนี้ไง กูถึงได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกูกับพี่แอสตันไปแล้วเนี่ย” เอ่ยแย้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก สไปรท์เลยจัดการโบกหัวเพื่อนจอมดื้อด้านนี่ไปหนึ่งที จินตวัดสายตามองแบบไม่พอใจสุดๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายหลบสายตาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่านัยน์ตาที่เพื่อนจ้องมา มันชักจะจริงจังเกินไปแล้ว จริงจังจนทำให้คำที่คิดว่าจะใช้เถียงทั้งหมดติดอยู่ที่ลำคอ

              “มึงต้องแยกให้ออกนะเว้ย ว่าอันไหนคือมโนไปเอง กับอันไหนคือความจริง”

              “กูเป็นคนนอก ซึ่งบางครั้งคนนอกน่ะมองเห็นอะไรๆที่มันชัดเจนกว่า เพราะมองจากมุมที่กว้างกว่าแล้วก็ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องมากเท่ามึงกับพี่เค้า”

              “พี่แอสตันบอกว่ามีคนที่พี่เค้าคิดว่ารักอยู่แล้ว เข้าใจคำว่าคิดว่าป่ะวะ แล้วก็ยังบอกด้วยว่าอยู่กับมึงก็รู้สึกดี มันไม่ได้หมายความว่าพี่เค้ากำลังลังเล แล้วก็ไม่แน่ใจหรอวะ”

              “ไม่เท่ากับว่า พี่เค้ากำลังบอกมึงว่า พี่เค้าเองก็มีใจให้กับมึงบ้างเหมือนกันหรอวะ”

              “บางครั้งการคิดเข้าข้างตัวเองน่ะมันก็ดีนะเว้ย เพราะมันจะทำให้มึงไม่เผลอปล่อยมือไปจากสิ่งที่สำคัญกับมึงจริงๆ”

               จินเงียบ สไปรท์เองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเขาพูดไปหมดแล้ว ต่อจากนี้เพื่อนบ้ามันจะทำยังไงต่อก็เรื่องของมันแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร ความเงียบก็ค่อยๆเข้าปกคลุม แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด เพราะทั้งสองเองก็กำลังตกอยู่ในโลกของตัวเอง
              “เอาเป็นว่าเอาที่มึงสบายใจแล้วกัน ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ก่อนมึงก็เป็นแบบนี้นี่หว่า” สไปรท์ตัดสินใจเลิกที่จะคาดคั้นเอาอะไรจากเพื่อนแล้ว หันไปหยิบเอาเครื่องเล่นเกมของมาต่อเข้ากับจอทีวี ก่อนจะหันไปเลือกบรรดาแผ่นเกมที่วางเรียงรายอยู่บนชั้น
              จินมองเพื่อนสนิทอย่างเหม่อลอย ไม่ได้ตอบหรือขานรับอะไร เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีคำพูดที่สไปรท์กรอกหูเมื่อกี้ลอยวนไปวนมาเต็มไปหมด
               มีทางเลือกมากมายผุดขึ้นมาในสมอง เขาจะทำเป็นลืมเรื่องทั้งหมดแล้วถือว่าไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยพบเจอผู้ชายที่ชื่อแอสตันก็ได้ เพราะดูเหมือนพี่มันเองก็คงจะไม่อยากติดต่อกับเขาอีกแล้ว ดูจากการที่ไม่ได้ทักมาเหมือนที่เคยทำทุกวัน แล้วอีกอย่าง ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันน่ะ มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดจะตายไป ถ้าดูจากความสมเหตุสมผล ดูเหมือนทางเลือกนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
              แต่ทำไมล่ะ ทั้งๆที่มีเหตุผลตั้งมากมายที่เขาควรจะเลือกทำแบบนั้น แต่หัวใจของเขามันกลับเจ็บแปลกๆ

              ไม่อยากจะทำแบบนั้นเลยสิให้ตาย...

              เขากลับอยากจะเลือกตัวเลือกที่โคตรจะเป็นไปไม่ได้สุดๆ อยากจะบุกไปหาพี่มันตอนน้ี ถามมันให้รู้เรื่องเลยว่าพี่แม่งคิดยังไงกับเขากันแน่ เอาให้กระจ่างไม่ต้องมานั่งคิดเองเออเอง แล้วก็ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวแบบนี้

              …ถ้าหากพี่มันบอกว่า คิดกับเขาแค่น้องชาย และยืนยันว่ารักคนที่ว่านั่นชนิดที่ว่าไม่ว่ายังไงก็รักใครไม่ได้อีก เขาก็จะตัดสินใจทำอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกอย่างไม่ลังเล คนที่ชื่อว่าจินกับแอสตันคงจะต้องเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอย่างช่วยไม่ได้
              …แต่ถ้าพี่มันบอกว่า แอบหวั่นไหวกับเขาบ้าง จะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้ามีสักจังหวะที่หัวใจเผลอเต้นผิดจังหวะกับเขาล่ะก็

               เขาจะไม่ถอยหรอก

              เอาเป็นว่าจะเดินหน้ารุกเต็มกำลัง เอาให้ในหัวใจของพี่แอสตันน่ะ เต้นเพราะตัวเขาคนเดียว ส่วนในหัวถ้าว่างเมื่อไหร่ก็จะต้องคิดแต่เรื่องของเขาเท่านั้น คิดเองก็อายเอง ไม่รู้ว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กสาววัยรุ่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็ช่วยไม่ได้อ่ะ เพราะเป็นแบบนี้ก็...สนุกดีเหมือนกัน

    เขาก็รู้ตัวดีว่าระหว่างความสมเหตุสมผล กับอารมณ์ความรู้สึก อันไหนสำคัญกับเขามากกว่ากัน

               “กูตัดสินใจล่ะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยเรียกความสนใจจากเพื่อนสนิท สไปรท์ครางรับในลำคอโดยที่สายตาไม่ได้ละจากหน้าจอ ส่วนมือก็กำลังวุ่นกับการควบคุมจอยสติ๊กจนจินต้องเบ้ปากใส่
               นักร้องหนุ่มจอมแสบพุ่งตัวเข้าไปบังหน้าจอโทรทัศน์ ก่อนจะจัดการกดปิด หน้าจอดับวูบลงทันที ตามด้วยเสียงร้องโวยวายของคนที่กำลังมีอารมณ์ร่วมกับเกมส์
               “เชี่ยจิน ก็พูดมาดิวะ ทำไมต้องมาปิดเกมส์กูด้วยเนี่ย” คนติดเกมส์โวยวายออกมาไม่หยุด สัตว์เลื้อยคลานวิ่งวุ่นกันทั่วห้อง แต่จินเคยสนใจอะไรแบบนี้มั้ยล่ะ
               “มึงว่ากูหล่อมั้ย” นอกจากจะไม่ฟังคำโวยวายแล้ว ยังโพล่งขึ้นมาตัดบทคำบ่นของสไปรท์ด้วยใบหน้าที่จริงจังมาก อย่างกับคำถามนี้เป็นคำถามจิตวิทยาที่ใช้สอบเข้าองค์กรนาซ่า จนคนโดนขัดต้องปาจอยสติ๊กในมือใส่หัวเจ้าเพื่อนตัวแสบเพื่อเป็นการระบายความหงุดหงิด จินก้มหลบได้อย่างเฉียดฉิวก่อนจะค่อยๆเสยผมหน้าม้าอย่างเท่ๆ
               “คำถามห่าอะไรของมึง” พูดพลางส่งสายตาเอือมๆไปให้ จินยักไหล่ก่อนจะถามคำถามเดิมอีกครั้ง
               “มึงว่ากูหล่อมั้ย ตอบดีๆด้วยนะมึง” แถมยังมีการกำชับส่งท้ายอีกแน่ะ แล้วเขาจะทำอะไรได้ นอกจากจะกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย และยอมตอบคำถามเพื่อนบ้าแต่โดยดี
              “ก็หล่อ”

              “หล่อขนาดไหน”

              “ห่านี่ =_=”

              “กูจริงจัง” พูดพร้อมกับส่งสายตาแน่วแน่มาให้เป็นการยืนยันว่านี่จริงจังจริงๆ สไปรท์มองท่าทางของเพื่อนสนิทอย่างเหนื่อยๆ แปลว่าเขาต้องจริงจังไปกับมันด้วยช้ะ
              “ก็หล่ออ่ะ อย่าให้กูพูดเยอะ กูกระดากปากตัวเอง” ตอบส่งๆ ก่อนจะบ่นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก็จะให้ผู้ชายด้วยกันมาชมกันว่าหล่ออย่างนู้น หล่ออย่างนี้ แถมยังเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่อนุบาลยันมอปลาย รู้ไส้รู้พุงกันหมด มันชมกันไม่ลงหรอก ต่อให้ไอ้เพื่อนบ้านี่มันจะหล่อแบบมาริโอ้ชิดซ้าย ณเดชชิดขวา โดมปกรณ์ลัมเรียกพี่ก็เหอะ
               “แล้วทำไมพี่เค้าไม่ชอบกูวะ” ประโยคถัดมาทำเอาคนฟังอยากจะเอาตีน เอ๊ย พระบาทงามๆ ของตัวเองยกขึ้นก่ายหน้าผากจริงๆ

               “พี่มันหล่อกว่ามึงนะครับ แล้วอีกอย่างมึงอ่ะฝ่ายรับแหงๆ มาหล่งมาหล่ออะไร ต้องแอ๊บแบ๊ว คิตตี้ ฟรุ้งฟริ้ง งุ้งงิ้งโว้ย” จินทำหน้าแหยงกับประโยคที่พึ่งได้ยินมา ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยคิดจะทำตัวอย่างนั้นเลยนี่ อาจจะมีทำตัวงุ้งงิ้งบ้าง แต่ก็เวลาอ้อนเท่านั้นแหละ นอกนั้นมันไม่ใช่สไตล์เลยจริงๆ เขาน่ะ ผู้ชายแมนๆ ดิบๆ เลยนะเว้ย

               “กูตัดสินใจล่ะ”

               “หืม” สไปรท์ครางรับในลำคอ เหลือบมองใบหน้าฉายแววมาดมั่นของเพื่อนสนิทอย่างเอือมๆนิดหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าใบหน้าเหยเกที่มีน้ำตาไหลทะลักอย่างกับเขื่อนแตกอ่ะนะ

               “กูจะไม่ปล่อยพี่เค้าไปว่ะ” พูดเองก็หน้าแดงเองจนคนมองอย่างจะถ่ายคลิปแล้วไปลงในเว็บเพจของพวกแฟนคลับจริงๆ ไอ้นี่มันมีมุมน่ารักๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะกลับมาสนใจคำพูดที่จินกำลังจะพูดต่อ

               “ต้องขอบคุณมึงที่เตือนสติกู กูลองมาคิดๆดูแล้ว กูยังมีโอกาสว่ะ ใช่ป้ะ การที่พี่เค้ามีคนที่รักอยู่แล้วแต่ก็ยังหวั่นไหวกับกู แปลว่ากูต้องมีอะไรสักอย่างบ้างแหละ” พูดพลางทำสีหน้ามั่นใจ ถ้ามันไม่หล่อนะ สไปรท์คิดว่าตัวเองคงได้เอาเท้ายันหน้าเพื่อนตัวเองไปแล้วแน่ๆ

               “แล้ว?”

                    .

                    .

                    .

                    .
     

               “กูตัดสินใจล่ะ กูจะจีบพี่มันเอง”

     










     


    ---------------------------------------

     
    Talk :  ครบร้อยแล้ว จุดพลุฉลองกันเถอะค่ะ
               งื้อ ขอโทษนะคะที่มาอัพช้าสุดๆ
               ช่วงนี้ไรท์บิ้วอารมณ์ไม่ค่อยขึ้นเลย
               อากาศมันร้อน(โทษอากาศอีก 555)
               ดูไปดูมานี่ 14 ตอนแล้วนะ สองหนุ่มเค้ายังไม่รักกันสักทีเลยอ่ะ
               หูย ค่อยๆเป็นค่อยๆไปมันทำให้เข้าใจกันมากขึ้นแหละเนอะ
               คริคริ ต่อไปน้องจินของเราจะบุกแล้วน้าาาา







     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×