ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #9 : -08-

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 58




     
    -08-




     
             


              บรรยากาศรอบตัวค่อยๆเงียบลง เด็กสาวแฟนคลับของแอสตันก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างลำบากใจ ก่อนจะค่อยๆพึมพำขอโทษเสียงเบา
              “ขอโทษค่ะ” น้ำเสียงสั่นๆที่เหมือนจะร้องไห้เต็มแก่ทำเอาแฟนคลับคนอื่นๆที่คอยสังเกตการต้องรีบเข้ามาช่วยปลอบ จินเหลือบมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างลำบากใจ เพราะเขาเองก็พอจะเข้าใจความหมายสายตาขุ่นๆของบรรดาแฟนคลับของแอสตันที่กำลังมองมาทางเขาอยู่
              ‘ทำอะไรของพี่เนี่ย แฟนคลับพี่ก็ยิ่งเกลียดผมไปกันใหญ่’ จินคิดพลางส่ายหัวเบาๆอย่างหงุดหงิด ตอนนี้สมองของเขากำลังสับสน
              เหมือนกับมีเทวดากับปีศาจกำลังทะเลาะกันภายในหัว เรื่องนี้เขารู้ว่าเขาคงต้องพูดอะไรบ้าง แต่จะพูดอะไรดีล่ะ... ใจหนึ่งก็อยากจะโต้กลับว่าไม่มีใครหลงเชื่อท่าทางหลอกลวง แถมสำออยแบบนั้นหรอก!!! แต่ถ้าทำแบบนั้น... เรื่องมันคงจะยิ่งแย่ลงไปอีก คิดไปคิดมาสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกอะไรเลยไม่ใช่รึไง!!!

              จินเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
              “ไม่เป็นไรหรอก แล้วเจ็บตรงไหนรึเปล่า ไม่ได้เลอะตรงไหนใช่มั้ย” น้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยถามเบาๆ ถึงแม้จะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แต่หากลองใช้ความเป็นสุภาพบุรุษมาแก้ปัญหาแล้ว เขาควรจะพูดแบบนี้ล่ะถึงจะเหมาะกับสถานการณ์ตรงหน้าที่สุด

              แอสตันเหลือบมองจินนิดหน่อย ก่อนจะหลุดยิ้มกับคำพูดของร่างบางข้างๆ รู้สึกชอบใจไม่น้อยที่จินตัดสินใจพูดแบบนั้นออกไป
             “ไม่เป็นไรค่ะ แต่พี่...” เด็กสาวที่แอบแปลกใจกับท่าทางของจินเอ่ยออกมาอย่างงงๆ ท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าตรงข้ามกับที่เธอคิดเอาไว้อยู่มากโข ตอนแรกเธอคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะโวยวายใส่เธอ หรือไม่ก็เอาน้ำจากใครสักคนมาราดใส่เธอคืนซะอีก
             “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปล้างตัวนิดหน่อยก็คงโอเคขึ้น ถ้าเธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” จินพูดพลางคลี่ยิ้มบางๆ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่ฝืนไปหน่อยก็ตาม
              ท่าทางของนักร้องหนุ่มทำเอาบรรดาแฟนคลับของแอสตันแอบมองหน้ากันอย่างลังเล ท่าทางของคนตรงหน้าจะว่าไปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิดไว้ เริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่พวกเธอเข้าใจจะผิดไปจากความจริงไม่น้อย
              ร่างสูงเหลือบมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างพอใจ ต้องขอบคุณเจ้าเด็กแสบที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เพราะถ้าเป็นปกติล่ะก็ เจ้าเด็กนี่คงจะผลักเด็กสาวคนนั้นก้นกระแทกพื้นแล้วเอากาแฟที่เหลือราดหัวไปแล้ว
              “เอาล่ะๆ พี่ว่าจินไปล้างตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเมากาแฟนะ ส่วนน้องไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แยกย้ายกันดีกว่านะ นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว” แอสตันพูดพลางดันหลังจินไปทางห้องน้ำสำหรับนักกีฬา คำพูดที่ดูเหมือนล้อเลียนมากกว่าจะแสดงความเป็นห่วงทำให้จินตวัดสายตามองนิดหน่อย ก่อนจะดึงชุดจากมือของแอสตันด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ แล้วหันไปดึงสไปรท์ให้ไปห้องน้ำเป็นเพื่อน

             








              “หื้ม จินเซ็กซี่จัง”

              “เคยอยู่ๆดีก็หัวฟาดพื้นมั้ย” คำตอบกลับอันเจ็บแสบของจินทำเอาแอสตันหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง จนคนตัวบางต้องตวัดสายตาขึ้นมามองพลางทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

              ก็จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อแอสตันเป็นถึงนักกีฬาบาส ทั้งส่วนสูง ทั้งกล้ามเนื้อก็ต้องมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว ทำให้พอมาใส่ชุดของแอสตัน อะไรก็ดูหลวมไปหมด
              แต่เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไอ้พี่บ้านี่มันใช้ส่วนไหนมองว่าเขาเซ็กซี่ ถ้าเป็นหญิงสาวเอวบางร่างน้อยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ เขาเป็นผู้ชาย แมนๆ แถมยังเป็นหนุ่มหล่อซะด้วย ยิ่งไอ้สายตาล้อเลียนแบบนั้น อยากจะเอานิ้วจิ้มให้ตาบอดจริงๆ

              หลังจากที่จินล้างตัวจนพอจะเอากลิ่นกาแฟออกได้เรียบร้อย จินกับแอสตันก็ขอแยกตัวออกมา เพราะรุ่นพี่ตัวสูงสัญญาไว้ว่าจะพาจินไปกินเค้ก แต่ดูเหมือนจะผิดแผนไปนิดหน่อย เพราะกว่าจะออกมาจากโรงยิมได้ก็ใกล้เวลาทานอาหารเย็นแล้ว ทั้งสองเลยจบลงที่ร้านอาหารที่แอสตันเป็นคนแนะนำแทน
              “เป็นไง วันนี้พี่เท่สุดๆเลยใช่มั้ย” หลังจากสั่งอาหารเสร็จสรรพ ร่างสูงก็เริ่มชวนคุยทันที น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง จนจินต้องเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้
              “ไม่เห็นจะเท่เลย เล่นก็งั้นๆ ทำแต้มก็ได้นิดเดียวเอง” คำตอบของร่างบางตรงหน้าทำเอาแอสตันต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
              “หืม จริงหรอ แล้วใครกันน้าที่เอาแต่มองพี่ ไม่ได้สนใจเกมเลย จนต้องหันไปถามเพื่อนข้างๆ แล้วอีกอย่างนะ พี่ทำแต้มได้เยอะสุดด้วยเหอะ” ไม่พูดเปล่ายังมาส่งสายตาล้อเลียนใส่อีก จินที่ทนไม่ไหวเลยเอื้อมมือไปดีดหน้าผากไอ้กัปตันทีมบาสจอมหลงตัวเองเต็มแรง
             “นี่ ทำร้ายร่างกายคนหล่อนี่ผิดกฎหมายนะ” แอสตันร้องโอดโอย ก่อนจะชี้หน้าคาดโทษ ถึงแม้จะเป็นแบบหยอกเล่นก็ตามที
             “ขี้ตู่” และแน่นอนมีหรือเด็กแสบอย่างจินจะสนใจ นอกจากจะทำท่าเอื้อมมือไปตีหน้าผากนั้นอีกรอบ ยังพูดพลางแลบลิ้นใส่อย่างน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก แอสตันเลยแก้เผ็ดด้วยการยื่นหน้าไปใกล้ๆ พลางคลี่ยิ้มชนิดที่ว่าไม่ว่าใครเห็นต่างก็ต้องใจละลายไปกองที่พื้นกันทั้งนั้น
             “ไม่ได้ขี้ตู่นะ เนี่ย คนที่ทำผิดจะเสียค่าปรับ เป็นโดนจุ๊บหนึ่งที” ไม่พูดเปล่ายังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนจินสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่มาจากจมูกโด่งของคนตรงหน้า ถ้าหากเป็นสาวน้อยสาวใหญ่หรือบรรดาแฟนคลับของแอสตันคงจะพากันอ่อนระทวยกันไปเป็นแถบๆแล้วล่ะ 
           
             แต่นี่เขาเป็นใคร จิน นักร้องนำวง alcoholic เชียวนะ รูปหล่อ พ่อรวย ออกจะเพอร์เฟ็คขนาดนี้ ไม่มีทางหวั่นไหวกับรอยยิ้มแบบนั้นง่ายๆหรอก

             
              “อี๋ บ้าป่ะ ออกไปเลยไป ขนลุกชะมัด” พูดพลางเอามือดันหน้าของคนตรงหน้าออกไปเต็มแรง เอาชนิดที่ว่าจมูกบี้กันไปข้างเลย





              หลังจากกินข้าวกันเสร็จ แอสตันก็บอกว่าจะพาขับรถเล่นก่อน แล้วค่อยพาไปส่งบ้าน เพราะไหนๆพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดอยู่แล้ว สำหรับจินที่กำลังเบื่อๆก็เลยไม่คิดจะปฏิเสธอะไร ออกจะพอใจเสียด้วยซ้ำ
              สุดท้ายทั้งสองเลยมาจบที่ถนนคนเดินที่ไม่ห่างจากร้านอาหารที่ทานมากนัก

              อากาศเย็นๆตอนกลางคืนแถมยังติดแม่น้ำทำให้มีลมพัดโกรกเบาๆ บวกกับบรรดาดวงไฟสีส้มเล็กๆที่ใช้ตกแต่งสถานที่ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น และเพิ่มเอกลักษณ์ด้วยการตกแต่งสไตล์วินเทจ ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูน่าเดินเล่นมากยิ่งขึ้น
              ร่างสูงค่อยๆเลี้ยวรถเข้าที่จอด จัดการจ่ายค่าที่จอดรถเสร็จสรรพ แอบขำกับท่าทางของเด็กหนุ่มข้างๆ ที่เอาแต่เงยหน้ามองบรรยากาศ ราวกับเด็กน้อย
              “มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษมั้ย” แอสตันถามร่างบางข้างๆ จินค่อยๆละสายตาจากภาพตรงหน้า หันมาส่ายศีรษะปฏิเสธเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
             “เดินดูเรื่อยๆแล้วกัน อยากได้อันไหนก็แวะร้านนั้น” แอสตันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะจูงมือจินเข้าไปในบริเวณขายของ
             “ไม่ต้องจับมือก็ได้ ไม่ขนลุกรึไง ผู้ชายแมนๆมาจับมือกันเนี่ย” จินเอ่ยแย้งพลางดึงมือตัวเองกลับ ทำเอาแอสตันต้องหันหน้ามามอง ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปนั้นจะค่อยๆคลี่ยิ้มทะเล้นออกมา
             “เขินก็บอก” และแน่นอนสิ่งที่ได้รับกลับมาคือแรงฟาดตุ้บตั้บบริเวณหลังแรงๆสองสามที




               อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ทำให้มีคนมาเดินเยอะเป็นพิเศษ อาจจะไม่เยอะจนต้องเดินเบียดกัน แต่ก็เยอะพอที่จะทำให้หลงกันได้ง่ายๆ ร่างสูงเหลือบมองรอบข้างตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เมื่อรู้สึกว่าเจ้าเด็กแสบของเขาไม่ได้อยู่ข้างๆ
              “จินจับมือพี่เร็ว” แอสตันพูดแกมบังคับกับคนร่างบางข้างๆ ที่เผลอเมื่อไหร่เป็นต้องหลุดหายไปกับฝูงชนอยู่เรื่อย
              “ไม่เอา” พูดพลางทำหน้ากวนโอ๊ยใส่ ชนิดที่ว่าถ้าหน้าตาไม่ดีพอนี่คงโดนเตะก้านคอไปแล้ว เมื่อเห็นว่าตัวเองกวนคนตัวสูงข้างๆได้สำเร็จ ก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะยอมเอื้อมมือไปจับกับมือของแอสตันแต่โดยดี
              “อ่ะๆ รู้ว่าอยากจับมือคนหล่อ ไม่ต้องอมยิ้มก็ได้” นักร้องจอมแสบพูดพลางส่งสายตาล้อเลียน
              “อะไรใครยิ้ม” แอสตันพูดพลางตีหน้าขรึม มองไปทางคนข้างๆที่เขากำลังกุมมืออยู่ แต่เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองคิดผิด เมื่อเผลอไปสบเข้ากับนัยน์ตาเรียวที่เป็นประกายวิบวับอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
              “หรอ ไม่ได้ยิ้มเลยเนี่ย มุมปากมันชี้ขึ้น จนจะฉีกไปถึงหูแล้ว” ไม่พูดเปล่า เอานิ้วชี้จิ้มจึกๆไปที่มุมปากของคนตัวสูงหน้าหล่ออีกต่างหาก ทำเอาคนขี้เก๊กต้องเก๊กหลุดอย่างเสียไม่ได้

              เดินเล่นกันสักพัก จินก็ตัดสินใจหยุดลงที่ร้านขายเครื่องประดับขนาดกลางแห่งหนึ่ง นัยน์ตาเรียวเป็นประกายเมื่อเจอของถูกใจ ร่างบางหยุดดูที่แผงลอย มือเรียวหยิบเครื่องประดับช้ินนู้นชิ้นนี้ไม่หยุด จนแอสตันต้องยื่นหน้าเข้ามามองบ้าง
              “อันนี้สลักตัวอักษรได้ด้วยนะ” คนขายเอ่ยแนะนำ เมื่อเห็นลูกค้าตรงหน้าดูสนใจสินค้าชิ้นนั้นเป็นพิเศษ
              “จริงอ่ะ คิดค่าสลักมั้ยครับ” จินเอ่ยถามอย่างกระตือรือล้น เขากำลังอยากได้กำไลข้อมือเท่ๆพอดี
              “ถ้าซื้อสองชิ้นไม่คิด” พูดพลางคลี่ยิ้มเอ็นดู จินตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปหาแอสตันที่กำลังยืนดูเครื่องประดับเรื่อยเปื่อยข้างๆ
              “พี่ ซื้ออีกชิ้นดิ” ไม่พูดเปล่า ส่งสายตาเป็นประกายวิบวับไปให้อีก ชนิดที่ว่าใครเห็นก็ต้องใจอ่อนยวบอยู่แล้ว แอสตันเลิกคิ้วมองภาพตรงหน้า หลุดคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบกำไลข้อมือขึ้นมาดูบ้าง
              “เงินแท้นะ ใส่ได้ตลอดไม่ต้องกลัวว่าจะลอกเลย” เมื่อเห็นลูกค้าตัวสูงเริ่มสนใจ มีหรือพ่อค้าอย่างเขาจะปล่อยให้หลุดมือไป รีบเอ่ยบอกสรรพคุณของสินค้าทันที ทำเอาแอสตันต้องเผลอหลุดคลี่ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามองบรรดาเครื่องประดับสีเงินแวววาวบนแผงอย่างพิจารณา
              “อืม เอาก็ได้ เอาอันนี้ครับ” พึมพำตอบคนตัวเล็กกว่าข้างๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปหยิบกำไลเงินเรียบๆชิ้นหนึ่งส่งให้เจ้าของร้าน จินร้องเย้ออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งกำไลที่ตัวเองเล็งไว้ให้คนขายบ้าง
              “จะสลักว่าอะไร เขียนลงกระดาษข้างหน้าเลย” คนขายพูดพลางพยักเพยิดไปทางกระดาษแผ่นเล็กๆที่วางอยู่ข้างๆ จินเลื่อนมือไปหยิบก่อนจะหยุดคิด
              “เขียนว่าอะไรดีอ่ะ พี่แอสตันจะเขียนว่าอะไร” เมื่อคิดไม่ออกเลยตัดสินใจถามคนตัวสูงข้างๆแทน ทำเอาแอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อยอย่างใช้ความคิด แอบหัวเราะคนข้างๆเบาๆ ตัวเองเป็นคนอยากได้แท้ๆ ยังจะมาถามคนที่เป็นผลพลอยได้อย่างเขาอีก
              “อืม... เอาเป็นชื่อพี่แล้วกัน” เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็เลยตอบแบบส่งๆไป ก็ชื่อน่ะเป็นอะไรที่เบสิคสุดๆแล้ว คนจับปากกาค่อยๆเขียนลงกระดาษ แต่ไม่วายหันมาเบ้ปากใส่เขาบ่นงึมงำเสียงไม่เบาเท่าไหร่นัก
              “สิ้นคิดมากอ่ะ” คำพูดจากริมฝีปากรูปกระจับทำเอาเขาอยากจะตีปากแรงๆสักทีหนึ่ง ตัวเองยังคิดไม่ออกแล้วยังจะมาว่าคนอื่นอีก หลังจากยืนคิดอยู่สักพัก สุดท้ายแล้ว จินก็ตัดสินใจสลักเป็นชื่อตัวเองตามคนตัวสูงอยู่ดี
              “แล้วก็มาบอกว่าพี่สิ้นคิด” แอสตันเอ่ยล้อคนตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือไปยีผมสีฟ้าสดใสนั่นอย่างหมั่นไส้ จินแลบลิ้นใส่ พลางทำท่าลอยหน้าลอยตา จนแอสตันต้องยืดแก้มนุ่มอย่างอดไม่ได้ คนอะไรจะทำตัวได้น่าหมั่นไส้ขนาดนี้

             หลังจากยืนรอประมาณสิบนาที กำไลข้อมือก็มาอยู่ที่ข้อมือของคนทั้งคู่เรียบร้อย จินยิ้มแก้มปริอย่างพอใจ เพราะเขาสามารถบังคับให้คนตัวสูงจ่ายค่ากำไลให้เขาได้
              “อยู่กับจินมีแต่เรื่องเสียเงิน คราวหน้าพี่ทิ้งกระเป๋าตังไว้ที่บ้านดีกว่า” แอสตันเอ่ยพลางผลักหัวคนตัวบางข้างๆไม่เบาไม่แรง แต่ก็พอจะทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเซไปตามแรงที่ผลัก
              “โอ๋เอ๋ ตัวเองออกจะรวยทำมาเป็นขี้เหนียว” จินเอ่ยล้อๆ จนแอสตันต้องผลักหัวทุยนั่นอีกที ทั้งสองเดินหยอกล้อกันไปเรื่อยจนมาถึงสุดทางเดิน




              บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อไม่มีบรรดาร้านค้าตั้งอยู่ ลานโล่งๆที่ติดกับริมแม่น้ำ มีเสาไฟสไตล์วินเทจตั้งอยู่ไม่กี่ต้น แต่กลับทำให้สถานที่แห่งนี้มีมนต์เสน่ห์อย่างน่าประหลาด
              หากมองกลับไปก็จะเห็นถึงแสงไฟจากร้านรวงต่างๆ และบรรยากาศที่ดูวุ่นวายแต่ก็ทำให้ดูคึกคักคนจำนวนไม่น้อยตัดสินใจแวะพัก และถ่ายรูปกัน ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นคู่รักก็เถอะ 
              จินมองภาพรอบๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ ก่อนจะตัดสินใจเก็บรูปถ่ายไว้เป็นความทรงจำบ้าง
              “อ๊ะ เกือบลืมถ่ายรูปตัวเองเลย พี่แอสตันมาเซลฟี่กัน” พูดพลางหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเปิดกล้องหมุนหามุมที่แสงสวยที่สุด
              แอสตันเหลือบมองภาพตรงหน้าแอบหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโดนมือเรียวดึงเสื้อให้มาถ่ายรูปด้วยกัน
              “ทำท่าเดียวกันนะ” ริมฝีปากรูปกระจับเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนขยับหน้าหมุนไปมาเพื่อหามุมที่คิดว่าตัวเองเพอร์เฟ็คที่สุด
              “ท่าเบสิคสุดๆอ่ะ” แอสตันเอ่ยล้อเมื่อเห็นจินเลือกใช้ท่าชูสองนิ้ว โดยแขนเรียวนั้นเลื่อนมาพาดที่ไหล่ ก่อนจะโอบรอบคอของเขาและชูสองนิ้ว เพราะมืออีกข้างต้องถือกล้อง
              “พูดมาก คนหล่อต่อให้ท่าไหนก็ดูดีหมดแหละ เอ้า ชูสองนิ้วเร็วๆดิ” น้ำเสียงนุ่มพูดพลางกระชับแขนที่โอบรอบคอของเขาเป็นการเร่ง แอสตันส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาชูสองนิ้วตามที่เจ้าเด็กแสบบอก
              “ส่งรูปให้พี่ด้วยนะ”









              417 likes

              _Ginn My stupid bro!!! :P

              view all 109 comments

              Alle_01 น่ารักๆๆๆๆ <3<3<3

              Chu_sanny น่ารักเกินไปแล้ว จะจิ้นแล้วนะ

     

              486 likes

              Aston.martin My cute puppy~ :)

              view all 132 comments

              Luv_love มีใครกำลังคิดแบบที่ชั้นคิดรึเปล่า =.,=

              ZZzzille จิ้นไม่จิ้น จิ้นไม่จิ้น จิ้นค่า

              สไปรท์เลื่อนสายตามองการอัพเดท ig ของสองหนุ่มฮอตทั้งคู่ ส่ายศีรษะอย่างปลงๆ สองคนนี้นี่ขยันสร้างกระแสอย่างกับอะไรดี ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองตัวต้นเหตุทั้งสองตัวที่ยืนคุยกันกระหนุงกระหนิงไม่ได้รับรู้ถึงสายตาที่จดจ้องเลยสักนิด

              สำหรับคนนอกอย่างเขาน่ะรู้ดีเลยล่ะ ไอ้บรรดาสายตาของแฟนคลับที่กำลังจินตนาการบรรเจิดถึงเรื่องที่คนทั้งสองกำลังคุยกันอยู่
              ตอนแรกก็เป็นกระแสว่าเกลียดกันจะเป็นจะตาย หรือเกาะกันดังบ้างล่ะ แล้วไหงกลายมาเป็นกระแสคู่จิ้นกันได้ซะงั้น!

              “นี่เห็นพี่เป็นพนักงานส่งวัสดุรึไง” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยังยอมรับของจากมือของรุ่นน้องตัวแสบอยู่ดี
              “ก็เออดิ หุ่นก็ให้ใจก็รัก เลิกเป็นนักบาสแล้วไปทำงานที่ทำการไปรษณีย์ดีกว่า” พูดพลางส่งสายตาล้อเลียนไปให้จนแอสตันต้องยื่นมือไปขยี้หัวฟ้าๆนั่นอย่างหมั่นไส้
              “กรี๊ด ขยี้หัวด้วยอ่ะแก” ก่อนจะมีเสียงบรรดาแฟนคลับที่แอบสังเกตการณ์หลุดกรี๊ดออกมาไม่เบาเท่าไหร่นัก แต่ไอ้สองตัวต้นเหตุเคยสนใจอะไรที่ไหน มีแต่สไปรท์เนี่ยแหละเหนื่อยใจแทน
              “งั้นพี่ไปแล้วนะ อุตส่าห์เร่งเครื่องมารับถึงนี่ ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน มีค่าจ้างป่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยกวนๆจนจินต้องถลึงตาใส่ ก่อนจะยื่นขนมที่แวะซื้อที่ร้านสวัสดิการให้ร่างสูง แล้วดันหัวของรุ่นพี่ตัวสูงเบาๆอย่างหมั่นไส้
              “ไปเลยไป เดี๋ยวเอาไปให้เอแคลร์ไม่ทัน ถ้าเพื่อนผมโดนหักคะแนนนะ จะต่อยพี่เท่ากับคะแนนที่เอแคลร์โดนหักไป” ไม่พูดเปล่ามีการชกเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก แอสตันหัวเราะหึหึ ไม่วายขยี้หัวทุยๆให้ยุ่งเหยิง เป็นการปล่อยระเบิดลูกสุดท้ายก่อนออกรถอีกต่างหาก
              “ไปกินข้าวกัน” จินพูดอย่างร่าเริง แขนเรียวเลื่อนไปเกี่ยวแขนของเพื่อนสนิทก่อนจะลากไปยังโรงอาหาร พยายามไม่ฟังเสียงบ่นของสไปรท์ ที่ต่อให้ไม่ตั้งใจฟังก็พอจะรู้ว่าบ่นเรื่องที่ทำให้ได้กินข้าวช้าแหงๆ
              “โอ๋ๆ อย่าบ่นดิ เลี้ยงข้าวเลยอ่ะ” จินพูดพลางกะพริบตาปริบๆ ชนิดที่ว่าใครเห็นไม่มีทางโกรธลง สไปรท์กรอกตาไปมาอย่างเอือมๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มหน้าผากมนของเพื่อนตัวแสบแรงๆสองสามที
              “ก็เพราะทำอะไรไม่ระวังตัวแบบนี้ไง มันเลยชอบมีกระแสแปลกๆโผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อย” ส่ายหัวอย่างปลงๆก่อนจะยอมให้นักร้องประจำวงลากไปแต่โดยดี










     

              Aston : ทำอะไรอยู่

              _Ginn : นั่งแกร่ว

              _Ginn : อยากไปทะเล

              ส่งสติ๊กเกอร์แพนด้านอน

              Aston : ตอนสามทุ่มน่ะหรอ

              _Ginn : อยากไปไม่ได้หรอ

              Aston : ดื้อ

              ส่งสติ๊กเกอร์หมาไซบีเรียนแลบลิ้น

              _Ginn : ถ้าเป็นเด็กดีจะพาไป???

              Aston : เรียกพี่ว่า พี่แอสตันสุดหล่อก่อน

              _Ginn : อี๋ ไม่เอา

              Aston : งั้นก็ไม่ต้องไป

              _Ginn : ส่งสติ๊กเกอร์แพนด้าโกรธ

             “อะไรคือการอมยิ้มกับโทรศัพท์คนเดียวครับ คุณแอสตัน” น้ำเสียงทุ้มๆเรียกให้แอสตันต้องละสายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามอง ก่อนจะยักคิ้วเท่ๆส่งไปให้พี่ชายร่วมสายเลือดหนึ่งที จนออสตินต้องละมือจากโน้ตบุ๊คตรงหน้ามาขยี้หัวน้องชายตัวแสบแทน
              เพราะว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ แถมคุณพ่อของเขายังสามารถเคลียร์งานได้เสร็จเร็วกว่ากำหนด ทำให้คุณนายใหญ่ประจำตระกูลตัดสินใจขอให้เจ้าพี่ชายตัวแสบพาภรรยาคนสวยกลับมานอนบ้านบ้าง เพราะอยากจะกินข้าวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา และนั่งถามสารทุกข์สุขอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำมานาน
              “มีสาวที่ไหนก็บอกพี่ชายคนนี้บ้าง อยากจะเห็นหน้าน้องสะใภ้” พูดพลางส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตามประสาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน จนแอสตันต้องผลักหัวพี่ชายแรงๆไปหนึ่งที

             ออสตินกับแอสตันเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก สนิทขนาดไหนน่ะหรอ เอาเป็นว่ามีขนขึ้นตอนไหน จูบแรกเมื่อไหร่ แฟนคนแรกชื่ออะไร หรือเคยแอบไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้างเนี่ย ต่างฝ่ายต่างรู้กันหมด ถึงแม้ทั้งสองจะอายุห่างกันเกือบๆ 7 ปีก็ตาม
             อาจจะเป็นเพราะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ทำให้ทั้งสองสนิทและผูกพันกันมากขนาดนี้ และคงเพราะความผูกพันนี้นี่แหละถึงทำให้แอสตันต้องรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นพี่ชายของเขาอยู่กับภรรยาคนสวย
              เรื่องที่เขาเคยคบกับรีฟาก่อนที่หญิงสาวจะมาแต่งงานกับออสตินเป็นเรื่องเดียวที่เขาเก็บเป็นความลับกับพี่ชาย
             
              “สาวที่ไหนล่ะ รุ่นน้อง” เอ่ยปัดๆก่อนจะต้องดันหัวของพี่ชายจอมแส่ให้ออกห่างจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง ออสตินทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอย่างไม่เหมาะสมกับวัยของตัวเองเลยสักนิด

              “ก็แค่รุ่นน้องแล้วทำไมต้องปิดบังด้วย” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือออกมาทำท่าจะแย่งโทรศัพท์ไปดูอย่างเสียมารยาทอีกต่างหาก แอสตันส่ายหัวอย่างเอือมๆก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบพี่ชายไปเต็มแรง จนร่างสูงพอๆกันเซๆแถดๆตกโซฟาไปไม่เบานัก แล้วคิดว่าเขาจะสนมั้ย ไม่หรอก รู้สึกสะใจเสียด้วยซ้ำ
              “ไอ้เหี้ยแอสตัน นี่ถีบพี่มึงเลยหรอ” น้ำเสียงทุ้มสบถหยาบออกมา ก็แรงจากฝ่าตีน เอ๊ย ฝ่าเท้า ของน้องชายเขามันน้อยๆซะที่ไหน
              “อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านทำไมล่ะครับ คุณออสติน” พูดพลางทำหน้าลอยหน้าลอยตาอย่างไม่สำนึก จนคนมองต้องยื่นมือไปตบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสลวยนั่นแรงๆอย่างหมั่นไส้
              และผลที่ตามมาก็คือสงครามขนาดย่อมๆ ที่เสียงไม่ค่อยจะเบานัก ดังพอที่จะเรียกให้คุณนายประจำตระกูลเดินปึงปังเข้ามาที่ห้องหนังสือประจำบ้าน ที่สองหนุ่มสถิตอยู่ แล้วตะโกนสุดเสียง ชนิดที่ว่าสองหนุ่มเงียบกริบ ก่อนจะรีบกุลีกุจอไปกอดขาอ้อนเสียยกใหญ่
              “พวกแกอายุก็ไม่ได้น้อยๆแล้วนะยะ คนหนึ่งก็แต่งงานแล้ว อีกคนก็มอปลายปีสุดท้าย ยังจะมาทำตัวเป็นเด็กๆอีก ชั้นล่ะเหนื่อยใจ” พูดพลางยกพัดไม้สลักลวดลายแบบจีนขึ้นมาพัด ทำท่าจะเป็นลม
              บรรดาลูกชายตัวดีของเธอเลยต้องพับเก็บเรื่องที่ทะเลาะกันไว้ก่อน แล้วพยุงคนเป็นแม่เข้ามานั่งที่โซฟา แอสตันเลยอาสาออกไปบอกให้คุณแม่บ้านประจำบ้านที่ห้องครัวช่วยชงชาร้อนๆมาให้คุณนายเพื่อเป็นการผ่อนคลาย




              “คุณแม่อยากดื่มชาหรอ มาเดี๋ยวพี่ทำให้เอง” เสียงหวานๆที่แสนคุ้นเคยทำเอาแอสตันต้องเผลอกัดปาก เขาไม่น่าอาสามาที่ห้องครัวนี้เองเลย
              ทุกครั้งที่กลับบ้านมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เขาเลือกที่จะหลบหน้าหญิงสาวตรงหน้าให้มากที่สุด จะให้ทำยังไงล่ะ ก็ในเมื่อรีฟาเป็นผู้หญิงที่เขารักและมีเยื่อใย การจะห้ามใจน่ะ มันไม่ง่ายเลย
              “อ่าครับ ฝากด้วยนะครับ” พูดเพียงแค่นั้นก่อนตัดสินใจเดินออกมา ถ้าไม่ติดว่ามีมือเล็กๆมาคว้าเอาไว้ที่ข้อมือก่อน แอสตันชะงัก ก่อนจะค่อยๆดึงข้อมือตัวเองออกเบาๆ และหันหน้าไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่ามีอะไรอีกรึเปล่า
              รีฟามองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด เพราะแบบนี้ไงเธอถึงไม่ค่อยอยากกลับมาที่บ้านใหญ่เสียเท่าไหร่ ทุกครั้งที่กลับมา เธอจะสามารถรับรู้ได้ถึงระยะห่างที่แอสตันสร้างขึ้นมา

             ราวกับมีกำแพงบางๆแต่แข็งแกร่งสร้างขึ้นมากั้นเธอกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเอาไว้

             “รอไปด้วยกันสิ เห็นคุณพ่อก็บอกว่าจะไปนั่งคุยเล่นกันที่ห้องหนังสือนั้นด้วย” พูดพลางฝืนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ทั้งคู่สบตากันชั่วขณะหนึ่ง แต่แค่นั้นก็พอจะสังเกตเห็นถึงความเศร้าหมองจากนัยน์ตาของคนทั้งคู่ได้แล้ว




              “ทำอะไรน่ะ!!” สิ่งแรกที่เห็นเมื่อก้าวเข้ามาในห้องคือ ทั้งพ่อ แม่ และไอ้พี่ชายตัวแสบต่างกำลังนั่งมุงดูอะไรบางอย่างที่โซฟา นัยน์ตาคมเลื่อนสำรวจก่อนจะหยุดอยู่ที่โทรศัพท์เครื่องบางของตัวเองที่อยู่ในมือของพี่ชายร่วมสายเลือดจอมแสบ
              รีฟาที่มองตาม ก่อนที่นัยน์ตากลมโตจะเบิกกว้าง อย่างตกใจ เพราะในมือถือเครื่องนั้นมีความลับของเธอกับแอสตันอยู่ไม่น้อย ก่อนจะต้องรีบเก็บอาการเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น
              ร่างสูงของนักกีฬาบาสประจำโรงเรียนรีบก้าวฉับๆไปยังบุคคลทั้งสาม ก่อนจะดึงเอามือถือของตัวเองมา พยายามไม่สนใจนัยน์ตากรุ้มกริ่มที่ถูกส่งมาทั้งจากคนเป็นพี่ และแม่ ขนาดพ่อของเขายังร่วมด้วยช่วยกันเลย
              “น้องจินนี่น่ารักนะ” คำพูดของออสตินทำเอาแอสตันต้องชะงัก รู้สึกความร้อนเริ่มแล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้า เมื่อเห็นท่าทางของน้องชาย ทำเอาออสตินต้องหลุดหัวเราะออกมายกใหญ่
              “นั่นสิน้า เด็กอะไรนิสัยดี๊ดี” คุณนายใหญ่ประจำบ้านก็เอากับเขาด้วย ทำเอาแอสตันต้องมองค้อนขวับไปยังบุคคลทั้งสองอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
              “แอบดูโทรศัพท์ของคนอื่นได้ไง เสียมารยาท” พูดพลางส่งสายตาคาดโทษ แต่มีหรือบุคคลทั้งสองจะสะทกสะท้านน่ะ ออสตินลอยหน้าลอยตาก่อนจะหันไปคุยกับคุณแม่ของตัวเอง
              “ถ้าไม่แอบดูแล้วจะรู้หรอว่าน้องชายสุดน่ารักกำลังซ่อนคนน่ารักคนนึงไว้ ใช่มั้ยครับคุณแม่” คำพูดของออสตินทำเอารีฟาต้องหยุดชะงัก มือเรียวที่กำลังรินชากระตุกนิดหน่อย จนน้ำชาที่กำลังเทกระฉอกออกจากถ้วย กระเด็นเปรอะชุดของตัวเอง
               ออสตินเห็นท่าทางของภรรยาสุดที่รักเลยต้องยอมเลิกแกล้งน้องชายตัวดีแล้วหันมาช่วยภรรยาคนสวยของตัวเองแทน
              “จินเป็นผู้ชายเหอะ แล้วก็เป็นรุ่นน้องคนสนิทเฉยๆ” แอสตันเอ่ยแก้ ถึงแม้จินจะน่ารักในสายตาเขาก็ตาม แต่ก็เป็นแค่น้องชายคนสนิท ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ
               คุณนายใหญ่ประจำบ้านมองท่าทางของลูกชายคนเล็กอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะแสร้งทำเป็นยกแหวนเพชรของตัวเองขึ้นมาดู ส่วนริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีสวยของตัวเองก็เอ่ยประโยคชวนอึ้งออกมา
              “ย่ะ ชั้นรู้ เพราะเมื่อกี้ชั้นใช้ให้เจ้าออสตินมันโทรชวนหนูจินมาทานข้าวกับเราเรียบร้อยแล้ว”
              “อะไรนะครับ” แอสตันโพล่งออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะหันไปส่งสายตาถามบุคคลที่ได้ช่ือว่าเป็นผู้นำตระกูล ในสถานการณ์แบบนี้มีเพียงพ่อของเขาคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะไม่แกล้งเขา
               ใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ พยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงบอกว่า ‘แม่แกทำจริงๆ’ ทำเอาแอสตันต้องส่ายศีรษะอย่างเอือมๆ
               รีบเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา เช็คเบอร์โทรออก และก็เป็นเบอร์ของจินจริงๆ เมื่อเห็นแบบนั้นนัยน์ตาคมก็ส่งสายตาขึ้นมาคาดโทษบุคคลทั้งสอง แต่ท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้นทำให้แอสตันได้แต่เพียงถอนหายใจ

               เขาควรจะรีบขอโทษจินที่คนในครอบครัวเขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย เริ่มรู้สึกกลัว กลัวว่าเด็กน้อยจะลำบากใจแล้วไม่ยอมมาคุยกับเขาอีก...

               แต่เมื่อเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าคนที่เขากำลังจะส่งข้อความหาผ่านทางแอปพลิเคชันชื่อดังตราสัญลักษณ์สีเขียว กลับส่งข้อความมาหาเขาก่อนเสียแล้ว

              _Ginn : ครอบครัวพี่น่ารักเว่อร์อ่ะ 555

              _Ginn : ฝากขอบคุณครอบครัวพี่ด้วยนะครับ

              _Ginn : เอาไว้น้องจินคนนี้จะไปฝากท้องไว้ที่บ้านพี่บ้าง เร็วๆนี้

              ส่งสติ๊กเกอร์แพนด้าทำตาลุกวาว

              “แน่ะๆ อมยิ้มแก้มตุ่ยเชียวนะยะ” เมื่อเห็นท่าทางของลูกชาย คนเป็นแม่ก็อดที่จะเอ่ยแซวออกมาไม่ได้จริงๆ เริ่มรู้สึกว่าเด็กที่ชื่อว่า จิน เนี่ยน่าสนใจไม่น้อย

               อย่างน้อยก็สามารถทำให้แอสตันที่ได้ชื่อว่ายิ้มยากอย่างกับอะไร สามารถยิ้มออกมาได้เพียงแค่ข้อความไม่กี่ประโยคล่ะนะ

     

     

     















    ---------------------------------------

    Talk : ร้อยเปอร์เซ็นแล้วจย้าาา จุดพลุฉลอง ปรบมือรัวๆ
             นี่ไรท์นั่งปั่นงานสุดๆเลยนะ จารย์ให้งานยากมากง่ะ
             ปล่อยให้สองหนุ่มเค้ามีความสุขกันไป ตอนหน้าเอามาม่าดีมั้ยน้า
             คึคึ ขอบคุณรีดเดอร์ที่ติดตามน้า เยิ้ฟๆ OwO




     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×