คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : -06-
-06-
“นี่เอแคลร์” น้ำเสียงนุ่มๆน่าฟังเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก ใบหน้าน่ารักค่อยๆเงยขึ้นจากบรรดากองชีทงานที่เธอได้รับมอบหมายเป็นการบ้าน มองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเท้าคางมองมาทางเธอ เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“มีโพสอิทป่ะ หรือกระดาษโน้ตลายน่ารักๆหน่อยก็ได้” จินพูดพลางชูอมยิ้มจูปาจุ๊บก่อนจะส่ายไปมา เอแคลร์มองท่าทางน่ารักของเพื่อนตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
“แปปนึงนะ” พูดพลางลุกขึ้น เดินหายเข้าไปในบ้านพักหนึ่ง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกระดาษโน้ตเล็กๆลายน่ารัก จินคลี่ยิ้มแป้นก่อนจะยื่นมือไปรับอย่างกระตือรือร้นราวกับเด็กน้อย เอแคลร์ส่ายหัวไปมาเบาๆ ยื่นให้เพื่อนที่ไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนเลยสักนิด เท้าคางมองเจ้าเพื่อนจอมแสบนั่งเขียนยุกยิกลงบนกระดาษโน้ตที่เธอหยิบมาให้
“ให้พี่แอสตันอีกแล้วหรอ” คำพูดของเพื่อนสาวเรียกให้จินต้องเงยหน้าขึ้นมอง แอบเขินอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะก้มลงไปเขียนข้อความต่อ เอแคลร์หัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อนสนิทรูปหล่อ นั่งมองเพื่อนของเธอเพลินๆ
หลังจากผ่านเหตุการณ์บอกเลิกแสนเจ็บแสบนั่นก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าสองหนุ่มต่างโรงเรียนนี่จะกลายมาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันได้ขนาดนี้ ตั้งแต่ตอนที่แอสตันบังเอิญช่วยจินตอนที่อยู่บนรถเมล์ ตามที่จินเล่าให้เธอฟัง ดูเหมือนเจ้าเพื่อนจอมดื้อของเธอจะปลื้มรุ่นพี่สุดหล่อคนนั้นมากทีเดียว
และแน่นอน เพราะจินกับแอสตันอยู่กันคนละโรงเรียน ทางเดียวที่จะสามารถเทคแคร์กันได้ก็คือผ่าน เอแคลร์ นั่นแหละ เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของสองหนุ่มนี่เท่าไหร่หรอก ทำตัวอย่างกับเด็กสาวกำลังอินเลิฟไปได้ แต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ เอแคลร์เลยไม่อยากจะเอ่ยขัด
“อ่ะ” มือเรียวยื่นอมยิ้มจูปาจุ๊บรสส้มที่มีกระโน้ตน่ารักแนบไว้ไปให้เพื่อนสาว เอแคลร์เลิกคิ้วนิดหน่อย รับมาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะเริ่มพองแก้มฉายแววเง้างอน
“ทำไมมีให้แต่พี่แอสตัน ของเอแคลร์ล่ะ” แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดหน่อย ก็คนมันหมั่นไส้นี่นา จะกี่ครั้งๆเจ้าเพื่อนตัวแสบนี่ก็ชอบทำเป็นมองข้ามเธอไปอยู่เรื่อย
จินส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะหยิบกล่องขนมที่ตั้งใจซื้อมาให้เพื่อนสาวตรงหน้าอยู่แล้ว เอแคลร์ตาเป็นประกายวาวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าของข้างในคืออะไร ขนมที่เป็นชื่อของเธอ เอแคลร์ยังไงล่ะ!!
ทั้งสองต่างช่วยกันจัดการกินขนมด้วยกันให้เรียบร้อย ก่อนที่เอแคลร์จะขอเวลารีบทำการบ้านของตัวเองให้เสร็จ ก็ต่อจากนี้จะเป็นเวลาที่ทั้งสองจะได้นั่งเล่นคุยกันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองเลยสนิทกันมาก ถ้ามีเรื่องอะไรแม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็มักจะเอามาคุยกันเสมอ
“นี่จิน” หลังจากนั่งเงียบกันสักพัก เอแคลร์ก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน เด็กหนุ่มเหลือบมองมาทางเพื่อนสาวคนสนิทก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เด็กสาวอึกอักเล็กน้อย จินมองท่าทางของเพื่อนสาวก่อนจะหลุดยิ้ม แล้วเลื่อนมือไปขยี้หัวเบาๆ
“มีอะไรงั้นหรอ” น้ำเสียงนุ่มที่แสนอ่อนโยนนั่น ทำให้เอแคลร์รู้สึกดีเสมอ เธอถอนหายใจเบาๆก่อนตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่แอบเก็บไว้ในใจมาสักพักแล้ว
“จินโอเคแล้วใช่มั้ย เรื่อง...ไอรีนน่ะ” น้ำเสียงหวานฉายแววลังเล แต่สุดท้ายก็พูดออกมาจนได้ เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เอแคลร์รีบก้มหน้างุดลงทันที เมื่อเห็นนัยน์ตาเรียวสวยไหววูบตามความรู้สึก รู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอกระตุกวูบ ไม่น่าถามเลย ให้ตายสิ
ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่สักพัก ก่อนที่เอแคลร์จะต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเพื่อนที่อยู่ตรงข้ามเธอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นแววตาเป็นกังวล จินเลยต้องกระแอมนิดหน่อยเพื่อกลั้นหัวเราะก่อนจะเอ่ยตอบ
“ถ้าจะให้บอกว่าโอเคเลยมันก็คงจะเหมือนโกหกสินะ เอาเป็นว่าจินดีขึ้นแล้ว อาจจะมีเจ็บๆบ้าง แต่จินคิดว่าจินไม่เป็นไร” พูดพลางพยายามคลี่ยิ้มบางๆไปให้ เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วจริงๆ ท่าทางหงอยๆของเพื่อนทำเอาเอแคลร์รู้สึกเป็นห่วง
“แล้ว...การที่จินไปสนิทกับพี่แอสตัน จินไม่เป็นไรใช่มั้ย แบบ ไม่ได้เป็นการกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องของไอรีนใช่มั้ย” น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างลังเล
อันที่จริงเธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้วล่ะ ตั้งแต่รู้ว่าจินเริ่มสนิทกับรุ่นพี่สุดหล่อที่ได้ชื่อว่าเป็น ปริ๊นซ์ ของโรงเรียนเธอ จริงอยู่ที่พี่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้มาก แต่ก็ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จินเลิกกับไอรีนเร็วขึ้นไม่ใช่รึไง
จินมองท่าทางเป็นกังวลของเพื่อนก่อนจะหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ มือเรียวเลื่อนไปดันศีรษะเล็กๆนั้นจนเจ้าตัวสะดุ้ง ก่อนจะเงยหน้าสบตาเขา
“กังวลเรื่องนี้เองหรอ ยัยบ๊องเอ๊ย” น้ำเสียงนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เอแคลร์เบ้ปากก่อนจะลูบหน้าตัวเองป้อยๆ เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสาวคลายกังวลลงไปบ้างเลยพูดต่อ
“ถ้าตอนแรกก็อาจจะใช่ บอกตามตรงนะ โคตรหมั่นไส้พี่มันเลย คนบ้าอะไรเก๊กได้ตลอดเวลา” เขาพูดจริงนะ ครั้งแรกๆที่เจอกันน่ะ เขาแอบมองหลายรอบล่ะ ไอ้รุ่นพี่ตัวสูงนี่ยิ้มแทบจะนับครั้งได้ ชอบทำหน้านิ่งๆก็รู้อยู่นะว่าหล่อ แต่เวลายิ้มมันชวนให้รู้สึกอยากเข้าใกล้มากกว่านี่
สะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ พี่เขาอาจจะดูเงียบๆขรึมๆ แต่จริงๆเป็นคนที่ใจดีมากๆ นิสัยดีสุดๆไปเลย เพราะงั้นเวลาจินอยู่ด้วยก็สบายใจ ไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องของไอรีนเลยด้วยซ้ำ จินดีใจที่ได้รู้จักกับพี่แอสตันนะ เพราะงั้นเอแคลร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” พูดพลางหลุดคลี่ยิ้มบางๆ เป็นยิ้มที่ไม่ได้ฝืนแต่อย่างใด
เอแคลร์มองรอยยิ้มของเพื่อนตัวเอง รอยยิ้มสดใสที่ชวนให้เธอรู้สึกอยากจะยิ้มตาม นั่นสินะ ดูเหมือนเธอจะไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่เพื่อนของเธอมองว่าเป็นอดีตอีกแล้วล่ะ
“เอาล่ะ!! โปรเจคต่อไป มาลองแต่งเพลงที่เป็นของวงเราเองกันเถอะ” น้ำเสียงนุ่มฉายแววกระตือรือร้นเรียกสายตาของบรรดาสมาชิกภายในวงต้องหันไปมอง ทุกคนตัดสินใจละจากกิจกรรมส่วนตัวที่ทำเมื่อครู่มานั่งล้อมนักร้องนำประจำวงแทน
“พูดแบบนี้มีไอเดียอะไรดีๆแล้วรึไง” มือคีย์บอร์ดประจำวงเอ่ยถาม จินเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะคลี่ยิ้มแป้น
“ยังเลย” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาเพื่อนๆคนอื่นต้องเอามือกุมขมับ
“แล้วคุณมึงจะพูดทำไมครับ โคฟเวอร์เพลงก็พอแล้วมั้ง ไม่ได้อยากไปออกอัลบั้มอะไรจริงจังซะหน่อย” ดินพูดแย้งขึ้นบ้าง ทำเอาจินต้องหลุดจิ๊ปากอย่างขัดใจ สไปรท์มองเจ้าเพื่อนตัวแสบอย่างขำๆ เขาไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมจู่ๆจินก็อยากจะทำเพลงของตัวเอง
“ถ้ามึงไม่พูดเหตุผลตรงๆ เพื่อนคนอื่นก็ไม่เข้าใจมึงหรอกนะ” คำพูดของสไปรท์เรียกความสนใจจากสมาชิกในวงได้เป็นอย่างดี ก่อนที่สายตาทุกคู่จะร่วมใจกันมองไปทางนักร้องหนุ่มของวงที่กำลังทำหน้ายู่ใส่เพื่อนสนิทของตัวเองอย่างขัดใจอยู่
“พวกมึงจำ Best young music band award ได้ป่ะ” แค่ประโยคเดียวเท่านั้นแหละ เพื่อนๆก็ไปไกลกันถึงบางอ้อ
“มึงจะลงอีกหรอวะ ครั้งที่แล้วก็ได้ที่สองมา เขาเสนอให้ออกซิงเกิ้ลก็ปฏิเสธเขาอยู่ดี” แอนดี้เอ่ยแย้ง ใช่ พวกเขาแทบจะลงแข่งรายการการแข่งขันนี้ทุกปี เริ่มตั้งแต่ไม่ผ่านรอบแรกจนปีล่าสุดที่พวกเขาได้ที่สองมา รางวัลคือการได้เซ็นสัญญาออกหนึ่งซิงเกิ้ล แต่เพราะตอนนั้นพวกเขาพึ่งอยู่มอต้นปีสาม เลยยังไม่อยากสร้างภาระให้ตัวเอง เลยบอกปฏิเสธไป
คราวนี้ก็คงจะปฏิเสธอีกเหมือนเดิมแหละ จะให้ไปแข่งเอาเงินก็ไม่ค่อยคุ้ม เพราะส่วนมากแต่ละวงที่ลงแข่งรายการนี้เพราะจะได้มีสิทธิ์แจ้งเกิดในวงการเพลง
แต่จินกลับส่ายหัวพรืด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา สไลด์หน้าจออยู่สักพักก่อนจะยื่นให้แอนดี้ดู เพื่อนคนอื่นๆเลยเข้ามามุงดูด้วยโดยปริยาย
กลับมาอีกครั้งกับ Best young music band award!!!
การแข่งขันประชันกันระหว่างวงดนตรีระดับมัธยม ลุ้นรับรางวัลที่ปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ
รางวัลชนะเลิศรับ เงินสดมูลค่า 500,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศรับ เงินสดมูลค่า 250,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่สองรับ เงินสดมูลค่า 100,000 บาท
และแน่นอนว่าเงินอาจจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกคุณ
ผู้ที่ได้รับรางวัลที่ 1-3 จะได้เข้ารับเซ็นสัญญาของซิงเกิลเป็นของตัวเอง
และสามารถเลือกพบวงดนตรีในดวงใจของตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีไทยหรือต่างประเทศ!!!!
พออ่านจบเพื่อนทุกคนถึงได้เข้าใจ และเริ่มสนใจขึ้นมาทันที เพราะรางวัลในปีนี้นั้นพิเศษกว่าปีที่ผ่านๆมา
“กูอยากไปเจอ One republic maroon5 2pm EXO B.A.P Bigbang One direction หยกดาปผสแาอ บลาๆ” และชื่อวงดนตรีอีกมากมายที่ทุกคนในวงต่างรู้ดีว่าเป็นวงโปรดของเจ้านักร้องหนุ่มประจำวง เพื่อนคนอื่นๆต่างมองหน้ากันนิดหน่อย รางวัลสุดท้ายมันน่าสนใจน้อยเสียที่ไหนล่ะ
“เออๆ ลงก็ได้” หลังจากที่หันไปซุบซิบกันสักพัก ทุกคนในวงต่างก็ลงมติที่จะเข้าร่วมแข่งขัน จินคลี่ยิ้มแป้นอย่างดีใจ ก่อนที่นัยน์ตาเรียวคมจะเป็นประกายวาวอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบกำลังต้องการอะไร
“ดี!!! เพราะคราวนี้เราจะลงไปเพื่อคว้าอันดับที่หนึ่ง และประกาศให้โลกรู้ว่า Alcoholic มีนักร้องที่แม่งโคตรเสียงดีและหล่อที่สุดในสามโลก” สิ้นคำพูดสุดแสนหลงตัวเองของนักร้องหนุ่มที่คิดว่าตัวเองหล่อ สมาชิกในวงต่างมองหน้ากันอย่างเอือมๆและร่วมใจกันตะโกนใส่หน้าเพื่อนจอมแสบด้วยความรัก (?)
“ถรุ้ย!!!”
“เออ จะว่าไป พวกมึงเช็คยอดวิวคลิปโคฟเวอร์ที่ลงในยูทูปยัง” หลังจากเถียงกันสักพัก จินก็โพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ เพราะพวกเขาพึ่งลงคลิปร้องเพลงไปเมื่อสองสามวันก่อน สไปรท์เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อนๆที่พึ่งนึกได้ต่างพากันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดทันที
สมาชิกในวงก้มหน้าก้มตาสไลด์โทรศัพท์ของตัวเองอยู่สักพัก ส่วนจินที่ขี้เกียจเลยนั่งรอฟังข่าวจากเพื่อนอีกที เวลาผ่านไปห้านาที สิบนาที สิบห้านาที จนจินเริ่มจะเลื้อยลงไปนอนเกาพุงที่พื้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมาชูมือร้องเย้อย่างที่เคยเป็นสักที หรือว่าคลิปรอบนี้จะมียอดวิวต่ำจนไม่น่าพูดออกมางั้นหรอ
คิดได้ดังนั้นจินเลยเปลี่ยนเป้าหมายจากนอนรอ เป็นค่อยๆเลื้อยตัวเข้าไปหาสไปรท์แทน เอาคางเกยไหล่ก่อนจะพูดน้ำเสียงงุ้งงิ้งขอดูบ้าง สไปรท์เหลือบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่เกยอยู่ที่ไหล่ตัวเองนิดหน่อย ผ่อนลมหายใจน้อยๆแล้วยื่นโทรศัพท์ให้จินดู
“เฮ้ย สไปรท์!!!” เพื่อนคนอื่นต่างโพล่งออกมา ทำเอาจินต้องเหลือบมองอย่างตกใจ เพื่อนคนอื่นต่างทำสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย อึกอักเหมือนไม่อยากจะให้เขาดู แต่สุดท้ายก็เงียบอยู่ดี จินขมวดคิ้วก่อนจะก้มลงมองโทรศัพท์
เหลือบมองยอดวิว ถือว่าขึ้นเร็วกว่าคลิปที่แล้วๆมาก มากจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจมากขึ้นคือจำนวนคนที่ดิสไลค์คลิปของพวกเขา ปกติจะมีไม่เกินร้อยหรือสองร้อยคนถ้าเทียบอัตราส่วนคนไลค์ทั้งหมดแสนคน แต่ครั้งนี้กลับพุ่งขึ้นสูงจนเกือบถึงพัน
จินขมวดคิ้วยุ่งอย่างขัดใจก่อนจะค่อยๆสไลด์หน้าจอลงเพื่อดูคอมเม้น และนั่นเป็นสิ่งที่น่าตกใจมากกว่าอะไรทั้งหมด
MarrylandLG ทำไมวงนี้ถึงดังอ่ะ ก็งั้นๆนะ โดยเฉพาะคนร้อง
WerASTfc Reply to MarrylandLG ก็เพราะเกาะกระแสคนอื่นดังยังไงล่ะ
MarrylandLG Reply to WerASTfc ใช่อย่างที่หนูคิดรึเปล่าคะ พี่ก็แฟนคลับพี่แอสตันเหมือนกันใช่มั้ยคะ
WeLUValc เสียงของน้องจินยังมีเสน่ห์เหมือนเดิมเลย สไปรท์มือกีต้าร์เล่นลื่นไหลมาก ดิน แอนดี้ กับการ์ตูนก็ฝีมือพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คิดถึงวง Alcoholic มากๆค่ะ
SoWatttts Reply to WeLUValc ตรงไหนที่มีเสน่ห์หรอคะ ยอมรับว่าสมาชิกในวงคนอื่นฝีมือดีจริงๆ แต่นักร้องเนี่ยไม่ได้เรื่อง ☹
Happpilyever ก็ถือว่าร้องเพราะอยู่นะ แต่ทำไมต้องเกาะคนอื่นดังด้วย =__=^
AlcoholicFC พวกคุณพูดเรื่องอะไรกัน เกาะกระแสคนอื่นดังอะไร วงนี้เค้าดังด้วยความสามารถตัวเองกันทั้งนั้นแหละค่ะ -___-
AstFanfan พวกแฟนคลับก็งี้ ปกป้องไม่ลืมหูลืมตา ดูที่นักร้องของพวกคุณทำกับแอสตันสิ!!!
และคอมเม้นต์เกี่ยวกับตัวเขาอีกมากมาย จินกำโทรศัพท์ของตัวเองแน่น รู้สึกเหมือนมีใครสักคนเอาค้อนมาฟาดเข้าที่ช่องท้อง ตามด้วยศีรษะ รู้สึกมึนๆจุกๆ ทำอะไรไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่มีคนมาคอมเม้นต์คลิปของพวกเขาเสียหายขนาดนี้
และต้นเหตุทั้งหมดก็คือ เขา เอง!!!
สมาชิกในวงต่างมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ก่อนจะตรงเข้าไปตบบ่าของนักร้องหนุ่มอย่างสงสาร พวกเขาก็ช็อกเหมือนกัน ช็อกมากๆด้วย ไม่คิดว่าจะเกิดกระแสอะไรแบบนี้ขึ้นมา
จินขมวดคิ้วมุ่น สายตายังคงไล่อ่านคอมเม้นเรื่อยๆ พอจะจับใจความอะไรบางอย่างได้ ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดว่าเขาเกาะพี่แอสตัน แล้วสร้างกระแสเพื่อให้ตัวเองดัง!!!
เขาไม่เคยมีความคิดที่จะเกาะพี่แอสตันเพื่อให้ตัวเองดังอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะทำให้คนอื่นๆมองว่าเขาเป็นคนแบบนั้น นัยน์ตาเรียวไหววูบ รู้สึกความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง ตอนนี้เพราะการกระทำที่ไม่คิดหน้าคิดหลังของเขา ทำให้เพื่อนคนอื่นในวงต้องเดือดร้อนไปด้วย ทำให้วงที่ทุกคนทุ่มเทกำลังเกิดปัญหา
“จิน มึงอย่าคิดมากนะเว้ย พวกคนในเน็ตแม่งไม่รู้อะไรก็พูดมั่วไปทั่ว” การ์ตูนมือเบสของวงที่ปกติจะทำตัวร่าเริงได้ไม่แคร์โลก แต่ตอนนี้กลับดูกังวลจนไม่เหลือเค้าเดิม จินก้มหน้านิ่ง อยากจะตอบกลับไปว่าเขาไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่ตอนนี้...มันพูดไม่ออกจริงๆ
“จิน มันไม่ใช่ความผิดมึงนะ” แอนดี้พูดขึ้นบ้าง มือเรียวบีบไหล่บางของเพื่อนเป็นการให้กำลังใจ ส่วนดินทำได้เพียงเอามือโอบคอเพื่อนเท่านั้น
เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว หูมันอื้อไปหมด ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง ผิดหวังหรอ ใช่ ผิดหวังมาก โกรธมั้ย โกรธสิ โกรธจนจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว รู้สึกหงุดหงิดอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้เขารู้ดีว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้หรอก พอคิดได้แบบนี้แล้วน้ำตามันก็พานจะไหลออกมาตามนิสัยส่วนตัว
ที่แม่งอะไรไม่ได้ดั่งใจ ต้องร้องไห้งอแงเป็นเด็กเล็กๆ
“เชี่ยจิน ถ้ามึงอยากร้องก็ร้อง พวกกูจะอยู่ปลอบมึงอยู่นี่แหละ” สิ้นคำพูดของสไปรท์ หยาดน้ำใสๆก็ร่วงลงจากนัยน์ตาเรียวสวยทันที ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดรออดออกมา เพราะเจ้าตัวเม้มปากแน่น มีเพียงไหล่ที่สั่นไหวน้อยๆเป็นการบอกว่าเจ้าตัวกำลังร้องไห้หนักแค่ไหน
สไปรท์มองท่าทางของจินอย่างสงสาร ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอก
จินไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานแค่ไหน แต่รู้สึกได้ว่าตอนนี้เขากำลังจะไม่สบาย ตัวรุมๆกับอาการปวดหนึบที่หัว ทำเอาเพื่อนๆเขาพากันตื่นตระหนกกันหมด ก่อนจะรีบพาเขามาส่งที่บ้าน กำชับนักกำชับหนาว่าถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ไม่ต้องไปโรงเรียน
ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงกว้างของตัวเอง มือหนาข้างหนึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆเช็ดศีรษะที่เปียกชื้น ส่วนอีกข้างก็กำลังกดเบอร์โทรศัพท์หาใครบางคน ที่ทั้งวันยังไม่ได้คุยกันเลย
คิ้วเข้มของแอสตันขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อคนที่เขากำลังโทรหาไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขาเสียที จะว่าเรียนอยู่ก็ไม่ใช่ หรือจะซ้อมวงดนตรีอยู่ก็คงจะเป็นไม่ได้อีกนั่นแหละ เพราะตอนนี้มันสามทุ่มแล้ว เป็นเวลาปกติที่เขากับจินจะว่างตรงกัน แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์เขากันนะ
แอสตันพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะยอมแพ้แล้วเปลี่ยนมาเป็นส่งข้อความแทน
หลังจากอดทนอยู่นาน ในที่สุดโทรศัพท์ของเขาก็หยุดสั่นเสียที จินค่อยๆเลิกผ้าห่มขึ้นจากการคลุมโปง รู้สึกอึดอัดแทบแย่
ตอนนี้เขามีไข้ อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนไม่พอกับความเครียดล่ะมั้ง พยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านแล้วข่มตาลงนอน แต่เสียงข้อความก็ดังขึ้นเสียก่อน จินชั่งใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู ไล่สายตาอ่านข้อความที่ส่งมาจากรุ่นพี่ตัวสูง ตัวอักษรบนหน้าจอทำเอาเขาอยากจะร้องไห้อีกรอบ
[พี่มีแข่งบาสเสาร์นี้ วันศุกร์คงพาเราไปกินเค้กไม่ได้ แต่วันเสาร์มาเชียร์พี่นะ แข่งเสร็จเดี๋ยวพี่จะพาไปเลี้ยงทดแทน]
จินเม้มปากนิดหน่อย วันนี้วันพฤหัสแล้ว หลังจากเหตุการณ์ชวนปวดใจก็ทำให้เขาไม่สบาย ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะมีผลต่อเขาขนาดนั้นหรอก แอบฝืนสังขารไปเรียนได้วันเดียว ไข้ก็ขึ้น ป่วยหนักกว่าเดิมจนต้องนอนซมอยู่ที่บ้าน แม้จะมั่นใจว่าเขาคงจะอาการดีขึ้นก่อนวันเสาร์แน่ๆ แต่ไม่อยากไปเลย
ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าพี่แอสตันตอนนี้นี่...
ชั่งใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
[ขอโทษที่ไม่ได้รับโทรศัพท์นะครับ พอดีไม่สบาย วันเสาร์คงไปเชียร์ไม่ได้ ขอโทษนะครับ]
ข้อความของจินเมื่อคืนยังวนไปวนมาในหัวของเขา ไม่สบายงั้นหรอ ทำไมเขาไม่รู้อะไรเลยนะ อยากจะถามต่อแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงใจเจ้าเด็กแสบ เดี๋ยวจะไม่ได้พักผ่อน เลยทำได้เพียงแต่เก็บความสงสัยเพื่อมาถามเพื่อนสนิทของเจ้าเด็กนั่นแทน
“เอแคลร์!!! จินไม่สบายงั้นหรอ” น้ำเสียงทุ้มกับใบหน้าฉายแววเป็นกังวล ที่อยู่ดีๆก็เดินดุ่มๆมายังม้านั่งที่เธอกับเพื่อนกำลังนั่งอยู่ทำเอาทุกคนตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะเพื่อนของเธอที่เป็นแฟนคลับของแอสตันด้วยแล้ว แทบจะสลบคาม้านั่ง
“ค่ะ” ตอบฉายแววไม่พอใจนิดหน่อย เพราะเธอพอจะรู้เรื่องมาจากพวกสไปรท์ บวกกับคำบอกเล่าจากเพื่อนของเธอที่เป็นแฟนคลับของคนตัวสูงตรงหน้าแล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าโกรธ โกรธจนไม่อยากจะคุย ไม่อยากจะเห็นหน้ารุ่นพี่คนนี้แล้ว
“เป็นอะไรมากไหม” น้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยอย่างชัดเจนทำเอาเพื่อนของเอแคลร์ที่นั่งด้วย และบังเอิญได้ยินบทสนทนา ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะพวกเธอไม่เคยเห็นพี่แอสตันแสดงอาการแบบนี้เลยสักครั้ง แอบสบตากันนิดหน่อย เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“ก็ไข้ขึ้น ปวดหัว ขาดเรียนมาสองวันแล้ว” เอแคลร์ตอบน้ำเสียงห้วนๆ แต่ยิ่งพูดใบหน้าหล่อๆของคนที่ยืนฟังก็ยิ่งแสดงท่าทีเป็นกังวลมากขึ้นทุกที
อันที่จริงเขาอยากจะไปเยี่ยมเจ้าเด็กนั่นใจจะขาด แต่ติดตรงที่เจ้าตัวบอกไม่ต้องมานี่สิ
เอแคลร์ถอนหายใจเบาๆ ล้มเลิกความคิดที่จะโกรธคนตรงหน้าไปเมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของแอสตัน เพราะดูเหมือนรุ่นพี่ตัวสูงคนนี้จะยังไม่รู้เรื่องที่แฟนคลับตัวเองไปก่อไว้เลยสินะ
“ลองไปเยี่ยมจินดูสิคะ บางทีการได้คุยกันอาจจะดีกว่า” คำพูดที่เหมือนเป็นการอนุญาตกลายๆกับนัยแฝงอะไรบางอย่างทำเอาแอสตันเลิกคิ้ว สบเข้ากับแววตาของเด็กสาวตรงหน้านิดหน่อย เริ่มจะรู้สึกตะหงิดๆ เหมือนกับสาเหตุที่จินป่วยจะเป็นเพราะเขายังไงยังงั้น
“มีอะไรที่พี่ควรจะรู้ แต่พี่ไม่รู้รึเปล่า” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน เอแคลร์เลิกคิ้วมองคนตรงหน้า ก่อนจะหลุดคลี่ยิ้มออกมา
ก็ไม่ได้โง่นี่
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเอแคลร์และเพื่อนของเธอด้วยแล้ว ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ยิ่งได้ยินแบบนี้เขายิ่งควรจะไปหาเจ้าเด็กแสบนั่น เพราะเขามีลางสังหรณ์ว่า ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เรื่อยๆคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่
“อื้ม ขอบคุณมากนะ เดี๋ยวพี่จะลองไปดู” พูดพลางสบตารุ่นน้องของเขานิดหน่อย ก่อนจะโบกมือลา เอแคลร์ถอนหายใจเบาๆ เริ่มคิดทบทวนกับสิ่งที่เธอทำลงไป นี่เธอทำถูกรึเปล่านะ
“ฉันรู้สึกแย่แทนจินจัง” น้ำเสียงเศร้าๆจากเพื่อนสนิทของเธอทำเอาเอแคลร์ต้องหันไปมอง
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกที่ว่าพี่แอสตันสนิทกับจินน่ะ คิดเหมือนคนอื่นนั่นแหละว่าจินเกาะพี่แอสตันดัง แต่ดูจากท่าทางของพี่แอสตันเมื่อกี้ ฉันรู้แล้วล่ะว่าทั้งสองคนสนิทกันจริงๆ” เอแคลร์พยักหน้ารับกับคำพูดของเพื่อนเธอ ตอนแรกพวกเธอแทบจะตีกันตายอยู่แล้วเพราะเรื่องนี้ แต่สุดท้ายดูเหมือนพวกเพื่อนๆของเธอจะยอมเชื่อเสียที
ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งอยู่หน้าคฤหาสน์สุดหรู ลังเลที่จะกดกริ่งสักครู่ ก่อนจะตัดสินใจกดนิ้วลงไป ไม่นานนักหญิงสาววัยกลางคนดูภูมิฐานก็มาเปิดประตู
“อ้าว แอสตัน มาเยี่ยมจินงั้นหรอ” หญิงสาววัยกลางคนเปิดประตูกว้างมากขึ้นต้อนรับร่างสูง แอสตันคลี่ยิ้มให้ก่อนจะยกมือไหว้ อย่าแปลกใจที่แม่ของจินกับเขารู้จักกันเลย เพราะเขาไปรับไปส่งเจ้าเด็กดื้อนั่นตั้งหลายครั้ง จนแม่ของจินรู้สึกเกรงใจเลยชวนมากินข้าวเย็นด้วยกัน และนั่นทำให้รู้จักกันไปโดยปริยาย
“จินอยู่บนห้องน่ะ น่าจะยังไม่หลับหรอก แอสตันขึ้นไปได้เลย อยู่ห้องที่สามทางขวามือนะ” แอสตันพยักหน้ายิ้มๆ ท่องจำคำที่แม่ของจินบอกให้ขึ้นใจ เพราะบ้านของจินนั้นถือว่าใหญ่มาก คงพอๆกับบ้านเขานั่นแหละ เอาเป็นว่าอาจจะหลงทางในนี้ได้เลย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะบ้านเป็นสิ่งที่บ่งบอกฐานะของเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงค่อยๆเดินขึ้นบันได เหลือบมองซ้ายขวานิดหน่อย ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องที่แม่ของจินบอก ชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเคาะประตู
“สไปรท์หรอวะ เข้ามาดิ เคาะประตูทำหอกอะไร” คำพูดที่ดูไม่ค่อยจะเหมาะกับคุณหนูของบ้านทำเอาแอสตันหลุดหัวเราะเบาๆ ไม่คิดจะเอ่ยแย้งหรอกว่าเขาไม่ใช่เพื่อนสนิทของเจ้าเด็กดื้อ ถ้าบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์ดิ
“ช่วงนี้มึงมาเยี่ยมกูบ่อยจังวะ เฮ้ย!!!” บ่นพึมพำก่อนจะหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อคนที่เข้ามาในห้องไม่ใช่บุคคลที่เขาคาดคิด จินเหลือบมองร่างสูงโปร่งที่เป็นต้นเหตุให้เขาป่วยอย่างงงๆ ก่อนจะหลุดโวยวายออกมาทันที
“พี่มาได้ไง บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าไม่ให้มา ไม่เข้าใจภาษาคนรึไงวะ ออกไปเลยนะ ออกไป” เสียงนุ่มที่ติดจะแหบเพราะพิษไข้ตะโกนโวยวายออกมาไม่หยุด แถมยังลุกขึ้นอาละวาดปาหมอนใส่คนตัวสูงอีกต่างหาก แต่มีหรือบุคคลผู้เป็นมาโซคิสต์อย่างแอสตันจะสะทกสะท้านน่ะ นอกจากจะไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆแล้วยังหัวเราะชอบใจอีกต่างหาก!!!
“ปัดโธ่ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากปาของจนไม่มีอะไรให้ปา แถมยังรู้สึกปวดหัวหนึบๆ จินก็ตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่วายออกปากไล่ร่างสูงอยู่ดี
แอสตันเหลือบมองท่าทางของเจ้าเด็กแสบตรงหน้าเขาอย่างเอ็นดู เก็บบรรดาหมอนที่วางเกลื่อนกลาดขึ้นมาในอ้อมแขน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ วางหมอนใบนุ่มลงที่เตียง ก่อนจะนั่งยองๆลงตรงพื้นตรงหน้าคนไข้ที่กำลังเบ้ปากทำหน้าบอกบุญไม่รับ มือหนาเลื่อนไปโคลงศีรษะคนตรงหน้าเป็นการหยอกล้อ
“ไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย แผลงฤทธิ์ได้ขนาดนี้” พูดพลางคลี่ยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ จินเหลือบมองคนตรงหน้า พอเห็นรอยยิ้มแบบนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ไอ้คอมเม้นต์ใจร้ายพวกนั้นวิ่งวนไปมาในหัวไม่หยุด จนเริ่มรู้สึกตัวเองขอบตาร้อนผ่าว ศีรษะทุยสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากให้คนตรงหน้าเห็นน้ำตาของเขา
แต่มีหรือจะรอดพ้นนัยน์ตาคมของแอสตันได้
“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” น้ำเสียงทุ้มที่แสนจะอ่อนโยน กระตุ้นให้น้ำใสๆยิ่งไหลออกจากดวงตาของคนป่วยเร็วขึ้น จินปาดน้ำตาทิ้งอย่างหงุดหงิด ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาไม่หยุด แอสตันหลุดหัวเราะเบาๆกับท่าทางนั้น มือหนาเลื่อนไปลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีฟ้าสดใสเบาๆเป็นการปลอบประโลม
น้ำตาที่พยายามกักเก็บไว้ ไหล่ทะลักอย่างกับเขื่อนแตก ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่นเข้าหากัน ไม่อยากให้มีเสียงน่าอายหลุดออกมา ไหล่บางสั่นน้อยๆตามแรงสะอื้น แอสตันเหลือบมองท่าทางเหล่านั้นอย่างรู้สึกสงสาร
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่จินก็พอจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว มือเรียวเลื่อนไปปัดมือหนาที่ลูบผมของตัวเองเบาๆ แอสตันคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอามือมากอดเข่านั่งรอคำอธิบายจากเด็กดื้อของเขา
“เลิกจ้องได้ป่ะ จ้องจนจะทะลุแล้วเนี่ย แล้วมาทำอะไร บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าไม่ให้มา” จินบ่นอุบ ก่อนจะเสหน้าหนี รู้สึกอายสุดๆที่เผลอร้องไห้ต่อหน้ารุ่นพี่ขี้เก๊กนี่ แอสตันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“ใจสั่งมา” ก่อนจะต้องกลิ้งตัวหลบฝ่าเท้าของคนป่วยเป็นพัลวัน
“ขอจริงจัง ไม่งั้นจับโยนลงนอกหน้าต่าง” พูดพลางชี้หน้าคาดโทษ แอสตันหัวเราะคิก แต่พอเจอนัยน์ตาเรียวสวยที่เริ่มไม่พอใจเลยยอมควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ตอนแรกก็ว่าจะมาเยี่ยมคนป่วย แต่เห็นไม่เป็นไรแล้ว เลยว่าจะชวนให้ไปเชียร์พี่แข่งบาสวันพรุ่งนี้” จินเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหลุดถอนหายใจออกมา ใจจริงเขาก็อยากจะไปนะ เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่ตัวสูงนี่เล่นบาสเลยสักครั้ง แต่ในเวลาแบบนี้ เขาควรจะอยู่ให้ห่างคนตัวสูงไม่ใช่หรอ...
----------------------------------------------
Talk : ไม่มาม่าหรอก จริงๆนะ คึคึ '3'
มีใครเป็นเหมือนไรท์มั้ย พอมีคนยิ่งปลอบยิ่งร้องอ้ะ ._.
น้องจินของเราร้องไห้เก่งจุง ก็มีคนคอยปลอบตลอดนี่นา >.,<
คือไรท์อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไปน้า กลัวเรื่องจะน่าเบื่อจุง
ขอบคุณคุณผู้อ่านที่คอยติดตาม และเป็นกำลังใจให้นะค้า จุ๊ฟๆ
ความคิดเห็น