ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #6 : -05-

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 58





    -05-




     

              “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ การบ้านส่งพรุ่งนี้ในคาบนะ ไปกินข้าวได้แล้วล่ะ” สิ้นเสียงของคุณครูสาว นักเรียนต่างพากันทำความเคารพ แม้จะดูเหนื่อยๆไปเสียหน่อย ก่อนที่ทุกคนจะเก็บของเตรียมไปหาอะไรรองท้องก่อนที่จะมารับศึกหนักในช่วงบ่ายต่อ รวมถึงสามหนุ่มนักกีฬาทีมบาสของโรงเรียนด้วย
              “รีบไปเหอะ วันนี้อยากกินสปาเกตตีว่ะ เดี๋ยวแถวยาวก่อน” เรียวเอ่ยเร่งเพื่อนสนิทสองคน ที่มัวแต่ชักช้าอย่างหงุดหงิดนิดๆ ก็คนมันโมโหหิวอ่ะ เพราะเมื่อเช้าเขาตื่นสายทำให้ไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมาโรงเรียน ตอนนี้เลยหิวมากกว่าปกติ แอสตันพยักหน้าอือออ แต่ก่อนที่เขาจะได้ปลุกเพื่อนตัวโตข้างๆที่หลับตั้งแต่ต้นชั่วโมงจนหมดเวลา เสียงข้อความโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
              แอสตันพยักเพยิดให้เรียวปลุกต้นไผ่แทน ก่อนที่ตัวเองจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก่อนจะเผลอหลุดยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าใครเป็นคนส่ง

             [ไรต์เพลงที่พี่ขอให้แนะนำใส่แผ่นให้แล้วนะ จะเอาตอนไหน???] 

              ร่างสูงพิมพ์ข้อความตอบกลับพร้อมกับอมยิ้มไปด้วย โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสนิททั้งสองของเขากำลังมองเขาอยู่ เรียวขมวดคิ้วให้กับท่าทางของปริ๊นซ์ของโรงเรียน ที่ได้ชื่อว่ายิ้มยากสุดๆ หมายถึงยิ้มแบบอยากยิ้มจริงๆอ่ะนะ นานแล้วเหมือนกันที่เขาเห็นเจ้าเพื่อนหน้าหล่อนี่ดูมีความสุขขนาดนี้
              ก่อนที่เรียวจะหันไปมองทางต้นไผ่ที่สะลึมสะลือมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างขอความคิดเห็น แต่มีหรือเจ้าเพื่อนจอมกวนจะตอบเขาดีๆ ดันหันไปถามเจ้าตัวตรงๆอย่างเสียมารยาทซะงั้น

              “มึงคุยกับสาวที่ไหนวะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” คำถามของต้นไผ่ทำเอาแอสตันต้องละสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหลุดยิ้มนิดหน่อย
              “ไม่มีอะไรหรอก ป่ะ ไปกินข้าวกัน”







             [เย็นนี้เลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปรับ อยากเจอหน้าจินจนจะทนไม่ไหวแล้ว <3<3<3]

              ทันทีที่อ่านข้อความที่อีกฝ่ายตอบกลับมาจบ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่ได้สัมผัสมานานก็พุ่งเข้าโจมตีทันที รู้สึกร้อนเห่อไปทั้งหน้า จนต้องระบายออกด้วยการทุบโต๊ะกินข้าวแรงๆจนเพื่อนในกลุ่มสะดุ้งกันเป็นแถบๆ
              “มึงเป็นบ้าอะไรวะ อยู่ๆก็ทุบโต๊ะ” สไปรท์ถามเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างเอือมๆ เมื่ออยู่ดีๆไอ้เพื่อนบ้านี่ก็ทุบโต๊ะเสียงดังลั่น ทำเอาเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆสำลักข้าวกันเป็นแถว
              “เฮ้ย มึงหน้าแดงด้วยอ่ะ เชี่ยจินหน้าแดง” ตามด้วยเสียงของการ์ตูนที่ดังมาติดๆ คราวนี้จงใจพูดเสียงดังจนคนที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะข้างๆหันมามองด้วยความสนใจ
              จินชะงักนิดหน่อยก่อนจะตวัดสายตาไปมองมือเบสของวงด้วยสายตาขวางๆ พิมพ์ข้อความตอบกลับไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า หลุดโวยวายนิดหน่อยตามประสา แล้วบอกให้เพื่อนๆกินข้าวต่อ พยายามไม่สนใจท่าทางของเพื่อนในวงที่มองมาทางเขาแปลกๆ

             ‘ไอ้คุณพี่แอสตัน แสบนักนะ’












             หลังเลิกเรียนแอสตันบอกให้เรียวกับต้นไผ่ไปซ้อมบาสก่อน เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง เพราะยังมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จอีกนิดหน่อย ร่างโปร่งนั่งบิดขี้เกียจบนที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ต้องทั้งตั้งใจเรียนและจริงจังกับทีมบาสของโรงเรียนไปด้วย มันเหนื่อยน้อยเสียทีไหนล่ะ
              ขณะที่กำลังเหม่อลอยคิดเรื่องไร้สาระ เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แอสตันเบนสายตาไปมองยังคนที่โทรเข้ามานิดหน่อย ก่อนจะหลุดถอนหายใจ
              “ครับ พี่รีฟา”
              [วันนี้แอสตันว่างรึเปล่า พอดีพี่ลองทำขนมดูน่ะ ทำเยอะไปหน่อยเลยว่าจะให้แอสตันมาช่วยกินซะหน่อย] น้ำเสียงหวานพูดอ้อนๆ จนแอสตันต้องหลุดยิ้มออกมาบางๆ ต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหนรีฟาก็ยังคงเป็นรีฟา หญิงสาวที่เขาตกหลุมรักอยู่ดี
              ร่างสูงทำท่าจะตอบตกลง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ก่อนว่าวันนี้เขามีนัดกับจินแล้ว น้ำเสียงทุ้มอึกอักเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยปฏิเสธหญิงสาวเลยสักครั้ง แต่ถึงยังไงเขาก็คงต้องปฏิเสธ ก็ครั้งนี้เขานัดจินก่อนนี่นา
              “คือ...วันนี้ผมมีนัดแล้วน่ะครับ” คำตอบของแอสตันทำเอาปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง
             รีฟาเม้มริมฝีปากแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่แอสตันปฏิเสธคำเชิญชวนของเธอ บทสนทนาที่คุยกับออสตินเมื่อหลายวันก่อนค่อยๆลอยเข้ามาในหัว วนไปวนมาจนเธอหงุดหงิด

             “ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะเจอใครบางคนที่ถูกใจแล้วล่ะ”

             ไม่ได้หรอก ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่มีวันปล่อยแอสตันไปเด็ดขาด ผู้ชายคนนี้เป็นของเธอ ต้องเป็นของเธอทั้งร่างกายและหัวใจ และต้องเป็นของเธอตลอดไป

             [นัดกับใคร คนคนนั้นสำคัญกับแอสตันมากกว่าฟาอีกหรอ] น้ำเสียงหวานฉายแววไม่พอใจอย่างเด่นชัด ทำเอาแอสตันต้องชะงักไปชั่วครู่ สำคัญกว่างั้นหรอ? ก่อนจะต้องเผลอส่ายหัวเบาๆไล่ความคิดฟุ้งซ่านออก
             “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือผมนัดกับน้องเค้าก่อนไง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น ความจริงจังในน้ำเสียงทำเอารีฟารู้สึกจุก มือเรียวเผลอกำแน่นเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะพยายามเค้นเสียงตอบกลับไป
              
             [ผู้หญิงหรือผู้ชาย]


             “ครับ?” แอสตันขานรับแบบงงๆนิดหน่อย รีฟาพ่นลมหายใจออกแรงๆเพื่อเป็นการควบคุมอารมณ์ แต่ถึงยังไงน้ำเสียงของเธอก็คงแข็งกระด้างอยู่ดี
              [รุ่นน้องคนนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย!!!] น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นดังจนดูเหมือนเป็นการตะคอก แอสตันเลิกคิ้วกับคำถามนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มากขึ้น น้ำเสียงทุ้มหลุดหัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบ
              “ผู้ชายครับ นี่รีฟาหึงผมหรอ” คำตอบของแอสตันทำเอารีฟารู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก อีกทั้งน้ำเสียงหยอกล้อนั้นด้วย ความหงุดหงิดและความกังวลใจค่อยๆจางหายไป ก่อนจะหลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
              [เปล่าซะหน่อย] บอกปัดเสียงอ้อมแอ้มต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ยิ่งส่งผลให้คนที่อยู่ปลายสายหลุดหัวเราะออกมาหนักกว่าเดิม
              “ครับๆ ไม่หึงก็ไม่หึง เดี๋ยวผมทำงานต่อก่อนนะครับ อีกเดี๋ยวต้องไปซ้อมบาสอีก” แอสตันพูดพลางเหลือบมองนาฬิกา จริงๆแล้วงานของเขาเหลือแค่นิดหน่อย แต่ก็อยากจะรีบไปซ้อมบาสเพราะเขายังต้องไปรับเด็กแสบที่โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนของจินนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนของเขา
             [อื้อๆ บอกรักฟาก่อน แล้วฟาจะวาง] ประโยคถัดมาของรีฟาทำเอาเขาชะงัก รู้สึกริมฝีปากหนักอึ้งขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กันรีฟามักจะขอให้เขาพูดอะไรแบบนี้เสมอ แต่ทุกครั้งที่เขาต้องพูดประโยคนั้นเขาจะรู้สึกเจ็บหนึบ 

             การที่รักคนที่ไม่มีทางเป็นของของเราได้นั้นคิดว่าเจ็บปวดสุดๆแล้ว แต่คนที่เขารักเป็นคนรักของพี่ชายที่เขาเคารพรักสุดหัวใจนั้นยิ่งทำให้เจ็บปวดมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกผิดนะ ทุกครั้งที่อยู่กับพี่ชาย เขาไม่เคยมองตาพี่ชายของตัวเองตรงๆเลยสักครั้ง แล้วจะให้เขาบอกรักผู้หญิงของพี่งั้นหรอ มันยากจริงๆนะ...

             [เร็วสิ แอสตันไม่รักฟาแล้วหรอ] น้ำเสียงตัดพ้อนั้นทำเอาใจเขากระตุกวูบ ลิ้นชื้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง พยายามเค้นเสียงที่จู่ๆหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบ กลับมีสายซ้อนเข้ามาก่อน นัยน์ตาคมเหลือบมองหมายเลขที่โทรเข้ามา ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ 

             นายช่วยชีวิตพี่ไว้เลยนะ เจ้าเด็กแสบ

             “คือผมมีสายซ้อนน่ะครับ งั้นวางก่อนแล้วกัน ถ้าว่างๆจะโทรไปหานะครับ” รีบพูดตัดบท ก่อนจะกดวางสายไป ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีสิทธิ์พูดอะไรต่อ มือเรียวรีบสไลด์หน้าจอรับสายที่โทรเข้ามาใหม่ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางเสียก่อน
             [รับช้า!!! โทรมากวนป่ะเนี่ย เลิกเรียนรึยัง] น้ำเสียงนุ่มที่แทบจะตะโกนใส่หูทำเอาแอสตันเผลอขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะหลุดคลี่ยิ้มออกมาบางๆเมื่อได้ยินประโยคแฝงแววกังวลที่ตามมา
             “เลิกแล้วๆ พอดีเมื่อกี้มันสายซ้อนน่ะ” พูดพร้อมกับลงมือเขียนงานของตัวเองไปด้วย อยากรีบทำให้เสร็จๆจะได้มาคุยกับเด็กนี่ แอบชะงักกับความคิดของตัวเองนิดหน่อย นี่เขารีบวางสายของรีฟาเพราะอยากจะคุยกับเจ้าตัวแสบนี่น่ะหรอ

            สะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระ คงจะเพราะไม่อยากพูดประโยคชวนปวดใจนั่นมากกว่า

             [อื้อๆ พอดีผมมีซ้อมดนตรีกับเพื่อน นัดเจอกันที่ที่จะไปเลยดีกว่า] แอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ ทำเอาคนที่อยู่ปลายสายโวยวายออกมาไม่หยุด
             “พี่ก็มีซ้อมบาสเหมือนกัน เลิกพร้อมกันแหละ ให้พี่ไปรับเถอะ เราไม่ค่อยขึ้นรถเมล์ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวก็ลงเลยป้ายหรอก” คำพูดของแอสตันทำเอาจินหยุดโวยวายแทบจะในทันที น้ำเสียงนุ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง ก่อนจะยอมตกลง แอสตันหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ ทั้งสองนัดแนะกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ต่างฝ่ายต่างกดวางสาย และแยกย้ายไปทำธุระของตัวเองต่อ



             ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ก็ต้องปะทะเข้ากับสายตาที่มองมาด้วยแววตาแปลกๆของเพื่อนในวงของตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าหยุดซ้อมตั้งแต่เมื่อไหร่ จินทำเป็นเมินสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเหล่านั้น เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ก่อนจะตรงไปจับไมค์เตรียมซ้อมต่อ
            “ไม่ต้องเลยมึง มาเล่าให้พวกกูฟังเดี๋ยวนี้!!!!”











              หลังจากฉุดกระชากลากถูกันอยู่นาน ในที่สุดสมาชิกในวงที่เหลือก็สามารถลากตัวเจ้านักร้องตัวดีมานั่งกลางวงได้สำเร็จ จากที่มารวมตัวกันเพื่อซ้อมดนตรี กลายเป็นรวมตัวกันเพื่อซักความจริงจากเจ้าเพื่อนตัวแสบแทน จินเบ้ปากอย่างขัดใจหน่อยๆ แต่โดนบังคับขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่เล่าก็คงจะไม่ได้
             จะไม่ให้พวกเขาสงสัยได้ยังไงล่ะ เพราะไอ้ท่าทางแบบนั้นเห็นไอ้เพื่อนบ้านี่ทำกับแค่ไอรีนคนเดียว เกิดมันดันโง่ขึ้นมากะทันหันแล้วกลับไปรีเทิร์นกับยัยมารร้ายอย่างไอรีนอีกรอบล่ะ พวกเขาไม่ยอมหรอกนะ ไม่อยากเห็นเพื่อนตัวเองเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว
              “เมื่อกี้มึงคุยกับใคร ทำไมต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนั้นด้วย” เป็นสไปรท์ที่โพล่งออกมาเป็นคนแรก ส่วนคนอื่นๆต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะร่วมใจกันส่งสายตาคาดคั้นไปให้ จินอึกอักนิดหน่อยไม่รู้จะตอบคำถามเพื่อนยังไงดี

              ปัดโธ่ ก็ตอนนั้นบอกเกลียดไอ้รุ่นพี่นั่นแทบตาย แต่สุดท้ายดันมาสนิทกัน มันก็เสียฟอร์มแย่สิวะ

             “ว่าไง” สไปรท์เอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับส่งแววตาจริงจังมาให้ จินเบ้ปากนิดหน่อยก่อนจะยอมรับแต่โดยดี
             “พี่แอสตันน่ะ” คำตอบจากคนที่นั่งอยู่กลางวงทำเอาทุกคนต่างร่วมกันประสานเสียงโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะไม่มีเพื่อนชื่อหมาย ล้อเล่น!!!
             
             “ห๊า อะไรนะ เล่ามาให้หมดเลยนะเว้ย”




              หลังจากฟังคำสารภาพ(?) ของจินแล้วทำเอาแต่ละคนอึ้งไปตามๆกัน เพราะไม่คิดว่าบุคคลทั้งสองที่โคตรจะต่างขั้ว แถมยังมีปัญหากันเรื่องผู้หญิง ทุกคนต่างคาดการณ์ว่าถ้าเจอกันไม่เกิดสงครามน้ำลายก็คงพุ่งหมัดใส่กันแน่ๆ ไม่น่าจะมาคุยถูกคอแล้วเข้ากันได้แบบนี้
             “แต่ก็ดีแล้วนี่” สไปรท์พูดพลางหลุดยิ้มนิดหน่อย ก่อนจะตรงเข้าไปบิดแก้มของจิน จนเจ้าตัวต้องหลุดโวยวายออกมา เพื่อนคนอื่นๆมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบ้าง ใช่ มันก็ดีแล้วจริงๆนั่นแหละ เพราะตอนนี้พวกเขาได้เพื่อนที่สดใสกลับมา แถมยังไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใครแต่ได้เพื่อนใหม่กลับมาแทน












              “แน่ใจหรอว่าจะไม่ไปด้วย” จินถามเพื่อนในกลุ่มตัวเองอีกครั้ง เพราะครั้งนี้แอสตันสัญญากับเขาว่าจะเลี้ยงเค้กด้วย ไปกันเยอะๆเอาให้แอสตันกระเป๋าฉีกไปเลย อยากจะแกล้งคนตัวสูงซะหน่อย เป็นการเอาคืนที่เมื่อตอนเที่ยงบังอาจทำให้เขารู้สึกอับอาย
             “ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอว่ะ” ดินเอ่ยล้อเสียงทะเล้นจนจินต้องหันมาถลึงตาใส่ เพื่อนต่างหลุดหัวเราะนิดหน่อย ก่อนจะช่วยกันปรามกันไม่ให้เกิดสงครามขนาดย่อมๆ
             เสียงเครื่องยนต์เรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง ก่อนจะพบกับร่างสูงโปร่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์มาทางที่พวกเขายืนอยู่ หยุดอยู่ตรงหน้าจินพอดี ใบหน้าคมที่แสนคุ้นเคยใต้หมวกกันน็อคคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักทาย
              “เอ่อ...สวัสดีครับ” เสียงทุ้มพูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ แอสตันคลี่ยิ้มแห้งๆเมื่อโดนเพื่อนของจินจ้อง เพราะเขาไม่รู้ว่าบรรดาเพื่อนของจินรู้สึกยังไงกับเขา จริงอยู่ที่ตอนนี้เขากับจินไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันแล้ว แถมยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกต่างหาก แต่กับคนอื่นนี่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
              สมาชิกในวงต่างมองท่าทางประหม่าของคนตัวสูงอย่างขำๆ อันที่จริงในวงไม่มีใครไม่ชอบแอสตันหรอก อาจจะมีหมั่นไส้บ้างเล็กน้อยกับความเพอร์เฟ็คเกินมนุษย์มนาของคนตัวสูง ถ้าจะให้พูดกันจริงๆคนที่เกลียดแอสตันสุดๆก็คือ จิน นั่นแหละ ดังนั้นถ้าจินไม่เกลียดแล้วใครจะไปเกลียดกันล่ะ
              “ผมฝากเพื่อนด้วยนะครับ ถ้ามันกวนก็เอาฝ่ามือประทับแรงๆเข้าที่กลางหน้าผากได้เลย” การ์ตูนพูดกับแอสตันแต่ท้ายประโยคหันไปยักคิ้วให้จินกวนๆ จินถลึงตาใส่ก่อนจะเตะเข้าที่บั้นท้ายของเพื่อนอย่างหมั่นไส้ เพื่อนที่สังเกตเหตุการณ์ต่างพากันหัวเราะออกมา ไม่ได้สนใจจะห้ามเลยแม้แต่น้อย
             แอสตันเหลือบมองท่าทางที่เป็นกันเองของเด็กๆแล้วหลุดยิ้ม
             “เอ้า ทะเลาะกันอยู่นั่นแหละ พี่เขารออยู่นะ” แอนดี้ที่ดูเหมือนสติจะดีกว่าคนอื่นๆห้ามทัพ ก่อนจะพยักเพยิกไปทางแอสตันที่กำลังคร่อมมอเตอร์ไซค์มองเด็กน้อยในสายตาของเขาทะเลาะกันอย่างสนุกสนาน
             “งั้นพวกกูกลับแล้วนะ มีอะไรก็โทรหา อย่ารบกวนพี่เขามากล่ะ” สไปรท์เอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้ายจนจินต้องหลุดเบ้ปากใส่ ก่อนจะเอ่ยล้อเลียนเพื่อนสนิทของตัวเอง
              “ครับๆ คุณแม่” น้ำเสียงทะเล้นๆทำเอาคิ้วของสไปรท์กระตุก ก่อนจะรีบเอ่ยปากไล่ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ก่อศึกกับไอ้เพื่อนจอมแสบนี่แน่ๆ



              “เอ้า ใส่หมวกกันน็อคด้วย” แอสตันพูดพลางยื่นหมวกให้กับคนที่ปีนขึ้นมาซ้อนท้ายเขาด้านหลัง แต่เจ้าเด็กแสบกลับปฏิเสธ ก่อนจะดันหมวกกลับไป
              “ไม่ชอบอ่ะ มันอึดอัด” หลังจากยื้อยุดกันอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นแอสตันที่ยอมรามือไป เขาไม่เคยเถียงกับเจ้าเด็กนี่ชนะเลยสิน่า...












              “ฮื้อ” น้ำเสียงนุ่มหลุดครางออกมาอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนขับรถจำเป็นต้องเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะแอบมองใบหน้าคมสวยผ่านทางกระจกมองหลัง
              นัยน์ตาเรียวหลับพริ้มเผยให้เห็นแพขนตาหนาที่ประดับเปลือกตา ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มบางๆอย่างอารมณ์ดี ผมสีฟ้าสดใสปลิวตามแรงลม เผยให้เห็นผิวหน้าขาวเนียนที่สะท้อนกับแดดส้มๆยามเย็น แอสตันมองภาพนั้นยิ้มๆ
              รู้สึกภูมิใจน้อยๆที่เขาตัดสินใจไม่ผิด แอสตันเลือกที่จะมาทางอ้อมเล็กน้อยแต่บรรยากาศดีกว่า เพราะเขารู้ว่าช่วงนี้เป็นเวลารถติดสุดๆ จะให้ไปนั่งดมควันรถยอมเสียเวลาอีกหน่อยแต่ได้บรรยากาศดีๆไม่คุ้มกว่าหรอ
             “ชอบนั่งมอ’ไซค์หรอ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม เรียกให้คนที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศลืมตาขึ้น
             “อื้ม รู้สึกดีจะตายเวลามีลมตีหน้า” พูดอย่างอารมณ์ดี แอสตันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะจัดการเร่งเครื่องขึ้นกะทันหันจนคนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังทำหน้าเหวอ เผลอเกาะเอวของเขาแน่น ลมตีหน้าแรงๆจนต้องหลับตาปี๋
             “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” เสียงนุ่มหลุดโวยวาย แอสตันเหลือบมองท่าทางของคนข้างหลังอย่างขำๆ ก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วลงจนเหลือเท่าตอนแรก
             “ก็ชอบเวลาลมตีหน้าไม่ใช่หรอ” พูดพลางยักคิ้วไปให้ จินถลึงตาใส่ก่อนจะฟาดหลังร่างสูงที่บังอาจมาแกล้งเขา แอสตันหลุดหัวเราะชอบใจ ดูเหมือนเขาจะเป็นพวกมาโซคิสเลยแฮะ ถึงชอบแกล้งร่างเพรียวและให้เขาทำร้ายร่างกายแบบนี้







              ขี่ไปสักพักแอสตันก็หยุดรถ หักรถเลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านคาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่ง จินเหลือบมองการตกแต่งของร้านอย่างตื่นเต้น 
              ผนังร้านที่ถูกก่อด้วยอิฐบล็อกสีแดงเข้ม ก่อนจะปลูกไม้เลื้อยสีเขียวสดให้ความรู้สึกสดชื่น การแต่งร้านสไตล์วินเทจที่สุดแสนน่ารัก ทำให้มีลูกค้าแวะเวียนมาถ่ายรูปไม่ขาดสาย แอสตันหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กของจินนิดหน่อย ก่อนจะจูงมือเข้าไปในร้าน ทั้งสองตัดสินใจนั่งโต๊ะติดกระจกเพื่อที่มองวิวข้างนอกได้
              “อีกสักพักจะมารับออเดอร์นะคะ” พนักงานสาวเอ่ยอย่างเขินๆพอเดินกลับเคาท์เตอร์ไปก็แอบไปกรี๊ดกร๊าดกับเพื่อนเบาๆ เพราะลูกค้าทั้งสองคนที่พึ่งเข้าร้านมานั้นหน้าตาเข้าขั้นระดับดีมาก
              แอสตันไล่สายตาดูเมนูนิดหน่อยสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่กาแฟเหมือนเดิม เขาเป็นพวกกินของหวานๆไม่ค่อยได้ ซึ่งดูท่าทางจะต่างกับคนที่นั่งตรงข้ามกับเขาอยู่มากโข เพราะดูจินจะสนุกกับการเลือกเค้กในเมนูมาก นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายจนแอสตันต้องหลุดยิ้ม
              “พี่กินเค้กด้วยกันไหม ผมสั่งได้กี่ชิ้นอ่ะ” พูดพลางเงยหน้าขึ้นมาสบตา แอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อย พยายามกลั้นยิ้มกับท่าทางเหมือนลูกหมานั่น ก่อนจะแบมือให้ เป็นเชิงว่าแล้วแต่เลย
              จินยิ้มแป้นอย่างถูกใจ เพราะตอนนี้เขารู้สึกสองจิตสองใจระหว่างเค้กสองชิ้น ในเมื่อคนเลี้ยงอนุญาตแล้ว เขาก็ขอสั่งทั้งสองอย่างเลยแล้วกัน แอสตันแอบอมยิ้มนิดหน่อยก่อนจะเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์

              “เอาเป็น...กรีนทีมัชชะเฟร้บเป้ สตรอเบอร์รี่มาเบิ้ล แล้วก็เรดเวลเว็ทครับ” ท่าทางการสั่งที่แสนกระตือรือร้นทำเอาคนฟังต้องหลุดยิ้ม พนักงานสาวเขียนเมนูที่ลูกค้าสุดแสนน่ารักสั่ง ก่อนจะเหลือบมองไปทางลูกค้าอีกคน ที่หล่อละลายใจเธอมาก
              “ของผมเป็นอเมริกาโนเย็นแล้วกันครับ” พนักงานแอบหน้าแดงเมื่อคนตัวสูงตรงหน้ายิ้มมุมปากหน่อยๆ แต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อเสียงของคนที่นั่งอีกฝั่งแทรกขึ้นมา
              “เห พี่กินแค่นั้นอ่ะนะ” จินเอ่ยแย้ง แอสตันไหวไหล่เบาๆก่อนจะหันไปบอกพนักงานว่าเอาแค่นี้ ทำเอาคนตัวเล็กกว่าต้องยู่ปากอย่างไม่ค่อยพอใจ
              “ก็พี่ไม่ค่อยชอบของหวาน” พูดยิ้มๆ พลางเอนหลังพิงพนักพิง จินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม
              “ไม่ชอบของหวานแล้วพามาร้านเค้กเนี่ยนะ” ท่าทางไม่พอใจของจินทำเอาแอสตันหลุดหัวเราะออกมา ดูท่าเขาจะทำให้เจ้าเด็กแสบนี่หงุดหงิดซะแล้ว
              “ก็เห็นว่าคนแถวนี้ชอบกินของหวาน” พูดพลางทำตาโตกลับพอจินหันมาถลึงตาใส่ ริมฝีปากหยักสวยเบ้อย่างไม่พอใจ ความทรงจำเก่าๆค่อยๆย้อนกลับคืนมา

              แต่ก่อนที่เขาคบกับไอรีน ใช่ เขาเป็นเหมือนแอสตันไม่มีผิด ตามใจไอรีนทุกอย่าง พอคนรักของเขาบอกชอบกินอาหารรสจัด เขาก็ต้องยอมกินด้วยทั้งๆที่ไม่ชอบเลย คนตรงหน้าชอบไปนั่งดื่มร้านที่เปิดเพลงดังๆ เขาก็ต้องไป ทั้งๆที่คิดว่าร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆน่านั่งกว่าเป็นไหนๆ แต่เพื่อคนที่เขารัก เขาเลยยอมฝืนทนอะไรที่ตัวเองไม่ชอบตั้งหลายอย่าง แต่มันไม่สนุกเลย ไม่เลยสักนิด
              แล้วทำไมแอสตันต้องฝืนมาทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อเขาด้วยล่ะ แฟนกันก็ไม่ใช่ พึ่งจะมารู้จักกันแบบจริงๆจังๆไม่นานเอง

              “ก็ถ้าพี่ไม่ชอบก็เลือกร้านที่เราทั้งคู่ชอบสิ อย่าฝืนอะไรที่ตัวเองไม่ชอบจะได้มั้ย” ท่าทางจริงจังของคนตรงหน้าทำเอาแอสตันเริ่มรู้สึกผิด บางทีการกระทำของเขาอาจจะไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ของคนตัวเล็กตรงหน้าเข้าเสียแล้ว
              “พี่ขอโทษ คราวหน้าพี่ไม่ชอบอะไรก็จะบอกนะ แต่ว่าพี่อยากพาจินมาร้านนี้จริงๆ ถึงพี่จะไม่ชอบของหวานแต่พี่ก็ชอบกาแฟของที่นี่นะ” พูดให้อีกฝ่ายสบายใจ จินเลิกคิ้วขึ้นกับคำพูดของคนตัวสูงนิดหน่อย ส่งสายตาจับผิดไปให้ แอสตันเลยคลี่ยิ้มกว้างกลับมา เมื่อเห็นท่าทางแสดงความจริงใจของร่างสูง อารมณ์โมโหเมื่อครู่ก็ค่อยๆหายไป สุดท้ายก็หลุดคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด
              “แล้วไป แต่คราวหน้าต้องไปกินอะไรที่พี่ชอบจริงๆนะ” ท่าทางน่ารักของคนตรงหน้าทำเอาแอสตันต้องเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง ไม่แปลกใจเลยทำไมเวลาอยู่กับเจ้าเด็กแสบนี่แล้วเขาสบายใจ เพราะคนตรงหน้าคิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ แถมยังใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย

              แบบนี้จะไม่ให้อยากใช้เวลาด้วยได้ยังไงล่ะ...

              ไม่นานนักเค้กหน้าตาน่าทานก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องดื่ม นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายวาวขึ้นมาทันที มือเรียวเลื่อนไปหยิบส้อมก่อนจะตัดเค้กเข้าปาก รสหวานละมุนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งโพรงปาก จนต้องเผลอหลับตาพริ้มรับรสที่แสนอร่อยนั่น
              “ทำหน้าเคลิ้มเชียว อร่อยขนาดนั้น” แอสตันเอ่ยแซว และแน่นอนปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาคือการถลึงตาใส่ จินจิ๊ปากก่อนจะบ่นงึมงำกับตัวเองอย่างไม่พอใจ
              “อยากรู้ก็ลองชิมสิ” พูดพลางตัดเค้กเป็นคำเล็กๆก่อนจะยื่นมาจ่อตรงหน้าคนตัวสูง แอสตันเหลือบมองส้อมที่จิ้มเค้กมาทางเขานิดหน่อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเจอสายตาโหดๆที่ส่งมาให้เขา ทำท่าทางบ่ายเบี่ยงนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมงับเข้าปากอยู่ดี
              “อร่อยไหม” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามด้วยแววคาดหวัง แอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะตั้งใจเคี้ยวเค้กในปาก ก่อนจะแสร้งทำหน้าเคลิ้มแบบที่คิดว่าเหมือนที่จินพึ่งทำไปสักครู่
              “ทำหน้าอะไรของพี่อ่ะ น่าเกลียด” ไม่พูดเปล่ายังมาทำหน้าแหยงๆใส่เขาอีกต่างหาก
              “ก็ทำหน้าเหมือนตอนที่จินกินเค้กนั่นแหละ” พูดพลางทำหน้ากวนโอ๊ยใส่ ก่อนจะหลุดหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนนั่งตรงข้ามหลุดโวยวาย ทำท่าจะปาส้อมใส่เขาอีกต่างหาก เสียงพูดคุยหยอกล้อกันสลับกับเสียงหัวเราะสดใส แม้จะไม่ดังมากแต่ก็สามารถเรียกความสนใจจากลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นได้เป็นอย่างดี
              ภาพของเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่กำลังคลี่ยิ้มกว้าง ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องเผลอมองตามอยู่แล้ว จริงไหม




              พอรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าข้างนอกก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเสียแล้ว แอสตันเหลือบดูนาฬิกานิดหน่อย แอบแปลกใจกับเวลาที่เขาใช้ร่วมกันกับเจ้าเด็กแสบ พวกเขานั่งคุยกันอยู่ในร้านนั้นตั้งสองชั่วโมงเลยหรอเนี่ย คนตัวสูงค่อยๆถอยรถก่อนจะหยุดให้อีกคนขึ้นได้สะดวก
              “กลับบ้านค่ำแบบนี้พ่อแม่จินจะว่ามั้ยเนี่ย” แอสตันถามด้วยความเป็นกังวล สำหรับเขาที่ชอบแวะไปเล่นกับรีฟาที่เพนเฮาส์ของพี่ กลับบ้านเวลานี้ยังถือว่าเร็วด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนทั่วไปมันคงจะถือว่าเลยเวลาที่เหมาะสมมาพอสมควร
              “ไม่ว่าหรอก บอกแม่ไว้แล้ว” จินเอ่ยพลางคลี่ยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายคลายกังวล แอสตันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะสตาร์ทรถ
              “จินบอกทางแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” แอบพูดแกมบังคับนิดหน่อย แต่ประโยคที่ตอบกลับมาทำเอาเขาต้องหลุดหัวเราะออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้
              “ก็ไม่ได้บอกว่าจะเดินกลับเองซะหน่อย”









     

    -------------------------------------
    Talk : รู้สึกเนื้อเรื่องมันเรื่อยๆจังเลย
             จะค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ตอนนี้สองหนุ่มพึ่งจะสนิทกันเอง
             อยากให้มันละมุนอ่ะ ตอนนี้สบายๆไปก่อนเนอะ
             อ่า...อยากกินเค้กจัง ._.





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×