:: Look for love :: พบแล้วครับ ความรักของผม :: - :: Look for love :: พบแล้วครับ ความรักของผม :: นิยาย :: Look for love :: พบแล้วครับ ความรักของผม :: : Dek-D.com - Writer

    :: Look for love :: พบแล้วครับ ความรักของผม ::

    ไม่รู้จะย่อยังไง -_-"

    ผู้เข้าชมรวม

    311

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    311

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ก.ย. 51 / 18:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      LOOK  FOR  LOVE
      พบแล้วครับความรักของผม




       
      ฉันมีชื่อว่า วาโย   เป็นแค่เด็กสาวนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมๆ คนหนึ่ง    แต่ชีวิตของฉันก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น เมื่อได้พบกับวิญญาณหนุ่มไฮโซที่มีข่าวว่าฆ่าตัวตายเมื่อเจ็ดปีก่อนด้วยเหตุที่เขาอกหักจากแฟนสาว    สำหรับฉันแล้ว มันเป็นความคิดที่สุดแสนจะโง่เง่า    ทำไมเราจะต้องยอมตาย   ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า ความรักไม่สมหวัง
      เราเจอกันโดยบังเอิญในลิฟต์ที่คอนโดฯซึ่งฉันพักอาศัยอยู่ ดูจากภายนอกเขาเองก็ไม่ต่างไปจากคนอย่างเรานัก   ในลิฟต์แห่งนี้มีเพียงแค่ฉันกับเขา   และวันนี้เองที่เขารู้ว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งมองเห็นเขา    ฉันแทบเป็นลมเมื่อรู้ว่าคนที่คุยด้วยเป็นผีที่มีนามว่า ทีเจ   หลังจากนั้นเจ้าผีบ้าก็ตามติดฉันเหมือนเป็นปลาท่องโก๋
      ในที่สุดฉันก็ยอมรับฟังความเห็นของทีเจ เขาขอให้ฉันช่วยเขาตามหาสิ่งที่เรียกว่ารักแท้
      “นายน่ารำคาญจริงเลย   มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกมา
      “ฉันคอยให้ใครซักคนเห็นฉันมาตั้งเจ็ดปี   แล้วฉันก็เจอเธอ   คือว่า เพราะว่าฉันอกหักแล้วก็โดนรถชนตาย ท่านยมทูตจึงให้ฉันมาตามหารักแท้   เธอช่วยฉันหน่อยซิ ฉันจะได้ไปเกิดซักที”
      “โอ๊ย   ไอรักแท้มันก็ไม่มีเขียนไว้ในพจนานุกรมซะด้วยสิ   แล้วฉันจะหาให้นายได้ไหมเนี่ย” เราเริ่มสอบถามจากคนรอบข้าง    แต่ละคนก็มองคำว่ารักแท้ ในความหมายที่ต่างกันออกไป
      เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว    เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก    เราหัวเราและยิ้มด้วยกันอย่างมีความสุข   เมื่อท้อก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันแม้ว่าเราจะอยู่คนล่ะโลกก็ตาม
      แล้วในวันหนึ่ง วันที่ฉันคิดว่าต้องมาถึงในซักวัน    อยู่ๆ ทีเจก็หายตัวไปโดยไม่ได้บอกกล่าว   เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งอาทิตย์ ฉันเริ่มรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อยากจะทำอะไร   ไม่อยากจะขยับตัวไปไหนหรือรับรู้อะไรทั้งสิ้น
      ฉันยังคงตามหาเขาอยู่แม้ว่าจะเป็นความหวังที่เลือนรางแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากจะหวัง ขอให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับฉันอีกซักครั้งอย่างน้อย ให้เราได้บอกลากันก็ยังดี
      วันนี้ไม่ดีเลย   แต่สำหรับฉันทุกอย่างมันเลวร้ายตั้งแต่วันที่เขาจากไป    สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักราวกับมันกำลังร้องไห้เป็นเพื่อนฉัน   เมื่อไหร่กันที่วันเลวร้ายแบบนี้จะหายไป   ทั้งทีไม่อยากเสียน้ำตาแต่มันก็ไหลออกมาทุกครั้งที่ฉันอยู่คนเดียว   ร่างที่เปียกน้ำฝนนี้ไม่หนาวเท่าหัวใจที่ใกล้จะแห้งตาย….คิดถึงจริงๆ
       
      เสียงบรรเลงเพลงแห่งการล่ำลาดังขึ้นจากวิทยุในขณะที่ฉันนอนอยู่บนเตียงนุ่ม   มันดังขึ้นมาเองโดยที่ฉันไม่ได้แตะต้องเครื่องวิทยุ   และมันทำให้ฉันมั่นใจว่า ทีเจยังคงอยู่ใกล้ๆ ตัวฉันเสมอ แต่เพราะเราอยู่กันคนล่ะโลกทำให้ฉันไม่สามารถมองเห็นเขาได้   บทเพลงนี้เขาคงตั้งใจมาลา
      หากเรายังมีความเชื่อ     สิ่งไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นได้เสมอ
      นั่นคือสิ่งที่ฉันเฝ้าบอกตัวเอง    เป็นอีกวันที่ยังคงคิดถึงใครบางคนที่จากไป   แม้สมองของฉันจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่หัวใจยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อมัน    ฉันยังคงรอคอยทีเจเสมอ
      ในเช้าที่แสนเศร้า    เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ฉันลืมตาตื่นอย่างอ่อนแรง    ฉันเปิดประตูอย่างเชื่องช้าแล้วมองผู้มาเยือนใหม่อย่างเลื่อนลอย     พลันหัวใจก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือชายร่างสูงที่ส่งยิ้มกว้างให้ฉันอย่างอ่อนโยน
      “ทีเจ…..” ฉันพึมพำด้วยความตกใจ   ฉันตรงเข้ากอดเขาด้วยความคะนึงหา    ฉันไม่สนว่าทำไมเขาถึงกลับมาหรือเพราะอะไรฉันถึงสามารถจับตัวเขาได้ รู้เพียงว่าแสงสว่างของชีวิตฉันกำลังกลับคืนมา
      “….ดีใจที่กลับมา….”
      “ฉันมีเวลาไม่มากนักหรอกวาโย….เราแต่งงานกันนะ..”
      ฉันอึ้งไปซักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับ   มันอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะได้ทำอะไรร่วมกัน
      เราจับมือกันไปที่สตูดิโอถ่ายรูปเป็นที่แรก   ฉันเปลี่ยนชุดมาใส่ชุดแต่งงานแล้วเตรียมตัวถ่ายรูป แม้จะเป็นรูปแห่งพิธีมงคล แต่ว่าฉันกลับยิ้มไม่ออกเลยซักนิด    เราจับมือกันแน่นในตอนถ่ายภาพราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีกครั้งหนึ่ง    มันเป็นภาพแรกที่เราจะถ่ายร่วมกันและอาจจะเป็นภาพชุดสุดท้าย ฉันฝืนยิ้มทั้งน้ำตา   คนถ่ายภาพแอบแซวว่าดีใจจนน้ำตาไหล ฉันรู้สึกอยากตะโกนออกไปดังว่าไม่ใช่เลย    มันเป็นความทุกข์ที่สุดในชีวิต….
       
      วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าด้วย   ทุกคนดูจะมีความสุขไม่ว่ามองไปที่ใดก็พบแต่รอยยิ้ม เวลาสองทุ่มกว่าเรากลับมาที่ห้องพักแล้วนั่งดูท้องฟ้าอันมืดมิดในยามราตรีที่ระเบียงห้อง    ที่แห่งนี้เรามองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ อย่างกว้างขวาง  
      ฉันเอนศีรษะซบที่ไหล่ของทีเจอย่างเหม่อลอย    กรุงเทพถูกประดับด้วยแสงสีสวยงามแต่กับคนที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป มันกลับดูเหมือนเมืองที่ไร้สีสันโดยสิ้นเชิง
      “…อันที่จริงแล้ว…ฉันมาลาน่ะ..” ทีเจพูดขึ้นในที่สุด    ฉันยังคงซบไหล่ของเขา   ไหล่ที่แสนอุ่นแม้ค่ำคืนนี้จะหนาวเพียงใดก็ตาม
      “ยังมีเรื่องอีกมากมายเลยที่อยากจะพูดกับวาโย   ก่อนอื่นก็อยากจะขอบคุณที่ช่วยฉันตามหารักแท้….ซึ่งตอนนี้ฉันก็เจอมันแล้ว ฉันขอพูดเลยว่า…มันคือเธอ   เธอที่นำความรู้สึกต่างๆ ของฉันที่หายไปกลับคืนมา ทั้งความสุข ความเศร้าและรอยยิ้ม    แต่น่าเสียดาย ที่ฉันต้องไปเกิดแล้ว…ขอโทษนะ…
      ฉันรู้ว่าหลังจากนี้มันอาจจะรู้สึกทรมาน    แต่ฉันไม่อยากให้เธอจมอยู่กับอดีต..ให้คิดซะว่าฉันเป็นแค่สายลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านเข้ามาและกำลังจะผ่านไป   สายลมที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ อยากจะให้ลืมมันซะ
      แม้ใบหน้านั้นจะยังยิ้มได้ แต่เสียงและมือทีสั่นอยู่นั้นฉันรับรู้ได้ดีว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ข้างใน    ทรมานเหมือนๆ กัน….   ทีเจเริ่มพูดต่อ
      “ฉันไม่อยากให้เธอร้องไห้อีก     จากนี้ไปก็ช่วยหาคนใหม่ที่ดีกว่า…รักเขาให้มากๆ   มีลูกด้วยกันซักคนสองคน   เป็นแม่และภรรยาที่ดี..ถ้าเธอจะซื้อบ้าน อย่าเอาที่บันไดเยอะเลยนะ เธอมักจะหกล้มบ่อยๆ   เวลาไปไหนก็อย่าเอาเงินไปเยอะเพราะเธอจะทำกระเป๋าเงินหายอยู่เรื่อย ฝากบอกสามีเธอด้วยว่า   ยัยวาโยเกลียดกุหลาบ วันวาเลนไทน์ให้ของขวัญอย่างอื่นจะดีกว่า
      “ให้ฝากบอกทำไมล่ะ     นายก็รู้อยู่แล้วนี่   เราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ…”   น้ำตาของฉันเอ่อล้นออกมาเปรอะใบหน้า   มือของเราจับกับแน่นมากยิ่งขึ้น
      “…ที่จริงแล้ว   ถึงจะบอกให้ลืม…แต่ว่าวันไหนที่ดาวเต็มท้องฟ้าอย่างนี้   ถ้าเธอนึกถึงฉันบ้าง…ก็คงจะดี…”
      “หากว่าฉันสามารถเกิดได้อีกหลายๆ ชาติ   ฉันอยากจะลองทำอะไรที่มันแตกต่างกัน อยากมีร้านขนมเล็กๆ   อยากเป็นเจ้าของโรงแรม  อยากเป็นวิศวกร และก็อยากเป็นอีกหลายอย่างเลยล่ะ
      “…เป็นความคิดที่ดีนะ..”
      “…แต่ไม่ว่ามันจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันชาติ   ฉันจะขอรักคนคนเดียวกัน…นั่นคือนาย..”
      “โง่จังเลยนะ….ช่วยนั่งอยู่ตรงนี้กับฉัน    จนกว่าจะหมดเวลาจะได้ไหม…”
      “ได้สิ…”
      เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น   ฉันสัมผัสได้ถึงสายลมยามค่ำคืนที่ทั้งหนาวและแสนเหงา มันกำลังจะพัดพาเอาสิ่งสำคัญของฉันให้หายไป…..   ไม่ใช่หรอก ถึงแม้ว่าเราจะไมได้อยู่ด้วยกันอีก แต่ฉันเชื่อว่าทีเจจะอยู่ข้างๆ ตลอดไป ณ   ที่ตรงนี้    ลึกลงไปยังสิ่งที่เรียกว่า…หัวใจ
      เวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที     ทุกคนต่างตั้งตารอนับถอยหลังถึงเทศการปีใหม่   แม้ว่าคนทั้งโลกจะอยากให้ปีนี้ที่เหลืออยู่ผ่านไปโดยเร็ว   แต่อย่างน้อย มีฉันคนหนึ่งที่ภาวนาให้มีใครซักคน   ช่วยหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้
      เสียงจุดพลุดังก้องทั่วบริเวณทุกคนต่างสนุกสนานกับปีใหม่ที่มาถึง   ทีเจจับมือฉันแล้วลุกขึ้นยืน    ร่างของเขาดูเลือนรางจนฉันรู้สึกกลัว   เราเดินตรงไปเกาะขอบระเบียง   เขาหันมายิ้มให้ฉันอย่างทุกวันที่เคยเป็น ทีเจล้วงกระเป๋าก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา
      “…พลุสวยจังเลย   ฉันไม่มีอะไรจะให้หรอกนะ..    ฉันรักเธอ….”   ทีเจยื่นแหวนให้ฉัน เราสวมแหวนให้กันและกันที่นิ้วนางข้างซ้าย เขาแล้วก้มลงประกบริมฝีปากของฉันเนิ่นนานและอ่อนโยน    แม้จะเป็นสัมผัสที่เบาบางแต่ก็ทำให้มีความสุขมากเหลือเกิน    ฉันจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมเลือน   แต่ถึงจะมีความสุขมากแค่ไหน น้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุดไหล มันอาจเป็นเพราะ
      ร่างของทีเจล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น    ฉันรีบก้มลงกอดร่างนั้น    ฉันไม่สามารถห้ามน้ำตาที่พลั่งพูออกมาได้     ลมหายใจของทีเจแผ่วเบาใกล้จะหายลับไป   ฉันตะโกนแข่งกับเสียงพลุหลากสีที่ลอยสง่าอยู่บนผืนนภา
      “…อย่าเพิ่งไปนะทีเจ    นายได้ยินฉันไหม    อยู่กับฉันก่อนนะ ขอร้องล่ะ…”
      นัยน์ตาที่ใกล้จะปิดของทีเจเหลือบมองฉันอย่างเศร้าสร้อย    น้ำใสๆ ไหลออกมาเป็นทางตามเนินแก้มของเขา แต่ถึงจะเจ็บปวดมากแค่ไหน เขาก็ยังยิ้มให้ฉันอยู่เสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
      ในที่สุดเวลาแห่งการสูญเสียก็มาถึง    เปลือกตาของทีเจปิดลงจนสนิท    ร่างของเขาลอยขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะแตกสลายกลายเป็นเม็ดแสงสีขาวสว่างดุจดวงดาวนับพันที่ลอยเด่นบนฟากฟ้ารามราตรีอันแสนเศร้า   สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือชุดสูทสีขาวและแหวนแต่งงานของเราที่หล่นจากมือของเขา   มันกลิ้งไปตามพื้นและหยุดนิ่งในที่สุด   
      ฉันเฝ้ามองวินาทีสุดท้ายที่เม็ดแสงเหล่านั้นค่อยๆ เลือนรางหายไป…เขาจากไปแล้วจริงๆ    ที่แห่งนี้ เวลาเที่ยงคืนเก้านาที   ระเบียงห้องแห่งนี้   พื้นที่นั่งดูดาวนี้  เหลือแค่ตัวฉัน…เพียงผู้เดียว
      วันนี้เป็นวันปีใหม่ซินะ   แม้ว่าทีเจจะจากฉันไปยังที่ที่ฉันไม่สามารถเอื้อมถึง    แต่เขาก็ได้ให้ของขวัญที่มีค่าที่สุดแก่ฉัน    ของขวัญที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้อย่างง่ายดาย   ของขวัญที่เรียกว่า…. “รักแท้”
      ฉันใช้มือลูบบริเวณที่เขาเคยนั่ง   น้ำตายังคงไหลออกมาทั้งที่ฉันสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้   มือทั้งสองกุมแน่นอยู่ที่ชุดสูทสีขาว   สายตาจับจ้องอยู่ที่แหวนเงินของเรา    ฉันหยิบมันขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา
      เขาคนนี้   ชื่อนี้   รอยยิ้มที่ส่งผ่านให้ฉัน   ใบหน้าที่อ่อนโยน   เสียงอันคุ้นหู   ที่นั่งข้างๆ ฉัน    ห้องพักอันแสนสุข   ลิฟต์ที่เราพบกันครั้งแรก   ความสุขและความทุกข์ที่เราต้องเผชิญ….ฉันจะเก็บทุกอย่างไว้ในซอกของความทรงจำอันมีค่า   เพราะสิ่งเหล่านี้   คือทุกอย่างของชายผู้ที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต
       
      -หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป-
      ฉันไม่ได้กลับมาที่ห้องแห่งนี้หลังตั้งแต่วันที่เขาจากไป    ชุดของเราสองคนที่ใช้ในงานแต่งงานถูกเก็บไว้อย่างดีในตู้ซึ่งอยู่ที่บ้านของทีเจ   ครอบครัวของเขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเราเพราะก่อนที่จะมาหาฉัน เขากลับไปที่บ้านเพื่อพบกับพ่อและแม่   ฉันจึงย้ายเข้าไปอยู่บ้านนี้ในฐานะลูกสะใภ้   ส่วนแหวนนั้น วงหนึ่งอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉัน อีกวงห้อยไว้กับสร้อยที่ใส่ติดตัวอยู่ตลอด
      ใจหนึ่งฉันอยากจะทิ้งห้องนี้ไปแล้วลืมทุกอย่าง แต่อีกใจก็อยากจะเก็บมันไว้    ใช่แล้ว ฉันต้องเก็บมันไว้   เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องนี้    ใจฉันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ มืออันสั่นเทายื่นออกไปเปิดประตู….
      จ๊ะเอ๋    กลับมาแล้วเหรอ
      โยไปเที่ยวกันนะ
      ยัยบ้าเอ้ย เธอกวาดพื้นภาษาอะไรเนี่ย
      เธอมันใจร้ายที่สุดเลย ใจร้ายๆๆๆ
       
      ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แล้วร้องไห้   ภาพในอดีตของเราหวนกลับมาให้เห็นลางๆ มือทั้งสองยกขึ้นปิดหน้าอย่างเสียใจ    ทรมานจนฉันไม่อยากจะก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
      แต่เมื่อฉันได้สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น   ก็จำเป็นต้องลุกยืนให้ได้ด้วยตัวเอง   ฉันตรงเข้าไปยังห้องนอนที่ฉันให้คนมาทำความสะอาดเอาไว้     ภาพที่เราถ่ายด้วยกันวันแต่งงานก็ให้อัดเป็นภาพใหญ่เท่าตัวจริงแล้วเอามาไว้ที่ห้องนี้รูปหนึ่ง    ฉันเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของเขาจากภาพนั้น….ถ้าอยู่ตรงนี้ด้วยกัน   ฉันคงจะยิ้มได้อย่างมีความสุข...
      ฉันจะมีชีวิตอยู่บนโลกที่สวยงามใบนี้อย่างมีความสุข แม้ว่าทีเจจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา    ฉันจะไม่ร้องไห้อีกต่อไปและจะมองหาใครใหม่….ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับใครบางคน
       
      -สามปีผ่านไป-
      ฉันจบจากมหาวิทยาลัยแล้วมาทำงานเป็นล่ามในบริษัทนำเที่ยวซึ่งเป็นของครอบครัวทีเจ   ฉันมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ทุกอย่างและยังคงกินอิ่มนอนหลับฝันดีเช่นเดียวกันกับตอนก่อนหน้าที่จะเจอกับเขาคนนั้น   โลกนี้มีอะไรมากมายที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ใจฉันยังคงเหมือนเดิม    มีคนมากมายเข้ามาในชีวิตแต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันเลือกที่จะปฏิเสธไปทุกคน..
      เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับฉันได้สอนอะไรหลายอย่างให้ฉันรู้   ตลอดเวลาที่ผ่านมา   ฉันเฝ้าถามตัวเองว่า เมื่อไรกันที่ฉันจะลืมเขาได้ซักที   คำตอบที่ได้เหมือนกันทุกครั้งไป….ไม่มีวัน 
      เขาจะเป็นรักเดียวของฉันตลอดไป แม้วันนี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ซักวันความฝันของฉันจะเป็นจริง    ฉันยังเชื่อว่าเขารอฉันอยู่ที่อีกโลกหนึ่ง    เขาจะยืนยิ้มต้อนรับฉันเมื่อถึงเวลาที่เราจะได้พบกัน
      แหวนของเรา รูปของเรา   ทุกอย่างที่เคยเป็นของเรา มันยังคงอยู่ที่เดิมในห้องแห่งความทรงจำและทุกครั้งที่ดาวเต็มท้องฟ้า ฉันจะนั่งดูดาวส่องแสงระยับจับนภาที่ระเบียงห้องนั้นเสมอ    แต่ถึงมันจะไม่มีดาว…ฉันก็ยังคิดถึงเขาไม่เปลี่ยนแปลง
      วันนี้ฉันจะกลับไปที่ห้องนั้น….ที่จริงแล้ว เมื่อวานฉันก็กลับไป   สองวันก่อนก็กลับไป   สองอาทิตย์ก่อนก็กลับไป   สามเดือนก่อนก็กลับไป   สามปีก่อนก็กลับไป   ฉันกลับมาที่นี่ทุกวันและไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็จะกลับมาที่นี่อีกเช่นกัน
      ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปว่าจะมีความสุขมากแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่นั่งบนพื้นระเบียงนี้   น้ำตาก็ไหลออกมาทุกครั้งไป   ทุกครั้งที่มีเวลาว่างพอจะคิดอะไร สิ่งแรกที่ฉันคิดถึงคือ..ทีเจ   ฉันมาสามารถลบเขาออกจากหัวใจได้   คืนไหนที่ดาวเต็มท้องฟ้าหรือมีดาวเพียงดวงเดียว ฉันรู้สึกได้ว่า เขากำลังนั่งข้างๆ ตัวฉันและเรากุมมือกันไว้อย่างแนบแน่น    น้ำตาที่เสียไปทุกหยดคือความทรงจำอันดีงาม   หนึ่งมนุษย์หนึ่งวิญญาณ   ที่ห้องแห่งนี้   จะมีเราตลอดไป
       
      บทส่งท้าย 
      ฉันอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่กันไปมาในเมืองหลวง   แม้ว่าจะมีคนเยอะมากเพียงใด แต่ฉันกลับรู้สึกว่าในโลกนี้เหลือเพียงฉันเพียงผู้เดียว แม้ว่าเวลาจะผ่านมาสามปี   ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อน   ยิ้มและหัวเราะเหมือนคนอื่นๆ  
      “จ้า..แล้วพบกัน   ใกล้จะไปถึงแล้ว   บายจ๊ะ…”
      ฉันวางสายก่อนจะถอนหายใจ   แล้วเดินตรงไปยังทางม้าลายเพื่อข้ามถนน   ฉันนัดกับเพื่อนไปดูหนังเพราะตอนนี้อยู่ในช่วงวันหยุด   ทีเจ นายเห็นไหมว่าตอนี้ฉันมีความสุขมากแค่ไหน
      กึก   เพล้ง! โครมมม!!!
      ฉันหันหลังกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น   ได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์ตก….   ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม     ผู้คนก็ยังเดินไปมา     ฉันยิ้มกับตัวเอง   หมู่นี้เจออะไรมากเยอะ ท่าจะทำงานมากเกินไปอย่างที่เพื่อนบอก
      ฉันหันกลับมาหวังจะเดินไปข้ามถนนต่อแต่ก็ต้องชะงัก     เส้นทางข้างหน้าเป็นเส้นทางที่ฉันไม่รู้จัก    มีตึกสูงระฟ้าที่ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย    ถนนดูซับซ้อนและเต็มไปด้วยซอกซอยต่างๆ     ฉันเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อหาทางออก    แต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งหรือเดินไปเส้นทางใดก็ตาม   สุดปลายทางนั้นก็นำฉันกลับมายังที่เดิม
      ฉันรู้สึกเหนื่อยและท้อใจจากนั้นจึงนั่งลงที่ฟุตบาท    ฉันซุกหน้าไว้กับมือทั้งสองก่อนจะถอนหายใจ   ถ้าตรงนี้มีทีเจอยู่ด้วยก็คงดี   อีกแล้วซินะ คิดถึงเขาอีกแล้ว
      เสียงรถที่ขับส่วนไปมาในถนนทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามองถนน    ฉันกลับมาอยู่ที่ถนนสายเดิม    มีกลุ่มฝูงชนมากมายวิ่งส่วนฉันไปด้วยความตื่นตระหนก     พวกเขาวิ่งไปที่กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังล้อมวงดูอะไรบางอย่าง   ฉันเฝ้ามองพวกเขาอย่างงงๆ
      แต่ว่าฉันยังมีนัด ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น    ฉันเดินตรงไปยังจุดหมาย   และเห็นแจนกับแจงคู่ฝาแฝดที่ฉันสนิทที่สุดกำลังวิ่งตรงมาทางฉัน   พวกเธอก็ดูตื่นตระหนกไม่ต่างจากคนอื่นๆ   ฉันโบกมือทักพวกเธออย่างสนิทสนม   แต่ทั้งสองทำเป็นไม่สนใจ
      แจนและแจนวิ่งเข้ามาใกล้ ทำให้ฉันเอื้อมมือออกไปหวังจะจับร่างของทั้งสองเป็นการทักทาย    แต่เธอทั้งสองกลับวิ่งผ่านฉันไป ราวกับฉันเป็นอากาศธาตุไม่มีตัวตน เธอทั้งสองวิ่งตรงไปยังกลุ่มคนพวกนั้น
      ฉันเดินตามไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่     ทำไมเพื่อนของฉันถึงได้วิ่งผ่านตัวฉันไปโดยที่มองไม่เห็นฉันแม้แต่นิด    หรือว่านี่จะเป็นความฝัน   แต่เป็นฝันที่เหมือนจริงมากๆ เลยล่ะ
      ฉันแทรกตัวเข้าไปข้างในวงล้อมนั้น สิ่งที่เห็นทำให้ฉันตกใจจนไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย   โทรศัพท์สีดำที่จำได้ดีว่าเป็นของฉันแตกกระจายอยู่ที่ปลายเท้าของร่างใครบางคนซึ่งนอนอยู่กับพื้น   และร่างนั้นก็คือฉันเอง ฉันที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่
      แจนและแจงตรงเข้าหาร่างของฉันแล้วร้องไห้กันยกใหญ่   พวกเธอพยายามร้องเรียกให้คนรอบข้างช่วย    จากนั้นเสียงหวอของรถพยาบาลก็ดัง  
      “…โย…”
      เสียงใครบางคนดังเข้ามาในหู   เสียงของคนที่ฉันเฝ้ารอจะฟังมานานกว่าสามปี เสียงที่แสนจะคิดถึง….   ฉันหันหลังกลับไปมองตามเสียงนั้น
      ร่างของชายหนุ่มในชุดสีขาวนวลยืนยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน    ทีเจ… เขากลับมาแล้วจริงๆ ฉันนิ่งไปซักพักด้วยความดีใจ    นี่เราตายแล้วจริงเหรอ….
      ทีเจยื่นมือออกมาให้ฉันเป็นการเชื้อเชิญให้ไปด้วยกัน    ฉันหันกลับมามองร่างตัวเองในเวลานี้แล้วหันกลับมามองเขาอีกครั้ง     ฉันจะเสียใจแค่ไหน ถ้าวันนี้ไม่เลือกไปกับคนที่ฉันรัก…..
      ฉันยิ้มได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ยิ้มที่เสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไป มันเป็นยิ้มที่ออกมาจากความรู้สึกภายใน ตอนนี้ฉันมีความสุขที่สุด   ไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รู้จักเขาคนนี้
      ฉันยื่นมือออกไปจับกับมือของทีเจ….มืออันแสนอุ่น   ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงยังไม่ได้ไปเกิด และคำตอบที่ได้มันช่างเข้าข้างตัวเองเหลือเกิน เป็นเพราะเขาเอง…ก็รอฉันเหมือนกัน 
      ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร   แต่ฉันขอคิดแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่อยากจะเจ็บปวดอีกต่อไป..    เราเดินฝ่าฝูงชนออกมาโดยที่ไม่มีใครเห็นเราแม้ซักคนเดียว 
      นี่คือสิ่งมหัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง   คนในโลกนี้มีตั้งมากมายนับล้าน แต่ฉันกลับได้มาเจอกับเจ้าผีหนุ่มที่ขโมยเอาหัวใจฉันไปโดยไม่มีวันเรียกกลับคืนได้ มือที่จับกันนี้….จะไม่มีวันปล่อยไปอย่างเด็ดขาด  เราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป   ดังที่ฉันเคยพูดเอาไว้ ไม่ว่ามันจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันชาติ ฉันจะรักคนคนเดียวกัน และเขาก็จับมือฉันอยู่ในตอนนี้ เราจะมีกันไม่เปลี่ยนแปลง
       
      - จบ -

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×