คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : (ภาค รด. ม. 6) EP.10 จบแล้วรด.
“เชี่ย
ฝนตกแน่เลยว่ะ” อินซองหรี่ตาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ลมพายุพัดฝุ่นแดงปลิวว่อนเข้าตาจนต้องยกมือบังหน้า
ยิ่งเห็นฟ้าแล่บก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกไม่นานฝนต้องตกแน่และดูท่าจะไม่เบาเลย
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ฝนตกดินแม่งก็ซับน้ำ เราอยู่บนเขานะเว้ย เดี๋ยวน้ำแม่งก็ไหลลงไปตีนเขา” จีฮวานว่า
“มึงเอาเหี้ยไรคิดวะ”
“แต่บรรยากาศแบบนี้ดีนะเว้ย
เวลาเล่าเรื่องแม่งสุด” ดงโฮพูดเสียงกระซิบ
เขายื่นหน้าเข้าไปกลางวงสนทนาก่อนที่จะถูกฝ่ามือปริศนาตบเข้าที่แก้มเบาๆ
“เดี๋ยวมึงก็โดนแบบไอ้แบค”
ปรี๊ดดดดดดดดดด
เสียงนกหวีดของครูฝึกทำแก๊งอาถรรพ์แตกกระเจิง
พอได้ยินเสียงนกหวีดนักศึกษาทุกคนก็รีบมุดหัวกลับเข้าไปในเต็นท์เหมือนพยาธิผลุบกลับเข้ารูตูด
มองออกมานอกผ้ายางเห็นเพียงรองเท้าบูทและเสียงดังตึก ตึก ตึก...
ที่ฟังดูน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงผี
ภายในเต็นท์ B21 เจ้าหัวกระเทียมที่แสนเหนื่อยล้าทิ้งหัวลงทับกระเป๋าหลังจากที่จัดที่นอนเสร็จสรรพ
ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นในความมืด แบคฮยอนเห็นคนข้างๆ เขากำลังนั่งหันหลังกดโทรศัพท์อยู่
เพียงไม่นานชานยอลก็วางมือถือและพาวเวอร์แบงค์ของเขาลงที่หัวนอนก่อนจะเอนกายล้มลงข้างๆ
“เอาผ้าห่มปะ”
“เขยิบมาใกล้ๆ
ดิ”
พอได้ยินแบบนั้นคนตัวเล็กก็ค่อยๆ
เขยิบร่างเข้าไปชิดพี่หล่อที่กำลังใช้สายตาจ้องมองมาอย่างเปิดเผย ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้เพียงคืบทำหัวใจดวงเล็กแรงไปหมด
ถึงจะเคยเสียตัวไปแล้วแต่แบคฮยอนก็ไม่ชินสักทีที่ได้นอนใกล้ชานยอล
ดวงตาเรียวรีหลุบลงมองแผ่นอกแทนการสบตากับคนตรงหน้า
ก่อนที่มือบางจะยกผ้าห่มคลุมร่างให้อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันไร คนตัวเล็กก็ถูกรวบกายเข้าไปกอดด้วยท่อนแขนแข็งแรง
สัมผัสอบอุ่นจากแผ่นอกและท่อนแขนที่รัดแน่นทำแบคฮยอนหน้าร้อนไปหมด
คืนนี้เขาต้องนอนไม่หลับแน่เลย ถึงจะเคยนอนกับชานยอลมา
2 – 3 ครั้งตอนไปทำรายงาน แต่สถานการณ์แบบนี้มันไม่เหมือนกันเลย
“ยังเจ็บขาอยู่ไหม”
เสียงทุ้มดังขึ้นชิดใบหน้า
ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดหน้าผาก ความหอมจากครีมอาบน้ำแบบผู้ชายทำแบคฮยอนอดเคลิ้มไม่ได้
พวกเขาอยู่ใกล้กันเสียจนรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นหัวใจของอีกฝ่าย ถ้าเป็นแบบนี้ชานยอลจะต้องรู้แน่เลยว่าแบคฮยอนกำลังเป็นบ้า
“ยังไม่หายปวดเลย”
“กินยาไปยัง”
“กินแล้ว”
“อือ งั้นก็นอน”
มีเพียงแค่คำกระซิบเบาๆ กับเสียงผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะก่อนที่บรรยากาศจะกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ในวันที่แสนเหนื่อยล้า
นักศึกษาวิชาทหารสองคนนอนกอดกันอยู่ใต้เต็นท์ผ้ายางโดยมีผ้าห่มคิตตี้ผืนเดียวคอยช่วยบดบังความหนาว
เสียงฟ้าร้องดังครืนยิ่งทำให้บรรยากาศคืนนี้น่านอน
แบคฮยอนหลับตาลงช้าๆ
เบียดกระแซะร่างเข้าหาหัวหน้าหมู่พลางซุกปลายจมูกลงกับเสื้อยืดสีเขียว
ปล่อยกายและใจให้ได้พักผ่อนเพื่อเรี่ยวแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ คืนนี้เขาคงจะฝันดี เพราะถ้ามีชานยอลอยู่ผีก็คงไม่กล้าทำอะไรแบคฮยอน
เปรี้ยง!!
ซ่า....
ซ่า....
เม็ดฝนสาดกระทบผ้ายางดังจนปลุกคนที่กำลังนอนหลับให้ตื่น
ชานยอลลุกขึ้นถลกผ้าห่มออกจากร่างก่อนจะหันไปมองด้านหลังเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปียกโดนกางเกง
น้ำฝนจากข้างนอกที่เริ่มทำให้ดินเปียกไหลเข้ามาในผ้ายางเต๊นท์และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
“แบคฮยอน...
แบคฮยอน ลุกก่อน ฝนตก”
ชานยอลเขย่าร่างแฟนตัวเล็กให้ลุกขึ้นก่อนที่พวกเขาจะเปียกไปมากกว่านี้
เสียงฝนตกกระหน่ำยังคงไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา
ชานยอลคว้ามือถือกับพาวเวอร์แบงค์ใส่เป้ ยัดทุกอย่างที่หยิบได้เข้าไปในนั้นเมื่อน้ำเริ่มทะลักเข้ามามากแล้ว
แบคฮยอนที่เพิ่งลุกขึ้นด้วยสภาพงัวเงียพอเห็นน้ำแฉะเข้ามาในเต๊นท์ก็งงเป็นไก่ตาแตก
กว่าจะตั้งสติได้น้ำฝนก็ลามมาเปียกกระเป๋าแล้ว
“เห้ย!”
“เอากระเป๋าขึ้น
เอาของยัดใส่เข้าไปเลย”
แบคฮยอนรีบคว้าผ้าห่มของเขาขึ้นมาพันคอเป็นอย่างแรกเพื่อกันน้ำเปียกก่อนจะรีบยกกระเป๋าขึ้น
แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว น้ำขี้ดินจากด้านนอกซึมเข้ามาจนเปียกด้านหลังกระเป๋าเต็มไปหมด
“น้ำท่วม! ไอเหี้ย!! น้ำท่วมเต๊นท์กู!!”
เสียงใครบางคนตระโกนแหวกเสียงฝนขึ้นมา
พอชานยอลคว้ากระเป๋าได้เขาก็รีบออกจากเต็นท์ทันทีและก็พบว่าไม่มีเต็นท์ไหนรอดสักคน
ทุกคนหอบผ้ายางและกระเป๋าวิ่งกันออกมาอุตลุด บางคนถึงกับเต็นท์ล่มแปะลงไปกับพื้น
“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ยยย!”
สายฝนยังคงกระหน่ำไม่หยุด
ชานยอลคว้าแขนแฟนเขาให้วิ่งเข้าไปหลบในเพิงซึ่งเป็นที่ตั้งร้านอาหาร
นักศึกษาวิชาทหารกว่าร้อยชีวิตวิ่งหนีฝนกันอลหม่าน
บางคนหิ้วของออกมาทันบ้างไม่ทันบ้าง พวกเขามานั่งกระจุกรวมตัวกันอยู่ในร้านข้าวเล็กๆ
และมองดูเต็นท์ล่มไปต่อหน้า
ท่ามกลางความสับสนระคนมึนงง
เข็มนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มครึ่งพอดีแป๊ะ
นักเรียนทหารที่ฝึกอย่างหนักทั้งวันและควรได้นอนนั่งกอดตัวเองอยู่บนเก้าอี้และพื้นปูนเหมือนคนไร้บ้าน
“เหี้ย
แล้วจะนอนยังไงกันวะเนี่ย” อารอนบ่นพลางถอนหายใจออกมา
เขาส่งเสียงจิ๊จะในลำคออย่างนึกเซ็งก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนผ้ายางเปียกๆ แผ่นเดียวที่มี
“กูว่าตกอีกนานเลย”
อินซองว่า
“ถ้าท่วมขึ้นมาอีกนี่ไม่ต้องนอนกันแล้ว
มึงยืนหลับเอา”
“แม่ง
หนาวว่ะ”
ในสภาพที่แต่ละคนร่างกายเปียกชื้นจากการหนีฝน
เสื้อยืดลำลองของทหารตัวเดียวไม่สมารถกันความหนาวเย็นได้
แบคฮยอนกอดผ้าห่มคิตตี้ไว้แน่น สายตากวาดมองไปรอบตัวด้วยความระแวงว่าจะมีใครมาแย่งของรักไป
“แม่งจะหยุดไหมวะเนี่ย
เต๊นท์ก็ล่มอีก ง่วงโว้ยยยยยย!” จีฮวานร้องโหยหวน
ร่างโปร่งล้มลงนอนบนพื้นคอนกรีตด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าวันนี้มันวันอะไร
พวกเขาซวยตั้งแต่เช้า สาย บ่ายจนถึงตอนค่ำก็ยังซวยอยู่
จีฮวานไม่อยากนึกเลยว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะมีสภาพแบบไหนถ้าไม่ได้นอน
“ถ้าฝนแม่งไม่หยุดทำไงวะเนี่ย”
“นู่นไง
ห้องน้ำ นอนแม่งในส้วม” ชานซองพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำที่เปิดไปทิ้งเอาไว้
เขาและเพื่อนในหมู่มองตากันอย่างรู้ความหมาย
“นี่มันวันเหี้ยไรวะเนี่ย”
เสียงกบร้องระงมดังผสมเสียงฝนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
ห้องน้ำชายขนาดแปดเมตรอัดแน่นไปด้วยนักศึกษาวิชาทหารที่หนีเข้ามาหลบฝนกว่ายี่สิบชีวิต
พวกเขานั่งเบียดกันเป็นปลากระป๋อง หันเท้าชนเท้า
บางคนก็ลงไปนั่งในอ่างน้ำหรือในห้องส้วม
เนื่องจากพื้นที่ที่มีปริมาณจำกัดทำให้หลายคนต้องนั่งพิงกำแพงหลับ
เอาขาเกยกันเหมือนผู้ประสบภัยหนีน้ำ แบคฮยอนใช้พื้นที่เล็กๆ ตรงหว่างขาแฟนหนุ่มเป็นที่ซุกตัว
เขานั่งเอนหลังพิงอกชานยอลเพื่อที่จะได้เหยียดขาออกไปจนสุด
ข้อดีอย่างเดียวของการเป็นคนตัวเตี้ยคือสามารถเอาตัวเองอยู่ตรงไหนก็ได้โดยที่ไม่ทำให้คนอื่นเกะกะ
ผิดกับพวกนักกีฬาตัวใหญ่ๆ ที่ต้องนั่งชันเข่าเพราะเหยียดขาไม่ได้ บางคนก็ต้องนอนซบเข่ากันด้วยสภาพสุดน่าสงสาร
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหลับสนิทได้แต่ก็ยังดีกว่าไปนั่งหนาวอยู่ข้างนอก
“เหี้ย
ปวดคอว่ะ” เสียงจงอินที่นอนเหยียดกายหนุนแขนตัวเองอยู่บ่นอุบ ชายหนุ่มนิ่วหน้าบิดต้นคอไปมาด้วยความร็สึกสุดเซ็ง
ทั้งกลิ่นของซอฟเฟลทากันยุงผสมกับกลิ่นฉุนในห้องน้ำตลบอบอวล
ยิ่งพยายามนอนให้หลับยิ่งฝันร้าย
“เอากระเป๋ากูไปหนุนดิ”
ชานยอลหยิบเป้ข้างตัวส่งให้เพื่อนของเขาใช้เป็นหมอนหนุนก่อนจะหันกลับมาสนใจโทรศัพท์ต่อ
ผ้าห่มลายคิตตี้สีชมพูถูกยืดไปห่มเท่าที่มันจะยืดได้
ถึงแม้ว่าเจ้าของของมันจะหวงแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ยอมแบ่งปันให้เพื่อนร่วมหมู่ได้ใช้คลายหนาว
ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนเศษแล้ว ชายฉกรรจ์หัวเกรียนนั่งนอนเอาหัวพิงเบียดเป็นปลากระป๋อง
ขาก็พยายามยืดไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความเงียบกลับเข้าสู่บรรยากาศอีกครั้ง
หลายคนเริ่มหลับเอาแรง แต่ก็ยังมีบางคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“ยุงกัดว่ะ”
“อะไรนะ”
เสียงบ่นงึมงำจากแฟนตัวเล็กที่นอนพิงอยู่บนอกเรียกชานยอลให้ต้องละสายตาออกจากมือถือ
เขาถอดหูฟังออกแล้วโน้มใบหน้าลงฟังเสียงพูดอีกครั้ง พลางเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มปิดขาให้คนรัก
“บอกว่ายุงกัด
ง่วง”
“ง่วงก็นอน”
มือหนาวางลงศีรษะทุยก่อนที่ปลายคางจะวางทับลงไปบนหลังมืออีกที
ชานยอลเสียบหูฟังข้างนึงใส่หูแฟนตัวเล็กก่อนจะสอดมือเข้าไปจับฝ่ามือน้อยๆ
ใต้ผ้าห่มเอาไว้ ปลายนิ้วทั้งสิบไล้เกี่ยวกันอยู่ใต้ผ้าผืนบางไม่ให้ใครเห็นก่อนที่ดวงตาเรียวรีจะค่อยๆ
หลับลงพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า
เสียงฝนด้านนอกเริ่มซาลงบ้างแล้ว
แต่ดูจากสภาพดินที่กลายเป็นโคลนไปเรียบร้อยถึงออกไปก็คงนอนไม่ได้อยู่ดี
ในค่ำคืนที่แสนโหดร้ายของการฝึกภาคสนามวิชารด. ความเหนื่อยล้าบังคับให้พวกเขาต้องหลับเอาแรงก่อนที่จะถึงวันพรุ่งนี้...
แป๊ะ!
“เชี่ย
ยุงกัดว่ะ”
“ไอ้สัส
ใครขี้ในห้องน้ำวะ”
ในยามดึกสงัดเสียงบ่นดังเบาๆ
ขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมื่อฝนด้านนอกหยุดสนิทยุงทั้งหลายที่ถูกน้ำท่วมรังก็ออกมาบินว่อนไล่กัดผู้อพยพหนีภัยกันด้วยความกระหาย
เมื่อมีใครคนหนึ่งตื่นขึ้น คนอื่นๆ ที่ไม่ได้หลับสนิทดีก็เริ่มขยับตัวตามบ้าง
ตอนนี้ฝนด้านนอกหยุดลงแล้ว
เสียงกบผสมจิ้งหลีดดังระงม นาฬิกาข้อมือดังบอกเวลาตีสามตรง พวกเขาเพิ่งจะหลับไปได้แค่สามชั่วโมงเอง
แถมยังไม่ได้หลับจริงๆ ด้วย
“ข้างในแม่งอบอ้าวว่ะ”
ดงโฮบ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระบอกไฟฉายเดินออกไปส่องด้านนอกเพื่อดูว่าดินแห้งพอหรือยัง
ภาพของสนามดินแดงที่เคยมีเต็นท์ผ้ายางผูกเป็นร้อยหลังหายวับไปกับตา
เหลือเพียงสภาพสนามดินแฉะๆ เหมือนหลุมขี้โคลนที่ดูยังไงก็ออกไปนอนไม่ได้แน่นอน
“โห สภาพ”
“น้ำยังท่วมปะวะ”
ชานยอลเงยหน้าขึ้นถาม เขาขยับตัวลุกขึ้นเบาๆ เพื่อไม่ให้คนที่นอนทับอยู่บนอกตื่นก่อนจะเดินข้ามร่างเพื่อนที่นอนก่ายกันไปหน้าประตู
สภาพของพื้นดินชื้นแฉะดูไม่แย่กว่าตอนแรกนัก
อย่างน้อยก็ไม่มีน้ำท่วมเหมือนตอนเข้ามาแล้ว
“ไอสัส
ข้างในก็ร้อน ข้างนอกก็หนาว”
“จุดไฟได้ปะวะ
ตรงที่เฝ้าเวรอะ” อินซองเสนอความเห็น
ตอนนี้เขาเบื่อเต็มทีแล้วกับการนอนขดอยู่ในห้อง อย่างน้อยออกไปนั่งรับลมข้างนอกก็ยังดีกว่านี้
“เออ
น่าจะเอาผ้ายางปูได้ เดี๋ยวกูไปดูก่อน มึงเอารองเท้ามาดิ”
หัวหน้าหมู่ซึ่งเป็นผู้นำตัดสินใจเป็นคนเดินออกไปสำรวจพื้นที่ด้านนอก
ชานยอลนำรองเท้าเพื่อนมาสวมก่อนจะก้าวเท้าลงไปบนพื้นดินเปียกชื้น ละอองฝนเม็ดเล็กๆ
ยังคงมีโปรยลงมาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ภายในร้านขายอาหารเพิงสังกะสียังมีคนนั่งหลับเบียดกันอยู่เป็นสิบ
จุดเฝ้าเวรยามอยู่ห่างออกไปไกลจากห้องน้ำเกือบสิบเมตร
น่าแปลกที่พื้นดินบริเวณนี้มีดินชื้นแต่กลับไม่มีรอยน้ำท่วมเลย
กองฟืนที่เคยถูกใช้จุดทุกวันเปียกชุ่ม ทั้งขอนไม้ และทุกสิ่งเปียกหมดถ้าจะจุดไฟให้ติดก็คงยาก
คนตัวสูงยืนคิดอยู่นานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าในร้านอาหารมีฟืนที่ยังไม่เปียกแอบเก็บไว้
ชานยอลตัดสินใจเดินกลับไปที่เพิงสังกะสีอีกครั้งแล้วพยายามมองหาบางสิ่งที่สามารถใช้จุดไฟได้
ขณะนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นกองไม้ที่น่าจะถูกตัดมาพักไว้และยังไม่ได้ขนย้ายไป
แสงจากกระบอกไฟฉายถูกส่องไปยังประตูห้องน้ำเป็นสัญญาณเรียกให้เพื่อนคนอื่นๆ
ตามมา ชายหนุ่มหยิบเอาไม้ฟืนเล็กๆ
ที่พอจะนำไปก่อไฟได้หอบใส่อกแล้วเดินตรงกลบไปยังจุดเฝ้าเวร
“เฮ้อ...
ค่อยดีหน่อย ยังพอมีลม”
“พ่อมึงจะไม่ด่าใช่ไหมวะ
เค้าห้ามจุดไฟโดยพลการนี่”
บริเวณรอบกองไฟ
เสียงกิ่งไม้ถูกเผาดังกร่อบแกร่บ ผ้ายางสี่ผืนที่พอจะหยิบออกมาทันจากในเต็นท์ถูกใช้ปูลงบนพื้นแฉะๆ
ดูเหมือนว่าหมู่สี่จะเป็นหมู่เดียวที่กล้าออกมาจุดไฟนั่งกันข้างนอกเพราะไม่มีใครแน่ใจเลยว่าสามารถก่อไฟตรงจุดเฝ้าเวรยามได้ไหม
แม้แต่ชานยอลเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาแค่ต้องทำบางอย่างเพื่อให้เพื่อนอยู่สบายขึ้น
“มึงจะกลัวเหี้ยไรวะ
ถ้าโดนก็โดนกันหมด” จีฮวานบ่นงึมงำ หลังๆ
มานี้เขาชักจะชินแล้วกับการเป็นตัวเด่นในค่าย ยังไงคนมันจะโดนมันก็ต้องโดนอยู่ดี
ต่อให้ไม่ทำอะไรเลยก็ตาม
“อ๋อ
มีเพื่อนโดนอุ่นใจ?”
“แม่งก็ดีกว่านอนอยู่ในห้องน้ำล่ะวะ”
“เออ
คะแนนเก็บปีนี้มึงผ่านปะวะ”
เมื่อความว่างเกิดขึ้นบทสนทนาต่างๆ
ก็ถูกขุดขึ้นมาคุย ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่เริ่มหลับอีกแล้วแต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่สามารถนอนต่อไปได้ในค่ำคืนที่แสนโหดร้ายนี้
“ไม่รู้ว่ะ
ไม่ผ่านก็ซ่อม”
“เหี้ยเอ้ย กูไม่อยากกลับจากค่ายเลย
กลับไปแม่งก็ต้องไปสอบ กูเป็นทหารอยู่นี่เลยได้ปะวะ” อินซองบ่นอย่างนึกเซ็ง
ขณะที่กองไฟลุกโชนอาบแสงต้องใบหน้า
ชายหนุ่มมองเห็นแต่อนาคตที่แสนสิ้นหวังของตัวเอง
ปีนี้เป็นสุดท้ายของการเรียนมัธยมและรด.แล้ว
นั่นหมายถึงชีวิตมหาลัย ความเครียด ความกดดันและความคาดหวัง รวมถึงการต้องจากกับเพื่อนๆ
ที่อยู่ร่วมกันมาตลอดหลายปี หลังจากนี้จะเป็นยังไงในอนาคตก็ไม่มีใครอาจรู้ได้
คงมีแต่จะต้องเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอหนทางของตัวเอง
“จบไปมึงเรียนไรต่อวะ”
“กูยังไม่รู้ไรเลย
แม่งจะจบอยู่แล้ว”
“มึงไปเป็นตำรวจกับหัวหน้าดิ
หัวหน้ามึงจบไปก็เรียนโรงเรียนตำรวจใช่ปะวะ”
คำถามของเพื่อนร่วมห้องเรียกหัวหน้าหมู่ให้ต้องละสายตาออกจากกองไฟ
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเขาแล้วเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบออกมา
“ยังไม่รู้ว่ะ”
“แล้วถ้าไม่เข้าโรงเรียนนายร้อยมึงจะไปเรียนไหนวะ” จีฮวานเอ่ยถาม
คำตอบที่ผิดกับนิสัยมุ่งมั่นของหัวหน้าห้องทำเขาแปลกใจนิดหน่อย ทั้งๆ
ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว
ชานยอลยังซ้อมวิ่งทุกวันแต่เขาไม่มีแผนที่จะทำอะไรจริงหรอ ทั้งๆ
ที่เคยบอกว่าจะสมัครเข้าตำรวจให้ได้
“แม่กูอยากให้เรียนโรงเรียน
แต่กูอยากไปสมัครทหารก่อน”
“มึงเรียนรด.แล้วมึงจะไปสมัครทหารต่อทำไมวะ
งี้มึงก็ต้องรอยี่สิบก่อนดิ” ชานซองว่า
“เห้ย แต่มันมีหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกเปิดรับอยู่
รับที่สิบแปด แต่แม่งเข้ายากนะเว้ย เข้าได้จริงๆ ไม่กี่คนอะ” ชานอูลูกชายอดีตนายทหารตอบแทน
“เชี่ย
งั้นมึงก็ฝึกเป็นทหารจริงตั้งแต่เรียนจบเลยดิ”
จีฮวานถึงกับต้องดันตัวขึ้นจากขอนไม้เมื่อได้ยินเพื่อนตรงหน้าบอกว่าจะสมัครเข้าเป็นทหารอาสาก่อน
แถมยังเป็นหน่วยรบพิเศษที่เสี่ยงอันตรายมากๆ
ชานยอลกำลังจะบอกว่าพอจบ
ม.6 ปุ๊บ เขาจะฝึกเป็นทหารที่ทำงานในหน่วยรบจริงๆ เลย
และยังเป็นกองพันที่โคตรโหดเหนือมนุษย์
เรียกได้ว่าตายบ่อยจนต้องเปิดรับพลเรือนมาฝึก
“ถ้าได้เข้าแค่สองปีก็ปลด
ออกมาค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อ” คนตัวสูงยักไหล่ ชานยอลวางแผนทุกอย่างเอาไว้
ใจเขาอยากทำในสิ่งที่อยากทำแต่ก็ยังลังเลเพราะกลัวว่าครอบครัวจะเป็นห่วง ชานยอลอยากลองทำในสิ่งที่ชอบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับอะไรเป็นหน้าที่
ถึงจะเสียเวลาไปบ้างแต่การมีตรารบพิเศษติดตัวอาจทำให้เขาก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่นๆ
ในสายงานที่ต้องพึ่งเรื่องการออกสนาม
“แต่แม่งฝึกโหดมากเลยนะเว้ย
มึงเอาจริงดิชานยอล”
“ก็ลองดู” ตอบออกไปพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอเหมือนไม่จริงจังนักทั้งที่ข้างในเต็มไปด้วยความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเอง
ชานยอลไม่อยากเสียเวลาสองปีในโรงเรียนตำรวจทหาร
เขาอยากลองปฏิบัติงานจริงมากกว่าจะเป็นนักเรียนไปตลอด เรื่องยศอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับใจที่อยากจะทำบางสิ่งบางอย่างและชานยอลมองเห็นมันชัดยิ่งกว่าสิ่งใด
“กูยอมเลยว่ะ แล้วมึงอะ
อีหัวกระเทียม เรียนจบมึงไปทำไรต่อวะ” คนขี้สงสัยพยักพเยิดหน้าไปทางลูกหมู่ตัวเล็กที่กำลังพยายามเอาผ้าห่มพันร่างตัวเองจนจะกลายเป็นเบคอน
คำถามที่น่าอึดอัดใจที่สุดทำคนถูกถามถึงกับต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า
แบคฮยอนยอมรับเลยว่าไม่ได้คิดอะไรไว้ในหัวสมอง กะว่าจบไปทำอะไรได้ก็ทำ
“ไม่รู้ว่ะ อยากนอนอยู่บ้านเฉยๆ
ไม่อยากทำไร ตอนแรกแม่เค้าอยากให้กูเรียนหมอฟันต่อนะ
แต่พอเค้าเห็นคะแนนกูแล้วก็แบบ... อืม... ก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากยอมรับกูเป็นลูกอะ เค้าคงปลงแหละ
แต่กูก็ไม่รู้ว่าอยากทำไรอะ อยากอยู่บ้านเฉยๆ ช่วยแม่ล้างจาน” คนตัวเล็กตอบออกไปด้วยสีหน้าสุดเรียบเฉยตามประสาคนที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของตัวเองคืออะไรกันแน่
แบคฮยอนไม่ได้อยากเป็นอะไร สำหรับเขาแค่หาเงินเลี้ยงพ่อแม่ได้ก็พอ
“เฮ้อ ไมชีวิต
ม.6 มันเครียดจังวะ จบไปก็เรียน เรียนเสร็จแม่งก็ต้องทำงาน เบื่อโว้ยย” ดงโฮร้องโอดครวญ
เขาใช้หมวกปิดหน้าก่อนจะไหลตัวนอนไปกับขอนไม้
ความเงียบกลับคืนสู่บรรยากาศอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ
จงอินยังคงนอนหลับสนิท นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาตีสามครึ่งแล้ว
เหลืออีกไม่เกินสองชั่วโมงพวกเขาก็จะถูกเรียกให้ตื่น
ชานยอลต้องดับไฟก่อนตีสี่ครึ่งเผือว่าครูฝึกจะเดินมาเห็น อากาศเย็นๆ
และความเงียบทำให้บรรยากาศยิ่งดูหงอยเหงา
สายลมพัดสร้างความหนาวเย็นไล้ผ่านผิวเนื้อ
ท่ามกลางความเงียบและเสียงฟืนไฟ
ไม่มีใครรู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองอยู่จากที่ไกลๆ...
.
.
.
.
“เฮ้อ
เหนื่อยว่ะ”
เวลาเที่ยงเศษๆ
ที่เป็นเวลาพักผ่อน แบคฮยอนทิ้งตัวนั่งลงบนโคนต้นไม้ที่มีเพื่อนๆ นั่งกินข้าวอยู่
เขาวางจานข้าวมันไก่ทอดลงก่อนจะแกะนมรสองุ่นขนาด 5 บาทดื่ม เสียงพูดคุยดังจ่อกแจ่กไปทั่วบริเวณ
วันนี้โชคดีที่อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ หลังจากไปกระโดดหอสูงกรี๊ดกันจนหมดแรงก็ถึงคราวต้องเติมพลังสักที
“ไอ้แบค
ครูฝึกเรียก”
ยังไม่ทันจะได้ตักข้าวคำแรกเข้าปาก
เพื่อนต่างห้องที่เดินเข้ามาเรียกก็หยุดมือที่กำลังจับช้อนไว้ แบคฮยอนหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทของเขาก่อนจะวางจานข้าวลงแล้วค่อยๆ
ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมหมู่
“อะไรอีกวะ”
คยองซูบ่น เขามองดูเพื่อนตัวเล็กเดินตามเพื่อนอีกคนไปด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ในขณะที่เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้น ทุกคนเริ่มจินตนาการกันไปต่างๆ นาๆ บ้างก็ว่าเป็นเพราะการจุดไฟเมื่อคืน
บ้างก็ว่าเป็นเพราะเรื่องชุดชั้นใน
“เรื่องไรอีกวะ”
“เรื่องเสื้อในปะวะ”
ดงโฮมองตามหลังเพื่อนเขาไปจนคนตัวเล็กเดินหายเข้าไปในซุ้มครูฝึก
เมื่อเช้าพวกเขาแอบสอยเสื้อในจียอนขึ้นไปไว้บนต้นมะขามกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ครูฝึกอาจจะคิดว่าเสื้อในนั้นเป็นของแบคฮยอนก็ได้
“อีจียอนแม่งปากดีแน่เลย”
“แบคยอนอะ”
เสียงทุ้มจากทางด้านหลังเรียกทุกสายตาให้ต้องหันไปมองหัวหน้ากองร้อยที่เดินถือขนมซีม่อนและสาหร่ายของโปรดมานั่งลงข้างหลัง
“ครูฝึกเรียก”
“จ่าอ่อ”
“ไม่รู้ว่ะ
สงสัย”
ทุกสายตาจับจ้องไปยังทางเข้าซุ้มไม่วางตา
ไม่มีใครรู้ว่าแบคฮยอนถูกเรียกเข้าไปทำอะไร แต่ไม่ต้องรอให้สงสัยนาน
แบคฮยอนก็เดินถือถุงบางอย่างออกมาจากในเต็นท์ ใบหน้าของเขาดูปกติเรียบเฉยมากกว่าจะวิตกกังวล
“มีเรื่องไรวะ”
อินซองถาม เขามองเห็นถุงขนมใบใหญ่ในมือแบคฮยอน
ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนเรียกไปทำโทษวินัยเลย
“ให้ไปเอาขนม
ละก็ถามว่าขาเป็นไงมั่ง”
คนตัวเล็กนั่งลงบนพื้นดินแดงด้วยก่อนจะหยิบเอาขนมปังและนมในถุงใหญ่ออกมากางแบ่งเพื่อนๆ
สีหน้าเขาเองก็งงไม่แพ้กัน “เค้าบอกว่าเมื่อวานพ่อกูสั่งมา ให้เอาให้หนัก
เค้าไม่ได้จะแกล้งกู”
“เค้ารู้จักพ่อมึงด้วยอ่อ”
“ไม่รู้ว่ะ
หรือเค้าพูดไปเรื่อยก็ไม่รู้ แต่เค้าไม่ได้ว่าไรอะ แล้วก็ให้ขนมมา”
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ได้แย่อย่างที่คิด
สมาชิกหมู่สี่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะหยิบเอาขนมมากินกัน
ดูเหมือนจะผ่านไปได้สักทีกับวันที่แสนโหดร้าย
แบคฮยอนรีบจัดการข้าวในจานต่อก่อนที่จะต้องไปเข้าเรียนในฐานอื่น
ในวันสุดท้ายก่อนการเรียนรด.ที่แสนยากลำบากจะจบลง นักศึกษาหัวเขียวกว่าสี่สิบคนนอนหลับสนิทหัวพิงกันบนรถ เป็นภาพที่ยังคงเห็นได้ทุกที ขณะที่รถคันใหญ่ก็ขับเคลื่อนไปยังสนามกีฬาเพื่อทำการพิธีปิดการฝึกอบรม นั่นหมายความว่าพวกเขาทุกคนได้เป็นทหารกองหนุนตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว และยังหมายถึงการไม่ต้องเกณฑ์ทหารอีกด้วย
“บัดนี้การฝึกนักศึกษาวิชาทหารของศูนย์ฝึกเขาชนไหล่ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ซึ่งผลการฝึกของวิชาทหาร...”
เสียงของพลทหารท่านหนึ่งดังกังวานไปทั่ว
ช่วงสุดท้ายของพิธีปิดการฝึกเดินทางมาถึงแล้ว เสียงวงดนตรีดุริยางดังกึกก้อง นักเรียนแต่ละคนยิ้มกริ่มด้วยความภาคภูมิใจพลางคิดในหัวว่า
จบสิ้นสักทีชีวิตทรหดของกู
แถวของเหล่าทหารน้อยทั้งหลายเริ่มเดินออกจากสนามกีฬาด้วยท่าทีสำรวมแม้ว่าพวกเขาจะอยากกระโดดโลดเต้นแค่ไหน
ทันทีที่พ้นประตูมากะเทยทั้งหลายก็แทบลงไปกรี๊ดกับพื้น เป็นอันเสร็จสิ้นกันซักทีกับชีวิตแสนวุ่นวายของนักเรียนรด.
“วันนี้กลับบ้านยังไง”
ชานยอลเดินนำหมวกสีเขียวทหารของเขาไปวางบนหัวแฟนตัวเล็กที่ยังเอาแต่ทำหน้ามุ่ยชะเง้อคอมองหาเพื่อนไม่หยุด
ใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะอากาศร้อนทำให้แบคฮยอนเริ่มกลายพันธุ์จากกระเทียมเป็นลูกท้อสีชมพู
“ก็นั่งรถกลับเหมือนเดิม
กลับด้วยกันปะ”
“อือ
แวะไปฟิวกัน” มือหนายกขึ้นบีบแก้มแดงๆ
จนริมฝีปากยู่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมา ชานยอลกอดคอแฟนเขาพากันเดินไปขึ้นรถโรงเรียนที่จอดอยู่ไม่ไกลจากสนาม
เสียงพูดคุยดังจอแจไปตลอดทางในหัวข้อการศึกษาวิชาทหารจบลง
ไม่มีแล้วการตัดผมสั้นเกรียน ใส่ชุดเขียว หรือต้องสละเวลาเรียนไปผูกเงื่อน
ชีวิตมัธยมปลายที่แสนสนุกใกล้จะจบลงแล้ว...
.
.
.
ปุ้ง!
เสียงพลุกระดาษถูยิงขึ้นเพดานเมื่อการสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นลงแล้ว
ในคาบว่างหลังสอบก่อนเลิกเรียน นักเรียนชั้น ม. 6/4
วิ่งไล่เขียนข้อความบนเสื้อกันอย่างสนุกสนาน
และแน่นอนว่าคนที่ฮอตที่สุดอย่างชานยอลก็โดนเขียนจนเละเทะไปทั้งตัว
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบแล้ว
นั่นหมายถึงวันสุดท้ายของการเรียน... วันสุดท้ายของชีวิต ม.6…
“จบซักทีโว้ย!!”
“หึ...”
เสียงตะโกนของเพื่อนร่วมห้องทำแบคฮยอนที่นั่งคอตกอยู่ด้านหลังได้แต่แสยะยิ้มกรอกตามองบน
ไอ้พวกที่ตะโกนออกมาได้แบบนี้ก็มีแต่พวกที่มั่นใจว่าตัวเองจะสอบผ่านเท่านั้นแหละ
ส่วนพวกหัวบ๊วยอย่างเขาน่ะหรอ ไม่มีทางสบายใจได้จนกว่าจะถึงวันเกรดออกหรอก
“กูเขียนเฟรนด์ชิพให้ปะ
จะได้ล่ำลากัน” อี้ชิงหันไปถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่หลังห้อง
เขาเองก็มีสีหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กัน อี้ชิงนึกไม่ออกเลยว่าข้อสอบที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้าง
มันอย่างกับนอนหลับฝันแล้วก็ตื่นขึ้นมา
“บ้านมึงอยู่ซอยข้างกู”
“ก็จะไม่ได้เจอกันที่โรงเรียนอีกแล้วไง”
“มึงก็ต้องเจอกูวันซ่อมอยู่ดี”
“ก็จริง...”
“มึงจะดีใจอะไรกันวะ
เข้ามหาลัยแม่งเครียดกว่าจบม.6 อีก”
“เฮ้อ...”
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมากับความไม่เอาไหนของตัวเอง ไม่รู้เลยว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง
ในขณะที่ชานยอลวางแผนชีวิตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
แบคฮยอนก็ยังคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ผลสอบออกไปแล้วไม่โดนแม่ด่าดี
“ตกลงชานยอลแม่งไม่สมัครเรียนต่อจริงอ่อวะ”
“อือ มันจะไปสมัครทหารจริงๆ”
“มันเอาจริงอ่อ
ถ้าไปเข้าพวกโรงเรียนทหารตอนนี้ก็ยังทันนะ”
“มึง
มันไม่เอา กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมมันต้องเอาตัวเองไปลำบากลำบน” ริมฝีปากบางงอคว่ำ
แบคฮยอนก็รู้หรอกว่าชานยอลอยากตั้งใจทำสิ่งที่ฝันให้สำเร็จแต่เขาก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี
การเป็นทหารจริงๆ มันคงไม่ง่ายเหมือนการนอนคิดอยู่ในหัว
“แล้วมึงอะ
จะไปสอบเข้าไหนต่อ”
“ยังไม่รู้เลยว่ะ
ตอนนี้หัวกูว่างเปล่ายิ่งกว่าตอนสอบอีก”
“แล้วอยากเป็นไรวะ
ต้องคิดให้ได้ก่อนผลสอบออกดิ”
“ไม่รู้ดิ
อยากเป็นแฟนทหารมั้ง”
ขณะที่ดวงตาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของแฟนหนุ่ม
ปากก็พูดออกไปตามที่คิดก่อนที่จะโดนเพื่อนซี้โบกกระบาลเข้าเต็มแรง ตอนนี้แบคฮยอนยังไม่รู้หรอกว่าอยากทำอะไร
เขาแค่อยากเป็นแฟนชานยอลไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง...
บนริมทางฟุตบาธรองเท้าผ้าใบสองคู่ก้าวเดินย่ำไปพร้อมๆ
กัน ฝ่ามือเล็กถูกกอบกุมด้วยฝ่ามือใหญ่หนา ความอบอุ่นจากอุณหภูมิของคนตัวใหญ่กว่าทำให้แบคฮยอนรู้สึกดีได้เสมอ
เสียงเพลงในหูฟังยังคงดังไปตามจังหวะ
พรุ่งนี้แบคฮยอนก็ไม่ต้องมาเรียนแล้ว...
เขาคงไม่ได้เจอกับชานยอลที่โรงเรียนอีก ไม่ได้ดูเขาเล่นบาส กินขนม หรือตั้งใจเรียน
พอนึกแล้วมันก็เสียดายหน่อยๆ ถึงจะยังกลัวการเปลี่ยนแปลงอยู่เล็กน้อย แต่ความมั่นคงที่หยั่งรากลงในจิตใจก็ทำให้แบคฮยอนพร้อมจะก้าวต่อ
“วันนี้ไปนอนบ้านไหม” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น
ชานยอลถอดหูฟังออกแล้วหันไปมองแฟนตัวเล็ที่กยังเอาแต่เดินทำหน้ามุ่ยคิดอะไรไม่ตกมาตั้งแต่เมื่อกี้
“ไปดิ เดี๋ยวโทรบอกแม่ก่อน”
“เปล่า ก็พรุ่งนี้ไม่ได้มาเรียนแล้วอะ ต้องคิดถึงแน่เลย”
“อือ...”
“เนาะ แบบเคยแอบมองคนที่ชอบ เคยเขินเค้า แอบดูเค้าเล่นกีฬา ถ้าไม่ได้เป็นแฟนกันคงเสียดาย”
คำพูดที่แสนน่ารักของคนตัวเล็กทำคนฟังอดยิ้มออกมาไม่ได้ ชานยอลเหนี่ยวรั้งคอแฟนเข้ามากอดไว้ก่อนจะก้มลงหอมหัวด้วยความหมั่นไส้
ไม่รู้ทำไมแบคฮยอนถึงชอบพูดอะไรให้เอ็นดูได้เสมอเลย ไม่ว่าเขาจะคิดหรือทำอะไรมันก็ดูน่ารักไปหมดจนน่าหมั่นไส้
“ไปกินหนมกัน”
“เลี้ยงป่ะ”
“เคยไม่เลี้ยงด้วยหรอ”
เพียงแค่ได้ยินชื่อของกินแบคฮยอนก็ยิ้มกริ่มทำหน้ามีความสุขแบบลืมไปเลยว่าเมื่อกี้กำลังเศร้าซึมเรื่องอะไรอยู่
ศีรษะที่มีผมขึ้นอยู่บางๆ โยกไหวไปมา
จบกันสักทีม.6 มัธยมที่สนุกที่สุดและการเรียนรด.ที่คุ้มค่ามากที่สุด
อย่างน้อยแรกกับแฟนนี้ที่ได้มาก็เกินพอแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ชีวิตมัธยมที่แบคฮยอนไม่มีวันลืมเลย...
#แม่บ้านทหารบกcb
ความคิดเห็น