ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แม่บ้านทหารบก CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #11 : (ภาครด. ม. 6) EP.9 วันแรกกับจ่านรก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26.39K
      1.76K
      19 ต.ค. 62

     
    B
    E
    R
    L
    I
    N
         (ภาค รด. ม.6)




    ปั้ง!

     

    มือใหญ่ๆ ของนักกีฬาฟุตบอลตบลงบนโต๊ะเสียงดังปังเรียกเพื่อนในห้องให้หันมามองเป็นตาเดียว

     

    “เชี่ยเอ้ย อาทิตย์หน้าไปค่ายรด.แล้ว งานคณิตกูยังไม่เสร็จเลย”

     

    “รด.ปีนี้ไปหน้าร้อนอ่อวะ กูตาย”

     

    “ประเทศมึงมีฤดูอื่นด้วยหรอวะ”

     

    เวลาสิบเอ็ดโมงกว่าภายในห้องเรียนชั้น ม.6/4 เสียงนักเรียนในห้องบ่นโอดครวญกันไม่ขาดสายเรื่องการไปค่ายรด.ปีสามที่จะเกิดขึ้นสัปดาห์หน้า มันเป็นเหมือนสัปดาห์มหานรกเมื่องานเก็บคะแนนของพวกนักเรียนรักษาดินแดนส่วนใหญ่แทบไม่ไปไหนเลย พวกเขาช้ากว่าเพื่อนในห้องและยังต้องลำบากกว่า ไหนจะซื้อของ ตัดผม มันเป็นอะไรที่สุดยอดสุดๆ กับชีวิตม.ปลายที่แสนสาหัส

     

    “เห้ย วันนี้ตอนบ่ายไกด์ข้อสอบนี่หว่า”

     

    “ใครจะจดอะ เหี้ย บ่ายก็ไปเรียนกันครึ่งห้อง” จินซอกบ่นอุบ บ่ายนี้พวกเขาต้องไปเรียนรด.กันอีก แล้วก็มีเพื่อนที่คอยจดไกด์ข้อสอบอยู่ไม่กี่คน ซึ่งมันคงดีถ้าเพื่อนคนนั้นยอมถ่ายเอกสารให้แต่มันก็คงต้องแล้วแต่ดวง

     

    “เชี่ยเอ้ย มีแต่งานๆๆ”

     

    บรรยากาศในห้องเรียนคึกครื้นอย่างเหลือเชื่อกับหัวข้อเรื่องการไปเข้าค่ายและสอบเก็บคะแนนปลายภาค เพียงแค่นึกก็ทรมานไปถึงไหน คงจะมีแต่ชานยอลที่ยังวางตัวสบายอยู่ได้เพราะการไปเข้าค่ายสำหรับเขามันเป็นเหมือนฝึกก่อนเข้ารับทหารจริงในอนาคต และแน่นอนว่าคนที่เซ็งที่สุดก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหัวกระเทียมสุดอ้อแอ้ของห้องที่เพิ่งไปตัดผมทรงเกรียนมาเมื่อเช้า

     

    “เฮ้อ...”

     

    ลมหายใจอุ่นถูกถอนออกมาเบาๆ จากคนตัวเล็กที่นอนวางคางเกยแขนอยู่บนโต๊ะ แบคฮยอนได้แต่มุ่ยหน้าอย่างนึกเซ็งกับความรู้สึกที่เบาหัวที่ได้สัมผัสอีกครั้ง ตั้งแต่ไปตัดผมมาเมื่อเช้าเขาก็ซึมเป็นแมวเซาโดนตัดหนวด แบคฮยอนไม่รู้สึกอยากเดินออกไปไหนเลยนอกจากห้องเรียน ไม่ว่ายังไงก็ทำใจให้ชินไม่ได้สักที

     

    “แดดอย่างงี้หน้ากูไหม้แน่นอน” จางอี้ชิงบ่นพลางใช้มือลูบหัวเพื่อนรักเหมือนถูลูกแก้วทำนายดวง ความรู้สึกของตอผมที่รูดไปกับฝ่ามือทำอี้ชิงเพลินจนแทบหลับ ตั้งแต่เช้ามานี้เขายังไม่เลิกเล่นหัวแบคฮยอนเลย

     

    หลังจากที่เจ้าหัวกระเทียมหายไปเกือบปีตอนนี้เขาก็คัมแบคแล้วพร้อมหัวใสเหน่งยิ่งกว่าเณรในวัด ปีนี้แบคฮยอนไปตัดผมก่อนใครเพื่อน ทั้งๆ ที่ปกติเขาจะตัดเป็นคนสุดท้าย แถมยังหลบหน้าชานยอลตั้งแต่เช้าอีก

     

    “ไหม้ยันหนังหัวอะ”

     

    “ทำไมคนเราต้องเรียนรด.ด้วยวะ”

     

    “เพื่อที่มึงจะได้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารไง”

     

    “เบื่อโว้ยย” อยู่ดีๆ แบคฮยอนก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นด้วยความเซ็ง ดูเหมือนว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากสนามฝุ่นดินแดงนี่ได้เลย สุดท้ายก็ได้แต่ต้องปลง

     

    ดวงตาเรียวรีเหลือบมองไปยังแผ่นหลังของแฟนหนุ่มที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่กับเพื่อนบนเก้าอี้ฝั่งริมสุด ริมฝีปากบางมุ่ยขึ้นเป็นปากเป็ด แบคฮยอนจะพยายามบอกตัวเองให้ไม่เซ็งก็ได้เพราะอย่างน้อยเขาก็มีชานยอลอยู่ ยังไงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นชานยอลก็คงต้องช่วยแบคฮยอนอยู่แล้ว

     

    ไม่รู้ว่าการเข้าค่ายปีนี้มันจะสนุกเหมือนปีก่อนหรือเปล่า ยังไงก็คงต้องลองดู

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    โอ้แม่นวลน้อง~ นวลน้อง~ พี่เฝ้าคอยเจ้า~”

     

    เวลาหกโมงเศษบนรถของโรงเรียนในวันเดินทางไปค่ายฝึก เสียงร้องรำทำเพลงของเหล่านักเรียนชายที่แสนคึกครื้นดังไปทั่วคันรถพร้อมกับเสียงเคาะตีทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ แบคฮยอนที่ตื่นนอนตั้งแต่ตีสามได้แต่มุ่ยหน้าอย่างนึกรำคาญหลังจากที่พยายามนอนหลับมาสองชั่วโมงแล้ว

     

    อาการหวัดเล็กๆ ทำเขาไม่ค่อยแฮปปี้กับการเดินทางครั้งนี้นัก ยิ่งพยายามนอนให้หลับก็ยิ่งนอนไม่หลับ ตอนนี้หกโมงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงจุดเปลี่ยนรถเพื่อเข้าค่ายฝึก แบคฮยอนหวังจริงๆ ว่าเขาจะได้นอนสักงีบ

     

    “กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” คยองซูหันไปกระซิบบอกเพื่อนสนิทที่นอนเอาผ้าห่มคลุมหน้าอยู่ข้างๆ ก่อนจะลุกออกไปจากที่นั่ง

     

    สุดท้ายคนตัวเล็กก็ได้แต่นั่งมองทางไปเพลินๆ ด้วยสีหน้าสุดเซ็ง ยิ่งเวลาผ่านไปท้องไส้ที่แสนว่างเปล่าก็ยิ่งปั่นป่วน เมื่อเช้าแบคฮยอนไม่ได้กินอะไรมาเลยเพราะกลัวปวดขี้กลางทางและตอนนี้กระเพาะของเขาก็เริ่มส่งเสียงประท้วงแล้ว

     

    “ทำไร”

     

    เสียงทุ้มคุ้นหูเรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมองหัวหน้าห้องผู้พ่วงตำแหน่งแฟนหนุ่มที่แอบย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ ชานยอลส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับแฟนเขาพร้อมกับใช้มือเกาคางเล่นเหมือนกล่อมแมวเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กทำหน้าบูด สีหน้าของแบคฮยอนดูไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เช้าเพราะอาการหวัด ท่าทางเขาไม่ร่าเริงเท่าไหร่

     

    “หิวข้าวอะ”

     

    “เมื่อเช้ากินยายัง”

     

    “อือ กินไปแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าวเลย” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากันอย่างน่าเห็นใจ วันนี้แบคฮยอนไม่ได้พกขนมมาเลยเพราะเมื่อเช้าเขาตื่นสายแล้วก็รีบมากจนเกือบจะลืมหยิบของสำคัญมาหลายอย่าง ทั้งขันน้ำ ยาสีฟัน อย่าว่าแต่ขนมเลย กางเกงในก็ไม่ได้เปลี่ยนมา

     

    “ไปนั่งด้วยกันไหม”

     

    “ไม่เอาอะ นั่งนี่แหละ ตรงนั้นเสียงดัง” ว่าแล้วก็หันไปมุ่ยหน้าทำปากเป็ดใส่แฟนหนุ่มที่กำลังหัวเราะด้วยสีหน้าสุดเย้า ฝ่ามืออบอุ่นที่วางลงบนศีรษะทำให้แบคฮยอนอบอุ่นใจได้เสมอ

     

    “งั้นก็นอนไป” คนตัวสูงระบายยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้าด้วยความเอ็นดูพร้อมทั้งใช้มือยีหัวคนรักก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากเก้าอี้ไปหลับไปยังที่นั่งเพื่อปล่อยให้แฟนตัวเล็กได้พักผ่อน

     

    การกระทำที่แสนใจดีและแสดงออกถึงความห่วงใยยังทำให้แบคฮยอนใจสั่นได้เสมอ ชานยอลไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เขาเป็นหัวหน้าคนดียังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนเขินได้ตลอด

     

    คนตัวเล็กซุกหน้าลงกับผ้าห่มคิตตี้ประจำกายก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ถึงจะรู้ว่าคงนอนไม่หลับแล้วเพราะหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด ทำไมถึงไม่เคยหยุดชอบชานยอลเลยนะ

     

    .

     

    .

     

    .

     

    รถบัสสีเขียวทหารวิ่งผ่านถนนดินลูกรังเข้ามาถึงหน้าประตูค่าย ฝุ่นดินแดงฟุ้งตลบ ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ ทันทีที่รถจอดสนิทภายใต้รั้วค่ายฝึกในเวลาสิบเอ็ดโมง นักศึกษาวิชาทหารปี 3 กว่าร้อยชีวิตก็แหกตาวิ่งอุตลุดกันลงจากรถ

     

    “ลงมาๆๆๆ! เร็ว!!

     

    เสียงรองเท้าคอมแบทนับร้อยคู่เหยียบกระแทกพื้นปั้บๆๆ เสียงนกหวีดที่แสนคุ้นเคยปลุกความรู้สึกเดิมๆ ให้กลับมาอีกครั้ง กองร้อย 101 ที่มาถึงยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ต้องรีบวิ่งไปเข้าแถวตามหมวดหมู่อย่างว่องไวเมื่อได้ยินเสียงครูฝึกตะโกนลั่น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความกระชับฉับไว

     

    นักเรียนหมู่สี่ตั้งแถวเรียงกันเหมือนอย่างทุกทีท่ามกลางแดดเปรี้ยงและฝุ่นดินแดงที่ลอยคลุ้งไปทั่ว ความร้อนจากดวงอาทิตย์เริ่มทำให้ผิวแดงและแสบ มาถึงยังไม่ทันไรก็เจอกับครูฝึกที่ไม่อยากเจอซะแล้ว

     

    ปรี๊ดดดดดดดดดดด!!

     

    “หมอบ!!!

     

    พอคำสั่งหมอบดังขึ้นทุกคนก็รีบนอนหมอบลงกับพื้นทันทีทั้งที่เป้ยังคาหลัง ใบหน้าโหดเหี้ยมของชายผิวคล้ำยิ่งตอกย้ำถึงความอำมหิต แบคฮยอนแอบชำเลืองตัวขึ้นมองครูฝึกตัวหนาเจ้าของสมยานาม จ่านรกที่ยืนอยู่ตรงหน้าเล็กน้อย เสียงล่ำลืออันเลื่องชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและไร้ความปราณีของเขาถูกบอกเล่าปากต่อปากสู่นักเรียนรด. ทุกยุคทุกสมัย

     

    ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือหลอก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว

     

    “ลุกขึ้น!!

     

    “เฮ้!!

     

    “หมอบ!!

     

    “เชี่ยไรวะ ยังไม่ทันได้ลุกเลย” ดงโฮบ่นเบาๆ เมื่อตัวเขาถูกสะบัดจากเป้ผลักให้ล้มลง ใบหน้าหมีๆ ย่นลงด้วยความหงุดหงิดใจ ฝุ่นแดงที่ทำท่าจะสงบลงลอยคลุ้งอีกครั้งและมันก็เริ่มเข้าปาก เข้าจมูก

     

    “เมื่อกี้เสียงใคร!! ไอ้คนนั้น! หมู่สี่มึงยืน!!

     

    พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงตะโกนของครูฝึกก็ดังขึ้นพร้อมกับปลายนิ้วอ้วนๆ ที่ชี้มายังนักเรียนหมู่สี่ ดงโฮถึงกับหันมองเพื่อนสีหน้าเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าครูฝึกจะได้ยิน พวกเขากล่าวโทษกันทางสายตาก่อนจะยืนขึ้นช้าๆ ในใจก็ต่างคิดว่าซวยแล้ว หมู่สี่โดนอีกแล้ว กูมาถึงยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกซ่อมอีกแล้ว

     

    “กอดคอลุกนั่งห้าสิบ!!

     

    “เฮ้!!!

     

     

     

     

     

     

     

    “ไอเหี้ยดงโฮ มึงอะปากดี ไอสัส ไงล่ะ โดนเปิดแต่เช้า”

     

    เสียงบ่นงึมงำของสมาชิกหมู่สี่ประจำกองร้อย 101 ดังไปตลอดทางเดินระหว่างฐานฝึกยิงปืนและสนามฝึก จงอินถึงกับต้องเซ็งเมื่อเปิดงานมาค่ายวันแรกก็แจ้งเกิดกันทั้งหมู่ กางเกงเขาเปื้อนดินแดงตั้งแต่หัววันไม่นับรวมการถูกตัดสิทธิ์ให้เป็นหมู่แรกที่ได้กินข้าวก่อน นี่มันโคตรของโคตรวันซวย ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการถูกจ่านรกเขม่นอีกแล้ว

     

    “กูจะรู้ปะล่ะว่าแม่งจะได้ยิน ไอเหี้ย อยู่ตั้งไกล”

     

    “ชีวิตมึงไม่ราบรื่นแล้ว มึงเตรียมตัวไว้เหอะ”

     

    “รีบๆ เดินหน่อย! เร็ว! ใครไปถึงหมู่สุดท้ายมึงพักหมู่สุดท้าย!

     

    คำขู่ของครูฝึกที่เดินอยู่หน้าแถวเรียกให้นักศึกษาวิชาทหารกว่าร้อยชีวิตต้องเร่งฝีเท้า แดดร้อนจัดเริ่มทำให้ผิวแดงไม่นับรวมเหงื่อที่ซึมออกมาเปียกหลังไปหมด แบคฮยอนสะพายปืนก๊อกแก๊กของเขาเดินตามหมู่ข้างหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งหญ้าข้างทางลูกรังที่รกชัฏ

     

     อีกประมาณสองร้อยเมตรพวกเขาก็จะถึงลานฝึกยิงกลางแจ้งแล้ว ซึ่งแบคฮยอนไม่รู้สึกพร้อมเลย เขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาสำหรับการเข้าค่าย ตอนนี้จิตใจของแบคฮยอนอยู่ที่ข้าวเย็นเท่านั้น ตลอดทางที่เดินก็เอาแต่คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลากินข้าวซักที

     

    “แม่ง ร้อนว่ะ...”

     

    “วันนี้เอาที่อุดหูมาไหม”

     

    แรงกอดรัดจากท่อนแขนหนาที่ตวัดโอบรอบคอเรียกคนตัวเล็กให้ต้องละความสนใจออกจากภาพหลอนของอากาศร้อนตรงหน้า แบคฮยอนย่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าหมู่ของเขาพลางส่ายหัวไปมา

     

    “หึ ไม่ได้เอามาอะ ตอนแรกว่าจะมาซื้อที่นี่แต่ไม่รู้ว่ามาถึงจะฝึกเลย”

     

    “ว่าแล้วว่าต้องไม่ได้เอามา” ชานยอลล้วงเอาที่อุดหูสีเหลืองในกระเป๋าเสื้อออกมายัดใส่หูให้แฟนตัวเล็กทั้งสองข้าง ก่อนจะหยิบอีกคู่ออกมาใส่ให้ตัวเองบ้าง เขารู้อยู่แล้วว่าแบคฮยอนต้องลืมแน่ถึงได้พกมาเผื่อแล้วเจ้าตัวก็ลืมจริงๆ

     

    “เอามาเผื่อด้วย?”

     

    “รู้แล้วว่าต้องลืม”

     

    “หัวหน้ามีที่อุดหูอีกปะครับ”  จีฮวานที่ยืนอยู่ด้านหลังแกล้งพูดขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีที่อุดหูอยู่แล้ว เขาหันไปหัวเราะกับเพื่อนจนถูกหัวหน้าหันมามองด้วยสายตาคาดโทษ

     

    ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพชินตาไปซะแล้วกับความใกล้ชิดของลูกหมู่คิตตี้กับหัวหน้ากองร้อย 101 หรือกองร้อยอินทรีย์ ทั้งความเป็นสุภาพบุรุษของพี่หล่อกับมุมที่ไม่ค่อยได้เห็น และความอ้อแอของเจ้าหัวกระเทียมลีบ ชานยอลที่แสนเย็นชาพออยู่กับลูกหมู่ตัวเล็กของเขาแล้วก็อย่างกับกลายเป็นคนละคน แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความขี้เก๊กออกไปได้ และการกระทำของเขาก็ทำให้หัวใจชายโสดทั้งหลายร้อนรุ่มเหลือเกิน เรียกได้ว่าเป็นชายเหนือชายของแท้ ชายที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเองก็อยากได้

     

    “ไม่มี เอามาสองอัน” ชานยอลละอ้อมแขนออกจากต้นคอคนข้างๆ ก่อนจะหันไปตอบลูกหมู่สุดกวนที่กำลังทำหน้ายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเลศนัย ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าจีฮวานต้องการอะไร และชานยอลจะไม่ให้แน่

     

    “ทำไมมีให้แต่ไอ้แบ้กอะ หัวหน้าลำเอียงอะ”

     

    “กูเอามาแค่นี้ ถามจงอินดิมันมีเปล่า” หัวหน้าหมู่สุดหล่อพยักพเยิดหน้าไปทางเพื่อนซี้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชานยอลยังคงรักษาสีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่งเอาไว้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแกล้งทำทีเป็นหาที่อุดหูทั้งที่พกมาแค่สองอัน

     

    “ผมอยากได้ของหัวหน้าอะ หัวหน้าใส่ให้ผมมั่งดิ”

     

    “ก็กูไม่มี มึงให้ไอ้ไคใส่ให้ดิ”

     

    “มา กูเอาตีนอุดให้” จงอินหันมายิ้มเยาะให้เพื่อนตัวกวนประจำหมู่พร้อมกับยกรองเท้าคอมแบทขึ้นถีบตูด เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางเสียงรองเท้ากระทบพื้นหิน ก่อนที่เสียงนกหวีดจะดังขึ้นเมื่อหมู่หนึ่งเดินถึงฐานและนักเรียนรด.ที่เหลือก็ต้องเร่งฝีเท้าวิ่งกันไปให้ถึงสนามยิงเป้าเพื่อฝึกยิงกระสุนจริงเป็นการทบทวน

     

    “ฮ่ะ... ฮ่ะ...” แบคฮยอนหอบแฮ่กทั้งที่เดินมาไม่ได้ไกลเท่าไหร่ อากาศร้อนอบอ้าวและแดดที่แรงยิ่งกว่าโดนย่างไฟก็ทำเขาหอบล้าไปหมด

     

    คนตัวเล็กวิ่งเหยาะๆ ขนาบข้างเพื่อนซี้ตามหมู่ไปจนถึงจุดนั่งพักก่อนเริ่มทำการทดสอบ นักเรียนหมู่หนึ่งเข้าประจำที่ฐานยิงและต่อด้วยหมู่ 2 - 5 ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงซึ่งแดดยังไม่มีทีท่าว่าจะร่ม ทันทีที่สัญญาณธงถูกยกขึ้นเสียงปังๆๆ! ก็ดังไปทั่วสนาม พร้อมกับควันจากปลายกระบอกปืนที่ลอยคลุ้ง

     

    “ร้อนชิบหายเลยวะ” มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก แบคฮยอนเหยหน้าหรี่ตาหลบแดด ใบหน้าชื้นเหงื่อก้มลงซบพิงกับแผ่นหลังเพื่อนสนิทข้างหน้า เขาหยิบเอากระติกน้ำข้างเอวขึ้นมาเขย่าก่อนที่จะต้องถอดใจเมื่อคิดว่าน้ำในกระติกก็คงร้อนไม่ต่างกัน

     

     “มึงไหวปะเนี่ย” คยองซูหันไปถามเพื่อนซี้ที่เอาแต่นั่งพิงหน้าหลบหลังเขาด้วยสภาพไม่ค่อยดีนัก ใบหน้าของแบคฮยอนแดงเห่อ แถมดวงตายังดูเฉอะแฉะอย่างกับคนเป็นไข้

     

    “อือ”

     

    “เดี๋ยวก็ได้ยิงแล้ว ทนหน่อย”

     

    เสียงนกหวีดกับเสียงปืนดังขึ้นสลับกันทุกห้านาที นศท.กองร้อย 101 เริ่มทยอยลุกกันไปเข้าประจำที่ ส่วนคนที่ทดสอบเสร็จแล้วก็ไปนั่งรออยู่อีกฝั่ง แบคฮยอนวางกระเป๋าเป้พิงไว้กับกลุ่มเพื่อนแล้วดันที่อุดหูให้กระชับกับรูเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่ลุกขึ้นเตรียมไปทำการทดสอบแล้ว

     

    อากาศที่ร้อนจัดและความเพลียจากหวัดรวมถึงการไม่ได้เติมอาหารเช้าใส่กระเพาะมาทำแบคฮยอนเพลียจนแทบจะทนไม่ไหว ภาพตรงหน้ามันวูบไหวไปหมดอย่างกับยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮาร่า แต่ก็ทำได้แค่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วนั่งทนต่อไปเพราะเป็นรด.ต้องอดทน และก็ไม่มีใครในนี้สบายทั้งนั้น

     

    ปรี๊ดดดดดด!!

     

    เสียงนกหวีดยาวๆ ดังขึ้นเรียกสมาชิกหมู่สี่ให้ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งไปยังฐานทดสอบยิงปืน แบคฮยอนเป็นคนแรกที่ยิงของวันนี้ เขานอนหมอบตัวลงบนผ้ายางสีเขียวข้างแฟนหนุ่มที่แอบส่งยิ้มเล็กๆ มาเป็นกำลังใจให้ก่อนจะชักคันท้าย รับกระสุนมาบรรจุใส่รังเพลิง

     

    “ตั้งใจนะ”

     

    พรึ่บ!

     

    ธงสีขาวโบกสะบัดเป็นสัญญาณยิง แบคฮยอนเหนี่ยวไกลยิงเหมือนทุกครั้ง เสียงปืนดังปิดติดต่อกันปั้งๆๆๆ! แต่ไม่ได้ออกมาจากกระบอกปืนเขา คนตัวเล็กพยายามจะเหนี่ยวไกลอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระทั่งเสียงปืนรอบสนามเงียบลงแล้ว ซึ่งนศท.แบคฮยอนยังไม่ได้ยิงเลยสักนัดเดียว

     

    “เอ้า”

     

    “เป็นไรอะ” ชานยอลดูเหมือนจะสังเกตเห็นได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับปืนของลูกหมู่ เขาเห็นแบคฮยอนพยายามดึงนั่นดึงนั่นนี่ยึกยักพร้อมทั้งขมวดคิ้วนิ่วหน้า ทั้งที่ยังไม่ได้เปิดห้ามไกรด้วยซ้ำ

     

    “ปืนมันยิง...”

     

    ปั้ง!!!

     

    เสียงปืนลั่นดังปัง! พูดยังไม่ทันขาดคำแบคฮยอนก็ทำปืนลั่นทั้งที่ครูฝึกยกธงสั่งหยุดยิงแล้ว ทุกคนในสนามต่างหันมามองกันเป็นตาเดียวก่อนที่เสียงเป่านกหวีดจะดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงตะโกนของครูฝึกที่ยืนคุมการทดสอบอยู่ด้านหลัง

     

    “ใครยิง!! เมื่อกี้ใครยิง!!

     

    “เชี่ย” แบคฮยอนถึงกับหน้าเหวอ เขารีบหันไปมองหัวหน้าเป็นเชิงความช่วยเหลือก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนยกมือทันทีก่อนที่มันจะทำให้ครูฝึกอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ “ผ... ผมเองครับ ปืนมันลั่น”

     

    คนตัวเล็กกล่าวด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทางของแบคฮยอนอย่างกับไก่ตื่นสนามเมื่อทหารจ่าท่านหนึ่งเดินย่างเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

     

    “ปืนมันลั่นได้ยังไง! ไม่ได้ทำตามที่บอกหรอ! ไอ้ห่านี้! มึงไม่เห็นครูฝึกหรือไง แล้วหัวหน้าทำไมมึงไม่ดู!” ครูฝึกร่างใหญ่เจ้าของฉายา จ่านรกตะโกนเสียงดังเกรี้ยวกราดไปทั่วสนาม นักศึกษาวิชาทหารทั้งกองร้อยถึงกับต้องหุบปากเงียบ ทุกสายตาจับจ้องมายังที่ตัวต้นเหตุเป็นตาเดียว

     

    แบคฮยอนกลืนก้อนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ ใจเขาได้แต่คิดว่าซวยอีกแล้ว กูซวยอีกแล้ว มาถึงวันแรกยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนแล้ว แถมยังเป็นเรื่องร้ายแรงซะด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าจะต้องโดนหนักขนาดไหน

     

    “ทำอะไรกันไม่รอบคอบ! ถ้ามีคนโดนยิงตายขึ้นมามึงทำไง! ถ้าไปโดนลูกคนอื่นเค้ามึงทำใช้ได้ไหม!

     

    “...........”

     

    บรรยากาศตึงเครียดกระจายตัวไปโดยรอบ หัวหน้าหมู่สี่เองก็ดูหน้าเครียดไม่แพ้กัน แต่วินาทีนี้คงไม่มีใครช่วยแบคฮยอนได้แม้แต่ชานยอลเอง

     

    “เดี๋ยวหมู่สี่มึงอยู่กันก่อน อยู่กันทั้งหมู่” ครูฝึกในชุดทหารชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าและหัวหน้ากองร้อยก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้คนที่ยิงปืนเสร็จแล้วลุกออกจากแถว

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกยกเอาภูเขาทุ่มใส่หัว ทั้งกลัวความผิดและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน ดวงตาเรียวรีเหลือบไปมองแฟนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัวพลางย่นคิ้วทำสีหน้าเป็นกังวลเหมือนต้องการจะขอโทษก่อนที่จะรีบเดินย้ายตัวเองออกจากสนามไปเพื่อให้คนอื่นได้เข้ามายิงต่อ

     

    ไม่มีคำพูดใดระหว่างกัน แบคฮยอนได้แต่เดินหน้าจ๋อยไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่อยู่อีกฝั่ง มาถึงวันแรกเขาก็ทำให้เพื่อนเดือดร้อนซะแล้ว แบคฮยอนไม่สบายใจเลยและที่เขากังวลยิ่งกว่าคือกลัวว่าชานยอลจะโกรธ

     

    มันเพราะแบคฮยอนอีกแล้ว เขาทำตัวไม่ได้เรื่องอีกแล้ว และชานยอลก็ต้องซวยอีกแล้ว...

     

    “เชี่ย นี่มันวันเหี้ยไรวะ เมื่อเช้าก็ไอ้ดงโฮ ตอนนี้มึงอีก” อินซองบ่นพึมพำพลางส่ายหัวไปมา ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวโทษเพื่อนร่วมหมู่ตัวเล็กแต่อย่างใด มือหนาวางลงบนบ่าคนด้านหน้าราวกับต้องการจะปลอบใจเมื่อได้เห็นสีหน้าจ๋อยๆ ของเจ้าตัว

     

    ถึงจะโทษกันไปมันก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดีเพราะสุดท้ายก็ต้องรับโทษร่วมกันทั้งหมู่

     

    “เหี้ย กูไม่ได้ตั้งใจ มันยิงไม่ออกจริงๆ นะเว้ย มึงว่าจะโดนหนักไหมวะ” แบคฮยอนหันไปนิ่วหน้าใส่เพื่อนร่วมชั้นที่ดูจะเซ็งไม่แพ้กัน เขาเห็นจงอินกับชานยอลและลูกหมู่ที่เหลือกำลังเดินมาเมื่อการทดสอบยิงปืนของหมู่สี่เสร็จสิ้น

     

    ท่ามกลางอากาศร้อนจัดแบคฮยอนนึกอยากจะวาร์ปหายตัวไปเฉยๆ ซะตอนนี้เลย เขาไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับอะไรทั้งนั้น

     

    “อิโล้น อิสัส” จงอินเดินมาถึงยังไม่ทันได้นั่งก็หันไปด่าเพื่อนตัวเล็กที่ทำให้คนในหมู่ซวยตั้งแต่เช้า เขาทิ้งก้นนั่งลงด้านหลังเพื่อนสนิทพลางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออยากนึกเซ็ง หินลูกเล็กถูกหยิบขึ้นปาใส่คนข้างๆ ที่ยังเอาแต่นั่งทำหน้าจ๋อยสำนึกผิดอยู่

     

    “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ”

     

    “ช่างแม่ง ยังไงก็โดนด้วยกันหมดอยู่ดี”

     

    “เชี่ยเอ้ย อะไรก็ได้ ขออย่าหักคะแนนพอ” ชานซองบ่น

     

    “มึงโดนลากเลือดแน่ นั่นจ่านรกนะเว้ย”

     

    เสียงบ่นถึงความโหดที่เลื่องชื่อของจ่านรกยิ่งกดดันแบคฮยอนให้รู้สึกแย่ คนตัวเล็กหันไปมองแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลด้วยสายตาที่แสนรู้สึกผิด ทว่าชานยอลก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ส่งยิ้มที่ไม่รู้ความหมายมาให้ก่อนจะหันไปมองเพื่อนคนอื่นๆ ซ้อมยิงปืนต่อ

     

    ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่ง และแววตานิ่งสงบ ไม่มีใครรู้ว่าชานยอลคิดอะไร และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนยิ่งรู้สึกผิดเหลือเกิน เขาคงโทษตัวเองถ้าทำให้หัวหน้าหมู่ถูกหักคะแนนอีกรอบ

     

    วันแรกของการฝึกรด. ปีที่ 3 ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพร้อมกับการลงโทษที่ไม่มีใครคาดคิด!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     “ผมจะไม่ทำปืนลั่นอีกแล้วครับ! ผมจะไม่ทำปืนลั่นอีกแล้วครับ!

     

    “วิ่งไป!! วิ่งไป! อย่าหยุด! ตะโกนให้มันดังๆ หน่อย!!

     

    ท่ามกลางสนามฝึกดินแดงกลางแจ้ง นักศึกษาวิชาทหารหมู่ 4 กว่า 11 ชีวิต กำลังวิ่งแบกปืนวนไปรอบๆ สนามพร้อมกับตะโกน ผมจะไม่ทำปืนลั่นอีกแล้วครับ  ซ้ำไปซ้ำมาโดยมีสายตานับร้อยของเพื่อนร่วมกองมองอยู่ตลอด ไรฝุ่นแดงคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทุกครั้งที่รองเท้าคอมแบทกระแทกลงกับพื้น

     

    เป็นเวลากว่า 10 นาทีแล้วที่พวกเขาวิ่งวนกันอยู่กลางแดดโดยมีเป้าหมายคือ 50 รอบสนาม แบคฮยอนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องหอบแฮ่กหลังจากที่วิ่งวนไปแล้วกว่าห้ารอบ ขาเขาล้าจนแทบก้าวไม่ไหว เท้าเจ็บไปหมด รู้สึกเหมือนจะวูบล้มลงทุกครั้งที่เงยหน้าถ้าไม่ติดว่ายังเห็นเพื่อนวิ่งกันอยู่

     

    ในหมู่ 4 ที่เต็มไปด้วยนักกีฬาของโรงเรียนแบคฮยอนกลายเป็นคนเดียวที่อ่อนที่สุด เขาเห็นสายตาของดงโฮและชานซองมองมาทุกครั้งที่วิ่งผ่านด้วยความเป็นห่วง แดดร้อนเปรี้ยงขับเหงื่อไหลอาบชุ่มแผ่นหลัง จังหวะเท้าของแบคฮยอนเริ่มเอื่อยลงเรื่อยๆ ขณะที่เพื่อนยังวิ่งกันได้ปกติ

     

    “แฮ่ก... แฮ่ก...”

     

    “เอ้า! มึงวิ่งดูเพื่อนมั่งสิวะ! ไปไม่พร้อมกันเดี๋ยวมึงวิ่งอีกรอบนะ!

     

    เสียงจ่านรกตะโกนใส่โทรโข่งดังไปทั่วสนาม แบคฮยอนกลืนก้อนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ เขาพยายามฝืนใจให้วิ่งต่อทั้งที่ก้าวขาแทบไม่ออก ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนลางลงทุกที แต่พอคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนเดือดร้อนแถมยังเป็นตัวถ่วงมันก็หยุดไม่ลงแม้จะเหนื่อยใจแทบขาด

     

    ใบหน้าหวานเหยเกด้วยความทรมานจากเท้าที่ถูกเสียดสีจนเจ็บ ไหนจะอาการกระหายน้ำ แบคฮยอวิ่งโซเซไปได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดล้มลงนั่งคุกเข่ากับพื้น วินาทีนั้นหูเขาดับอื้อไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งเสียงฮือฮาของเพื่อนๆ

     

    “อึก...”

     

    ทั้งเหงื่อและน้ำตาเริ่มไหลออกมาอาบใบหน้าเมื่อร่างกายมาถึงจุดที่มันเกินทน แบคฮยอนใช้แขนที่สั่นเทายันร่างของเขาให้ลุกยืนขึ้นแต่ก็ไม่สามารถหยัดหลังให้ตรงได้เพราะอาการจุกในท้อง

     

    สองมือวางเท้ายันกับเข่า มือบางจิกขยุ้มกางเกงแน่น มองเห็นเพียงแค่เชือกรองเท้าที่หลุดลุ่ยของตัวเองผ่านม่านน้ำตา ในใจได้แต่นึกเจ็บแค้นตัวเองที่ก้าวขาวิ่งต่อไปไม่ได้ในขณะที่เพื่อนยังเหนื่อยกันอยู่ แบคฮยอนไม่รู้แล้วว่าเขาทำผิดอะไรหนักหนาทำไมถึงต้องโดนซ่อมขนาดนี้ มันคงดีกว่าถ้าครูฝึกไล่เขากลับบ้านไปซะ

     

    “ฮึก...”

     

    ท่ามกลางความเงียบ สายตานับร้อยคู่จับจ้องไปยังนักเรียนทหารตัวเล็กสุดประจำกองร้อยที่เอาแต่ก้มหน้ายืนนิ่งมาพักใหญ่แล้ว อี้ชิงกับคยองซูแทบนั่งไม่ติดพื้น เขาอยากทำอะไรสักอย่างตอนนี้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้

     

    “เชี่ย... แม่งโหดไปปะวะ มันไม่ไหวแล้วนะเว้ย”

     

    “มันไม่สบายมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่อ่อ”

     

    “อึก...”

     

    เสียงสะอื้นยังคงดังให้ได้ยินเบาๆ แบคฮยอนนึกสมเพชตัวเองที่เอาแต่ยืนนิ่งเป็นเป้าสายตาให้คนอื่น ใจยังสั่งให้ร่างกายวิ่งแต่ขามันก้าวไม่ออกแล้ว เขาได้แต่ยืนร้องไห้ด้วยความเจ็บใจและตัดพ้อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ขาทั้งสองข้างสั่นเทาจนแทบจะยืนไม่ไหว แม้แต่จะขยับปลายเท้าก็ทำได้ยากเหลือเกิน

     

    “ไหวไหม ไม่เป็นไร อีกนิดเดียว”

     

    เสียงทุ้มแสนคุ้นหูที่ดังมาจากด้านข้างเรียกคนตัวเล็กให้ต้องตั้งสติอีกครั้ง ชานยอลรีบวิ่งมาหยุดดูอาการแฟนเขาในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เมื่อทุกคนเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว

     

    “อีกนิดเดียวนะ ทนหน่อย” คนตัวสูงก้มลงคุกเข่าผูกเชือกรองเท้าคอมแบทที่หลุดลุ่ยให้แฟนตัวเล็กท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ทั้งกองร้อย ใบหน้าคมนิ่งสนิท เม็ดเหงื่อไหล่หยดจากปลายจมูกและคาง

     

    เขามัดเชือกรองเท้าทั้งสองข้างให้แน่นก่อนจะลุกขึ้นจับแขนเล็กๆ คล้องคอพร้อมทั้งใช้มือยึดประคองเอวบางแล้วพยุงร่างอีกฝ่ายให้ค่อยๆ ก้าวไปด้วยกันแม้ว่าคนตัวเล็กจะแทบไม่ขยับตัวแล้วก็ตาม

     

    แววตาของหัวหน้าหมู่นิ่งสนิท ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเก็บซ่อนอารมณ์ไว้มากมาย ชานยอลรู้ว่าครูฝึกจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะพอใจ และมันไม่มีวิธีไหนที่จะหยุดได้

     

    “ฮึก... ขอบคุณนะ...”

     

    “ไม่เป็นไร”

     

    ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!

     

    “เอ้า พอๆๆ! แหม ให้วิ่งแค่นี้จะตาย เข้ามา แล้วคราวหลังดูกันให้ดีด้วย ลูกปืนมันไปโดนใครตายไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย! มึงแบกกันกลับกองพันไปด้วย!

     

    เมื่อเสียงครูฝึกประกาศให้พอเพื่อนนักเรียนที่นั่งลุ้นกันจนตัวโก่งอยู่ข้างสนามก็ถอนหายใจโล่งอกไปตามๆ กัน สมาชิกในหมู่ที่กระจายตัวอยู่รอบสนามรีบวิ่งไปดูเพื่อนของเขาด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่มีคำสั่งยกเลิกแบคฮยอนก็ถึงกับล้มพับลงกับสนามจนจงอินต้องเข้าไปช่วยประคองปีกอีกข้าง คยองซูเองก็รีบวิ่งออกจากที่นั่งเหมือนกัน

     

    “มึงเป็นไงมั่งวะ ไหวปะเนี่ย” อินซองรีบยื่นกระติกของตัวเองให้เพื่อนตัวเล็กทันที สถานการณ์ดูวุ่นวายไปหมด แบคฮยอนถูกหามเข้าที่ร่มด้วยสภาพอ่อนปวกเปียก ใบหน้าเซื่องซึมนองไปด้วยคราบน้ำตาและหยาดเหงื่อ ดูท่าทางเขาจะเดินกลับกองพันไม่ไหวแล้ว

     

    “มึงเดินกลับไหวปะเนี่ย” จงอินใช้ผ้าพันคอของเขาช่วยพัดให้จนมือเป็นระวิง ใบหน้าคล้ำแดดนิ่วลงด้วยความไม่พอใจ ถึงแม้ว่าจงอินจะไม่ชอบใจที่ถูกลงโทษนักแต่เขาก็ไม่ชอบสิ่งที่ครูฝึกทำกับแคฮยอนมากกว่า การลงโทษแบบนี้มันชักจะเกินไปแล้ว

     

    “ไม่เป็นไร ให้มันขึ้นหลังกู” ชานยอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไปออกไปจากกลุ่มเพื่อน ปล่อยให้ลูกหมู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจ

     

    สายตาไม่สบอารมณ์ของชานยอลสื่อให้เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนแม้เจ้าตัวจะพยายามเก็บอาการไว้ก็ตาม

     

    “เชี่ยเอ้ย เป็นเรื่องตั้งแต่วันแรก”

     

    “หัวหน้าแม่งโคตรรักแฟนเลย”

     

    อูมินว่าพลางส่ายหัวไปมา เขาปลายตามองดูสภาพสิ้นแรงของน้องนุชหมู่สี่แล้วก็ได้แต่นึกยอมใจกับความมีสปิริตของหัวหน้า ชานยอลช่างเป็นคนที่พึ่งพาได้จริงๆ และแบคฮยอนก็คงไม่ต้องการใครอีกหากยังมีชานยอลอยู่ที่นี่

     

    “อึก...”

     

    “แล้วมันไปไหนวะ”

     

    “ไปหาน้ำเย็นมั้ง”

     

    “รอบนี้ครูฝึกแม่งเล่นแรงว่ะ เค้าไม่เห็นไงวะว่ามันไม่ไหวแล้วอะ” จงอินสบถอย่างนึกหัวเสีย เขาไม่ชอบกับสิ่งที่ครูฝึกทำเกินเหตุ แบคฮยอนไม่ได้เป็นทหาร เขามาเรียนวิชาทหารแล้วก็ไม่ได้เป็นนักกีฬาเหมือนคนอื่นด้วย

     

    “เหี้ย เค้าไม่หยุดหรอกจนกว่าเค้าจะเห็นว่ามึงไม่ไหวอะ ก็จ้องเล่นงานมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

     

    “แล้วพรุ่งนี้จะเป็นไงวะเนี่ย”

     

    “มึงเตรียมตัวตายเลย แค่วันแรกก็งอมขนาดนี้ มึงไม่ต้องนึกถึงพรุ่งนี้เลย”

     

    “แม่งเชี่ยไรวะเนี่ย...”

     


    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    การฝึกวันแรกของค่ายปี 3 ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทบทวนยิงปืนด้วยกระสุนจริง หลังจากทำพิธีส่งเข้ากองพันแล้วก็เหลือเวลาพักอีกมากมาย ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าๆ แล้ว แบคฮยอนเพิงฟื้นตัวหลังจากที่นอนง่อยเป็นผักเน่ามาเกือบสองชั่วโมง ขาที่ล้าจนแทบขยับไม่ไหวกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติอีกครั้ง

     

    ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว คนตัวเล็กกัดขนมปังไส้ไก่ในมือพลางกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอ่อนๆ ตอกย้ำถึงสภาพร่างกายที่แสนโรยรา การฝึกภาคสนามที่แสนจริงจังทำแบคฮยอนน่วมไปหมด นี่ขนาดแค่เพิ่งมาถึงวันแรก ไม่ต้องเดาเลยว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง

     

    “มึงไม่ไปแดกข้าววะ จะได้อิ่มๆ” คยองซูเดินมานั่งลงข้างหน้าเพื่อนตัวเล็กพร้อมกับโยนขนมปังกับนมเปรี้ยวองุ่นใส่ตัก เขาบิดฝาเปิดขวดน้ำดื่มกระดกลงคอด้วยความกระหาย วันนี้แบคฮยอนไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้าเขาน่าจะกินอย่างอื่นบ้างนอกจากขนมปัง

     

    “ยังกินไม่ลงว่ะ กูจุก”

     

    “ขาเป็นไงมั่งอะ”

     

    “แม่งชาขึ้นมาถึงตูดกูเลย” คนตัวเล็กบ่นเสียงจ๋อย เจ้าหัวกระเทียมที่แสนซวยได้แต่มุ่ยหน้าบ่นพลางเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ “อิจ่านรกมันเกลียดอะไรกูปะวะ มาถึงก็โดนๆๆ ซ่อมอย่างกะกูไปฆ่าคนตาย แม่ง ทำไมอะไรๆ ก็กูตลอดเลยวะ โดนผีหลอกก็กู ตกน้ำก็กู โดนซ่อมก็กูอีก”

     

    คิ้วเรียวขมวดย่นด้วยความหงุดหงิดใจ แบคฮยอนนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองไปทำกรรมอะไรไว้ เขายังจำความรู้สึกได้ดีตอนที่ขามันล้าจนก้าวไม่ออกได้ ตอนนั้นในหัวเขาเอาแต่คิดว่าขาต้องเป็นอัมพาตแน่เลย ต้องเดินไม่ได้ตลอดชีวิต เพื่อนต้องโดนซ่อมจนตายแน่ ทุกอย่างมันหลอนไปหมด สติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย นึกอะไรได้ก็กลัวไปหมดแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างกับคนบ้า

     

    มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอด...

     

    “ดีชานยอลมันยังแบกมึงกลับกองพัน”

     

    “เออ กูรู้สึกตัวนะแต่ตอนนั้นคิดไรไม่ออกอะ กูหลอนแบบกูคิดว่ากูต้องตายแน่ กูต้องเดินไม่ได้ แล้วเพื่อนก็วิ่งกันจนเย็นอะ มันหลอนเลยนะเว้ยแล้วก็คิดแต่แบบ เมื่อไหร่จะถึงสักทีๆ ชานยอลแบกกูข้ามเขาสามลูกแล้วไรเงี้ย”

     

    “อิดอก กูว่ามึงหลอนเพราะขาดน้ำและ” จางอี้ชิงที่เดินมานั่งลงข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างนึกขันกับอาการประสาทหลอนของเพื่อนซี้ เมื่อสองชั่วโมงก่อนแบคฮยอนทำอย่างกับตัวเขาจะตายแล้วก็เอาแต่ร้องไห้จนเพื่อนเป็นห่วง เรียกได้ว่าทำเอาครูฝึกหน้าเหวอไปเลยทีเดียว

     

    “มึง มันเหนื่อยมากจริงๆ นะเว้ย เหนื่อยเหมือนใจจะขาดอะ ทั้งเหนื่อยทั้งหลอน หูกูไม่ได้ยินไรเลย ใจมันคิดอีกอย่างแล้วก็คิดอยู่อย่างงั้นอะแต่ร่างกายกูคือไม่ไหวแล้ว” เจ้าตัวอ้อแอ้นิ่วหน้าว่าออกไปเสียงอ่อย แบคฮยอนอยากสู้จริงๆ เพราะเขารู้สึกผิดมากแล้วตอนนั้นก็เอาแต่คิดว่าเพื่อนต้องโกรธแน่ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย

     

    “แต่ครูฝึกแม่งทำเกินเรื่องจริงอะ ถ้ามึงเป็นลมนี่ฟ้องพ่อได้เลยนะเว้ย” คยองซูว่า

     

    “แต่ชานยอลแม่งหน้าโคตรเหวี่ยงอะ กูไม่เคยเห็นแม่งทำหน้าไม่พอใจใครขนาดนี้เลย แม่งไม่พูดกับใครแล้วก็เดินๆๆ ขนาดจงอินแม่งยังไม่กล้าอะ มึงเห็นปะ” อี้ชิงหันไปชี้นิ้วถามเพื่อนข้างๆ พร้อมกับตบมือลงกับหน้าขา เขายังจำสีหน้าของชานยอลตอนที่เขาแบกแฟนกลับกองพันได้เลย แล้วทุกคนก็เอาแต่พูดกันว่า อย่าไปยุ่งกับชานยอล

     

     “เออๆ กูเห็น หน้ามันหงุดหงิดจริง”

     

    “จริงอะ” คำบอกเล่าของสองเพื่อนรักทำคนตัวเล็กฟังแล้วอดเขิน แบคฮยอนยิ้มกริ่มพลางเหลือบตาไปมองพี่หล่อที่กำลังถูกพูดถึงซึ่งนั่งยกเท้าพาดเข่าพิงหลังเล่นมือถืออยู่บนเก้าอี้ไม่ไกล

     

    ใบหน้าของชานยอลในยามตั้งใจทำอะไรบางอย่างยิ่งขับให้เขาดูดี ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า สายตา ท่าทางหรือแม้แต่มือใหญ่ๆ ที่จับโทรศัพท์เครื่องเล็กเอาไว้ก็ทำให้ใจสั่นได้

     

    อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมาเฉยๆ หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับอีกฝ่ายเองก็รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่

     

    ชานยอลหันไปมองแฟนเขาพร้อมกับกระตุกยิ้มเล็กๆ ขึ้นที่มุมปากก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม ทำเอาเจ้าหัวกระเทียมแทบระเบิดตัวด้วยความเขิน ริมฝีปากบางเม้มแน่น หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งและอีกครั้ง ถึงจะคบกันมานานแล้วแบคฮยอนก็ยังหยุดเขินชานยอลไม่ได้สักที และเขาก็ไม่เคยชินกับรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ใจสั่นได้ตลอดเลย

     

    “แหวะ หมั่นไส้”

     

    ภาพการส่งซิกลับๆ ของสองคู่รักที่คิดว่าไม่มีใครเห็นทำอี้ชิงถึงกับต้องเบะปากมองบน ยิ่งเห็นเพื่อนตัวเล็กก้มหน้าซบกับฝ่ามือ ทำท่าทีเขินอายเหมือนเด็กสาวก็ยิ่งหมั่นไส้ อี้ชิงนึกอยากจะจับเพื่อนเขาขยี้แล้วกลืนลงท้องไปเลย ชานยอลจะได้ไม่มีแฟน แล้วก็ไม่ต้องทำตัวน่าหมั่นไส้อีก

     

     “เขินอะ” แบคฮยอนถึงกับกลั้นยิ้มไม่ไหว มือบางยกขึ้นปิดหน้าด้วยความเขิน หัวใจเขายิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าวันนี้แฟนหนุ่มทำอะไรให้บ้าง

     

    ชานยอลยังเป็นที่พึ่งพาได้เสมอสำหรับทุกคน และเขาก็ทำให้แบคฮยอนวางใจได้ตลอดไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ พอนึกแล้วมันก็อย่างกับฝันเลย

     

    “เป็นเหี้ยไร มึงคบมันมาขนาดนี้ยังเขินอยู่อีกแงะ”

     

    “ก็มันเขินอะ กูหยุดไม่ได้ แบบเวลาเห็นมันทำไรหล่อๆ ก็เขิน ไม่เคยเป็นอ่อ ชอบมันแล้วก็ชอบอีกอะ” ว่าแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าปริ่มสุขทำเอาเพื่อนซี้ถึงกับดึงหน้าเหม็นเบื่อ ฟันข้าวโพดขบลงกับริมฝีปากแน่น

     

    แบคฮยอนไม่เคยเลิกเขินชานยอลเลย ไม่ว่าจะได้รับสิ่งดีๆ จากผู้ชายตรงหน้ามากแค่ไหน หัวหน้าเคยเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่เสมอต้นเสมอปลาย และแบคฮยอนก็ยังชอบแอบมองเขาจากข้างหลังเหมือนเดิม มองดูคนที่ตัวเองชอบทำบางสิ่งบางอย่าง แล้วก็เขินทุกครั้งที่อีกฝ่ายหันมามอง

     

     อย่างกับตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชอบแล้วก็ชอบได้อีกแล้วก็ไม่เคยชินเลยสักที

     

    “แต่หัวหน้าแม่งหล่อจริงว่ะ ผูกเชือกรองเท้าให้แฟนกลางสายตาครูฝึกแล้วแบบเพื่อนทั้งกอง แม่งไม่แคร์เลย” คยองซูหัวเราะหึ เขายอมใจหัวหน้าจริงๆ ชานยอลไม่สนเลยว่าคนอื่นจะมองยังไง แล้วก็ไม่เคยอายที่จะแสดงความรักให้ใครเห็นด้วย

     

    “หล่อจนกูรำคาญอะ ทำเหี้ยไรก็หล่อไปหมด ยืนหายใจเฉยๆ ก็หล่อ อีดอก” อี้ชิงหัวเราะขำ

     

    ท่ามกลางเสียงสนทนาของเพื่อนรัก แบคฮยอนที่เขินจนหดคอเป็นเต่าก็เงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ ดวงตาเรียวรีชำเลืองขึ้นมองหัวหน้ากองร้อยที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าของชานยอลจากมุมข้างเผยให้เห็นสัดส่วนที่ลงตัวทั้งปลายจมูกโด่งๆ และสันกราม เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบจนแม้แต่แบคฮยอนก็ยังอิจฉาในบางที ไหนจะรอยยิ้มชวนฝันนั้น

     

    ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความหล่อเหลา คนที่เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองก็หันมา ดวงตาสองคู่สบกัน แบคฮยอนส่งยิ้มเล็กๆ ให้แฟนเขาพร้อมกับทำมือเป็นรูปหัวใจมินิฮาร์ทส่งไปให้

     

    ชานยอลที่ได้เห็นท่าทีแสนน่ารักนั้นถึงกับต้องหัวเราะออกมา เขาคว้ามินิฮาร์ทกลางอากาศแล้วจับมันเข้าปากก่อนกระตุกยิ้มแสนขี้เก๊กขึ้นจางๆ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเอง

     

    หัวใจของแบคฮยอนเริ่มเต้นแรงอีกครั้งและอีกครั้ง ไม่ว่าเมื่อไหร่หัวหน้าก็ยังทำให้เขาใจสั่นได้เสมอ...

     

    กับการเข้าค่ายรด.ปี3 ที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีกหลายวันข้างหน้า ขอแค่มีหัวหน้าหมู่อยู่ตรงนี้แบคฮยอนก็ดีใจแล้ว เพราะไม่มีที่ไหนที่ทำให้เขารู้สึกไปได้มากกว่าพื้นที่ข้างๆ ชานยอลอีกแล้ว...

     


     <3

     

     





    #แม่บ้านทหารบกcb



     

     

     

    คุณพี่ช่วยอ่านตรงนี้นิดนึงจ๊ะ คือว่าตอนแรกเราตั้งใจจะลงภาครด. ม.6 เป็นตอนยาวสักสองหมื่นคำให้จบไปเลยทีเดียวแต่ไม่รู้ทำไมตอนเดียวก็ล่อไปเจ็ดพันเฉย... ก็เลยตามเลยค่ะ เอ็นจอยรีดิ้งฟหกงสฟหกกอิวร่ฟเดวากหิ่อฟ่ากหสเหวสกาด่ฟ้วาห่กด้ว่าหก  ฟหกดฟหกดส่ากสวด ค่ะ

     

     




      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×