ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #4 : Catch me if you can (ft.toben) #1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.86K
      311
      27 ก.ย. 60

     
     
     
     
     
     

    ‘รหัสแดง รหัสแดง ห้องเก็บเงินถูกปล้น ปิดทางเข้าให้หมด!’

    ภายในตึกสูงลิบฟ้า เสียงไซเรนร้องดังสนั่นไปทั่วทั้งอาคาร ผู้คนและหน่วยปฏิบัติการชุดดำวิ่งสวนกันให้ควั่ก

    กลุ่มควันที่ลอยขึ้นแตะเพดานทำให้สปริงเกอร์ทั้งชั้นทำงาน ชายชุดดำที่สะพายกระเป๋าเป้ใบโตวิ่งลงไปตามทางหนีไฟอย่างรวดเร็ว เขากระโดดข้ามรั้วกั้นบันไดลงไปชั้นต่อชั้นอย่างว่องไว ก่อนที่เสียงประตูจะถูกถีบออกดังปัง!

    หน่วยปฏิบัติการพิเศษวิ่งตามหัวขโมยชุดดำไปอย่างไม่ลดละ พวกเขาวิ่งลงไปจนถึงชั้นที่มีหน้าต่างระบายอากาศบานเล็กและพบว่ามันถูกเปิดออก ชายที่สวมโม่งสีดำคลุมหน้าชะโงกหน้าลงไปดูและพบว่าหัวขโมยของพวกเขาห้อยเชือกโหนตัวลงหน้าต่างไปแล้ว

    “ลงไปๆ!!” เจ้าหน้าที่ปฏิบัตรการส่งสัญญาณมือให้เพื่อนร่วมทีมวิ่งลงไปดักรอที่ชั้นล่าง จอร์นเตรียมคว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานความเคลื่อนไหวให้กับหัวหน้าหน่วยรับทราบ แต่เขาก็ต้องพบว่าวิทยุสื่อสารได้หายไป

    กำปั้นใหญ่ๆ ทุบลงบนกำแพงด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกไอ้โม่งสีดำจ้องมองลงไปยังหัวขโมยที่กำลังไต่กำแพงอยู่ด้านนอก มันไถลตัวลงไปกับผนังกระจกอย่างไม่กลัวตาย ที่พื้นถนนด้านล่างมีผู้คนนับร้อยมายืนมุงดูกันอย่างกับกำลังรับชมการแสดงพาดโผนรอบพิเศษ


    ‘เป้าหมายลงไปที่ชั้น 30 เป้าหมายลงไปที่ชั้น 30 ทราบแล้วตอบด้วย หนูลงไปที่ชั้น 30 แล้ว ทราบแล้วตอบด้วย!’


    “อ่า... ฉันทราบแล้ว...”


    ครืด...


    เสียงวิทยุสื่อสารดับลงเมื่อการรายงานจบสิ้น ชายวัยกลางคนในชุดสูทได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากในลำคอกับเกมดักหนูสุดระทึกในตึกสูงระฟ้า

    หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมเคาะนิ้วลงบนกระจกเป็นจังหวะ ในขณะที่มืออีกข้างก็หมุนวอเล่นไปด้วย เสียงหัวใจเต้นเป็นตัวนับเวลาถอยหลัง 10 9 8 7 6 5... ช้าๆ

    ‘ปาร์ค ชานยอล’ ยกนาฬิกาข้อมือสุดหรูของเขาขึ้นดูใน 5 วินาทีสุดท้าย และเพียงไม่กี่อึดใจ เกมที่ชายหนุ่มรอคอยก็ได้เริ่มต้นขึ้น


    ‘เพล้ง!!!’


    เสียงกระจกแตกดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อใครบางคนจากด้านนอกกระแทกตัวเข้ามา ‘พยอน แบคฮยอน’ หอบแฮ่ก เขารีบถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนที่จะวิ่งไปยังโต๊ะทำงานตรงกลางแล้วหยิบเอาเสื้อเกราะของหน่วย S.W.A.T ที่ตนเองนำมาซ่อนไว้ออกมาสวม

    จอมโจรสุดบ้าระห่ำสวมหมวกไอ้โม่งสีเขียวเข้มให้กับตัวเอง ก่อนที่จะหันไปเปิดกระเป๋าแล้วย้ายเอาถุงเงินในเป้สีน้ำเงินใส่กระเป๋าเป้ที่เหมือนกับของเจ้าหน้าที่ปฏิบัตรงานทันที ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเงียบเชียบ เมื่อแผนการปลอมตัวเองจากโจรให้เป็นเจ้าหน้าที่สำเร็จ แบคฮยอนก็หยิบปืนของเขาออกมาแล้วสะพายเป้ขึ้นหลังเตรียมหลบหนีทันที

    “จะรีบไปไหนล่ะ...”

    เสียงใครบางคนที่ไม่ได้รับเชิญให้มาร่วมงานหยุดขาเล็กๆ ที่กำลังจะก้าวเดินเอาไว้กะทันหัน แบคฮยอนรีบหันหลังไปมองใครบางคนด้านหลังพร้อมกับยกกระบอกปืนขึ้นตั้งท่าเตรียมยิง 

    ดูเหมือนว่างานนี้จะไม่ได้มีนักแสดงเด่นคนเดียวซะแล้ว... แบคฮยอนหันไปมองรอบตัวด้วยท่าทีสุดระแวง เขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังเมื่อชายในชุดสูทเดินก้าวเข้ามา

    “คุณหนีผมไม่พ้นแล้วที่รัก”

    “ก็ลองดู” จอมโจรที่แสบที่สุดในศตวรรษกระแทกกระบอกปืนใส่ชายตรงหน้า ก่อนที่จะรีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองเจ้าหน้าที่ที่ล้มอยู่ด้านหลัง

    เสียงประตูห้องสำนักงานถูกถีบดังปัง แบคฮยอนวิ่งหนีลงบันไดหนีไฟไปที่ชั้น 19 ทำทีเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่มาคอยช่วยเหลืออพยพคนงาน ก่อนที่จะแฝงตัวไปกับเจ้าหน้าที่ลงลิฟท์ไปยังชั้นล่างสุด

    “อพยพคนกลุ่มสุดท้ายเสร็จแล้ว!” เมื่อลงมาถึงชั้นแรกของอาคารแบคฮยอนก็แสร้งทำเป็นแหกปากใส่วิทยุสื่อสาร เขายืนรอจนกระทั่งเจ้าที่ที่ลงมาด้วยกันย้ายไปดูแลผู้คนตัวเองถึงได้ปลีกตัวไปวิ่งลงบันไดไปที่ชั้นใต้ดินทันที

    “บ้าเอ้ย!” แบคฮยอนโยนวิทยุสื่อสารทิ้งไว้ เขาถอดเสื้อเกราะหนักๆ ออกรวมถึงกางเกงสีดำรุ่มร่ามพร้อมกับเสื้อไหมพรมตัวยาว ก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นรถยนต์คันสีดำที่เปิดประตูเอาไว้


    ปัง!


    “หยุดตรงนั้นแหละแบคฮยอน!”

    เสียงปืนทำให้คนตัวเล็กต้องหมอบลงกับพื้น แต่ไม่ทันต้องรอให้ปืนลั่นเป็นนัดที่สองแบคฮยอนก็รีบวิ่งไปขึ้นรถทันที 

    รถยนต์กันกระสุนคันสีดำพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะถูกยิงตามหลังมาติดๆ จอมโจรสุดแสบหอบหายใจเหมือนวิ่งมาราธอนมาสักรอยเมตร เขาฟุบหน้าลงกับคอนโซลรถด้วยความรู้สึกโล่งใจหลังจากที่หนีกองปฏิบัติการออกมาได้

    ภาพของชายตัวสูงในชุดสูทที่สะท้อนอยู่ในกระจกมองหลังทำคนตัวเล็กถึงกับต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ แบคฮยอนเปิดกระจกรถลง ยื่นมือออกไปแล้วชูนิ้วกลางให้กับหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการสุดหล่อของเขาก่อนที่จะหัวเราะออกมาดังลั่นผสานเคล้ากับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมทีม....




    .

    .

    .




    ใช้เวลาแค่ 60 นาทีจากอาคารที่ทำการปล้นสำเร็จมาจนถึงจุดนัดพบ แบคฮยอนเดินลงจากรถของเขาพร้อมกับกระบอกปืนยาว บนหลังของเขามีเป้ใส่เงินจำนวนหลายสิบล้านเอาไว้

    รถสามคันมาจอดรวมกันที่จุดนัดพบ ต้าฉวนมีกระเป๋าใส่เพชรหลายสิบล้าน เคลวินที่ทองหนักอึ้งเต็มกระเป๋า และแบคฮยอนมีเงินสด

    “เราจะไปกันหรือยัง” หนามชาวจีนว่า ท่าทางของเขาดูลุกลนและเป็นกังวลมาก

    “พวกแกน่าจะเอาเงินใส่รถฉัน แล้วแยกกันหนีไป” เคลวินยิ้มเยาะ

    “พูดอย่างงี้แกหมายความว่าไง”

    “ไม่ต้องพูด พวกนายทั้งหมด ขึ้นรถฉัน” แบคฮยอนชี้ปลายกระบอกปืนไปที่เพื่อนร่วมทีมของเขา แล้วเอียงหน้าไปที่รถตู้สีขาวอีกคันเป็นเชิงบอกว่าให้ทั้งหมดไปขึ้นรถก่อนที่หมาตัวไหนมันจะดมกลิ่นมาถึง

    “ครับผม” เคลวินยกยิ้มพร้อมกับชูมือขึ้นเหนือหัวทำท่าทีสุดกวน ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย ส่วนต้าฉวนก็เดินตามไปติดๆ กับเพื่อนร่วมทีมอีกคน

    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว แบคฮยอนก็เดินไปขึ้นรถตู้สีขาวตรงที่นั่งฝั่งข้างคนขับ และทันทีที่ประตูรถปิดลง รถตู้กันกระสุนก็ขับเคลื่อนออกไปอย่างสงบ ทิ้งให้รถสีดำทั้งสามคันจอดกองรวมกันไว้ก่อนที่มันจะระเบิดตู้มจนเพลิงสีแดงลุกไหม้ และเผามอดหลักฐานทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าธุลี





    .

    .

    .




    “อ่า... เจ็บเป็นบ้า”

    ภายในห้องประชุมบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยปราบปรามอาชญากรรมกำลังนอนเงยหน้าใช้น้ำแข็งประคบจมูกที่ช้ำเพราะโดนด้ามปืนฟาด เขาแต่นอนร้องโอดโอยมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้วถึงแม้ว่าจะมีสายด่วนต่อตรงเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นจบลง

    “ท่านคะ รัฐมนตรีต่อสายมาบอกว่าอยากอ่านรายงานพรุ่งนี้”

    “ผมรู้แล้ว... เขียนไปว่าเราโดนปล้นเงิน 20 ล้าน คลังทองอีก 30 ล้าน เพชรอีก 15 ล้านและเรากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะจับตัวหัวขโมยมาลงโทษ” ชานยอลว่าอย่างไม่ใส่ใจ เขาปิดแฟ้มบนโต๊ะแล้วโยนมันให้กับเลขาชาวผิวสีก่อนที่จะยืนขึ้นหยิบสูทขึ้นมาสวมพร้อมกับเก็บกุญแจรถลงกระเป๋า “ผมฝากด้วยน้า”

    “แล้วท่านจะไปไหนคะ?”

    “ไปจับแมวขโมย...”











    “I know it’s may be late now and I now that I’m taking over I’m a super hero and I can’t take you~”


    บนภูเขาที่ไม่ไร้ซึ่งความเจริญ บริเวณหน้าบ้านพักชั่วคราว หัวขโมย 7 คนกำลังนั่งก่อไฟร้องเพลงกันอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ตรงที่ริมน้ำ 

    หลังจากที่เสร็จภารกิจปล้นครั้งใหญ่แก๊งหัวขโมยไร้ชื่อก็พากันมากลบดานในที่พักเพื่อคิดแผนหลบหนีต่อไป ทุกคนจะหาที่ซ่อนสิ่งของที่ตัวเองปล้นมา ก่อนที่จะพากันหนีไปกลบดานที่ต่างประเทศ ในที่ที่ไม่มีความเจริญ ไร้ซึ่งพวกสายสืบและตำรวจ

    “เอาล่ะ เรามีเวลา 3 วัน ฉันมีเงินสด พวกแกขายของให้ฉันส่วนนึง เอาเงินหนีไป แล้วของพวกนี้เราจะฝังไว้ แล้วกลับมาขุดด้วยกันอีกที” แบคฮยอนใช้กิ่งไม้วาดรูปลงไปบนพื้นดิน เขายกโกโก้ขึ้นซดก่อนที่จะเอนหลังลงนอนบนเก้าอี้ผ้าใบ

    “เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ วันนี้เรายังเหนื่อยอยู่” ไคว่า เขาเฉือนเนื้อหมูที่ถูกย่างทั้งตัวออกมาแล้วเคี้ยวกินด้วยความหิวโหย

    “ก็ได้ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ แล้วพอพรุ่งนี้ตื่นมาเราก็อยู่ในตะราง”

    “ไม่เอาน่า อยู่ที่นี่ใครจะตามหาเจอ นายพูดเอง” 

    “ช่างเถอะ ฉันจะออกไปเดินเล่น” แบคฮยอนวางแก้วโกโก้เอาไว้แล้วหยิบไฟฉายสวมหัวเดินออกจากกองไฟไป ปล่อยให้กลุ่มเพื่อนๆ ที่เอาแต่ปล่อยตัวและทำแต่เรื่องไร้สาระนั่งคุยกันต่อไป

    คนตัวเล็กเดินย่ำเท้าผ่านพุ่มเบอร์รี่เตี้ยๆ ไปเรื่อยๆ ระหว่างทางแบคฮยอนขโมยเบอร์รี่ใส่เต็มกระเป๋าเสื้อกั๊กของเขาจนมันหนักอึ้ง เมื่อเดินออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว เขาก็ปลดตะขอกางเกงและซิปออกเพื่อปล่อยของเสียที่กลั้นเอาไว้

    แบคฮยอนกำลังมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับการปล้นครั้งนี้ และมันทำให้เขาปวดฉี่ตลอดเวลา... 

    ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากเท่าไหร่ร่างกายมันก็ยิ่งตอบสนองด้วยการปวดจิ๊ดจี่มากขึ้นเท่านั้น วันนี้แบคฮยอนปวดไอ้หนูของเขาทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะหลบขึ้นมาบนที่ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยแล้วก็ตาม

    บ้าน่า... อาจจะแค่ตื่นเต้นไปหน่อยเท่านั้นเอง...

    แสก.. แสก...

    เสียงเท้าย่ำลงบนกิ่งไม้และใบไม้แห้งหยุดความคิดของคนตัวเล็กเอาไว้ แบคฮยอนเก็บหนูน้อยของเขาใส่กางเกงแล้วยืนนิ่งเพื่อฟังเสียงย่ำเท้า แต่ทว่ามันก็หายไป...

    ความรู้สึกบางอย่างที่เป็นลางสังหรณ์ของความไม่ปลอดภัยกำลังทิ่มแทงแบคฮยอนจากทางด้านหลัง เขาขยับเท้าเล็กน้อยก่อนที่จะรีบหันหลังไปทันที

    “ผมบอกแล้วว่าคุณหนีผมไม่พ้น”

    ชายใส่สูทหน้าเดิมๆ ที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้อยู่ด้วยท่าเดิมๆ ทำแบคฮยอนแทบหัวใจวายตาย เขายกมือขึ้นทาบอกเพราะคิดว่าจะหันไปเจอกับพวกหน่วยสวาท หรือโดนใครดักฆ่าตายก่อนที่จะได้หลบหนีซะแล้ว

    “นายหาฉันเจอได้ยังไง” คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากัน ริมฝีปากเล็กๆ งอคว่ำแสดงถึงความไม่พอใจ แบคฮยอนยกมือขึ้นกอดอกบ้างเมื่อรู้สึกว่าความลับของตัวเองไม่ปลอดภัย

    “ผมตามหัวใจมา” นายตำรวจหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคอ พลางยื่นมือไปเชยคางเล็กๆ ขึ้นก่อนที่จะขยับเท้าเดินเข้าไปใกล้หัวขโมยที่เอาแต่เล่นซุกซน

    “พูดจริงๆ นายตามฉันมาได้ยังไง”

    “ผมนั่งแท็กซี่มา... เพราะคุณขโมยรถผม แล้วก็ระเบิดมัน ที่ท่าเรือ... รู้ไหมคันนั้นราคาเท่าไหร่” ชานยอลนิ่วหน้าว่าเสียงนิ่ง เขายังจำความรู้สึกได้ดีตอนที่เห็นภาพรถกันกระสุนราคาสิบล้านของตัวเองไหม้เป็นตอตะโกอยู่ที่ท่าเรือ

    “อ้อหรอ งั้นนายมาจับฉันงั้นสิ” คนตัวเล็กโครงหัวไปมาทำท่าทางไม่แยแส แบคฮยอนยกมือขึ้นผลักอกชายตรงหน้าออก ก่อนที่มือของเขาจะถูกรวบเอาไว้


    แกร๊ก...


    เสียงกุญแจมือถูกสับลงบนข้อมือดังแกร๊ก แบคฮยอนเหลือบตาลงมองดูข้อมือของเขาที่ถูกกุญแจเหล็กพันธนาการไว้กับข้อมือของนายตำรวจตรงหน้า ดวงตาเรียวรีกรอกไปมาด้วยท่าทีสุดเบื่อหน่าย

    แบคฮยอนกำลังคิดว่าเขาถูกจับแล้ว แต่เอาไว้ไปคิดหาวิธีหนีเอาทีหลังแล้วกัน ตอนนี้คงต้องรักษาเงินเอาไว้ก่อน

    “ทุกคน!!! หนีไป!!!! ตำรวจอยู่ที่นี่!!! หนีไป!!!!!”

    ชานยอลยืนมองคนรักของเขาแหกปากตะโกนบอกเพื่อนๆ ให้หนีไปด้วยท่าทีสุดเฉยเมย พอแบคฮยอนหยุดตะโกนเขาก็ทำเพียงแค่ยกยิ้มแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสุดกวน

    “เอ้า ผมจะพาคุณไปบอกลากับเพื่อนๆ ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนว่าผมมาจับแค่คุณเท่านั้นแหละ...”




    .

    .

    .




    บนรถประจำตำแหน่งคันหรู แบคฮยอนที่ถูกมัดมือมัดเท้า และมัดตัวติดกับเบาะผู้โดยสารด้านหน้าเอาแต่ขยับยุกยิกไปมาไม่เลิก ในระหว่างทางที่กำลังขับรถกลับ DC ผู้โดยสารตัวจ้อยก็เอาแต่พยายามจะหลบหนี แบคฮยอนทั้งอ้างนู่นอ้างนี่ บอกว่าปวดฉี่บ้างล่ะ อยากเข้าห้องน้ำบ้างล่ะ ปวดเท้าบ้างล่ะ

    เขาพยายามจะกล่อมให้นายตำรวจยอมปล่อยตัวอยู่หลายนาที แต่ว่ามันก็ไม่ได้ผลเลย...

    “นี่นายจับฉันครั้งที่เท่าไหร่นะ” เมื่ออ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายปล่อยตัวได้ไม่สำเร็จ แบคฮยอนก็เปลี่ยนเป็นหาเรื่องชวนคุยแก้เบื่อแทน ตอนนี้เขากำลังนับว่าตัวเองถูกแฟนหนุ่มจับใส่กุญแจมือกี่รอบแล้ว และอีกกี่ครั้งที่เขาหนีออกมาได้ ก่อนที่จะถูกจับเป็นครั้งที่ 3 4 5

    “ผมไม่รู้”

    “นายเป็นตำรวจที่ใจดำมากเลยรู้ไหม นายก็รู้ว่าแม่ฉันป่วย...”

    “แม่คุณไม่ได้ป่วยแบคฮยอน ผมเช็คมาหมดแล้ว”

    “แต่ว่าพ่อฉัน...”

    “พ่อคุณเป็นหัวขโมย และผมจะจับพ่อคุณด้วย ช่วยอยู่เงียบๆ จนกว่าจะถึงโรงพักได้ไหม?” ชานยอลว่าเสียงดุ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครบางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง

    คนตัวสูงถอนลมหายใจออกมาหลายครั้งในระหว่างที่รอให้ปลายสายกดรับสาย เรียวนิ้วยาวเคาะลงกับพวงมาลัยรถเป็นจังหวะ พออีกฝ่ายกดรับเขาก็รีบกรอกเสียงพูดลงไปทันที

    “ฮัลโหล ว่าไง เรื่องที่ให้ไปตาม”

    [………….]


    “อื้อ....”

    [………….]

    “อื้อ.....”

    [………….]

    “เข้าใจแล้ว กำลังจะไป”

    [………….]

    “ขอบคุณมากจอร์น ผมต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกัน” ชานยอลพูดแค่นั้นแล้วก็กดวางสายไปทันทีเมื่อไฟเขียวมาถึง เขาเหยียบคันเร่ง ออกตัวรถยนต์คันสีดำพุ่งไปอย่างรวดเร็ว

    ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความเฉยชาส่อแววเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดในตอนนี้ และหนูจมูกไวอย่างแบคฮยอนสามารถรับรู้กลิ่นอายของความเป็นกังวลนั้นได้เป็นอย่างดี

    “คุยกับใครหรอ” คนตัวเล็กพูดออกมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ ตอนนี้แบคฮยอนเบื่อเต็มทีแล้ว เขาเมื่อยก้นสุดๆ แล้วก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะถูกปล่อยลงจากรถสักที

    “จะรู้ไปทำไม”

    “นายไม่ได้จะจับฉันจริงๆ ใช่ไหม? ห้ะ?”

    “ใครบอกล่ะ”

    “นายจะเอาฉันไปปล่อยที่ไกลๆ ใช่ไหม?”

    “ไม่ ผมจะจับคุณเข้าคุกแบคฮยอน”

    “แล้วนายจะได้อะไร”

    “ผมจะได้ผลงาน ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เลื่อนขั้น ได้ทุกอย่าง แต่ที่ผมทำ ไม่ใช่เพื่อทั้งหมดนี่”

    “...........”

    “เอาเป็นว่าผมจะให้คุณได้อยู่คุกที่ดีที่สุดแล้วกัน มีเตียงนอน มีโรงยิม มีห้องส่วนตัว คุณจะได้อยู่ในคุกเหมือนอยู่บ้านพักตากอากาศ คิดซะว่าไปพักร้อนก็แล้วกัน”

    ชานยอลว่าพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้กับหัวขโมยของเขาที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างๆ แบคฮยอนเองพอได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงแค่เสหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสิ้นหวัง


    คราวนี้ชานยอลเอาจริงแล้ว... แบคฮยอนจะต้องไปนอนอยู่ในคุกรูหนูจริงๆ แล้ว...




    .

    .

    .




    “แบคฮยอนจะถูกนำไปฝากขังที่เรือนจำ El reno ชั่วคราวระหว่างที่เราสอบสวนคดีเพิ่ม ผมจะเค้นเบาะแสจากปากเค้าเอง เราจะไม่เอาตัวเค้าไปแถลงข่าว นี่เป็นงานของหน่วยปราบ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้สัมภาษณ์ มีใครสงสัยอะไรอีกไหม”

    ภายในห้องประชุมสำนักงานใหญ่ของหน่วยปราบปราม หัวหน้าหน่วย ปาร์ค ชานยอล ปิดสไลด์ทันทีที่เขาพูดจบ คนตัวสูงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูด้วยท่าทางเหมือนมีธุระกำลังจ่อตูดอยู่ เขาดูไม่ค่อยสนใจงานประชุมเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เพิ่งจับตัวหัวหน้าแก๊งลักขโมยที่เป็นคดีใหญ่ระดับประเทศได้

    เมื่อ 16 ชั่วโมงก่อนร้านเพชรประจำเมืองถูกปล้น ตามด้วยคลังทองของตลาดทองคำ และเงินสดในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ตำรวจทุกหน่วยทำงานกันให้วุ่น และไม่กี่ชั่วโมงต่อมาหัวหน้าหน่วยปราบปรามก็จับตัวหัวหน้าแก๊งได้ แต่เขากลับไม่ยอมแถลงข่าว และขอคำสั่งฝากขังจากผู้พิพากษาเป็นกรณีฉุกเฉิน

    ดูเหมือน ปาร์ค ชานยอลจะอยากจับแบคฮยอนเข้าตะรางใจจะขาด...

    “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่จัดงานแถลงข่าว ตอนนี้ประชาชน...”

    “ผมอยากให้คุณช่วยไปสืบดูว่าทำไมบริษัทอสังหาริมทรัพย์ถึงมีห้องเก็บเงินสดอยู่ในอาคาร แล้วก็หารายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทมาให้ผมก่อนพรุ่งนี้เช้า เมื่อผมมาทำงาน มันจะอยู่บนโต๊ะผม” ชานยอลพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

    “ครับท่าน”

    “เอาเป็นว่าผมมีธุระด่วนต้องไปทำ ใครช่วยรับโทรศัพท์จากรัฐมนตรีแทนผมที แล้วก็บอกด้วยว่าผมไม่ว่างรับสาย” ชายหนุ่มตัวสูงพูดแค่นั้นก็คว้าสูทเดินออกจากห้องไปทันที ท่ามกลางความมึนงงของตำรวจทั้งหน่วยปราบ

    ทันทีที่บานประตูห้องประชุมปิดลง ชานยอลก็เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ของเขาพร้อมกับเอกสารฝากตัวนักโทษ แล้วส่งสัญญาณมือให้ผู้คุมพาตัวแบคฮยอนไปขึ้นรถส่งตัวทันที

    ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองดูแบคฮยอนถูกคุมตัวไปขึ้นรถติดกรงแน่นหนา ก่อนที่ตัวเองจะปลีกตัวออกจากสำนักงานไปเพื่อที่จะไปส่งตัวแบคฮยอนเข้าเรือนจำ...











    เวลาเก้าโมงเช้าที่เรือนจำ El reno ที่เป็นที่พำนักของพวกนักโทษการเมืองและพ่อค้ายารายใหญ่ ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์ในกรงและเป็นคุกชั้นดีของพวกนักโทษกระเป๋าหนา

    ตอนนี้นักโทษแบคฮยอนเปลี่ยนชุดไปใส่ชุดของเรือนจำแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องสอบสวนของเรือนจำ มันไม่ต่างอะไรจากห้องสอบสวนในสำนักงานตำรวจนัก ตรงกลางห้องที่โต๊ะกับเก้าอี้สองตัว หน้าประตูมีผู้คุม มีกรงเหล็ก มีเหล็ก มีกรง สลับซับซ้อนกันไป

    ในขณะที่แบคฮยอนกำลังนั่งคิดว่าทำไมเขาถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มที่จับเขายัดเข้าตารางเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนกับทุกที

    ชานยอลยังคงมีท่าทีสบายๆ เขาเดินตรงเข้ามายืนเอามือเท้าโต๊ะแล้วก็ส่งยิ้มให้เหมือนเป็นการทักทายอรุณสวัสดิ์ในเช้าที่สดใส...

    “เอาล่ะ แบคฮยอน มาช่วยฉันทำงานดีกว่านะ” ชานยอลว่าด้วยน้ำเสียงร่าเริง มือปรบเข้าด้วยกันก่อนที่จะเดินไปยืนอยู่ด้านหลังนักโทษตัวจ้อย มือหนาทั้งสองข้างถูกวางลงบนบ่าแล้วบีบนวดเบาๆ ลงบนหัวไหล่เล็ก

    “หึ....”

    “นายแค่ตอบคำถามฉัน แล้วฉันสัญญาว่าฉันจะทำให้นายได้ออกไปจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด”

    “แค่นายไม่จับฉันมาตั้งแต่ทีแรก ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่...” แบคฮยอนได้แต่แค้นยิ้มด้วยความรู้สึกที่สุดจะบรรยาย

    “ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวนายเองนะ”

    “ด้วยการเอาฉันมาขังคุกเนี่ยหรอ นายทำเพื่อตัวเองมากกว่า เหอะ...” เสียงหัวเราะหึจากในลำคอแสดงออกถึงความรู้สึกสมเพชปนเย้ยหยัน แบคฮยอนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาถูกแฟนตัวเองจับเข้าคุก ไหนจะเรื่องเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างนอกที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีกันยังไงบ้าง

    นี่หรอที่ชานยอลบอกว่าทำเพื่อเขา...

    “นายทำฉันไว้แสบแบคฮยอน... นายขโมยบัตรตำรวจฉัน ขโมยรถ แล้วก็เอามันไประเบิดทิ้ง ขโมยช้อนทองของคุณย่าฉัน แล้วนายก็ขโมยหมาฉัน... นายเอาโธเฟ่นไปไว้ไหนห้ะ? แบคฮยอน?” ชานยอลนิ่วหน้า เขาจ้องมองลงไปในดวงตาของเด็กขี้ขโมยแล้วโยนแฟ้มหน้าหลายนิ้วไปตรงหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “นายรู้ไหมว่าถ้าฉันแจ้งข้อหานายทั้งหมดนายจะติดคุกไปอีกกี่สิบชีวิต”

    “แล้วทำไมนายไม่แจ้งล่ะ” แบคฮยอนทำลอยหน้าลอยตา เขาไม่ได้เป็นคนขอให้ชานยอลช่วยเรื่องพวกนี้สักหน่อยนี่

    “คราวนี้นายต้องช่วยฉัน เพื่อตัวนาย...”

    “อยากให้ฉันบอกอะไรอะ”

    “นายรู้ได้ยังไงว่ามีห้องเก็บเงินสดอยู่ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์”

    คำถามโง่ๆ ของนายตำรวจตรงหน้าทำเอาหัวขโมยอย่างแบคฮยอนถึงกับต้องหัวเราะออกมา เขาแกะหมากฝรั่งที่แอบจิ๊กมาจากผู้คุมยัดเข้าปาก ก่อนที่จะตอบออกไป

    “จะอยากรู้ไปทำไมอะ”

    “แค่ตอบมาแบคฮยอน”

    “ถ้าตอบแล้วฉันจะได้อะไร”

    “นายอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในนี้ตลอดไปหรอ ฉันขังนายได้ตลอดชีวิตเลยนะ รู้ไหมไอ้พวกนั้นมันคิดอะไรตอนที่รู้ว่ามีผู้ชายเอเชียตัวเล็กผิวขาวมาอยู่ด้วยในคุก” ชานยอลพูดขู่ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำให้นักโทษของเขารู้สึกกลัวเท่าไหร่

    “นั่นแหละที่นายต้องการ ขังฉันไว้ ให้ฉันโดนไอ้พวกนี้ตุ๋ย แล้วนายก็หัวเราะสะใจ” แบคฮยอนพูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาล่ะเบื่อคำขู่ของไอ้ตำรวจนี่จริงๆ

    “ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นถ้านายช่วยฉัน”

    “ไม่ว่านายจะสัญญาหรือไม่เรื่องนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นกับฉัน” รอยยิ้มที่แสดงถึงชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แบคฮยอนยืนขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้แฟนหนุ่มของเขา ก่อนที่จะยกมือขึ้นจับคอเสื้อสูทแล้วพูดต่อ “ฉันต้องการข้อแลกเปลี่ยน”

    “นายต้องการอะไร”

    “มาหาฉันทุกอาทิตย์หน่อยสิ ฉันคงจะเหงาถ้าอยู่ที่นี่คนเดียว”

    “ได้ ถ้านายต้องการอย่างนั้น”

    “ตกลง” แบคฮยอนปล่อยมือออกจากคอเสื้อแล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ เขาใช้ศอกยันโต๊ะนั่งเท้าคางส่งยิ้มหวานไปให้กับแฟนตัวสูงก่อนที่จะพูดออกมา “มีรถนึงคัน ขนเงินสดหนึ่งกระสอบเข้าบริษัททุกวัน...”
    นิ้วเรียวทำเป็นรูปขาคนเดินไปมาบนโต๊ะสอบสวน หัวขโมยตัวแสบเหลือบตาขึ้นมองชายตรงหน้าเพียงครู่หนึ่งก็พูดต่อ

    “มันก็เป็นแค่เงินสดน่ะ เงินที่นายยังไม่ได้เอามันไปซื้อขายที่ดิน แล้วพอมันถูกใช้จ่ายออกไป เงินก็แปลงร่างเป็นโฉนด”

    “แล้วเงินพวกนั้นมาจากไหน”

    “ไม่รู้หรอก ถ้าจะปล้นรู้ว่าแค่ว่ามีเงินก็พอแล้ว ฉันไม่สนหรอกว่าเงินที่ได้มาสกปรกหรือบริสุทธิ์น่ะ”

    “แล้วตกลงรู้ได้ยังไงว่ามีเงินขนเข้ามาที่บริษัท”

    “เอาเป็นว่าฉันมีคนรู้จักคนนึง ทำงานเป็นคนขนของ แค่ขนเอาของในกระสอบวิ่งรถผ่านชายแดนแม็กซิกันเข้ามาอเมริกาแล้วก็ได้เงินใช้ ของในกระสอบถูกส่งต่อให้พวกลาติน แล้วพวกลาตินก็รับของไปปล่อยต่อ แล้วหลังจากนั้น เค้าก็รวบรวมเอาเงินไปส่งที่บริษัท แต่ว่า...”

    “ว่าอะไร...”

    “ไม่รู้อะ หัวสมองมันไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไหร่” แบคฮยอนไม่ยอมเล่าต่อ เขาแสร้งทำเป็นใช้มือทุบหัวเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก และนั่นก็ทำให้นายตำรวจรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย

    “งั้นฉันขอเดาว่าเพื่อนนายขับรถส่งยา แล้วเค้าก็ไม่อยากจะขนยาอีกแล้ว ก็เลยแท็กทีมกันมาปล้นงั้นสินะ”

    “เสียใจนายเดาผิดอะ”

    “งั้ยช่วยพูดมาสักทีเถอะแบคฮยอน ก่อนที่ฉันจะจับนายขังเดี่ยว” ชานยอลทุบโต๊ะดังปัง เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่ยังเอาแต่หัวเราะด้วยท่าทางหงุดหงิด

    “เอ้า บอกก็ได้ เรื่องขนยาอะไรไม่รู้หรอก รู้แค่ว่ามีเงิน ไม่รู้หรอกว่าเงินมาจากไหน”

    “แล้วใครเป็นคนบอกนายเรื่องเงิน”

    “คนที่เคยนอนด้วยกันอะ”

    “ใคร...”

    “ก็นายไง” แบคฮยอนส่งยิ้มให้กับแฟนหนุ่มของเขาก่อนที่จะพูดต่อ “นายรู้ไหมชานยอล ว่าตัวเองเป็นคนที่อวดฉลาดแค่ไหน วันทั้งวันนายเอาแต่ตั้งข้อสงสัยกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็พูดไม่หยุดว่า ผมสงสัยว่าไอ้นั่น ผมสงสัยว่าไอ้นี่... นายบอกฉันเองว่าพวกฟอกเงินมีที่เก็บเงินสดเสมอ แล้วพอดีว่ามีคนที่ฉันรู้จักรู้ว่าที่ไหนฟอกเงิน ฉันก็แค่ดมตามกลิ่นเงินไป” คนตัวเล็กยักไหล่ด้วยท่าทางไม่แยแส

    แบคฮยอนไม่ได้อยากจะพูดให้แฟนเขารู้สึกผิดหรอก แต่ชานยอลน่ะมันพวกอวดฉลาดมั่นใจในตัวเองเกินกว่าจะมองเห็นจุดผิดพลาดเล็กๆ

    “เพราะฉันไม่รู้ไงว่านายเป็นโจร... พอแค่นี้แหละ วันนี้เชิญหลับให้สบาย แล้วก็จำไว้ด้วยว่าคราวนี้นายติดหนี้ฉัน” ชานยอลปิดแฟ้มลงด้วยท่าทางหัวเสีย เขาเหลือบตาไปมองแฟนตัวเล็กที่ยังไม่ได้มีท่าทีทุกร้อนอะไรทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ก่อนที่จะพูดต่อ “แล้วก็... เอาปากกาฉันคืนมา”

    “นายพูดเรื่องอะไร”

    “หยุด… ขโมยของฉันสักที” ชานยอลเดินไปหยิบปากกาที่แฟนตัวเล็กของเขาแอบขโมยไปเหน็บไว้ที่เอวมาเก็บลงกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่ลืมทิ้งคำพูดเอาไว้ให้คนตัวเล็กได้รู้สึกตัว “คราวนี้นายไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับอะไร แบคฮยอน...”

    “ไม่ใช่หรอกชานยอล... ฉันรู้ว่าฉันทำอะไร....”

    นั่นเป็นประโยคบอกลาของคู่รักนักโทษและตำรวจระดับหัวหน้าหน่วย... ทันทีที่บานประตูปิดลงผู้คุมสองคนก็เข้ามารับตัวนักโทษ B กลับไปยังห้องขังที่ดีที่สุดทันที...
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×