ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My Fable -Chanbaek-

    ลำดับตอนที่ #36 : PALMY 🌴 🌴

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.94K
      378
      28 ก.ค. 65

    T
    B













    เสียงเม็ดฝนยังคงกระหน่ำลงอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด หยดน้ำจากเสื้อผ้าเปียกชุ่มหยดลงบนพรมเช็ดเท้าเป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูปิดลง ชายร่างสูงใหญ่เนื้อตัวเปียกปอนยืนประจันหน้ากับหญิงสาวเบื้องหน้า สายตาของเขาว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ

     

    ยูมีที่เห็นสภาพสามีไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำได้แต่ยืนนิ่ง จ้องมองเขาที่ทำตัวเหมือนตุ๊กตาไขลาน เดินเข้ามาในบ้านทิ้งรอยเท้าเปียกๆ ไว้บนพื้นกระเบื้อง

     

    ไปทำอะไรมา ทำตัวเปียกขนาดนี้เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ ชายหนุ่มเพียงแค่เดินผ่านไป

     

    ชานยอล

     

    “............”

     

    กุญแจรถ... ฉันจะไปรับลูกใบหน้าหวานขมวดนิ่วลงขณะหันไปขอกุญแจรถกับสามี ชานยอลล้วงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกงและส่งให้ภรรยาของเขาก่อนจะเดินผ่านขึ้นบันไดไปโดยไร้การตอบโต้ใดๆ

     

    ท่าทีเมินเฉยของเขาบ่งบอกถึงความการเข้าสู่สภาวะเก็บตัว นัยน์ตาของหญิงสาวได้แต่จ้องมองกุญแจรถเปียกๆ ในมือก่อนจะถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แววตาหม่นหมองลงด้วยความทุกข์ใจ

     

    รู้ว่ามีบางอย่างผิดไปแต่ก็ไม่สามารถปริปากได้... ตั้งแต่ที่กลับมาจากพักร้อนนั้นชานยอลก็แทบไม่ยิ้มอีกเลยเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานจนดึกดื่น ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์เข้าไปทุกวัน หัวใจคนเป็นภรรยารู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่ก็ได้แต่เก็บเงียบ ด้วยความหวังว่าจะพยุงให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยกาลเวลา...

     

     

     

     

     

     

     

    ควันสีขาวจากแก้วกาแฟลอยคลุ้ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลภายในห้องทำงาน ดวงตากลมโตจ้องมองผิวน้ำนิ่งสนิทในแก้ว อาจารย์หนุ่มหยิบกระปุกยาแก้ปวดขึ้นมาเทแล้วตบมันเข้าปากเพื่อระงับอาการปวดไมเกรน

     

    มือหนายกบีบนวดบันเทาอาการปวดจี๊ดบนขมับ ชานยอลถอดแว่นตาออกฟุบหน้าลงกับกระดาษรายงานก่อนที่เสียงเปิดประตูจะเรียกให้เขาต้องเงยอีกครั้ง สายตาสบจ้องกับภรรยาที่เดินเข้ามาพร้อมเสียงถอนหายใจ

     

    นัยน์ตาสีอ่อนภายใต้เปลือกตาเรียวรีจดจ้องผู้เป็นสามี อาจเป็นแววตาสมเพชหรือเวทนา ชานยอลหยัดกายขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าพลางเอนหลังลงกับเก้าอี้ทำงาน

     

    มีอะไร

     

    “...........” หญิงสาวยังยืนเงียบเมื่อรู้สึกเหมือนความอดทนใกล้จะหมดลง เธอยกแขนกอดอกสายตาจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มตรงหน้าอย่างคาดคั้น

     

    คุณจะทำแบบนี้อีกนานเท่าไหร่

     

    ผมบอกแล้วว่าผมทำงานชานยอลถอนลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ้มทุ่มน่าฟังเช่นเคย

     

    คุณคิดว่าฉันโง่หรอ? ลืมลูกไปแล้วหรือไง? วันๆ เอาแต่อยู่ในห้อง ไปมุดหัวอยู่ที่คอนโด จะให้ฉันคิดยังไง?”

     

    “.............”

     

    เด็กนั่นมันสำคัญมากเลยใช่ไหม?! สำคัญกว่าลูกหรือเปล่า? คุณไม่ได้ให้เกียรติฉันซักวัน ถ้าเอาแต่ทำตัวแบบนี้จะหย่ากันไปเลยไหมล่ะ คุณจะได้ไปใช้ชีวิตอย่างที่คุณอยากใช้ ฉันกับลูกจะได้ออกไปจากชีวิตคุณ

     

    พอได้ยินว่าหย่ากับคำว่าลูกชานยอลก็น้ำท่วมปาก ได้แต่จ้องมองภรรยาด้วยสายตาเหมือนหนูที่ถูกงูรัด มองความสมเพชของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในแววตาของเธอเด่นชัด

     

    คุณลืมไปรับลูก! ไม่ออกไปกินข้าวข้างนอกมาเป็นสัปดาห์ คิดว่าฉันไม่รู้หรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะเอายังไงชานยอล เราจะเป็นอย่างงี้ไปตลอดหรอใบหน้าหวานขมวดนิ่ว ขณะที่ยูมีพยายามประคองครอบครัวให้รอด สามีก็กลับเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเด็กหนุ่มของเขา ทำตัวอกหักเหมือนวัยรุ่น

     

    ในใจเธอเจ็บเหมือนเอาเท้าเหยียบเศษแก้วนับร้อยแต่ก็ทำได้แค่พยายามทำเมินเฉยให้ชีวิตครอบครัวดำเนินต่อไป

     

    ผมแค่อยากทำงานให้เสร็จ

     

    ทำงานหรือข้ออ้าง?! ฉันขอแล้วนะว่าอยากทำอะไรก็ทำแต่อย่าเอาเรื่องนั้นเข้ามาข้างใน ถ้ายังเป็นอย่างงี้ฉันจะไม่เอาลูกไว้ ฉันฟ้องคุณได้หมดตัวแน่

     

    ก๊อกๆๆ

     

    เสียงเคาะประตูหยุดบทสนทนาของคู่สามีภรรยาลง ยูมีสูดลมหายใจปรับสีหน้าก่อนจะหันหลังไปเปิดประตูให้ลูกสาวตัวน้อยของเธอที่เดินกอดตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดเข้ามาพร้อมชุดนอน

     

    หนูอาบน้ำเสร็จแล้วค่ะ

     

    เดี๋ยวคุณแม่ไปนะคะ แม่ขอคุยกับพ่อแป๊บนึง หนูไปนอนรอแม่เลยค่ะยูมีวย่อตัวลงลูบหัวเด็กสาวพร้อมรอยยิ้ม เคลือบความดุดันภายใต้ใบจนมิด

     

    คุณพ่อจะไปนอนไหมคะ

     

    คุณพ่อจะทำงานก่อนลูก เดี๋ยวแม่ตามไปนะ

     

    พอสาวน้อยได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าวิ่งกระโดดออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่บรรยากาศภายในกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ยูมีได้แต่ถอนหายใจหันหลับไปมองชายหนุ่มที่เธอ เคยรัก ใบหน้าที่มองแล้วเจ็บทุกครั้งที่ต้องเผชิญ...

     

    ไปคิดดูแล้วกันชานยอลว่าอะไรสำคัญกว่ากัน...

     

    ทิ้งเพียงคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนเธอจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง ดวงตากลมโตได้แต่จ้องมองบานประตูก่อนที่เสียงถอนลมหายใจจะดัง ความเหนื่อยหน่ายโถมเข้าทับชานยอลจนไม่มีที่ว่างให้หายใจ เปลือกตาสีมุกหลับลง

     

    บางครั้งชานยอลอยากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองไร้ตัวตนไปจากโลกนี้ อยากหายไปเฉยๆ พร้อมความรับผิดชอบกับหน้าที่ต่างๆ ที่ไม่ต่างจากบ่วงรัดคอ เหมือนยืนอยู่กลางสะพานขาด เดินกลับไม่ได้และไปไม่ถึง

     

    ชายหนุ่มได้แต่ถอนลมหายใจก่อนจะหยิบเอามือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความของใครบางคน แม้จะเป็นข้อความเก่าๆ ที่ถูกส่งมาเนิ่นนาน แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชานยอลสามารถผ่านช่วงเวลาแสนยากลำบากไปได้

     

    ปลายนิ้วปัดผ่านรูปถ่ายเก่าๆ ข้อความแสนหวานที่เคยส่งถึงกัน ภาพถ่ายที่เห็นเมื่อไหร่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นของความสุขเสมอแม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะไม่อยู่แล้ว ประโยคสนทนาถูกเลื่อนลงมาจนถึงด้านล่างสุดจนไม่สามารถเลื่อนอ่านได้อีกต่อไป...

     

    และข้อความสุดท้ายก็มีแต่เขาที่ส่งไปเกือบจะเดือนนึงแล้ว

     

    ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ..

     

    ใบงานเก่าๆ ของแบคฮยอนยังถูกนำมาตรวจซ้ำๆ รูปถ่ายเดิมๆ กาแฟรสเดิม ชานยอลคงไม่โทษใครที่เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้เพราะตัวเขาเอง แต่บางครั้งการใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวมันก็ทรมาน...

     

     

     

    คนตัวสูงเอื้อมมือไปหรี่ไฟบนโต๊ะทำงาน พิงหลังลงกับเก้าอี้ตัวใหญ่และหลับตาลงฟังเสียงเข็มนาฬิกาเดินช้าๆ อยากยกเอาความรู้สึกที่อยู่ในอกนี้ออกไปให้หมด...

     

    ลมหายใจผ่อนเข้าออกด้วยจังหวะสม่ำเสมอปล่อยให้ร่างกายพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า ก่อนที่เสียงก๊อกแก๊กจากประตูจะทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง

     

    เด็กสาวตัวน้อยเดินเข้ามาในห้องพร้อมแก้วนมอุ่นๆ เธอนำมันไปวางบนโต๊ะทำงานก่อนจะปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวโตของผู้เป็นพ่อ ชานยอลส่งยิ้มให้กับลูกสาวของเขาแล้วดึงเอาเด็กน้อยมานั่งกอดบนตัก กดปลายจมูกหอมลงเส้นผมสีดำสนิท

     

    ปะป๊ายังทำงานหรอคะดวงตากลมโตใสแป๋วเหลือบมองผู้เป็นพ่อ ยกหูกระต่ายตัวโปรดขึ้นกัดด้วยความเคยชิน

     

    ปะป๊าต้องตรวจงานนักเรียนอีกครับ พรุ่งนี้หนูไปโรงเรียนทำไมยังไม่นอนอีก

     

    พรุ่งนี้หยุดค่ะ คุณครูไปประชุม

     

    คำพูดของลูกสาวทำชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกดศีรษะทุยลงแนบแผ่นนอกแล้วก้มลงจูบหน้าผาก กอดดวงใจของเขาเอาไว้อย่างแสนรัก แชรินเป็นสิ่งหนึ่งที่มีค่าและชานยอลไม่เคยรักลูกของเขาน้อยไปกว่าใคร

     

    เดี๋ยวคืนนี้พ่อไปนอนด้วยนะคะ

     

    ปะป๊ากับหม่าม๊าทะเลาะกันหรอคะ

     

    ใครบอกคะ?” คำถามจากความใสซื่อของเด็กสาวทำผู้เป็นพ่อยิ่งรู้สึกผิดในอก ชานยอลลูบผมเจ้าตัวเล็กจ้องมองแพขนตายาวกับแก้มใสๆ นับวันแชรินยิ่งโตขึ้นและรู้เรื่องมากขึ้นทุกวัน ชานยอลคงโกหกลูกไปไม่ได้ตลอด

     

    หม่าม๊าบอกว่าปะป๊ารักคนอื่นจริงไหมคะ?”

     

    “...............”

     

    ราวกับถูกเข็มเล็กๆ แทงเข้าตรงแผลกลางใจ คนตัวสูงนิ่งชะงักกับคำถามที่ทำให้หัวใจเป็นอัมพาต ก่อนจะเสียงหัวเราะเบาๆ อุ้มเจ้าตัวเล็กให้หันมามองหน้า

     

    ปะป๊ารักหนูที่สุดค่ะ

     

    แล้วปะป๊ารักหม่าม๊าไหมคะ

     

    ......

     

    กับคำถามที่แสนยากนี้.. ความหวั่นไหวในแววตาของผู้เป็นพ่อสะท้อนผ่านแววตาของเด็กสาว สีหน้าของแชรินทำหัวใจชานยอลอ่อนยวบลง

     

    รักสิครับ...

     

    ไม่รู้จะโกหกไปได้อีกนานเท่าไหร่... มีผลการทดสอบมากมายที่บอกว่าเด็กรับรู้เสมอเมื่อพ่อแม่โกหก และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการไว้วางใจ แต่เมื่อชานยอลอยู่ในสถานการณ์นี้เองเขาบอกไม่ได้เลยว่าต้องทำยังไง

     

    หม่าม๊าบอกว่าปะป๊าชอบผู้ชาย ปะป๊าเป็นกะเทย กะเทยคืออะไรหรอคะ

     

    คนตัวสูงนิ่งไปชั่วครู่เพื่อคิดคำตอบ มองแววตาใส่ซื่อของลูกสาวก่อนจะตอบออกมา

     

    บนโลกนี้ไม่มีกะเทยหรอกลูก ความรักเป็นส่วนประกอบของเราทุกคนไงคะ ไม่ว่าจะรักใคร ถ้าป๊ะป๊าเป็นกะเทยหนูจะรักป๊ะป๊าไหม...

     

    รักค่ะ... หนูรักปะป๊าที่สุด

     

    ว่าแล้วเจ้าตัวน้อยก็ทิ้งกายเข้าซบกอดผู้เป็นพ่อ แค่อ้อมกอดเล็กๆ กับคำพูดเดียวก็ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของชายหนุ่มทุเลาลง ไม่มีใครที่ชานยอลรักมากไปกว่าแชริน ถึงจะรักแบคฮยอนก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่สามารถเป็นพ่อได้

     

    ชานยอลไม่สามารถเป็นทุกคนที่สมบูรณ์แบบได้ แต่เขารักและจะรักอย่างแท้จริง... แม้ต้องแลกด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง

     

    แชรินเป็นหัวใจที่แสนบริสุทธ์เพียงดวงเดียว เหตุผลที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ต่อ ถ้าไม่สามารถทำหน้าที่พ่อได้ชานยอลก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีคุณค่าพอจะเป็นคนได้หรือเปล่า

     

    พ่อก็รักหนูที่สุดในโลกเลย

     

    แล้วตอนนี้ปะป๊ามีความสุขไหมคะ

     

    แค่หนูรักพ่อก็มีความสุขแล้วค่ะริมฝีปากอิ่มกดจูบลงบนกระหม่อมเด็กสาวในอ้อมอก ไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ที่สาวน้อยคนนี้จะโบยบินออกไปใช้ชีวิตของตัวเองและเริ่มเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น และชานยอลก็แค่หวังว่าสักวันแชรินจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บานประตูห้องนอนถูกปิดลงอย่างเบามือ เจ้าของร่างสูงโปร่งตรงไปทิ้งกายบนเตียงนอนข้างภรรยา ช่องว่างระหว่างแผ่นหลังที่หันชนกันแทนความสัมพันธ์อันห่างเหิน พื้นเตียงเย็นชืดไม่ต่างจากจิตใจ

     

    แม้จะผ่านไปหลายคืนแต่ชานยอลยังไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อย่างสงบ เวลาเดียวที่หัวใจของเขาเป็นสุขคือช่วงวินาทีสั้นๆ ก่อนที่สติจะหลับใหลและชานยอลได้จินตนาการถึงใบหน้านั้นที่แสนคิดถึงแม้ในความฝัน

     

    ดวงตากลมโตจ้องมองความมืออันแสนว่างเปล่าเบื้องหน้า ห้องนอนที่มีแต่ความเงียบเหงา ได้แต่ข่มความทรมานที่แสนอ้างว้างเอาไว้ลึกสุดในใจ

     

    หยดน้ำตาเม็ดเล็กร่วงหล่นจากหางตาซึมลงบนหมอน เป็นเพียงน้ำตาหยดเดียวที่กลั่นจากความรู้สึกมหาศาลภายในจิตใจที่ไม่สามารปริปากบอกใครได้...

     

    ความโดดเดี่ยวนี้... ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็แค่ต้องทำเป็นลืมไปว่าตัวเองกำลังอ่อนแอเท่านั้นเอง...

     

     

     

     



    .

     


    .

     


    .

     

     



     

    ขอใบเช็คชื่อด้วยนะครับ วันนี้ครบกำหนดส่งงานแล้วนะ ไม่มีเลทแล้วนะครับ

     

    ในคลาสเรียนจิตวิทยา อาจารย์หนุ่มกวาดสายตามองนักเรียนหน้าเดิมๆ ที่แสนคุ้นเคย ดวงตากลมโตแอบชำเลืองมองเก้าอี้ด้านหน้าที่มักมีใครบางคนมานั่งประจำอย่างเผลอตัว เมื่อคิดได้ว่าตัวเองกำลังเสียสมาธิเขาก็กลับไปโฟกัสกับกระดานไวท์บอร์ด

     

    ที่นั่งตรงนั้นไม่ได้มีแบคฮยอนอีกต่อไป ทำไมยังคาดหวังอีกนะ

     

    ช่วยดูกระดานด้วยครับ...

     

     

     


     

     

     

    ในตอนเที่ยงที่แดดส่องเปรี้ยงลงกลางหัว แบคฮยอนย่ำเท้ารัวๆ ไปตามทางเดินเพื่อจะไปให้ทันนัดเพื่อน นัยน์ตาสีอ่อนหลุบมองนาฬิกาข้อมือพลางมุ่ยหน้า เสียงตะโกนเรียกที่ดังอยู่ไกลๆ ชะงักเท้าคนตัวเล็กไว้ก่อนจะหันไปเจอกับอดีตเพื่อนร่วมคลาสที่ไม่อยากเจอมากที่สุด

     

    แบคฮยอน!

     

    มีไรเอ่ยถามออกไปเสียงห้วนพลางมุ่ยหน้าหลบแดด ขณะก้าวเท้าเดินต่อไปโดยมีชายหนุ่มผิวเข้มเดินขนาบข้าง

     

    ทำไมไปเรียนแล้วอะ ไม่เห็นอยู่ในคลาสเลย

     

    อ๋อ กูออกแล้วแบคฮยอนปัดส่งเดช รู้สึกรำคาญไม่น้อยกับการที่อีกฝ่ายเอาแต่มาวอแวอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ไม่ได้เรียนด้วยกันแล้ว

     

    จะรีบไปไหนอะ

     

    ไปหาเพื่อน

     

    หาไอ้ฮุนอ่อ แล้ววันนี้ไปทำงานปะ ฮุนบอกทำร้านกาแฟไม่ใช่อ่อ

     

    แบคฮยอนหยุดเท้าและตัดสินใจหันไปมองชายหนุ่มที่เอาแต่เดินตามเขาไม่หยุด จงอินก็รู้อยู่แล้วว่าแบคฮยอนไม่ได้เรียนคลาสนั้น เขาต้องการอะไรกันแน่

     

    มีอะไรก็พูดมา

     

    ก็มาทักเฉยๆ เห็นไม่ไปนั่งฟังที่คลาสแล้ว เย็นนี้ว่างปะนักศึกษาผิวเข้มเลิกคิ้วถามเพื่อนตัวเล็กตรงหน้าก่อนจะล้วงมือถือขึ้นมา

     

    ทำแมะ?”

     

    จะชวนไปกินข้าว เอ่อ... ว่าจะชวนไอ้ฮุนไปด้วย ขอเบอร์ไว้ติดต่อได้ปะ

     

    แบคฮยอนส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ กับความพยายามกลบเกลื่อนของเพื่อนร่วมชั้นก่อนจะหยิบมือถืออีกฝ่ายมาพิมพ์ไอดีคาทกของตัวเองลงไปแล้วส่งคืน

     

    งั้น... ไว้โทรไปบอกนะ

     

    เออ

     

    รอยยิ้มเก้อเขินบนใบหน้าคมเข้มทำให้เขาดูน่าสนใจไม่น้อย แบคฮยอนหัวเราะขำก่อนจะก้าวเดินต่อไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีบางคนกำลังมองดูอยู่ไม่ไกล

     

    รองเท้าผ้าใบสีเขรอะฝุ่นย่ำไปตามพื้นคอนกรีต ดวงตาเรียวรีหลุบมองปลายเท้าที่ก้าวสลับกันไปมา นี่ก็เกือบจะสามเดือนแล้วที่ห่างหายจากการติดต่อกับเขาคนนั้น มันคงไม่เป็นไรถ้าจะเปิดให้คนใหม่ๆ เข้ามา บางทีอาจจะช่วยทำให้การลืมใครบางคนง่ายขึ้น...

     

    แม้จะเดินผู้คนมากมายแค่ไหนในแต่ละวัน แต่ทุกครั้งที่ได้กลิ่นหอมนั้นแบคฮยอนก็จะรู้ตัวเสมอ เงาคนที่เดินสวนผ่านไปกับกลิ่นหอมคลุ้งลอยปะทะจมูก เรียกคนตัวเล็กให้ต้องเงยขึ้นหันไปมองด้วยความลืมตัว ก่อนจะพบกับนักศึกษาชายที่เดินมาพร้อมแฟนสาว

     

    ได้แต่ถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามสะบัดไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัวแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางหลุดออกไปจากความทรงจำ...

     

     

     

     

    ในค่ำคืนแสนเงียบเหงา เสียงเปิดหน้ากระดาษหนังสือดังเบาๆ ทว่าข้อความที่อ่านกลับไม่ได้ซึมซับเข้าสู่สมองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวรีหรี่ปรือ แบคฮยอนตัดสินใจปิดหน้าหนังสือก่อนจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เสียงเปิดก๊อกดังซู่ซ่าสองมือรองน้ำเย็นๆ วักเข้าใบหน้าหวังให้ตัวเองสดชื่นขึ้น

     

    คนตัวเล็กกลับกลับมานั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง มองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองกว่าๆ แล้ว หลังจากมุ่งอ่านหนังสือตั้งแต่สี่ทุ่ม คงถึงเวลาที่ต้องพักซักที แบคฮยอนเลื่อนกองหนังสือตรงหน้าออกแล้วขยับโน้ตบบุ๊กเข้ามาแทน เปิดเข้าเฟสบุ๊กเลื่อนดูฟีดที่เริ่มเงียบเหงาเพราะเป็นช่วงสอบ

     

    ขณะที่สายตาจ้องมองตัวอักษารนับร้อยผ่านตา ความคิดบางอย่างก็แว้บเข้ามาในหัว ปลายนิ้วเรียวกดลงบนคีย์บอร์ดพิมพ์ชื่อบัญชีอันแสนคุ้นเคยในแถบค้นหา และกดเข้ารายชื่อแรกสุด เลื่อนดูหน้าโปรไฟล์ที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน

     

    แบคฮยอนไม่เคยเป็นเพื่อนกับอาจารย์ชานยอลในเฟสบุ๊กมาตั้งแต่ก่อนหน้าที่คบกัน... ด้วยเหตุผลเพียงเพราะคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ก็คงจะมีแต่เพื่อนๆ อาจารย์ และเราก็ต่างเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยเรื่องความเหมาะสม ไม่เคยคิดว่าเลยว่ามันมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่...

     

    สกอล์เมาส์เลื่อนลงเรื่อยๆ ผ่านภาพโปรไฟล์ที่แสนคุ้นตามาจนถึงภาพถ่ายเดียวที่ถูกตั้งเป็นสาธารณะ คือภาพเด็กสาวตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักคุณพ่อของเธอบนโต๊ะทำงาน

     

    รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้านวล อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีหยดน้ำตาลื้นขึ้นมา ทั้งที่คิดว่าจะลืมไปได้แล้ว แต่ความรู้สึกเก่าๆ ที่พยายามซุกซ่อนไว้กลับตีขึ้นมาตื้นอยู่ในอก

     

    คิดถึงสายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มนุ่มนวลยามจับจ้องมา สายตาที่แบคฮยอนเชื่อจริงๆ ว่านั่นคือความรัก...

     

    เป็นแบบนี้ก็คงจะดีแล้ว... ไม่มีความรู้สึกเกลียดชังใดๆ นอกจากขอให้เขามีความสุขกับสิ่งที่มีไม่ว่าอย่างไร และแบคฮยอนก็เพียงแค่ต้องเดินต่อไป

     

    แค่เก็บไว้ในใจและเดินต่อไปแต่ไม่เคยลืม..

     

    คงจะมีสักวันที่ได้กลับมาเป็นเพื่อนกันหรืออย่างน้อยในฐานะญาติก็ยังดี

     

    ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากมือถือก็เรียกคนตัวเล็กให้ต้องลดสายตาลงมองหน้าจอ ก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

     

    KJI : ทำไรอยู่

     

     


     

    .


     

    .


     


     

     

     

     

     

    แบค จงอินมันตามจีบมึงอ่อวะ

     

    บนโต๊ะนั่งกลางสวนหย่อมขนาดเล็ก เสียงเพื่อนตัวสูงที่ชะโงกหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ เรียกความสนใจจากคนที่กำลังจดจ่อกับการเขียนใบงาน แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยกยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าเป็นเลศนัยให้อีกฝ่ายคาดเดาเล่นๆ

     

    ตอบกู

     

    ทำไม? มันบอกมึงอ่อ

     

    กูเห็นมันชอบมานั่งเฝ้ามึง เมื่อวานกลับด้วยกันนี่เซฮุนเอาไหล่กระแทกเพื่อนซี้ด้วยความหมั่นไส้เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม หมั่นไส้ ทำเป็นบอกว่ามาหากู

     

    ก็ตามนั้นคนตัวเล็กยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่จอมือถือของเขาสว่างขึ้นพร้อมกับโชว์ข้อความที่ถูกส่งมาจากใครบางที่กำลังถูกพูดถึง เป็นหลักฐานยืนยันข้อสงสัยได้เป็นอย่างดี

     

    พูดถึงก็มาเลยนะ

     

     

     

     

     

     

    ภายในห้องพักที่ร้อนระอุไปด้วยไฟของความเป็นหนุ่มสาว ร่างเล็กๆ ถูกดันล้มลงบนเตียงนอนก่อนที่แฟนหนุ่มของเขาจะตามไปขึ้นคร่อม เจ้าของร่างโปร่งกับผิวสีแทนบดขยี้จูบอย่างเร่าร้อนลงบนริมฝีปากเรียวบาง สองมือประคองใบหน้าคนตัวเล็กให้รับจูบ สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปอย่างดุดัน

     

    อื้อ... ไค...

     

    แบคฮยอนเผยอเสียงหอบครางลอดริมฝีปากที่ยังถูกตะโบมจูบ มือบางยกขึ้นดันแผ่นอกคนตรงหน้าเพื่อขอจังหวะหายใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมละออกจึงเปลี่ยนเป็นปลดกระดุมเสื้อเขาแทน

     

    ร่างกายที่เบียดทับลงมากับกลิ่นกายที่ต่างออกไปสร้างความรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนที่แขนเรียวจะถูกจับกดลงบนพื้นเตียง รอยยิ้มทรงเสน่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม แม้ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่าลุ่มหลงแบบผู้ใหญ่ แต่ร้อนแรง ตรงไปตรงมาและเปิดเผย

     

    คนตัวเล็กบิดกายเมื่อถูกคนด้านบนจู่โจมเข้าที่ใบหู ส่งเสียงครางอื้ออึงผ่อนคลายตัวเองไปกับสัมผัสของแฟนหนุ่ม หลับตาลงซึมซับทุกความวาบหวิวบนเรือนร่าง

     

    ชั่วขณะหนึ่งที่ริมฝีปากอิ่มงับลงบนซอกคอภาพทับซ้อนของใครบางคนปรากฏขึ้นมาในหัว เป็นทุกครั้งที่เครื่องเริ่มติดจนอดคิดว่าตัวเองประสาทหลอนไม่ได้

     

     

    ฮ่ะ... ชานยอล...



    แบคฮยอน...

     

     

    พอสักที...

     

     

    คนตัวเล็กตัดสินใจผลักอกคนตรงหน้าออก ก่อนจะหยัดตัวพลิกกายขึ้นคร่อมร่างแฟนหนุ่ม เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกเอง แบคฮยอนโน้มกายลงบดขยี้ริมฝีปากเอิบอย่างเร่าร้อน อย่างน้อยมุมนี้ก็ได้เห็นใบหน้าของเขา ได้เห็นว่านี่ไม่ใช่คนที่ตามมาหลอกหลอนในจินตนาการ

     

     

     

     



     

     

     

    เสียงเพลงจากโน้ตบุ๊กดังเบาๆ สลับกับเสียงกดคีย์บอร์ด แบคฮยอนยังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเหมือนทุกที ขณะที่แฟนหนุ่มใช้แลปท็อปนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ ตัวอักษรมากมายและคำอธิบายสำนวนว่าความวกวนทำคนตัวเล็กต้องถอนลมหายใจยาวเหยียด มือบางเท้ายันหน้าผากเปิดหนังตาให้ฝืนถ่าง ถึงจะอยากหลับแค่ไหนแต่ยิ่งใกล้ช่วงสอบปลายภาคมากเท่าไหร่แบคฮยอนก็ต้องเร่งอ่านให้ทัน

     

    แบคฮยอน

     

    ห้ะ

     

    เสียงแฟนหนุ่มเรียกคนที่กำลังจมอยู่กับงานให้เงยหน้าขึ้นจากกระดาษ ดวงตาเรียวรีสบมองเจ้าของใบหน้าคมเข้มที่หมุนเก้าอี้หันมาจาทางปลายเตียง

     

    เคยคบกับจารย์ชานยอลอ่อ

     

    คำถามไร้ที่มาถูกเอ่ยผ่านสีหน้าเรียบนิ่ง แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่น ทำไมอยู่ๆ จงอินก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขารู้ได้ยังไง

     

    ใครบอก?”

     

    นี่ไง

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงพเยิดหน้าไปทางจอโน้ตบุ๊ก พอได้ยินคำนั้นแบคฮยอนก็เหลือบตาไปมองด้านหลังก่อนจะพบว่าโฟลเดอร์ภาพถ่ายเก่าๆ ที่เคยถ่ายกับอดีตคนรักถูกเปิดอยู่

     

    อือ... แล้วทำไมอะ

     

    คบกันนานยัง

     

    เลิกไปตั้งนานแล้ว มึงขุดขึ้นมาทำไม

     

    เลิกแล้วทำไมต้องเก็บรูปไว้อะ ซ่อนไว้ทำไมจงอินจดจ้องนัยน์ตาของคนรักราวกับพยายามจับผิดความวูบไหวในแววตา ถ้าลืมไปแล้วแบคฮยอนจะเก็บรูปพวกนี้ไว้ทำไม

     

    ก็กูซ่อนไว้แล้วกูลืมไง กูไม่เห็นตั้งนานแล้ว

     

    งั้นก็ลบทิ้งไปดิ

     

    ก็ลบไปดิ

     

    ใบหน้าหวานขมวดมุ่นลงเล็กน้อย คำพูดห้วนๆ กับสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายทำคนตัวเล็กอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเสียดายภาพเหล่านั้นแต่แบคฮยอนไม่ชอบเลยเวลาที่ถูกคนอื่นมาวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัว

     

    เลิกกันนานยัง

     

    จะเป็นปีแล้ว

     

    ตั้งแต่ที่ไม่ได้ไปเรียนอะหรอ

     

    อือเขาเพียงแค่ครางตอบรับลำคออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้มลงอ่านชีทงานต่อ เลือกเมินเฉยกับท่าทีของอีกฝ่ายเพราะไม่ต้องการต่อความยาว

     

    จงอินจ้องมองคนรักที่หลบหน้าหนีก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับไปหน้าคอมฯ ขยับเมาส์เลื่อนดูภาพถ่ายความสนิทสนมระหว่างอาจารย์และนักเรียนที่เกินปกติด้วยความรู้สึกเจ็บยิบๆ ในใจ มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าแฟนเก่าของแบคฮยอนไม่ใช่คนใกล้ตัวขนาดนี้ แถมเป็นคนที่จงอินรู้จักดี

     

    และยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองไปเจอกับคนรักเพราะอีกฝ่ายไปหาแฟนอีกคนมันก็อดเจ็บใจไม่ได้ ปลายนิ้วเรียกกดลงคีย์บอร์ด จัดการเลือกรูปภาพทั้งหมดแล้วลบทิ้งจากเครื่องแบบถาวรอย่างไม่ใยดี

     

    ภาพถ่ายความทรงจำอันแสนมีค่าที่สั่งสมมาหายวับไปภายในเสี้ยววินาที แบคฮยอนที่ได้แต่มองภาพเหล่านั้นถูกลบไปจากด้านหลังของเก้าอี้ถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ ภาพดีๆ ที่ไม่เขาเคยกล้าลบออก แต่ก็ไม่เคยกล้าเปิดขึ้นมาดู...

     

    อย่างนี้ก็คงดีแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเลือก... ให้จงอินลบออกไปมันคงจะจบลงได้สักที ไม่ต้องยืดเยื้อลีลากับตัวเองยังไงก็ไม่ได้เห็นอีกอยู่แล้ว

     

     

     

     

    .


     

    .

     


     

    .

     

     


     

     

    ในช่วงก่อนสอบปิดภาคเรียน ห้องสมุดมหาวิทยาลัยและส่วนหย่อมต่างๆ มักเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มาสุมหัวอ่านหนังสือและทำรายงาน เวลาบ่ายสองเศษๆ หลังจบคาบเรียนสุดท้ายแบคฮยอนออกจากห้องเรียนตรงเวลาเพื่อไปหาเพื่อนตามนัด สองมือกดมือถือส่งข้อความหาเพื่อนสนิทและแฟนหนุ่มขณะก้าวเท้าไปตามทางเดิน

     

     

    백현 : เรียนเสร็จยัง 

    KJI : เดี๋ยวไป ทำธุระก่อน

     

    백현 : เดี๋ยวไปรอหน้าตึก 2


    KJI : Ok

     

     


    สองเท้าเก้าเดินฉับๆ ไปตามทางเดินอาคารมาหยุดอยู่ที่ลิฟท์ แบคฮยอนชะงักเท้าไปชั่วครู่เงยหน้าขึ้นมองลิฟท์ที่กำลังจะปิดก่อนจะตัดสินใจหันไปขึ้นบันไดแทนที่จะลงข้างล่าง

     

    เมื่อก้าวขึ้นบันมาถึงชั้น 4 ก็พบทางเชื่อมข้ามไปถึงตึกคณะมนุษย์ศาสตร์ แทนที่จะลงไปหาเพื่อนแบคฮยอนกลับเปลี่ยนใจไปหาแฟนหนุ่มที่ตึกข้างๆ กันแทน ขณะที่กำลังเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดินของตึกทรงตัว U ดวงตาเรียวรีก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ตนเองกำลังมองหายืนอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้ามในห้องพักอาจารย์

     

    มองผ่านทะลุประตูกระจกเข้าไปก็พบกับใครอีกคนที่ยืนอยู่เยื้องกัน คนที่คุ้นเคยยิ่งกว่า ลางสังหรณ์บางอย่างทำแบคฮยอนเสียวสันหลังวาบ คนตัวเล็กเล็กรีบสับเท้าวิ่งไปตามทางเดิน ชนนักศึกษาที่เปิดประตูห้องออกมาจนเกือบล้ม

     

    ขอโทษครับ!

     

    กล่าวขอโทษเสียงดังโดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนข้างหลัง ยิ่งเห็นสีหน้าขมวดนิ่วของแฟนหนุ่มยิ่งรู้สึกลางไม่ดี เสียงรองเท้าผ้าใบเสียดพื้นดังเอี๊ยดๆ แบคฮยอนพุ่งตรงเข้าไปผลักประตูห้องพักอาจารย์ออกอย่างแรง

     

    ประตูที่ถูกเปิดอย่างกะทันหันหยุดบทสนทนาของทั้งคู่ไว้ คนตัวเล็กหอบหายใจฮั่กมองหน้าคนรักและอดีตอาจารย์สอนวิชาจิตวิทยาของเขา ต่างคนต่างเงียบตกใจไม่แพ้กัน ก่อนที่คนอายุมากสุดจะเอ่ยขึ้น

     

    ฉันเลื่อนงานให้เธอส่งได้ถึงอาทิตย์หน้าแล้วกัน ไม่เกินก่อนสอบสองอาทิตย์ ถ้ายังไม่ได้ค่อยคุยกันเรื่องดร็อปอีกที

     

    ขอบคุณครับจงอินรีบโค้งหัวขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา ขณะที่แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งกับบทสนทนาทึ่ไม่ได้ใกล้เคียงกับที่จินตนาการสักนิด

     

    ดวงตาเรียวรีสบมองกับเจ้าของนัยน์ตากลมโตเพียงครู่ ก่อนที่แฟนหนุ่มของเขาจะเดินมาคว้ามือไปจับไว้

     

    ไม่มีคำพูดหรือคำถามใดจากการปรากฏตัวแบบกะทันหัน แบคฮยอนเพียงแค่เดินถอยออกมาพร้อมกับคนรัก ได้แต่ถามตัวเองว่าทำบ้าอะไรลงไป เสียสติไปแล้วหรอ แค่เห็นแฟนใหม่ไปคุยกับแฟนเก่าก็อตื่นตระหนกจนเผลอตัว

     

    เข้าไปทำไรเจ้าของใบหน้าคมกล่าวเสียงเข้ม คิ้วเรียวขมวดมุ่นตั้งคำถามกับคนรักที่อยู่ๆ ก็พรวดพราดเข้าไป

     

    ก... กูตูกใจอะ กูนึกว่ามึงไปคุยไรกับจารย์ชานยอลคนถูกถามอึกอักตอบออกไปอย่างสิ้นคิด แบคฮยอนน่าจะคิดได้ว่าชานยอลเป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษา แสนเขาคงไม่ทำอะไรโง่ๆ

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงไม่ได้ตอบโต้อะไร นัยน์ตาคมจดจ้องใบหน้าของคนรักราวกับต้องการจับผิดก่อนที่สี่เท้าจะก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน

     

    ฝ่ามือที่จับอยู่บนแขนเลื่อนขึ้นไปโอบไหล่ รั้งคนข้างกายเข้ามาเดินเบียดชิดกันเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพักจากด้านหลัง

     

     

    ชั่วขณะหนึ่งความวูบไหวในแววตาของแบคฮยอนสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้การตีสีหน้าเรียบเฉยยามได้พบกับอดีตคนรัก แม้จะรู้สึกติดใจกับการกระทำของอีกฝ่ายแต่จงอินก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป แล้วเก็บความเคลือบแคลงนั้นไว้ในใจแทน

     

     

     





     

     

     

     

    หมายความว่าไงวะที่บอกว่ากูไม่ลืมเค้า?”

     

    ทำไมกูคิดไม่ได้อะ ในเมื่อมึงยังไปส่องเฟสมันอยู่เลย

     

    มึงค้นคอมกูอ่อ? เมื่อไหร่มึงจะเลิกวะ?”

     

    ภายในห้องพักสี่เหลี่ยมเสียงถกเถียงของคู่รักดังปะทะกัน คนถูกกล่าวหาขมวดคิ้วมุ่น แบคฮยอนโยนหนังสือที่กำลังอ่านในมือลงเตียงด้วยความหงุดหงิดใจเมื่อถูกแฟนหนุ่มหาเรื่อง นี่มันรอบที่เท่าไหร่ที่จงอินเอาแต่พูดเหน็บแนมถึงคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ และแบคฮยอนก็กำลังเหลืออด

     

    กูไม่ดูแล้วกูจะรู้อ่อ? ไหนมึงบอกว่ามึงเลิกกับเค้าไปนานแล้วไง

     

    มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย? กูจะสอบอยู่แล้วมึงมาชวนกูทะเลาะเนี่ยนะ?”

     

    มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง

     

    มึงชอบเป็นแบบนี้อะไค ทะเลาะกันทีไรก็พูดแต่เรื่องนี้ทุกที

     

    มึงกลัวอ่อ? กลัวกูไปหาเรื่องมันหรือกลัวมันรู้ว่าคบกับกูอะ?”

     

    “..............”

     

    คำพูดร้ายกาจจากฝีปากแฟนหนุ่มที่สั่งสมมาหลายต่อหลายครั้งทำคนฟังยิ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ ตั้งแต่รู้เรื่องนั้นจงอินก็เอาแต่ทำตัวงี่เง่า ขุดแต่เรื่องเดิมๆ มาพูดไม่หยุด ที่ผ่านมาเขาอาแต่คิดแบบนี้ตลอดเลยหรอ

     

    เค้าไม่ติวหนังสือให้มึงแล้วอ่อ มึงถึงต้องอ่านเองอะ

     

    มึงเป็นอะไรวะ! มึงอยากลบรูปกูก็ให้ลบ กูไม่แคร์มึงอ่อทุกวันนี้ กูไม่ได้เล่าอะไรให้มึงฟังเพราะกูไม่รู้จะเล่าทำไมไง แล้วพอรู้มึงก็เป็นอย่างเงี้ย!

     

    มึงแคร์กูหรือมึงปกป้องความรู้สึกตัวเองวะ

     

    เค้ามีลูกมีเมียขนาดนั้นแล้วอะ มึงอยากให้กูกลับไปคบกับเค้ามากหรอ?!”

     

    อ๋อ มึงเลิกกับเค้าเพราะรู้ว่าเค้ามีลูกมีเมียแล้วอ่อ

     

    คำพูดแทงใจดำกับเสียงรอยยิ้มเยาะบนใบหน้าคมทำแบคฮยอนเจ็บหนึบไปทั่วหัวใจ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้ หยดน้ำตาเอ่อท้นขึ้นมาก่อนจะดิ่งร่วงลงบนผิวแก้มเมื่อแผลเก่าถูกกระตุ้น ทั้งคำพูดที่เหมือนมีดหอกจากคนที่ตัวเองเรียกว่าแฟน

     

    กูพูดแทงใจมึงอ่อ

     

    “..............”

     

    สองสายตาสบจ้องกัน อีกคนเสียใจอีกคนเจ็บแค้น คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่นนัยน์ตาแดงกล่ำ เมื่อคนที่ตนเองไว้ใจจะเริ่มต้นใหม่ด้วย กลายเป็นคนที่ย้อนกลับมาทำลายรอยแผลเก่าได้อย่างเจ็บถึงที่สุด

     

    กูน่าจะรู้ว่ามึงไปหาเค้าตั้งแต่ที่มึงเจอกู

     

    มึงเป็นอะไรอะ กูก็เริ่มใหม่กับมึงแล้วอะ... มึงจะขุดขึ้นมาทำไมอะเอ่ยคำพูดสั่นเครือออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลลงโดยไร้เสียงสะอื้น เจ็บเหมือนถูกมีดปักลงกลางใจ

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงได้แต่ยืนมองใบหน้าของคนรักที่เริ่มมีหยดย้ำตาพรั่งพรู ความอารมรณ์ร้อนของเขาเผาความไว้เนื้อเชื่อใจจนหมด จงอินทนไม่ได้ที่เห็นแบคฮยอนเอาแต่ไปส่องเฟสบุ๊กคนที่เขาบอกว่าเลิกรักไปแล้ว พูดว่าลืม พูดว่าไม่อยากให้สนใจ

     

    เพราะแคร์หรือเพราะต้องการปกป้องความทรงจำของตัวเอง...

     

    ทั้งๆ ที่กูกำลังจะลืมอยู่แล้วอะ...อึก...

     

    คนตัวเล็กกำมือแน่นด้วยความเสียใจ เจ็บหนึบบริเวณก้อนเนื้อในอก ครั้งยังรักกันทุกอย่างมันหอมหวนมีแต่ความทรงจำดีๆ แต่เมื่อคราวแตกหักทุกอย่างพังลงเหมือนโลกล่มสลาย เหมือนฝันร้ายที่ต่อให้แกล้งไม่รู้สึกอะไรก็ไม่อาจลืมได้

     

    ไม่อยากจำ... แบคฮยอนไม่อยากนึกถึงช่วงเวลานั้นแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าเลือกได้เขาอยากจะลืมว่ามีผู้ชายที่ชื่อชานยอลอยู่บนโลก

     

    มึงคิดว่ามันง่ายอ่อวะ มึงไม่เคยสนใจที่อยู่ด้วยกันมาเลยใช่ปะ แล้ววันเนี้ยมึงมาทำร้ายจิตใจกูแบบนี้อะยิ่งพูดยิ่งไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงได้ ยิ่งพยายามไม่ร้องไห้หยดน้ำตายิ่งพรั่งพรูออกมา

     

    อีกคนเสียใจ เสียความรู้สึก แต่อีกคนกลับเมองว่าหยดน้ำตาเหล่านั้นคือเครื่องยืนยันว่าความทรงจำเหล่านั้นยังกลับมากระทบความรู้สึก... แบคฮยอนไม่เคยลืมชานยอล

     

    มึงยังไม่ลืมเค้า

     

    ใช่... กูลืมไม่ได้! กูอยากลืมทุกวัน เค้าหลอกกู ให้กูรัก! แล้วกูก็มารู้ว่าเค้ามีลูกมีเมียแล้วยังเป็นน้องพ่อกู มึงรู้ไหมว่ากูรู้สึกแย่ขนาดไหน! ฮึก... กูลืมไม่ได้!

     

    “............”

     

    ระเบิดเสียงตะโกนออกไปด้วยความเหลืออด แบฮยอนไม่รู้ว่าเขาจะลืมชานยอลได้ยังไง ผู้ชายที่ทิ้งทั้งความวิเศษและความเจ็บปวดมหาศาลเอาไว้ในใจดวงนี้ถึงจะอยากลืมทุกวัน

     

    แต่ถ้ามึงต้องการแบบนั้นก็ไม่เป็นไร

     

    คนตัวเล็กยกมือขึ้นปาดน้ำตาคว้าหนังสือทั้งหมดยัดใส่กระเป๋าทั้งที่ภาพทุกอย่างยังพร่าเบลอ พอกันที ถ้าไม่สามารถรักกันแบบไว้ใจและมีความสุขได้แบคฮยอนก็ไม่อยากจะทนอยู่ต่อไปแบบนี้ ทั้งที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้ความรักครั้งใหม่มันดี แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่คอยทำลายน้ำใจ ทิ่มแทงกันด้วยคำพูดเสียดสีอยู่ตลอดเวลา

     

    แบคฮยอนจงอินลุกขึ้นไปคว้าแขนคนรักของเขาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายสะบัดออกอย่างไม่ใยดี เพิ่งจะรู้ตัวได้สติว่าตัวเองอาจจะพูดแรงเกินไป แต่มันก็ทำร้ายคนฟังไปแล้ว

     

    กูก็ทนไม่ไหวแล้วว่ะ

     

    สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วเดินไปหยิบกางเกงแสล็คสีดำมาสวมก่อนจะหยิบมือถือคว้ากระเป๋าขึ้นบ่า แบคฮยอนเองก็ทนไม่ไหวแล้วกับนิสัยชอบขี้หึง ขี้ระแวงของอีกฝ่าย เวลามีปัญหาทีไรก็ใช้แต่คำพูดทำร้ายกัน

     

    กูขอโทษ

     

    มึงรู้ปะ อย่างน้อยเค้าไม่เคยพูดแบบนี้กับกูเลย ไม่เคยทำร้ายจิตใจกูเหมือนมึง

     

    ด้วยทั้งความโกรธและความเสียใจแคฮยอนทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปปล่อยให้ใครอีกคนได้แต่ยืนนิ่งกับคำพูดที่ฟาดเข้าใส่หน้าอย่างแรง ราวกับต่างฝ่ายได้ทิ้งด้ามมีดและรอยแผลไว้ในตัวของกันและกัน

     

    หัวใจมันเป็นเจ็บจนชา พอความโกรธและความริษยาเริ่มทุเลาลงก็เหมือนจะเริ่มมองเห็นขึ้นได้ว่าตัวเองทำผิดแค่ไหน แต่มันคงไม่แย่ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดแบบนั้นออกมา

     

    มีแต่ทำร้ายกัน...

     

     

     







     

     

    เสียงร้องไห้ดังกระซิกไปทั่วห้องนอน หมอนใบใหญ่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาไม่สามารถแม้แต่จะตั้งสมาธิให้อ่านหนังสือจนจบได้ คำพูดร้ายกาจย้อนความทรงจำที่แสนเจ็บปวดให้หวนกลับมาเหมือนทั้งสองเหตุการณ์ผนวกเข้าด้วยกันและกวนมาทำร้ายอย่างร้ายแรง

     

    ตะกอนในใจที่เริ่มถูกกวนขึ้นจนขุ่นบวกกับตะกอนใหม่ แบคฮยอนไม่รู้เลยจริงๆ ว่าถ้าจะให้ลืมชานยอลได้จนสิ้น วันไหนเขาจะได้มีโอกาสเริ่มต้น

     

    ฮึก... ฮือ...

     

    ค่ำหน้ากับหมอนส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร อยากจะร้องให้คอแตก ระเบิดทุกอย่างทุกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใช่ ตอกย้ำกับตัวเองให้เจ็บจะได้จำ แบคฮยอนลืมชานยอลไม่ได้ ไม่ว่าจะในความรุ้สึกไหนก็ลืมไม่ได้ แล้วยังถูกแฟนใหม่ทิ้งเพราะเรื่องเดิมๆ ที่อยากจะหนีให้หมด

     

    ฮื่อ!

     

    ร้องออกมาให้หมด ไม่ต้องเสแสร้งทำเป็นรู้สึกอีกต่อไป แบคฮยอนไม่ได้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลบอะไรออกไปแล้วตั้งค่าใหม่ได้ง่ายๆ เขาไม่สมบูรณ์เหมือนอย่างใครๆ ที่อัดอั้นไว้ในใจ ที่ทำเหมือนไม่เป็นอะไรแค่ร้องออกมาวันนี้ให้หมด

     

    หมอนใบใหญ่เปียกไปด้วยคราบน้ำตา ความสัมพันธ์ที่แสนสั้นจบลงอีกครั้ง

     

    เงยหน้าขึ้นมาใช้สองมือเช็ดน้ำตาพร้อมกับสูดลมหายใขแล้วถามตัวเองว่าชีวิตมันจะมีเรื่องอะไรหนักหนากว่านี้อีก พอหันไปมองหนังสือสอบแบคฮยอนก็ได้คำตอบ

     

    ความรักมันแค่เหล้าของชีวิตที่ดีแต่มอมเมา แต่แบคฮยอนจะไม่ยอมให้เหล้าแก้วนั้นทำเขาเมาเกินกว่าวันนี้





     

     

    .


     

    .

     


    .

     


     





     

    เอ้า ชน!!

     

    ในวันสุดท้ายของการสอบมหาลัยนักศึกษาแทบทุกคณะรวมตัวกันที่ร้านเหล้าเพื่อเลี้ยงฉลองหลังจากบากบั่นผ่านการสอบที่แสนสาหัส แบคฮยอนกระดกโซจูในแก้วรวดเดียวหมดพร้อมกับส่งเสียงออกมาพร้อมเพื่อนๆ

     

    จบแล้วเว้ย! สี่ปี!!

     

    เฮ้!!

     

    กลุ่มนักศึกษากว่าสิบชีวิตดื่มดำและกล่าวคำอำลาอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรกำลังรอพวกเขาอยู่ต่อจากนี้ แบคฮยอนเพียงแค่ยิ้มออกมากัภาพมายาแห่งความสุข ขดตัวนั่งพิงกับโซฟาในมุมเล็กๆ มองเพื่อนๆ สนุกสนานกันทั้งที่ในใจอยากกลับไปซุกร่างกับเตียงใจจะขาด

     

    เขายังมีด่านต้องสอบทนายอีก ไหนจะเรื่องย้ายหอ ดูไม่ใช่วันที่เหมาะกับการเลี้ยงฉลองเท่าไหร่นัก

     

    แบค มึงไม่ไปนั่งข้างไอ้ไควะเซฮุนหันมาถามเพื่อนตัวเล็กทั้งยังทำท่าจะขยับเก้าอี้ให้ด้วยความหวังดี แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่ยกมือปรามพลางส่ายหัว

     

    ดวงตาเรียวรีจ้องมองอดีตแฟนหนุ่มนักศึกษาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และเขาก็มองมา... ใบหน้าคมออกอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก่อนต่างฝ่ายจะหันมองไปทางอื่น

     

    ทำไมวะ ทะเลาะกันอ่อคนตัวสูงโน้มใบหน้าลงมาถาม กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาลอยคลุ้งจนร่างเล็กต้องยกมือดันใบหน้าออกห่าง

     

    มึงนี่อยากรู้ทุกเรื่องเลยนะ

     

    ไว้กูถามมันก็ได้

     

    เซฮุนหัวเราะหึ เครื่องดื่มสีอำพันยังคงถูกเติมลงในแก้ว ในผับอึกทึกไปด้วยเสีงเพลงทั้งจากนักร้องและนักอยากร้อง แบคฮยอนได้แต่กอดอกนั่งฟังเพลงรักที่กำลังทำหน้าที่เหมือนมีดกรีดลงบนแผลในใจของใครต่อใคร ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องมานั่งทรมานตัวเองในที่ๆ ไม่รู้จักใคร และแบคฮยอนยิ่งเกลียดตัวเองเมื่อเพลงเกี่ยวกับแฟนเก่าทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า

     

    ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนคนตัวเล็กจะแอบหยิบกระเป๋าลุกยืนขึ้น แล้วค่อยๆ เนียนเดินย่องผ่านเพื่อนที่กำลังสนใจนักร้องบนเวลา ทำทีเหมือนจะไปเข้าห้องน้ำแล้วค่อยๆ เดินห่างออกไปช้าๆ เบียดเสียดผู้คนและนักเต้นมาจนถึงทางเข้า

     

    มือบางยันประตูผับเดินออกมายืนอยู่หน้าร้าน รู้สึกเหมือนหายใจโล่งจมูกขึ้นมาอีกนิดเมื่อไม่มีกลิ่นบุหรี่รบกวน ถ้าไม่ใช่งานสังสรรค์วันเกิดเพื่อนเขาก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เท่าไหร่

     

    แบคฮยอนมองนาฬิกาที่เพิ่งบอกเวลาแค่ห้าทุ่มเศษๆ ยังพอเหลือให้ผ่อนคลายอีกสักหน่อย มือบางล้วงเอามือถือขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนขะก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ

     

     

    백현 : กูออกมาแล้วนะ

     

     

    ก้มหน้าพิมพ์ข้อความส่งไปพอเงยขึ้นมาอีกทีก็มาหยุดอยู่หน้าร้านป้ายสีแดงที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจพาแบคฮยอนมาอยู่ที่นี่ คนตัวเล็กครุ่นคิดช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจก้าวเดินเข้าไปในร้าน ทว่าวันนี้เขาไม่ใช่นักศึกษาเงอะงะคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

     

    เสียงเพลงคลอเบาๆ กับแสงไฟหรี่นวล บรรยากาศสงบแบบผู้ใหญ่ทำให้แบคฮยอนผ่อนคลายมากกว่าอยู่ในผับที่มีแต่เสียงอึกทึก เขาตรงไปนั่งหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มที่คิดว่าเมาช้าที่สุดมา

     

    ขอเบียร์แก้วนึงครับ

     

    เหมือนเดิมแก้วนึง

     

    เสียงทุ้มจากด้านหลังที่ดังขึ้นพร้อมกันเรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันไปมอง ก่อนสายตาจะหยุดชะงัดเมื่อได้พบกับใบหน้าที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันใกล้ๆ อีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนสบกับดวงตากลมโต กลิ่นน้ำหอมของเขาถูกเจือจางลงด้วยกลิ่นแอลกอฮอร์เล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างนิ่ง ก่อนที่คนอายุมากกว่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

     

    ไม่ไปฉลองกับเพื่อนหรอ

     

    เจ้าของเสียงทุ้มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน เสียงที่ไม่ได้ยินมานานวันนี้ทำให้แบคฮยอนรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย

     

    นี่มันก็จะสองปีแล้ว ทำไมใจยังต้องสั่นอยู่ด้วยนะ...

     

    อาจารย์ยังไม่เลิกดื่มอีกหรอแทนที่จะตอบคำถามคนตัวเล็กกลับถามต่อ แบคฮยอนรับแก้วเบียร์ของเขามาจิบพลางจ้องใบหน้าของคนข้างกายอย่างพยายามไม่หลบสายตา

     

    ฉันมาพักผ่อนอาจารย์หนุ่มเพียงแค่ยกยิ้มจางๆ บนใบหน้า รับเอาแก้วเครื่องดื่มมาจิบเบาๆ

     

    ดวงตากลมโตยังคงหวานฉ่ำ ทรงเสน่ห์ไม่ต่างจากวันแรกที่ได้พบกัน รอยยิ้มไม้ประดับกับนัยน์ตาหวานเชื่อมที่มักซ่อนความขมขื่นไว้ภายใน เพียงแค่ได้เห็นมันอีกครั้งหัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบ และแบคฮยอนรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายตรงหน้ายังเป็นคนเดิม

     

    เธอเป็นยังไงบ้าง ยังทำงานที่ร้านอยู่หรือเปล่าเขาเอ่ยคำทักทายด้วยประโยคแสนเรียบง่าย

     

    การพบกันแบบซึ่งหน้ากับคนในอดีตทำแบคฮยอนรู้สึกแปลกไม่น้อย สัมผัสได้ถึงความเงอะงั่นในบรรยากาศและรสเฝื่อนของบทสนทนา อยากจะปั้นหน้ายิ้มทำตัวเหมือนเดิมแต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

     

    ครับ ยังทำอยู่ คงพักทำงานที่ร้านซักพักก่อนสอบทนาย

     

    อาจารย์แจอิมบอกว่าเธอทำเกรดได้ดีเลยนี่

     

    ก็พอได้ครับ แล้วอาจารย์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง

     

    อื้อ... ก็ดีคนตัวสูงยกยิ้มน้อยๆ พลางจ้องมองนักศึกษาตัวเล็กข้างกาย

     

    ใบหน้าหวานที่แสนคุ้นเคยกับรอยยิ้มสดใส แบคฮยอนยังดูเหมือนเดิม... เหมือนกับทุกๆ วันที่ชานยอลแอบมองใบหน้านี้ทุกครั้งที่พบเจอกัน

     

    ถ้าว่างก็แวะไปที่ร้านกาแฟบ้างนะครับ

     

    ไว้จะไปนะเขาเพียงแค่พยักหน้าก่อนที่ความน่าอึดอัดจะก่อตัวขึ้นในบรรยากาศอีกครั้ง เกิดเป็นช่องว่างระหว่างข้อศอกแม้จะมีเสียงเพลงคอยบรรเทาความเงียบ

     

    แบคฮยอนมองฟองเบียร์บนขอบแก้ว มีแต่เรื่องอยากถามเต็มไปหมดแต่อีกใจก็ไม่อยากรู้ ได้แต่ถามตัวเองว่าคิดถูกหรือเปล่านะที่มาที่นี่

     

    เอ่อ... แล้วตอนนี้ยัง... อยู่กับภรรยาไหมครับตัดสินใจอึกอักถามออกไปอย่างนึกเกรงใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้

     

    ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินคำถามแววตาของชายหนุ่มก็วูบไหวไปชั่วขณะ ชานยอลถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ กระดกเครื่องดื่มลงคอและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกไป

     

    ฉันกำลังถูกภรรยาฟ้องหย่าเขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าคมนิ่งสนิทซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้สีหน้าเฉยชาและแววตาอ่อนล้า

     

    เมื่อไหร่ครับ?” แบคฮยอนตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำว่าฟ้องหย่า หัวใจวูบตกไปที่ข้อเท้าเหมือนวัวสันหลังหวะที่กลัวว่าเรื่องนั้นจะเกิดเพราะความผิดตน

     

    จะปีนึงแล้ว

     

    เพราะผมหรือเปล่า...

     

    เธอคิดว่าเป็นเพราะเธอหรอคนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู ดอกไม้ที่เติบโตขึ้นเมล็ดของมันเป็นพันธุ์อะไรก็จะยังคงเติบโตเป็นสิ่งนั้น ต่อให้ไม่ใช่กับแบคฮยอนชานยอลก็จะยังคงเป็นสิ่งที่เขาเป็น

     

    ด้วยรักส่วนหนึ่งก็ใช่ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด

     

    ถูกฟ้องเรื่องอะไรบ้างหรอครับ เผื่อผมช่วยได้

     

    ฉันไม่เคยอ่าน แค่ให้ทนายจัดการ

     

    คุณจัดการทรัพย์สินหรือยัง?”

     

    ฉันไม่สนใจทรัพย์สินหรอก...นัยน์ตาสีดำสนิทหลุบมองแก้วเหล้าในมือ ทรัพย์สินทั้งหมดที่ชานยอลมีอาจต้องถูกแบ่งไปหรือต้องชดใช้จนล้มละลาย แต่สิ่งเดียวที่มีค่าสำหรับเขาไม่ใช่ของพวกนั้น ชานยอลยังอยากเป็นพ่อของลูกสาวที่เขารักหมดใจ

     

    เธอจะเอาลูกไปด้วยหรอ...

     

    อือ

     

    เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งพูดไม่ออก จ้องมองสีหน้าที่เคลือบแฝงด้วยความระทมของอีกฝ่าย รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กันที่มีส่วนทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่าง แม้ว่าชานยลอจะผิดที่ทำเรื่องนั้นแต่แบคฮยอนก็รู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับที่เขาเป็นพ่อเลย

     

    ขอดูเอกสารฟ้องได้ไหม เผื่อผมช่วยได้

     

    ชานยอลเหลือบสายตามองว่าที่ทนายตัวเล็ก จ้องมองนัยน์ตาสีอ่อนที่จับจ้องมาอย่างมีหวังกับใบหน้าหวานอันแสนคุ้นเคย

     

    ความรู้สึกเดียวที่มีในใจตอนนี้ก็ยังคงมีแต่คำว่าคิดถึง... สิ่งเดียวที่ชานยอลต้องการจากแบคฮยอนเสมอมีเพียงกำลังใจอย่างที่เคยเป็นมาตลอด เขาไม่เคยต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือเรื่องอื่นๆ

     

    หึ...ชายหนุ่มพ่นเสียงหัวเราะผ่านลมหายใจ รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ก็รู้สึกดีไม่น้อยที่ได้นั่งคุยกันวันนี้ ชานยอลหยัดแผ่นหลังขึ้นก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจ่ายค่าเครื่องดื่ม เอกสารอยู่ในรถฉัน ถ้าเธอยากได้

     

    จะกลับแล้วหรอครับ?”

     

    อื้อ ยังไงก็รบกวนด้วยนะเขากล่าวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะลุกยืนขึ้น ไม่อยากอยู่ให้นานกว่านี้เพราะกลัวจะเผลอใจ ฉันเลี้ยงแล้วกัน เดี๋ยวเอาเอกสารมาให้นะ

     

    ครับแบคฮยอนได้แต่พยักหน้าและหันมองคนตัวสูงเดินห่างออกไป แววตาที่แสนเหนื่อยล้าของเขายังคงติดอยู่ในใจ แบคฮยอนหวังเพียงว่าอาจจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง ถ้าหากเรื่องนี้มันมีต้นเหตุมาจากเขา

     

    สายตาที่จ้องมองมาเมื่อกี้มันอะไรกันนะ ทั้งรอยยิ้มและคำพูดเหมือนเหินห่าง...

     

    แต่แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ คาดหวังอะไรอยู่แบคฮยอน...

     


     

     

     

     

     

     

     

     

    อาจารย์แจอิมครับ ช่วยดูคดีนี้หน่อยได้ไหมครับ ขอร้อง

     

    รองเท้าผ้าใบสีใหม่เอี่ยมก้าวย่ำตามรองเท้าส้นสูงหนังมันปลาบ แบคฮยอนวิ่งตามอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาและพยายามโน้มน้าวอ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายช่วยรับคดีเรื่องฟ้องหย่าไปดูแล

     

    ทำไมฉันต้องทำด้วยล่ะ เจ้าตัวเค้ายังไม่เคยมาขอร้องเลยหญิงสาววัยกลางคนก้าวขาเดินฉับๆ ไม่แม้แต่จะหันไปมองลูกศิษย์คนโปรดที่มาดักรอหน้าตึกและพยายามขอความช่วยเหลือตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

     

    อาจารย์เค้าไม่อยากให้ใครเดือดร้อนหรอกครับ ถ้าอาจารย์ไม่ช่วย จารย์ชานยอลจะเสียลูกนะครับ

     

    อาจารย์สอนวิชากฎหมายชะงักเท้าไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองอดีตนักศึกษาในชั้นเรียน ดวงตาเฉี่ยวคมภายใต้กรอบแว่นจ้องมองเด็กหนุ่มราวกับอสรพิษเล็งเหยื่อ แบคฮยอนเป็นคนเดียวที่ไม่เคยกลัวสายตาแบบนี้ของแจอิม

     

    ถ้างั้นทำไมเธอไม่ทำเองล่ะ

     

    ผมทำไม่ได้ ผมยังไม่ได้สอบทนาย

     

    มันสำคัญกับเธอขนาดนั้นเลยหรอ

     

    ผม...แบคฮยอนพูดไม่ออก เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องดราม่าครอบครัว แต่ว่าผู้ชายคนนึงที่เสียสละมาตลอดเขาไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับการประนีประนอมเลยหรอ ผมรู้จักอาจารย์ชานยอล... เค้าควรได้รับโอกาส

     

    ทำไมต้องเป็นชานยอลตลอด แบคฮยอนอาจไม่รู้ภูมิหลังเรื่องราวของอดีตคนรัก แต่มั่นใจได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใครๆ... กฎหมายสอนสิ่งที่ผิดและถูก กำหนดเราและตัดสินเรา แต่ความเป็นมนุษย์ไม่ใช่สีขาวดำ...

     

    “...........”

     

    เราไม่ใช่ทนายความหรอครับ

     

    งั้นก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ถ้าเธอคิดว่ารู้จักเค้าดีก็เตรียมคดีนี้ ฉันจะขึ้นว่าความให้อาจารย์สาวกล่าวแค่นั้นก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง

     

    กว่าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็เดินขึ้นรถยนต์ไปแล้ว แบคฮยอนแกระโดดตัวลอย เก็บสีหน้ากลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าหากจะมีโอกาสสำคัญอะไรสักอย่างในชีวิตนี้แบคฮยอนก็คิดว่านี่คือบทพิสูจน์ของเขา

     


     

     

    .

     


    .

     

     

    .

     

     

     

     


     

    ยามดึกสงัดภายในห้องพักที่แสนเงียบเหงา เสียงเข็มนาฬิกาเดินติ๊กต่อก บรรยากาศรอบตัวเงียบเหงาจนได้ยินเสียงเปิดหน้ากระดาษและเสียงเคาะแป้นคีย์บอร์ด

     

    ว่าที่ทนายความตัวเล็กยังไม่หยุดทำงานแม้ว่าจะล่วงเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว และพรุ่งนี้แบคฮยนต้องตื่นไปเปิดร้านแต่เช้า

     

    ดวงตาเรียวรีกระพริบถี่ แบคฮยอนยกมือขึ้นดันกรอบแล้วกวาดสายตาอ่านสำนวนที่ตัวเองพิมพ์ๆ ลบๆ หลายรอบก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วกาแฟ แต่แล้วความเบลอก็ทำให้มือเผลอเขาปัดแก้วจนตกลงพื้น

     

    เหี้ย!คนตัวเล็กอุทานเสียงหลงใจหายวูบเมื่อคิดว่าแก้วกาแฟอาจหกใส่เอกสารสำคัญ แต่พอเห็นว่ามันตกลงพื้นก็ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    แบคฮยอนหยิบทิชชู่บนโต๊ะโปะลงไปบนผิวน้ำที่นองอยู่บนพื้นก่อนจะลุกขึ้นเก็บแก้วกาแฟ รู้สึกเหมือนตัวเองง่วงเบลอจนเกินไปแล้ว พอเหลือบสายตามองนาฬิกาถึงได้รู้ว่าเป็นเวลาตีสองกว่า

     

    คงถึงเวลาที่จะนอนพักบ้าง คนตัวเล็กพาร่างตัวเองไปล้มตัวลงบนที่นอน แผ่นแขนขาบนเตียงกว้างสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาเรียวรีหลับลง แต่แม้ในความมืดความคิดเรื่องเกี่ยวกับเขาก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว...

     

    ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างนะ อดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นตัวเขาเองหรือเปล่าที่เห็นแก่ตัวหนีปัญหาออกมาคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นพอนึกทวนไปถึงปัญหาก็คิดได้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นถูกต้องแล้ว

     

    บอกตัวเองว่าแค่อยากช่วยเขาเพราะความรู้สึกผิดที่ทิ้งให้อีกฝ่ายเจอปัญหา และนี่ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่แบคฮยอนอยากจะคืนให้กับผู้ชายที่ถูกพรากทุกอย่างไป

     

    เปลือกตาสีมุกลืมโพรงขึ้น พอคิดว่าอยากจะช่วยเขาให้ได้เลือดของความเป็นทนายก็พลุ่งพล่าน แบคฮยอนดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงไปนั่งหน้าคอมฯ อีกครั้ง ยังไงก็ต้องพิมพ์สำนวนให้เสร็จวันนี้แล้วส่งให้อาจารย์ตรวจ จะได้มีเวลาแก้

     

    แค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายเท่านั้นแหละ...

     




    .




    .




    .







     

    ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ร้านกาแฟเล็กๆ ในตรอกเงียบลงเป็นพิเศษ แม้จะมีกลุ่มลูกค้าประจำบางคนวนเวียนเข้ามาใช้บริการบ้าง วันนี้แบคฮยอนก็ยังทำหน้าที่เป็นพนักงานชงกาแฟและส่งมอบรอยยิ้มที่แสนสดใสให้กับลูกค้าเหมือนเดิม

     

    แบคฮยอน เช็คเครื่องเสร็จแล้วก็ไปพักได้เลย เดี๋ยวพี่เข้าต่อเอง

     

    ครับพี่

     

    กริ๊ง...

     

    เสียงกระดิ่งหน้าประตูเรียกคนตัวเล็กให้ต้องหันมองลูกค้าโดยอัตโนมัติ แบคฮยอนส่งยิ้มให้กับเจ้าของร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีอ่อนคุ้นตา เขาเดินไปยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ยิ้มรับและกล่าวทักทายกับอดีตลูกค้าประจำอย่างสดใสเหมือนทุกที

     

    วันนี้รับอะไรดีครับ

     

    เหมือนเดิม

     

    แม้จะไม่ได้มาใช้บริการนานแค่ไหนแต่แบคฮยอนก็ยังคงจำเมนูโปรดของคนตรงหน้าได้ เขายิ้มน้อยๆ ขณะกดใบเสร็จลงบนเครื่องก่อนจะรับเครดิตการ์ดมาชำระเงิน รู้สึกผ่อนคลายขึ้นกว่าการเจอกันครั้งแรกนิดหน่อย แต่ก็ยังเก้อเขินอย่างประหลาด

     

    จะทานนี่หรือรับกลับดีครับ

     

    ฉันหย่าแล้ว...

     

    คนตัวสูงทุ้มโพล่งคำพูดออกมาแทนที่จะตอบคำถาม ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ กับแววตาที่ดูผ่อนคลายลงกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน ชานยอลวางม้วนกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ สีหน้ามีความหวังของเขาทำเด็กหนุ่มอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้

     

    งั้นผมเลี้ยงเอง...

     

     

     

     

     

     

     

     

    บนโต๊ะกาแฟมุมในสุดของร้านพนักงานตัวเล็กนั่งอยู่ด้านหน้าลูกค้าประจำ ดวงตาเรียวรีกวาดอ่านผลการตัดสินคดีของศาลก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะปรากฏบนใบหน้า ถึงแม้ว่าชานยอลจะต้องแบ่งทรัพย์สินและจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยและดูเหมือนจะยับในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายคำว่า ได้รับแบ่งสิทธิ์เลี้ยงดูก็ทำให้เรื่องทุกอย่างออกมาดูดี

     

    สมกับเป็นอาจารย์เลยผู้ชายทนายตัวเล็กพึมพำด้วยความหลงใหล ก่อนจะส่งกระดาษคืนให้จ้าของ

     

    แบคฮยอนอยากมีส่วนร่วมกับคดีนี้มากๆ แต่มันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ รู้สึกผิดในใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าตัวเองอาจเป็นส่วนหนึ่งให้คนตรงหน้าต้องเจอปัญหานี้ แต่ก็พูดยากเหลือเกิน

     

    เพราะเธอเลยถึงได้ทนายเก่งๆ

     

    งั้นลูกก็มาอยู่กับคุณทุกวันหยุด

     

    อื้อ จนกว่าจะครบสิบแปด

     

    ดีจังเลยนะครับกล่าวออกไปพร้อมกับรอยยิ้มแสนจริงใจบนใบหน้า แบคฮยอนรู้ว่าไม่มีทางที่ศาลจะตัดสินคดีแบบนี้ได้เพราะแค่ทนายแน่ แชรินเองก็มีส่วนช่วยให้พ่อของเขาได้สิทธิ์เหมือนกัน

     

    ก็ดีกว่าที่คิดอาจารย์หนุ่มเขย่าแก้วกาแฟ อิงหลังพิงกับพนักโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลาย แล้วพ่อเธอเป็นยังไงบ้าง

     

    เมื่อได้กลับมานั่งคุยกันอีกครั้งการสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องการถามไถ่เรื่องทั่วๆ แม้จะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง กาแฟรสขมที่แสนคิดถึงกับกลิ่นหอมในร้านและรอยยิ้มของพนักงานตัวเล็กที่ทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้แสนวิเศษ และชานยอลก็ชอบมองเคาน์เตอร์ร้านจากวิวที่นั่งประจำที่เขาจะเห็นแบคฮยอนชงกาแฟทุกวัน

     

    สบายดีครับรอยยิ้มขืนปรากฏจางๆ บนใบหน้านวล ก่อนเขาจะเอ่ยต่อ แปลกจังนะ ผมไม่เคยเจอคุณเลย จำก็ไม่ได้ด้วย

     

    อื้อ ฉันไม่ค่อยได้ติดต่อพ่อเธอหรอก ที่จริงก็แทบไม่เคยติดต่อกัน

     

    ทำไมล่ะครับ

     

    ฉันเป็นลูกติดแม่ อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีพอแม่หย่าฉันก็ไม่ได้ติดต่อหาพ่ออีก ไม่ค่อยเจอกันหรอก

     

    งั้นก็ไม่ใช่พี่น้องกัน... แท้ๆ หรอนัยน์ตาสีอ่อนสบจ้องกับคนอายุมากกว่า อึกอักเอ่ยถามออกไปพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่อีกฝ่ายจะระบายยิ้มออกมา

     

    อือ แต่ฉันไม่ได้มาพูดเพราะเหตุผลอะไรหรอก แล้วพ่อเธอก็คงไม่สบายใจชานยอลยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม แม้ว่าตัวเขาเองกับแบคฮยอนจะไม่ได้มีสายสัมพันธ์แบบนั้น แต่ก็ใช่ว่ามันจะถูกต้องหรอก

     

    ทำไมตอนนั้นคุณไม่บอกผม

     

    ฉันไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดั่งเคย ตอนนั้นพวกเขาเหมือนตกนรกทั้งเป็นแบคฮยอนทั้งโกรธทั้งเสียใจ หรือต่อให้ไม่ใช่เรื่องนั้นชานยอลก็ยังมีครอบครัวที่เป็นเรื่องสำคัญกว่า ทำอย่างกับว่าถ้าฉันบอกเธอจะยอมกลับมา

     

    “.............”

     

    แบคฮยอนได้แต่นิ่งเงียบจ้องมองแววตาอ่อนโยนของเขาที่ซ่อนความเหนื่อยล้ามากมายไว้ภายใน ใบหน้าที่มักเคลือบแฝงด้วยรอยยิ้มเสมอ ตลอดเวลาที่คบกันชานยอลไม่เคยพูดเรื่องตัวเอง เขามักทำตัวเงียบๆ เหมือนคนแก่เรียนทั่วไป แบคฮยอนจะแค่รู้ได้เองว่าเขาต้องการใครบางคนจากการแสดงออกบางครั้งและแบคฮยอนก็อยู่ตรงนั้น

     

    ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์แบบของทุกคนไม่ได้หรอก...มือหนาเขย่าแก้วกาแฟที่เริ่มพร่อง สายตาจดจ้องหยดน้ำที่เกาะอยู่รอบแก้ว บางทีฉันแค่... อยากมีชีวิต

     

    แล้วแชรินเป็นยังไงบ้าง

     

    ดี เธอเข้าใจฉันกว่าใครบนโลกนี้ชานยอลว่าแล้วก็พ่นเสียงหัวเราะผ่านลมหายใจ

     

    ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยเปิดใจคุยกัน

     

    อือ...

     

    คนตัวเล็กได้แต่ถอนลมหายใจหลุบตาลงมองพื้นโต๊ะ แบคฮยอนไม่เคยรู้จักอดีตคนรักของเขาในด้านอื่นๆ เลยเพราะคิดแค่ว่าอีกฝ่ายชอบความเป็นส่วนตัว แล้วชานยอลก็ไม่เคยทำอะไรให้แบคฮยอนเคลือบแคลงใจในความรักของเราเลย

     

    ฉันรู้ว่าเธอโกรธ เธอยอมรับไม่ได้ แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนตัวน่ารังเกียจ

     

    “...............”

     

    แล้วเธอกับเด็กคนนั้นล่ะ

     

    เลิกกันไปตั้งนานแล้ว

     

    แบคฮยอนหัวเราะเจื่อน บรรยากาศการชวนคุยที่แสนพิลึกทำให้รู้สึกเหมือนจิบชาเฝื่อนๆ ที่ถูกทิ้งให้เย็นในถ้วย อดีตคู่รักที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยพูดคุยกันซักเรื่อง เป็นแค่ความสบายใจของกันและกันในขอบเขตก่อนจะถูกมรสุมพัดจนทุกอย่างราบเป็นหน้ากอง

     

    “................”

     

    “.................”

     

    ฉันคิดถึงเธอนะ...

     

    สุดท้ายก็กล่าวออกไป เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นท่ามกลางความน่าอึดอัด ชานยอลหยักยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอให้แบคฮยอนกลับไป แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาชานยอลก็แค่ยังคิดถึงแบคฮยอนทุกวัน ยังจำทุกความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกความสัมพันธ์คืนมา เมื่อรอยร้าวนั้นมากเกินเยียวยา

     

    คำว่า คิดถึงอาจเป็นเพียงประโยคบอกเล่าความรู้สึกเล็กๆ ของชายวัยกลางคนที่ไม่มีอะไรต้องเสียอีกต่อไป

     

    ไม่มีเสียงตอบรับใดจากคนฟัง แบคฮยอนเพียงแค่จ้องมองนัยน์ตากลมโตที่เขาเคยหลงรักก่อนจะคลี่จางๆ ยิ้มบนใบหน้า...

     

    อย่างน้อยนี่อาจเป็นสัญญาณดีของการไม่เกลียดกัน...

     

     

     

     

     

    .

     


    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

    เอาแต่เหม่ออีกแล้ว คิดถึงเค้าหรือไง

     

    เสียงพี่สาวเจ้าของฉุดสติพนักงานตัวเล็กที่เอาแต่นั่งเหม่อ ศีรษะทุยถูกผลักเบาๆ แบคฮยอนมุ่ยหน้าก่อนจะลุกขึ้นหยิบถาดไปที่หลังเคาน์เตอร์ ช่วงนี้ในหัวเขาเอาแต่คิดเรื่องของนั้นไม่หยุดหย่อน

     

    เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนเอาแต่นึกถึงเรื่องชานยอล ทั้งด้วยความกังวลและความรู้สึกสับสนมากมาย ผิดชอบชั่วดีตีกันมั่วไปหมด เข้าใจยากเสียยิ่งกว่าข้อสอบศีลธรรมของทนาย

     

    พี่ว่าเค้าเป็นไง

     

    คุณชานยอลน่ะหรอ

     

    อื้อ

     

    ดี หล่อดี

     

    ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น?”

     

    ก็ถ้าเค้าหย่าแล้ว มันก็ไม่ผิดหรอกใช่ไหมล่ะ แต่ลูกค้า... ฉันไม่รู้สิซูจีเลิกคิ้วพลางส่ายหัวไปมา กับหนุ่มวัยกลางคนที่มีลูกติดแถมยังเพิ่งหย่ากับภรรยา มีแต่ความสัมพันธ์ที่ทับซ้อนกันไปหมด มีแต่นายที่รู้ไม่ใช่หรอ? นายรู้จักเค้านี่

     

    หญิงสาวยักไหล่ ความรู้สึกของแบคฮยอนก็มีแต่แบคฮยอนเท่านั้นที่รู้ สำหรับซูจีอย่างมากเธอรู้แค่ว่าลูกค้าคนโปรดจะสั่งอะไรเท่านั้นเอง

     

    เฮ้อ...

     

    กริ๊ง...

     

    ทันทีที่เสียงกระดิ่งโมบายดัง สองสายตาของพนักงานก็หันไปมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แบคฮยอนส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับลูกค้าประจำก่อนจะหลุบสายตามองเจ้าตัวเล็กอีกคนที่เดินเข้ามาในร้านด้วย เขารีบตรงไปยืนประจำเคาน์เตอร์ แอบสบตากับพี่สาวเจ้าของร้านเล็กน้อยและกล่าวคำต้อนรับ

     

    วันนี้รับอะไรดีครับประโยคประจำตัวของพนักงานถูกเอ่ยขึ้น แต่คราวนี้ไม่ใช่กับลูกค้าตัวโต แบคฮยอนส่งยิ้มโน้มกายลงถามสาวน้อยที่ยืนเกาะเคาน์เตอร์เลือกเมนูอย่างกระตือรือร้น

     

    เอาอันนี้ค่ะปลายนิ้วเล็กๆ ชี้ไปบนเมนูสตอร์เบอร์รี่มูสสีสดใส ความน่ารักของดวงตากลมโตที่เหมือนกับพ่อของเธอทำแบคฮยอนอดเอ็นดูไม่ได้

     

    สตอว์เบอร์รี่มูสแก้วใหญ่นะครับ

     

    แล้วก็อเมริกาโน่ด้วยค่ะ

     

    คราวนี้คนเป็นพ่อไม่ต้องเสียแรงสั่งเอง แบคฮยอนหัวเราะน้อยๆ ขณะกดปลายนิ้วลงบนเครื่องออกใบเสร็จ อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าสบตาคนตรงหน้าขึ้นมาซะอย่างนั้น

     

    ทั้งหมด 365 บาทครับ

     

    พรุ่งนี้เธอว่างหรือเปล่า

     

    ขณะยื่นมือไปรับการ์ดคำถามจากเจ้าของเสียงนุ่มทุ้มก็เรียกพนักงานตัวเล็กให้ต้องเงยหน้าขึ้นสบตา หัวใจดวงเล็กกระตุกวูบเมื่อได้เห็นแววตาที่แสนดึงดูดกับรอยยิ้มเล็กๆ ของเขา ประกายของความสุขที่แสดงออกผ่านสีหน้า ราวกลับเรื่องราวในวันนั้นได้ย้อนกลับมา ทุกภาพ ทุกความรู้สึก

     

    ที่อัดแน่นอยู่ในใจตอนนี้...

     

    เอายังไงดีแบคฮยอน...

     

     

    ....

     

     

     

    ว่างครับ

     

     

    สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนอายุมากกว่า รอยยิ้มติดเสียงหัวเราะเล็กๆ กับแววตาสุกประกายที่แสนคิดถึง

     

    ทั้งที่คิดว่ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่เพียงแค่ได้เห็นสายตาของเขาอีกครั้งแบคฮยอนก็ย้อนกลับไปเป็นเด็กชายคนเดิมที่วิ่งตามอาจารย์ต้อยๆ

     

    ชานยอลแทบเก็บรอยยิ้มไม่อยู่หลังจากที่ไม่ได้เจอเรื่องที่ทำให้พัวใจพองโตมาเป็นเวลานาน เขาจูงมือลูกสาวไปนั่งยังที่นั่งประจำ

     

    สองพ่อลูกนั่งเคียงข้างกันช่วยกันเลือกเมนูขนมหวานช่างเป็นภาพที่แสนน่าเอ็นดู และนั่นก็เป็นสิ่งที่แบคฮยอนอยากจะเห็นมากที่สุด ดวงตาเรียวรีจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดู กว่าจะรู้ตัวว่ามัวแต่เหม่ออีกฝ่ายก็เหลือบสายตาขึ้นมาสบมอง

     

    เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกเล็กๆ ถูกส่งผ่านถึงกัน เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าที่ทำให้หัวใจเต้นอีกครั้ง

     

    แบคฮยอนรีบตรงไปยังเครื่องชงกาแฟเพื่อทำเมนูเครื่องดื่ม ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล

     

    ความรู้สึกวันนี้แม้จะต่างจากเมื่อวันวาน แต่ก็ยังคงหวานเหมือเดิม...

     

     

     

     .


    .



    .




     

    วันอาทิตย์นี้แบคฮยอนไม่ได้ไปทำงานที่ร้านเพราะมีนัดสำคัญกับคนที่อยากปรับความเข้าใจ เวลาเก้านาฬิการองเท้าผ้าใบสีเดิมคู่เดิมยืนอยู่ตรงป้ายรถเมล์หน้าหอพัก

     

    รถยนต์คันสีดำสนิทเปิดไฟหักเลี้ยวเข้ามาชิดทางเท้าและชะลอจอดลงตรงหน้า แบคฮยอนเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถไม่ได้มาคนเดียว

     

    พี่ร้านกาแฟ!

     

    เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวตัวน้อยดังขึ้นมาจากทางเบาะหลัง ทำเอาคนมาใหม่รับมือไม่ทัน แบคฮยอนจ้องตาอดีตคนรักของเขาเพื่อขอคำอธิบายแต่ก็มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย

     

    ขึ้นมาสิ

     

    เอ่อ...

     

    เมื่อไม่มีทางเลือกแต่แบคฮยอนก็ต้องตัดสนใจขึ้นไปนั่งบนรถพร้อมกับดึงเข็มขัดมาคาด แม้ในใจจะยังมีแต่คำถาม รู้สึกเกร็งเหมือนถูกมัดมือชกยังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง ต้องทักทายแบบลูกค้าไหมหรือว่าแค่นั่งเฉยๆ ก็พอ

     

    ทำไมคุณไม่บอกผม...คนตัวเล็กหันไปกระซิบถามเบาๆ กับคนขับก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เจ้าตัวเล็กข้างหลังเหมือนเวลาเจอกันที่ร้าน

     

    ฉันต้องไปส่งแชรินเรียนพิเศษ

     

    อ๋อ... ครับพอได้คำตอบเขาก็พยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากผูกสัมพันธ์หรอกแต่มันคงเร็วเกินไปสำหรับแบคฮยอน

     

    ไหนปะป๊าบอกว่าจะให้หนูไปด้วยไงคะ

     

    หนูต้องไปเรียนเปียโนไงคะ ถ้าหนูไม่ไปครูจะสอนใครล่ะคนเป็นพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนฟังพลางเคาะนิ้วลงกับพวงมาลัยก่อนจะว่าต่อ วันนี้พ่อมีธุระกับแบคฮยอน

     

    ไหนบอกว่าจะไปเที่ยวไงคะ

     

    ก็... ไปเที่ยวแบบผู้ใหญ่ไงคะ

     

    แบคฮยอนได้แต่แอบหัวเราะน้อยๆ กับความแสนรู้ช่างพูดช่างจาของเด็กสาวที่ทำเอาคนเป็นพ่อตอบไม่ถูก

     

    แล้ววันนี้เราจะไปกันหรอครับ

     

    เธออยากไปไหนล่ะ

     

    จริงๆ ไปที่ไหนก็ได้ครับ

     

    หนูอยากไปดูปลาที่อคาเรี่ยมเสียงเด็กสาวพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับยื่นหน้าออกไปตรงช่องว่างระหว่างเบาะ ก่อนจะถูกผู้เป็นพ่อดันหัวกลับเข้าไปด้านหลัง

     

    หนูไม่ได้ไปด้วยซักหน่อย

     

    โถ่

     

    ถ้าไม่รักษาระเบียบก็เป็นหมอไม่ได้หรอก แบคฮยอนก็เป็นทนายนะ รู้ไหม

     

    จริงหรอคะ?!”

     

    พอได้ยินคำว่าทนายแชรินก็หูผึ่งออกอาการอยากรู้อยากเห็น ส่วนว่าที่ทนายตัวจริงก็ได้แต่ยิ้มแก้เขินกับสาวน้อย อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูดโยนระเบิดใส่ยังไงไม่รู้

     

    โตขึ้นไปแชรินอยากเป็นอะไรหรอ

     

    เป็นผู้นักจิตวิทยาค่ะ

     

    แบคฮยอนส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ แก้เก้อพลางคิดว่าเด็กคนนี้อายุกี่ขวบกันเนี่ย จำได้ว่าตัวเขาเองตอน 8  ขวบยังอยากเป็นอุลตร้าแมนอยู่เลย

     

    ทำไมอยากเป็นนักจิตวิทยาล่ะ

     

    อยากเป็นเหมือนคุณพ่อค่ะ

     

    คำตอบที่แสนเรียบง่ายแต่สะท้อนให้เห็นถึงความนับถือที่เด็กสาวมีต่อผู้เป็นพ่อ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นลูกสาวอาจารย์ เธอฉลาด แบคฮยอนสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจของเด็กสาวที่มีต่อคุณพ่อของเธอแบบเต็มร้อย เหมือนเห็นอีกฝ่ายเป็นต้นแบบที่อยากจะเอาอย่าง

     

    แล้วคุณพ่อเป็นยังไงหรอ

     

    คุณพ่อใจดีค่ะ

     

    คำพูดเพียงแค่นั้นก็สามารถคลายปมสงสัยกับหลายสิ่งหลายอย่างที่แบคฮยอนอยากรู้ได้เป็นอย่างดี รู้สึกดีใจแทนอีกคนที่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนที่เข้าใจและคอยอยู่เตียงข้างเขาอยู่บนโลกใบนี้

     

    คนตัวเล็กหยักยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้าเมื่อเด็กสาวหันไปสนใจรูบิคที่อยู่ในมือแทน รู้สึกโล่งใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าทำไมแต่แบคฮยอนแค่รู้สึกว่าอุปสรรคที่มีอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มากมายอย่างที่คิดเลย

     

     

     


    .

     


    .



     

    .

     


     

     


    กว่าจะขับรถกลับถึงบ้านหลังจากใช้เวลาทั้งวันไปกับการเที่ยวเล่นและสร้างความคุ้นเคยกันก็เกือบสามทุ่ม ไหนจะต้องขับรถไปกลับหลายที่

     

    บานประตูถูกปิดงับอย่างเบามือเพื่อไม่ให้รบกวนเด็กน้อยที่กำลังหลับไหลอยู่ในอ้อมอกคนเป็นพ่อ ชานยอลอุ้มร่างลูกสาวขึ้นบันไดไป ปล่อยให้คนตัวเล็กได้แต่ยืนเก้กังอยู่ตรงโถงด้านล่าง

     

    แบคฮยอนกวาดสายตามองรอบๆ บ้านที่ดูสวยกว่าที่คิดไว้ ทว่ากลับไร้จิตวิญญาณ ของทุกอย่างถูกวางเป็นตำแหน่งเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือจัดบ้านแต่ไม่มีคนใช้งาน

     

    เขาเดินไปทิ้งกายนั่งลงบนโซฟา ถอดกระเป๋าเป้วางไว้บนพื้น หลุบตามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาใกล้สี่ทุ่มแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าของบ้านก็เดินลงมาจากชั้นสอง ชานยอลหายเข้าไปในครัวเพียงครู่ก็ออกมาพร้อมขวดน้ำเย็นในมือ

     

    อยากกินอะไรไหม

     

    ไม่ครับ แชรินหลับแล้วหรอ

     

    อื้อ ปกติหลับตั้งแต่สามทุ่มแล้ว

     

    คนตัวเล็กเพียงแค่พยักหน้าหงึกหงัก รับเอาขวดน้ำมาดื่ม พอได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในความเงียบแล้วก็รู้สึกได้ถึงความน่าอึดอัดเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

     

    คุณอยู่ที่นี่คนเดียวหรอ

     

    เปล่าหรอก ปกติฉันอยู่ที่คอนโด กลับมาเฉพาะวันที่แชรินอยู่ชานยอลถอดนาฬิกาวางไว้บนโต๊ะ คลายกระดุมข้อมือและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนออก

     

    อยู่ที่เดิมหรอครับ

     

    อือ

     

    วันหยุดก็ต้องดูแลลูกคนเดียวหรอครับ เหนื่อยแย่

     

    ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดูแลคนตัวสูงพ่นเสียงหัวเราะผ่านลมหายใจก่อนจะหันไปมองเจ้าของร่างเล็กที่กำลังจ้องมองมา สองสายตาสบกันอยู่ชั่วขณะ บรรยากาศรอบตัวเงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา

     

    ชานยอลค่อยๆ ลดกายลงข้างคนอายุน้อยกว่า ใบหน้าคมที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำแบคฮยอนต้องขยับกายถอยจนแผ่นหลังชิดพนักโซฟา ดวงตากลมโตที่สอบมองมาทำเอาเกร็งจนต้องกลั้นหายใจ มือบางกำขมวดน้ำแน่น.... ก่อนที่เขาทรุดกายลงนอนบนตัก

     

    ศีรษะของคนตัวโตวางทับอยู่บนหน้าขา ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดบ้าอะไร ดวงตาเรียวรีหลุบมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นอนหนุนอยู่บนตัก เปลือกตาหลับพริ้มลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอแลดูสงบ

     

    คนตัวเล็กถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไร แต่แบคฮยอนก็ไม่รู้ว่าเขามานั่งทำอะไรที่นี่ แถมยังต้องรับหน้าที่เป็นหมอนหนุน

     

    อาจารย์...

     

    แค่ 10 นาที

     

    ไม่ทันต้องพูดจบอีกฝ่ายก็เอ่ยออกมาราวกับรู้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นคนตัวเล็กก็ไม่ขัดข้อง สิบนาทีแลกกับการได้เยียวยาความเหนื่อยล้าของเขามันก็ดี

     

    มือบางวางลงบนกลุ่มเส้นผมสีดำสนิท ลูบสางเบาๆ ขณะจ้องมองใบหน้ายามหลับใหลของดีตคนรัก ดวงตากลมโตกับแพ้ขนตาสั้นๆ และจมูกโด่งได้รูป แม้ในยามที่หลับใหลใบหน้าของชานยอลยังคงดูงดงาม สายตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มที่ทุกคนพากันหลงใหล

     

    ใครจะรู้ว่าเขาเก็บซ่อนอะไรไว้ในใจบ้าง ถึงตอนนี้แบคฮยอนก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นกันใหม่ได้ยังไง แม้ว่าจะไม่มีครอบครัวของอีกฝ่ายหรือเรื่องสายเลือดเข้ามาเกี่ยวพันแล้วก็ตา

     

    สุดท้ายคิดไปก็มีแต่จะปวดหัว ก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    อยากย้อนกลับไปตอนนั้นจัง ถ้าเรื่องมันเกิดถูกที่ถูกเวลาก็คงจะดีกว่านี้หรือเปล่านะ....

     

     

     



     

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แรงขยับยุกยิกบนขาปลุกคนตัวเล็กที่กำลังนั่งสัปหงกให้สะดุ้งตื่นขึ้น แบคฮยอนตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเด็กสาวตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้า แชรินยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากส่งเสียงชู่วเบาๆ ขณะเอาผ้าห่มผืนใหญ่ห่มคลุมให้กับผู้เป็นพ่อที่ยังนอนหลับสนิท

     

    เขามองคนอายุมากกว่าที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่บนตัก แถมมีคนเอาผ้ามาห่มให้

     

    ยังไม่ทันจะได้กล่าวอธิบายอะไรสาวน้อยก็หันหลังวิ่งกลับขึ้นบันไป พอหลุบมองนาฬิกาถึงได้เห็นว่าตอนนี้ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ขาแบคฮยอนชาไปหมดแถมยังง่วงไม่น้อย พอเห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิทก็ไม่กล้าปลุกเขาขึ้นมา

     

    คนตัวเล็กหันซ้ายมองขวาก่อนจะคว้าหมอนข้างตัวมาแล้วค่อยๆ ขยับศีรษะอีกฝ่ายให้เกยขึ้นหนุนหมอนอย่างเบามือ ก่อนที่ตัวเองจะเขยิบไปนั่งหลับสัปหงกอยู่ข้างๆ ต่างคนต่างหลับด้วยความเหนื่อยล้า

     

    อากาศหนาวเย็นในช่วงค่ำคืนทำให้แบคฮยอนต้องกอดตัวเอง ถ้าได้ผ้าห่มสักผืนก็คงดี แต่สุดท้ายความอ่อนเพลียก็ทำให้เขาต้องหลับไปโดยใช้กระเป๋าเป้เป็นหมอนหนุน...

     

     




     

     

    แสงแดดแยงตาในยามเช้าปลุกร่างเล็กที่ยังสะลึมสะลือให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น ศีรษะทุยถูไถไปกับหมอนใบใหญ่ สัมผัสนุ่มทำแบคฮยอนแทบไม่อยากลุกจากเตียง เขาคว้าเอาผ้านวมมากอดก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตัวเองไม่ได้นอนอยู่บ้าน

     

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่ดวงตาเรียวรีจะกวาดไปรอบๆ ห้องแล้วก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอน ขณะที่งงงวยอยู่ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรกฏตัวของเจ้าของบ้าน

     

    ตื่นแล้วหรอชานยอลส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับเด็กหนุ่มที่ยังนอนเกลือกกายบนที่นอน ใบหน้าขมวดมุ่นกับทรงผมยุ่งๆ ทำให้คนตรงหน้ายิ่งน่าเอ็นดู

     

    ลูกคุณล่ะ

     

    ไปส่งคืนแม่แล้ว

     

    คุณพาผมมานอนหรอ

     

    อือ ผ้านวมดีกว่าผ้าห่มไม่ใช่หรอชานยอลส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนเตียง อยากกินอะไรไหม

     

    นี่กี่โมงแล้ว

     

    เพิ่งเจ็ดโมงครึ่งเอง

     

    แบคฮยอนซุกหน้าลงผ้านวมผืนหนาเกลือกใบหน้าลงบนเตียงนอนที่มีกลิ่นครีมอาบน้ำประจำตัวเจ้าของห้องก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นด้วยสภาพหัวยุ่งฟู

     

    ผมต้องไปทำงาน

     

    ได้สิ เดี๋ยวฉันไปส่ง

     

     


     

     

     



    น้ำร้อนควันโขมงถูกรินลงในแก้วทรงสูงผ่านถ้วยกระดาษที่บรรจุเมล็ดกาแฟบดละเอียด แบคฮยอนใส่น้ำมะพร้าวกับเนื้ออีกเล็กน้อยแทนน้ำตาลก่อนจะเติมน้ำแข็งลงไป สัมผัสจากฝ่ามือที่แตะลงบนเอวทำคนตัวเล็กเผลอสะดุ้ง กลิ่นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยลอยคลุ้ง รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จากด้านหลัง

     

    เอากาแฟไหม

     

    ชงให้ฉันแก้วนึงสิ

     

    เสียงทุ้มดังกระชิดข้างใบหู อาจารย์หนุ่มลดใบหน้าลงขนานกับพวงแก้ม พ่นลมหายใจร้อนลดผิวขาว ก่อนจะวางหน้าผากซบลงบนบ่าร่างเล็กตรงหน้า ไม่มีการรุกล้ำใดๆ ชานยอลต้องการเพียงได้สูดกลิ่นหอมของกาแฟบนเสื้อผ้าของแบคฮยอน

     

    เมื่อคืนหลับดีไหม

     

    อื้อ...

     

    เรียกว่าเป็นคืนแรกที่ชานยอลหลับได้อย่างสนิทใจตลอดสองปีที่ผ่านมาคงถูกกว่า

     

    “............”

     

    ฉันคิดถึงเธอ

     

    “.............”

     

    แต่ฉันไม่ขอให้เธอตัดสินใจเพื่อฉันหรอก

     

    รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรจากเรื่องที่ทำไปทั้งหมด ชานยอลยังใช้เวลาของเขาคิดถึงแบคฮยอนแต่ก็รู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ชานยอลไม่กล้าแม้แต่จะขอให้แบคฮยอนตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไป เขาเพียงแค่หยุดอยู่ที่เดิม

     

    คนตัวเล็กถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมิงผิวน้ำนิ่งในแก้วกาแฟก่อนจะหมุนกายหันไปเผชิญหน้ากับคนอายุมากกว่า สองมือยกขึ้นปะครองใบหน้าที่ซูบผอมลงกว่าตอนที่เจอกัน จ้องลึกเข้าไปในยังนัยน์ตาสีดำสนิท

     

    ความใกล้ชิดชักพาความรู้สึกเก่าๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในใจออกมาโลดแล่น กลิ่นเดิมยังคงเด่นชัดแต่มีหลายอย่างที่ทำให้แบคฮยอนต้องคิดให้มากกว่าเดิม เรื่องราวจะได้ไม่ซ้ำรอยเหมือนกับตอนที่เราต่างถูกดึงดูดเข้าหากันด้วยความหลงใหลอย่างสิ้นคิด

     

    แขนเรียวเกี่ยวรั้งต้นคอคนตัวสูงลงมาซบบ่า วางมือลงบนศีรษะโอบแผ่นหลังกว้างเอาไว้หลวมๆ ไม่มีหยดน้ำตา ไม่มีความรู้สึกทรมานใจ เพราะแบคฮยอนผ่านวันที่เจ็บมากที่สุดไปแล้ว...

     

    รอยแตกที่มากขนาดนี้ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

     

    ชานยอลรั้งร่างตรงหน้าเข้ามากอดกระชับแน่น รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมแต่กลับมีกำแพงสูงกั้นตรงกลาง อยู่เพียงตรงหน้าแต่ไม่สามารถคว้ามาสัมผัสได้...

     

    คนตัวเล็กผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ถ้ารักที่จะมีต่อไปมันต้องเหนื่อยแบคฮยอนก็ไม่อยากฝืนดันทุรัง แต่ความโหยหาที่โอบพันอยู่รอบตัวเขาตอนนี้กลับชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกใด ความโดดเดี่ยวจากเบื้องลึกของหัวใจ...

     

    “..............”

     


     



    .



    .




    .

     

     

     


     

    เวลาสิบเอ็ดโมงเช้าแบคฮยอนมาที่ร้านกาแฟตรงเวลาแล้วก็พบกับพี่สาวเจ้าของร้านที่กำลังจัดเรียงแก้วอุปกรณ์อยู่หลังเคาน์เตอร์ วันนี้ก็ยังคงเหมือนกับทุกๆ วัน ช่วงสายมักไม่ค่อยมีคนมากนัก และแบคฮยอนก็ใช้เวลาว่างกับการเตรียมตัวสอบทนาย

     

    กริ๊ง...

     

    พัสดุมาส่งค้าบ

     

    เมสเซนเจอร์หนุ่มในเสื้อแจ๊คเก็ตสีกรมท่าเปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้สีฟ้าสลับขาวในมือ แบคฮยอนหันมองเพื่อนสนิทคนใหม่ของเขาพลางยกยิ้มเล็กๆ ขึ้นบนใบหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปเซ็นรับช่อดอกไม้ที่ถูกส่งมาที่ร้านเหมือนทุกวัน

     

    เอาคาปูชิโน่แก้วนึงด้วยครับพี่เด็กหนุ่มเปิดหมวกกันน็อคสั่งกาแฟกับพี่สาวพนักงาน เมื่อมาถึงร้านแล้วจะไม่สั่งอะไรเลยก็อดใจไม่ไหว กลายเป็นร้านกาแฟแห่งนี้ได้ลูกค้าประจำเพิ่มไปอีกคน สั่งดอกไม้มาส่งทุกวันเลยนะครับ

     

    คนตัวเล็กเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะน้อยๆ เมื่อพนักงานส่งของคิดว่าทางร้านสั่งดอกไม้มาเปลี่ยนใส่แจกันทุกวัน เขาพลิกป้ายที่ระบุชื่อคนส่งชัดเจนแล้วดึงมันออกก่อนจะนำช่อดอกไม้ไปใส่แจกันหน้าเคาน์เตอร์ เก็บไว้เพียงป้ายชื่อของทุกๆ วัน

     

    ดอกไม้เหี่ยวเฉา โรยราและแห้งลง แต่ชื่อขงเขาจะยังอยู่ไปอีกนาน

     

    นายยังไม่คืนดีกับเขาอีกหรือไงซูจีหัวเราะเบาๆ ขณะคนแก้วกาแฟในมือ ดอกไม้ที่ถูกส่งมาถึงพนักงานที่ร้านทุกวันทำให้ร้านกาแฟแห่งนี้อบอวลไปด้วยความรักจนน่าหมั่นไส้

     

    ไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย

     

    เหมือนเค้าพยายามง้อนายเลยนะ

     

    เป็นอย่างงั้นหรอ?” แบคฮยอนหัวเราะร่วน เขามองช่อดอกไม้ในแจกันก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อช่วยพี่สาวเตรียมแก้วกาแฟ

     

    เพราะว่าการจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมทั้งที่มีรอยแผลใหญ่บากอยู่กลางใจมันยาก การพยายามเริ่มต้นใหม่อาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า

     

    แล้วเสาร์นี้จะหยุดอีกไหม

     

    ครึ่งวันครับ

     

    อื้อ... ถ้าคิดว่าทำถูกแล้วก็ทำไปเถอะนะ พี่ว่าเด็กคนนั้นก็ดูชอบนายนะ ไม่ค่อยเห็นเด็กฉลาดแบบนี้หญิงสาวว่า

     

    แชรินน่ะหรอครับ

     

    อื้อ ไปนั่งคุยด้วยวันก่อน พูดจาฉลาดดีนะ รู้เลยว่าพ่อเค้าเป็นยังไงแก้วกาแฟถูกส่งต่อให้พนักงานอีกคน ถึงแม้ว่าซูจีจะไม่ค่อยเข้าใจปัญหาความสัมพันธ์ซับซ้อนของแบคฮยอนนัก แต่สิ่งเดียวที่เธอสามารถบอกได้คือแชรินไม่ใช่เด็กที่ควรประเมินต่ำเลย

     

    ผมก็คิดแบบนั้น

     

    รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหวาน แบคฮยอนรู้ได้ทันทีเลยว่าแชรินเป็นเด็กพิเศษตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แววตาครุ่นคิดเหมือนพ่อ ใช้คำพูดซับซ้อนอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าถูกสั่งสอนจากใคร แต่บางครั้งก็รู้สึกเขินพิลึกที่อยู่ต่อหน้าเด็กสาว

     

    แล้วตกลงจะกลับไปดีกับเค้าหรือยังล่ะ

     

    ไม่หรอกครับ มันจบไปแล้วคนตัวเล็กเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะว่าต่อ ผมไม่ชอบที่ต้องรู้สึกฝืนถ้าจะกลับไปเป็นแบบเดิม ค่อยๆ ปล่อยให้มันดีขึ้นเองดีกว่า

     

    เพราะว่าครั้งแรกที่แบคฮยอนตกหลุมรักอาจารย์ เขาเพียงแค่เดินชนอีกฝ่ายบนถนนแล้วก็หัวใจเต้นไม่ต้องใช้เหตุผล การพยายามรักไม่ใช่ความรักของแบคฮยอน

     

    บางทีการได้รับช่อดอกไม้ทุกเช้า ได้ชงกาแฟให้เขาดื่มทุกวัน และส่งรอยยิ้มเล็กๆ ให้กันก็ทำให้แบคฮยอนมีความสุขมากกว่าการพยายามกลับไปลุ่มหลง เพราะว่าต้นไม้ต้องใช้เวลาเติบโตเมื่อดินพร้อม และตอนนี้แบคฮยอนก็พร้อมจะปลูกต้นรักต้นใหม่กับผู้ชายคนเดิมที่ดีขึ้นกว่าเดิม

     

    ก็แค่จีบกันใหม่สินะ

     

    คราวนี้เค้าจีบผมต่างหาก...

     

    เสียงหัวเราะดังเบาๆ ภายในร้านกาแฟที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม แม้ว่าอดีตเหล่านั้นจะไม่หวนมาแต่ก็ไม่เสียเวลามากเท่าไหร่ที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...

     

     


     

     

     

     


     

     

     

     

     .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมกลับแล้วนะครับ

     

    เวลาสามทุ่มตรงแบคฮยอนออกจากงานตรงเวลาหลังจัดการเก็บร้านเสร้จ ลมหนาวในช่วงใกล้สิ้นปีทำให้คนตัวเล็กต้องกระชับเสื้อโค้ทแน่น เขารีบวิ่งตรงไปยังรถคันสีดำที่มักมาจอดรอที่หน้าร้านอยู่เป็นประจำ

     

    ทำไมไม่เข้าไปรอข้างในล่ะทันทีที่ประตูปิดลงแบคฮยอนก็รีบวางแก้วกาแฟ ก่อนจะถูมือเข้าด้วยกันเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อนิ้ว

     

    วันนี้คนเยอะนี่ ไม่อยากเข้าไปกวน

     

    คุณก็เป็นลูกค้านะ

     

    ชานยอลสตาร์ทเครื่องแล้วหักพวงมาลัยพารถออกจากหน้าร้าน เพื่อไปส่งคนตัวเล็กที่บ้านเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน

     

    เรื่องสอบทนายเป็นไงบ้าง

     

    ยังไม่ได้เริ่มเก็บคดีเลย เริ่มคิดแล้วว่าอยากทำร้านกาแฟไปตลอด

     

    คำพูดหมดหวังกับเสียงถอนลมหายใจของว่าที่ทนายทำคนตัวสูงอดขำไม่ได้ เสียงพูดคุยในรถดังเบาๆ ไปพร้อมกับเสียงวิทยุยามดึกช่วยคลายเหงา

     

    วันนี้ไปหาแชรินไหม

     

    หื้อ? ป่านนี้ไม่หลับไปแล้วหรอ

     

    ก็คงหลับแล้วนั่นแหละชานยอลส่งเสียงหัวเราะเก้อเขินเมื่อรู้ตัวว่าถูกตจับไต๋ได้ ที่จริงก็แค่อยากจะให้แบคฮยอนไปนอนค้างที่บ้านด้วยเท่านั้นเอง

     

    พรุ่งนี้คุณจะไปไหนไหม

     

    ก็คงแค่อยู่บ้าน เธอก็มาด้วยสิ อาจจะทำอะไรกิน

     

    อือ...คนตัวเล็กเหลือบสายตาทำท่าคิดไปชั่วครู่ ที่จริงแบคฮยอนเองก็อยากได้คนติวข้อสอบจรรยาบรรณอยู่เหมือนกัน หรือว่าจะไปค้างที่นั่นสักคืนดีนะ ถ้าไปค้างมีที่นอนให้ผมไหม...

     

     

     

     

     

     

     

    บนโซฟากลางห้องโถงที่เงียบสงัด เสียงเคาะปลายปากกาลงกับโต๊ะดังเป็นจังหวะ เแบคฮยอนปิดหน้ากระดาษลงก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาทำตัวเหมือนศพหมดแรงหลังจากที่อ่านเกร็งข้อสอบมาได้พักใหญ่แต่ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในหัวเลย

     

    เฮ้อ...

     

    เธอน่าจะพักก่อนนะ

     

    ชานยอลวางถ้วยโกโก้ร้อนๆ ลงตรงหน้าเด็กหนุ่มผู้แสนหนื่อยล้าพลางทิ้งกายนั่งลงข้างๆ ตั้งแต่บนรถมาเขายังไม่เห็นแบคฮยอนหยุดอ่านหนังสือเลย และถ้าทำแบบนี้ต่อไปก็มีแต่เสียเวลา

     

    พักหรอ...คนถูกดุพึมพำด้วยสีหน้าสุดเลื่อนลอย การพักของเขาคือการหลับตาลงแล้วเห็นข้อสอบกับตัวอักษรเป็นร้อยในความฝัน รู้ตัวเลยว่าไม่สามารถทำใจให้นอนหลับสนิทได้ถ้ายังพยายามไม่ถึงที่สุด

     

    อื้อ สมองคนเรามีขีดจำกัดนะ

     

    คุณทำยังไงเวลาอยากพักแบคฮยอนมุ่ยหน้า ดีดกายขึ้นอีกครั้งก่อนจะหันไปมองคนข้างกาย

     

    ไม่รู้สิ ฉันแค่มองหน้าเธอเขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้านิ่งเฉยแต่สายตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความแพรวพราวโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าทำให้คนฟังหัวใจเต้นขนาดไหน

     

    งั้นผมจะส่องกระจกมองหน้าตัวเองว่าแล้วคนตัวเล็กก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะสบจ้องนัยน์ตาของคนตรงหน้าด้วยความหลงใหลพร้อมกับคิดว่าทำไมเขาถึงได้ดูดีจังนะ

     

    กว่าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็เคลื่อนใบหน้ามาใกล้เพียงลมหายใจรดปลายจมูก สายตาจ้องมองเงาสะท้อนของอีกฝ่ายในแว่นตา แบคฮยอนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงริมฝีปากอิ่มที่ทาบทับลงบนกลีบปาก สัมผัสร้อนผ่าวกับความอ่อนนุ่มบดที่ขยี้ลงมาช้าๆ แฝงด้วยความหนักหน่วงราวกับจะช่วงชิงลมหายใจ

     

    อื้อ...

     

    มือบางรีบยกขึ้นดันแผ่นอกคนตรงหน้าออก แบคฮยอนพ่นลมหายใจหอบผ่านริมฝีปาก มองสีหน้าที่เหมือนกำลังผิดหวังของชายหนุ่ม ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปดึงแว่นตาของเขาออก

     

    เดี๋ยวแว่นคุณก็เป็นรอยหรอก

     

    เพียงแค่นั้นก็ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรอีก แบคฮยอนถอดแว่นตัวเองออกก่อนจะเป็นผ่ายยื่นใบหน้าเข้าไปมอบจูบให้กับอีกฝ่าย ในใจกู่ร้องบอกตัวเองว่าถ้ามากกว่านี้จะหยุดไม่ได้แล้ว หยุดความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว แต่ในขณะที่หัวกำลังคิดอีกอย่างร่างกายก็ปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตักเขาด้วยความโหยหา

     


     

    ไม่อยากซ่อนความรู้สึกนี้อีกแล้ว...

     


     

    ถึงใครไม่รู้แค่อยากให้เขาได้รับรู้ก็เพียงพอ...

     

     



























    #myfablecb






    (end?)





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×